“ข้ายอมก็ได้ แต่ข้าจะช่วยอีกแค่ครั้งเดียวนะ” กล่าวจบ เมิ่งเจียวซินก็เห็นหลี่อวิ้นกุยพยักหน้าตอบกลับมา
พอเห็นเช่นนั้นนางจึงโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตที่ริมฝีปาก แล้วในขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างของเมิ่งเจียวซินก็เริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายของฝ่ายตรงข้าม
หลี่อวิ้นกุยรีบปล่อยมือที่โอบเอวของสตรีบนร่าง เพียงไม่นานลมหายใจของเขาก็กลับมาร้อน และติดขัดอีกครั้ง เพราะเมิ่งเจียวซินได้ขยับลงไปฉกชิมยอดอกของเขาสลับกันไปมา แล้วไหนจะมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างของนางที่ลูบไล้ไปตามหน้าท้อง และต้นขา
หลังจากนั้นฝ่ายตรงข้ามก็ค่อย ๆ ประทับริมฝีปากต่ำลงไปเรื่อย ๆ
“อึก! ซินซินคนดี ข้า...อ่า...ซี๊ดด” หลี่อวิ้นกุยหลุดเสียงครางออกมา เนื่องจากเมิ่งเจียวซินที่เพิ่งจะขยับลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของเขา ได้ใช้มือเล็ก ๆ
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม รถม้าก็หยุดนิ่ง เมิ่งเจียวซินขยับตัวลุกขึ้นยืน เพราะต้องลงจากรถม้าตามคำสั่งขององค์ชายรอง แต่ทว่าในขณะที่ลุกขึ้น...ร่างกายของเมิ่งเจียวซินก็ล้มกลับลงไปนั่งที่เดิม นางรู้สึกวิงเวียนจนหายใจลำบาก และรู้สึกได้ว่า ร่างกายของนางกำลังสั่น สายตาก็เริ่มพร่ามัว เมิ่งเจียวซินรีบตั้งสติ จากนั้นก็จับปิ่นด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วค่อย ๆ เปิดกลไกช่องเก็บของลับ ซึ่งซ่อนอยู่ในดอกไม้ช่อที่สาม พอเปิดออกได้...นางก็รีบเทยาในช่องนั้นครึ่งหนึ่งใส่ปาก ก่อนจะนั่งหลับตา พร้อมกับปรับลมหายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ ซึ่งในระหว่างนั้น เมิ่งเจียวซินรับรู้ได้ว่า องค์ชายรองเหมือนจะค่อย ๆ ขยับใกล้เข้ามา แล้วเมื่อลมหายใจของฝ่ายตรงข้ามตกลงมาที่ข้างแก้มของนาง! เมิ่งเจียวซินรีบฝืนลืมตา พร้อมกับขยับร่างกายถอยห่าง จนแผ่นหลังของนางชนเข้ากับผนังรถม้า “หึ! คุณหนูเมิ่งไม่ต้องกลัว เพราะข
“เจ้า! เจ้าคือ ขันทีในวันนั้น!!” ปิงหลงพูดพร้อมกับจะหันหน้าไปมองอีกฝ่าย “อยู่นิ่ง ๆ แล้วฟังข้าให้ดี ยาที่คุณหนูเมิ่งเพิ่งกลืนลงไป คือ ยาพิษราคะโลกีย์ ไม่มียาถอนพิษ มีเพียงแต่ต้อง...