เมิ่งเจียวซินก้าวขาลงไปนั่งแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ ก่อนจะลองนำเอาความทรงจำของร่างนี้รวมเข้ากับเนื้อหาในนิยาย ตอนนี้น่าจะอยู่ช่วงที่ซุนเย่ผิงพาตัวเองไปขายให้กับหอโคมเขียวประจำเมืองเป็นแน่ เนื่องจากเนื้อหาในนิยายมีบรรยายเอาไว้ว่า...
หลังจากที่ซุนเย่ผิงไปทำความรู้จักและพูดคุยกับสตรีในหอโคมเขียวนางหนึ่งมาได้สักพัก นางก็เริ่มมีความคิดที่จะใช้หน้าตาและเรือนร่างของตัวเองหลีกหนีจากความเป็นบ่าว แล้วด้วยความทะเยอทะยานและความรักสบายของนาง ซุนเย่ผิงจึงเริ่มวาดฝันเอาไว้ว่า ด้วยใบหน้านี้ของนาง หากนางก้าวขาเข้าไปในหอโคมเขียวก็คงจะได้ขึ้นเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งของที่นั่นเป็นแน่ แล้วเมื่อจูมี่ผู้เป็นป้าห่าง ๆ ของนางขอลากลับไปเยี่ยมบุตรชายที่บ้านเดิมเป็นเวลาหนึ่งเดือน นางก็รีบใช้ช่วงเวลานั้นขายตัวเองเพื่อเข้าไปฝึกศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่นางคณิกาพึงมีในหอโคมเขียวทันที
ถึงแม้สุดท้ายซุนเย่ผิงจะไม่สามารถขึ้นเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งของหอโคมเขียวแห่งนั้นได้ แต่นางก็ได้ติดหนึ่งในสามของนางคณิกาผู้มีใบหน้างดงามของที่นั่น แล้วก็ด้วยเพราะเงินจากการประมูลคืนแรกของนาง เมื่อจูมี่เดินทางกลับมาถึงเรือนของเมิ่งเจียวซิน ซุนเย่ผิงก็รีบนำเงินจากการขายตัวเองให้กับหอโคมเขียวรวมเข้ากับเงินส่วนแบ่งที่เพิ่งจะได้รับมา เข้ามาใช้ไถ่ถอนตัวเองและผู้เป็นป้าจากความเป็นบ่าวทันที
โดยซุนเย่ผิงโกหกผู้เป็นป้าของนางว่า ตนเองได้บังเอิญไปช่วยชีวิตคนผู้หนึ่งเอาไว้ อีกฝ่ายจึงมอบเงินจำนวนนี้มาเป็นการตอบแทน
แต่ด้วยความที่จูมี่รักเมิ่งเจียวซินมาก และไม่อยากทิ้งผู้เป็นนายไว้เพียงลำพัง จูมี่จึงเอ่ยปฏิเสธเงินของนาง ซุนเย่ผิงก็ทำได้เพียงไถ่ถอนตัวเอง แล้วออกไปใช้ชีวิตเป็นนางคณิกาแบบเต็มตัว
แล้วหลังจากนั้นไม่นาน ในเช้าวันหนึ่งขณะที่ซุนเย่ผิงกำลังพักผ่อนอยู่ในหอโคมเขียว จูมี่ก็ได้บุกเข้าไปพูดคุยกับท่านเจ้าของหอ เพื่อขอไถ่ตัวผู้เป็นหลานสาว เพราะจูมี่คิดว่าซุนเย่ผิงถูกจับมาขายในระหว่างเดินทางกลับไปยังบ้านเดิม
ซุนเย่ผิงจึงจำเป็นต้องออกมาสารภาพความจริงทุกอย่างกับผู้เป็นป้า แล้วหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าซุนเย่ผิงจะซื้อของหรือนำเงินไปให้กับจูมี่ที่เรือนของเมิ่งเจียวซิน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมออกมาพบหรือออกมารับของจากนางเลยสักครั้ง กว่าที่ผู้เป็นป้าจะยอมกลับมาพูดคุยกับนางอีกครั้ง ก็คือวันที่อีกฝ่ายต้องการขอความช่วยเหลือจากนาง เพื่อเมิ่งเจียวซิน...
หลังจากเมิ่งเจียวซินนั่งคิดเรื่องของซุนเย่ผิงมาได้สักพัก นางก็ลุกขึ้นจากน้ำเพื่อจัดการดูแลร่างกายใหม่ของตัวเองจนเรียบร้อย จากนั้นนางจึงเดินไปหยิบพวกกุญแจที่บิดาเจ้าของร่างนี้นำมาฝากเอาไว้ ก่อนที่เจ้าตัวจะออกเดินทาง... โดยลูกกุญแจในพวงนี้มีไว้สำหรับเปิดห้องพักของอีกฝ่าย เปิดหีบเก็บของมีค่าที่อยู่ภายในห้องนั้น และเปิดห้องเก็บสมุนไพร ซึ่งที่ผ่านมาบิดาเจ้าของร่างนี้อนุญาตให้เพียงเมิ่งเจียวซินเท่านั้นที่สามารถเข้าออกสองห้องนี้ได้
แล้วเมื่อนึกไปถึงเมิ่งเจียวฉือบิดาเจ้าของร่างนี้ เจ้าตัวได้ให้สัญญากับเมิ่งเจียวซินคนเดิมเอาไว้ว่า จะกลับมาให้ทันวันปักปิ่นของนาง แต่ตามเนื้อหาในนิยาย...พอถึงวันนั้นเจ้าตัวก็ไม่ได้กลับมาหานาง แล้วจนถึงลมหายใจสุดท้ายของตัวละครเมิ่งเจียวซินนางก็ยังไม่ได้พบกับผู้เป็นบิดา ซึ่งหลังจากที่ตัวละครเมิ่งเจียวซินจากไป นิยายก็ไม่ได้กล่าวถึงเมิ่งเจียวฉืออีกเลย
เมิ่งเจียวซินคิดเรื่องบิดาเจ้าของร่างนี้พร้อมกับเดินไปเปิดประตูห้องเก็บสมุนไพร ภายในห้องมีทั้งยาที่ปรุงสำเร็จแล้ว สมุนไพรหลากหลายชนิด รวมไปถึงหม้อและอุปกรณ์สำหรับการปรุงยา นางจึงเข้าไปดูของต่าง ๆ ที่อยู่ภายในห้องนั้นสักพัก ก่อนจะล็อคประตู แล้วเดินไปเปิดประตูห้องพักของเมิ่งเจียวฉือ เพราะนางต้องการจะเข้าไปหาสมุดเปล่า เนื่องจากภายในห้องพักของนางมีเพียงกระดาษที่ใช้สำหรับวาดเขียนเท่านั้น
แล้วเมื่อเดินเข้าไปในห้องพักของเมิ่งเจียวฉือ นางก็เห็นชั้นวางหนังสือสี่ชั้นที่เต็มไปด้วยตำราสมุนไพร ตำราแพทย์ แล้วยังมีตำราสำหรับการปรุงยาด้วย เมิ่งเจียวซินจึงเดินเข้าไปดึงตำราที่น่าสนใจออกมาหนึ่งเล่ม แล้วนำไปวางที่โต๊ะเขียนหนังสือ จากนั้นนางจึงพลิกเปิดหน้าตำรา...