มีเพียงองค์ชายสามเท่านั้นที่จะช่วยถอนพิษให้คุณหนูเมิ่งได้ ยาพิษชนิดนี้จะทวีความรุนแรงขึ้นทุกครึ่งชั่วยาม คุณหนูเมิ่งน่าจะทนฝืนได้ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม” พูดจบ ซีไถก็รีบยัดกระดาษ ซึ่งเขาได้เขียนแผนที่ระบุจุดนัดพบใส่เข้าไปในมือของเด็กชาย แล้วกล่าวต่อ “พอข้าสะบัดมือ ให้เจ้ารีบหนีไปทางทิศเหนือ พ้นเขตป่าเจ้าก็จะเจอทางเข้าค่ายทหาร รีบไปพาองค์ชายสามมาตามจุดนัดพบในกระดาษ ข้าจะพาคุณหนูเมิ่งไปรออยู่ที่นั่น” เมื่อซีไถเห็นองค์ชายรองมุ่งความสนใจไปที่คุณหนูเมิ่ง แล้วยาที่เขาให้เด็กตรงหน้ากิน ยามนี้ก็น่าจะรักษา และฟื้นฟูกำลังของอีกฝ่ายขึ้นมาบ้างแล้ว เขาจึงรีบลงมือทำตามแผนที่เตรียมเอาไว้ทันที &
เหงื่อเย็นไหลซึมออกจากแผ่นหลังของเมิ่งเจียวซิน ด้วยน้ำเสียง และคำเรียกขานหลี่อวิ้นกุยว่า ‘น้องสาม’ทำให้นางรู้ทันทีว่า บุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังคือผู้ใด เมิ่งเจียวซินกดข่มความรู้สึกหวาดกลัวเอาไว้ในใจ แล้วกัดฟันกล่าวออกไปว่า “องค์ชายรอง ได้โปรดปล่อยตัวหม่อมฉัน และได้โปรดมีรับสั่งให้คนของพระองค์หยุดทำร้ายคนของหม่อมฉันด้วยเพคะ!” ไร้ซึ่งคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม แล้วในทุกครั้งที่นางพยายามดิ้นหนี หรือดันตัวออก เมิ่งเจียวซินก็จะถูกอ้อมแขนของอีกฝ่ายโอบรัดแน่นขึ้นกว่าเดิม จนตอนนี้นางรับรู้ได้ถึงลมหายใจขององค์ชายรองที่พัดผ่านต้นคอ นางจึงยิ่งดิ้น ยิ่งดัน ยิ่งพยายามเอาร่างกายของตัวเองออกห่าง “พระองค์ตรัสว่า มาช่วยหม่อมฉันจากองค์ชายสาม เมื่อครู่ซุนเย่ผิงก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน แต่เท่าที่หม่อมฉันจำได้ หม่อมฉันเคยพูดคุยกับพระองค์ที่เรือนพักชั่ว
เมิ่งเจียวซินไม่ตอบคำถามขององค์หญิงห้า แต่รีบเดินเข้าไปจับมือของอันเหมยเอาไว้ จากนั้นก็หันไปส่ายหน้าเบา ๆ ให้เหล่าองครักษ์ที่กำลังจะวิ่งตามไปจับตัวองค์หญิงห้ากลับมา เนื่องจากยามนี้นางเริ่มสงสัยในตัวเด็กหญิงตรงหน้า แล้วเมื่อเห็นองค์หญิงห้าเดินเข้าไปยืนข้างซุนเย่ผิงด้วยท่าทีที่คล้ายกับคนรู้จักกันมานาน เมิ่งเจียวซินก็ได้ระบายลมหายใจของตัวเองออกมา ซุนเย่ผิงพอเห็นองค์หญิงห้าดึงตัวเมิ่งเจียวซินออกห่างจากเหล่าองครักษ์ขององค์ชายสามไม่สำเร็จ นางจึงหันไปกล่าวว่า “คุณหนูมากับข้าเถิด ข้ามาช่วยคุณหนูจริง ๆ นะเจ้าคะ” “ซุนเย่ผิง เจ้าบังเอิญผ่านมาช่วย หรือตั้งใจมาจับตัวข้ากันแน่?” เมิ่งเจียวซินถามกลับด้วยความรู้สึกผิดหวัง และเสียใจ แม้นางจะเคยเตรียมใจเอาไว้ว่า อาจมีสักวันที่ซุนเย่ผิงกับองค์หญิงห้าจะไปร่วมมือกับองค์ชายรอง แล้วหัน