‘ข้าสามารถอ่านและเข้าใจภาษาในโลกใบนี้ได้สินะ’ เมิ่งเจียวซินรู้สึกพอใจกับความสามารถที่ติดตัวมากับร่างนี้
หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินก็สังเกตเห็นสมุดที่ดูเหมือนจะผ่านการใช้งานมาอย่างหนักวางอยู่บนโต๊ะตัวนั้นสามเล่ม นางจึงหยิบมาเปิดอ่าน สมุดทั้งสามเล่มมีการจดความแตกต่างระหว่างการตรวจการรักษามนุษย์กับพวกมารและพวกปีศาจแบบค่อนข้างที่จะละเอียด รวมไปถึงขั้นตอนการปรุงยาสมุนไพร แล้วก็ด้วยเพราะการที่นางหยิบสมุดสามเล่มนั้นออกมา นางจึงเจอสมุดเปล่าที่วางถัดจากแท่นฝนหมึก
เมื่อได้ในสิ่งที่นางต้องการแล้ว เมิ่งเจียวซินก็คิดจะยืมตำราและสมุดบันทึกสามนี้กลับไปอ่าน นางจึงลุกขึ้นไปเลือกตำราที่น่าสนใจมาเพิ่มอีกห้าเล่ม หลังจากนั้นนางจึงนำตำราที่เลือกมาทั้งหกเล่ม สมุดจดบันทึกสามเล่ม สมุดเปล่าอีกหนึ่งเล่มเดินกลับไปวางไว้ที่โต๊ะกลางห้องพักของตนเอง ก่อนจะกลับมาล็อคประตูห้องพักของเมิ่งเจียวฉือ จากนั้นนางจึงเดินไปยกสำรับที่ซุนเย่ผิงจัดเตรียมทิ้งเอาไว้ให้
ซึ่งในระหว่างที่เมิ่งเจียวซินเดินไปยกสำรับ นางก็ได้แวะปิดพร้อมกับลงกลอนประตูและหน้าต่างทุกบานภายในเรือนไปด้วยเลย
พอกลับเข้ามาในห้องพัก เมิ่งเจียวซินก็เริ่มด้วยการนั่งรับสำรับพร้อมกับนำกระดาษเปล่า พู่กัน และแท่นฝนหมึกมาลองเขียนตัวอักษร ในเมื่อนางสามารถอ่านและเข้าใจเนื้อหาในตำราเหล่านี้ได้ ดังนั้นการเขียนตัวอักษรนางก็น่าจะทำมันได้เช่นกัน แล้วก็เป็นไปตามคาด
ยามนี้นางจึงได้ข้อสรุปแล้วว่า ความรู้ความสามารถบางอย่างที่ร่างนี้เคยทำได้หรือทำมันบ่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย อย่างการอ่าน การเขียน การใช้ตะเกียบกินข้าวแบบในตอนนี้ รวมไปถึงการใส่ชุดสตรีจีนโบราณด้วยตัวเองแบบเมื่อครู่ นางจะสามารถทำมันได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ
จากนั้นเมิ่งเจียวซินจึงลองใช้พู่กันเขียนเป็นตัวอักษรภาษาไทย แม้จะเขียนยากเพราะด้วยรูปแบบของตัวอักษร แต่นางก็ต้องทำ เนื่องจากยามนี้นางต้องการจดบันทึกเงื่อนไข ภารกิจ รวมไปถึงเป้าหมายของตัวนางเอง แล้วก็ด้วยเพราะนางไม่สามารถพกสมุดติดตัวไปได้ตลอดเวลา หากนางไม่ยอมเปลี่ยนภาษาแล้วมีผู้ใดมาบังเอิญเจอสมุดบันทึกของนางเข้า มันคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนางเป็นแน่ นางจึงต้องหาทางป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน
เมื่อใช้พู่กันเขียนภาษาไทยได้คล่องแล้ว เมิ่งเจียวซินจึงเริ่มด้วยการเขียนชื่อของตนเองลงไปในหน้าแรกของสมุด ตามด้วยเหตุผลที่ทำให้นางต้องเข้ามาอยู่ในโลกใบนี้ ต่อด้วยเงื่อนไข และภารกิจที่ระบบให้มา ก่อนที่นางจะเริ่มวิเคราะห์...จนได้ข้อสรุป หลังจากนั้นนางจึงเก็บสมุดบันทึกไว้ในลิ้นชักของโต๊ะข้างเตียง แล้วกลับมานั่งรับสำรับต่อจนหมด จากนั้นนางจึงนำตำราและสมุดบันทึกของเมิ่งเจียวฉือมานอนอ่านที่เตียงจนเผลอหลับไป
เมิ่งเจียวซินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรวบรวมสติเพ่งมองภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า เธอเห็นหลี่อวิ้นกุยควบม้าตะบึงนำเหล่าองครักษ์ออกจากเขตวังราชาปีศาจ จากที่เธอสังเกตราวกับว่า...มีกล้องวีดีโอคอยตามถ่ายความเคลื่อนไหวของหลี่อวิ้นกุย แล้วส่งเรื่องราวเหล่านั้นมาให้เธอดู เมิ่งเจียวซินเห็นหลี่อวิ้นกุยนำเหล่าองครักษ์เข้าต่อสู้กับกลุ่มคนชุดดำที่กำลังโจมตีขบวนรถม้า... หากวัดจากจำนวนคน...ฝ่ายของหลี่อวิ้นกุยน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเท่าตัว แต่ทว่าหากวัดจากฝีมือการต่อสู้ และพลังที่ปล่อยออกมา ฝ่ายของบุรุษที่เธอรักดูเหนือกว่ามาก ในขณะที่หลี่อวิ้นกุยต้องรับมือกับเหล่าศัตรูถึงห้าคนพร้อมกัน เจ้าตัวเกิดพลาดถูกดาบของหนึ่งในห้าฟันเข้าที่ต้นแขนข้างขวา แล้วแทนที่เลือดจะไหลซึมออกมาเป็นสีแดง แต่ทว่ามันกลับเป็นสีดำ!
เมิ่งเจียวซินรีบดึงสติของตัวเองกลับมา จากนั้นก็ก้มลงไปหยิบปากกา เธอยื่นมันกลับไปให้บุรุษหนุ่มตรงหน้า ระหว่างนั้นคุณหมอนพชัยก็เชิญเธอลงมานั่งพูดคุยด้วย แต่ทว่า... “ผมเซ็นยินยอมเข้าผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันอีก ตอนนี้คุณหมอนพชัยควรเก็บเอกสารส่วนตัวของผมทั้งหมดกลับเข้าไปในแฟ้ม แล้วผมจำได้...เมื่อครู่คุณหมอนพชัยบอกว่า ช่วงสายมีเคสผ่าตัดไม่ใช่หรือครับ?” “ครับ...จริงด้วยครับ อย่างนั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ” เมิ่งเจียวซินขยับลงไปนั่งที่เก้าอี้ เธอจ้องมองบุรุษหนุ่มบนรถเข็น แม้แต่สีหน้า และท่าทีเวลาข่มขู่ผู้อื่น บุรุษหนุ่มก็ยังเหมือนกับคนในความทรงจำของเธอ เมื่อคุณหมอนพชัยเดินห่างออกไปพอสมควรแล้ว เมิ่งเจียวซินก็เห็นคุณใหญ่หันกลับมา แล้วเตรียมอ้าปากเหมือนจะพูด เธอจึงชิงถามออกไปก่อนว่า
เมิ่งเจียวซินรีบดึงสติ ปรับลมหายใจ อาจเพราะเธอรู้ชื่อจริงของคุณใหญ่จึงได้รู้สึกหวั่นไหวเช่นนี้ พอรวบรวมสติของตัวเองกลับมาได้ เมิ่งเจียวซินจึงรับรู้ว่า พ่อบ้านเจิ้งกำลังเล่าเรื่องอะไรบางอย่างให้เธอฟัง แล้วด้วยความที่ไม่ได้ฟังมาตั้งแต่แรก เธอจึงหันไปทำทีพยักหน้า พร้อมกับส่งยิ้มน้อย ๆ จากนั้นเมิ่งเจียวซินก็เริ่มฟังว่า บุรุษสูงวัยกำลังเล่าเรื่องอะไร ซึ่งเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าก็คือ เรื่องเดียวกับที่คุณยายใบบัวเพิ่งจะเล่าให้เธอฟัง แล้วในขณะที่เมิ่งเจียวซินหันไปให้ความสนใจกับพ่อบ้านเจิ้ง เธอก็รับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องมองมา แต่พอเธอหันไปทางนั้น...ผู้ที่แอบมองกลับรีบก้มหน้าหลบตา เมื่อเห็นเช่นนั้น เมิ่งเจียวซินจึงลอบสังเกตฝ่ายตรงข้าม คุณใหญ่หลี่อวิ้นกุยมีอายุน้อยกว่าเธอสองปี แล้วเกือบสามเดือนที่ผ่านมา...เจ้าตัวนอนหลับอยู่บ
ระหว่างนั้นพยาบาลได้เข็นรถอาหารเข้ามาในห้องพัก จากนั้นพยาบาลคนดังกล่าวก็เดินเข้ามาปรับเตียง พร้อมกับจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับทานอาหารให้กับเมิ่งเจียวซินจนเรียบร้อย ก่อนจะถอยออกไปจากห้อง เมิ่งเจียวซินยื่นมือออกไปเตรียมจะหยิบช้อน แต่ทว่าคุณยายใบบัวก็ชิงหยิบช้อนตัดหน้า จากนั้นอีกฝ่ายก็ตักข้าวต้มกุ้ง แล้วยื่นมาชิดที่ริมฝีปากของเธอ “บาดแผลที่บ่าเพิ่งจะสมานกัน คุณหมอสั่งว่า ช่วงนี้ใบหม่อนควรเคลื่อนไหวแขนข้างขวาให้น้อยนะลูก” เมิ่งเจียวซินพยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง เพราะรู้ดีว่า ช่วงที่เธอนอนไม่ได้สติเกือบเก้าวันคงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นห่วงมาก เวลานี้คุณยายใบบัวอยากทำอะไร เธอก็จะยอมตามใจทุกอย่าง เธอส่งยิ้มปลอบโยนให้ผู้เป็นยาย ก่อนจะอ้าปาก แล้วในขณะนั้นภาพของใครอีกคนที่เมิ่งเจียวซินยอมให้ป้อนอาหารใส่ปากก็ทับซ้อนกับสตรีส
เมิ่งเจียวซินลืมตาขึ้นมาก็เห็นเพดานห้องที่ดูเหมือนจะทั้งคุ้น และไม่คุ้นตา ยามนี้นางรู้สึกมึน และรู้สึกปวดศีรษะมาก นางจึงหลับตาลง แล้วลองลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างช้า ๆ จากนั้นจึงก้มลงไปมองสำรวจร่างกายของตัวเอง... ‘ผ้าห่มโรงพยาบาล ผ้าก๊อซ สายน้ำกลือ?’ เมิ่งเจียวซินละสายตาจากสายน้ำเกลือที่เสียบอยู่บนมือข้างซ้าย จากนั้นก็สอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง นางเห็นคุณยายใบบัวกำลังนั่งพูดคุยอะไรบางอย่างกับหมอ และพยาบาลอยู่ที่โซฟา แล้วเมื่อคนทั้งสามหันมาสบตากับนาง “ใบหม่อน! หนูฟื้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้างลูก? เจ็บตรงไหนบ้าง?” เมิ่งเจียวซินมองคุณยายใบบัว หมอ และพยาบาลที่เดินเข้ามาสอบถาม แล้วไล่ตรวจดูร่างกายของนาง โดยในระหว่างนั้นเมิ่งเจียวซินสังเกตเห็นสายตาที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงจากผู้เป็นยาย รวมไปถึงน้ำตาที่ไ
หลังจากนั่งพูดคุยวางแผนทั้งตั้งรับ และสู้กลับเกือบสองชั่วยาม หลี่อวิ้นกุยก็รีบขอตัวกลับไปป้อนยาเมิ่งเจียวซินที่ตำหนัก ก่อนออกมาเขาได้ฝากจิ่นโซวกับโจวหลิวอิงดูแลความปลอดภัยของผู้เป็นบิดา เพราะถึงพวกเขาจะสั่งปิดเส้นทางลับใต้ดินไปแล้ว และยังส่งเหล่าทหารไปเฝ้าหน้าปากทางเข้าออก แต่ทว่าจะประมาทคนมากเล่ห์เจ้าแผนการอย่างหลี่อวิ้นหยางไม่ได้เป็นอันขาด เมื่อกลับมาถึงตำหนัก หลี่อวิ้นกุยก็ได้รับรายงานว่า ยามนี้ขบวนรถม้าของเมิ่งเจียวฉือเข้ามาในเขตของเผ่ามารแล้ว เขาจึงตัดสินใจให้องครักษ์รีบไปดูที่ประตูพระราชวังทางทิศตะวันออก หากปลอดภัยก็ให้ผู้นำขบวนรถม้าพาเมิ่งเจียวฉือเข้ามาทางประตูนั้นได้เลย แต่ถ้าหากดูแล้วน่าจะไม่ปลอดภัย หรือน่าจะเกิดปัญหาในขณะเคลื่อนขบวนรถม้าเข้ามา ก็ให้รีบไปแจ้งผู้นำขบวนถอยขบวนรถม้าไปพักที่จวนตระกูลโจวก่อน เมื่อสั่งการเสร็จ หลี่อวิ้นกุยก็รีบปรับลมหายใจ รวบรวมสติ พอสงบใจลงได้ เขาจึงเดินไปเปิดประตูห้องพักของเมิ่งเจียวซิน&n