“คุ้มกันรถม้า!!” สิ้นเสียงตะโกนของจิ่นสือ รถม้าที่เมิ่งเจียวซินกำลังนั่งก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ทันที อันลี่รีบพุ่งตัวเข้าไปปิดม่าน แล้วดึงผู้เป็นนายให้กลับเข้ามานั่งในรถม้า เมิ่งเจียวซินพยายามรวบรวมสติ แล้วนิ่งฟังความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายนอก แม้ภายในใจของนางจะรู้สึกเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของปิงหลง องค์หญิงห้า รวมไปถึงทุกคนที่ร่วมขบวนรถม้ามากับนาง แต่เพราะสิ่งที่นางพึงทำในยามนี้ก็คือ การนั่งอยู่กับที่ แล้วคอยทำตามที่องครักษ์บอก จึงจะไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับเหล่าองครักษ์ไปมากกว่านี้ อันลี่รีบดึงมีดสั้นประจำกายออกมา เนื่องจากตอนนี้ภายในรถม้ามีเพียงนางกับผู้เป็นนายแค่สองคน จากนั้นนางก็ค่อย ๆ ขยับเข้าไปเปิดม่าน เพื่อดูการต่อสู้ด้านนอก จึงได้เห็นว่า จำนวนคนของพวกนางน้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม แล้วในขณะนั้นจิ่
ช่วงสายของวันถัดมา หลี่อวิ้นกุยได้รับรายงานด่วนจากค่ายทหารว่า เมื่อคืนมีคนบุกเข้าไปเผาสถานที่เก็บเสบียงในค่าย เขาจึงรีบเดินไปหาเมิ่งเจียวซิน ซึ่งยามนี้อีกฝ่ายกำลังนั่งรับของว่างอยู่กับหลี่อวิ้นเหมยในห้องโถง “ซินซิน ที่ค่ายทหารเกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย แต่ปัญหานี้ข้าจำเป็นต้องเข้าไปตรวจดูด้วยตัวเอง ข้าจะรีบไปรีบกลับ แล้วถ้าหากข้ากลับมาไม่ทันต้นยามเว่ย...”หลี่อวิ้นกุยหยุดพูด อาจด้วยเพราะวันนี้เขารู้สึกไม่สบายใจแปลก ๆ แล้วยิ่งเห็นหลี่อวิ้นเหมยเข้ามาหาเมิ่งเจียวซินตั้งแต่ในช่วงเช้า มันจึงยิ่งเพิ่มความรู้สึกไม่สบายให้แก่เขาขึ้นเป็นเท่าตัว หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่อวิ้นกุยก็หาทางออกให้กับตัวเองได้ เขาจึงรีบกล่าวต่อ “ข้าจะให้จิ่นตั้งอยู่ดูแลความปลอดภัยที่นี่ แล้วถ้าหากข้ากลับมาไม่ทันต้นยามเว่ย ก็ให้จิ่นตั้งเป็นผู้นำขบวนรถม้าแทนข้า ซินซิน
เมิ่งเจียวซินหยุดเดิน แล้วยืนมองใบไม้ใบหญ้าที่มีหยาดฝนเกาะติดอยู่บนใบ กลิ่นของใบหญ้าที่ต้องสายฝนจนชุ่มแฉะปะทะเข้ากับฆานประสาท ทำให้นางรู้สึกเบิกบานใจ แต่ทว่าความรู้สึกนี้ก็อยู่ได้เพียงไม่นาน เพราะมันถูกกลบด้วยกลิ่นกายบุรุษที่คุ้นเคย ซึ่งมาพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นที่ข้างหูว่า “ซินซิน เหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้ หรือว่า...เจ้ามารอรับข้า?” เมิ่งเจียวซินถอนสายตากลับมา แล้วหันไปเผชิญหน้ากับบุรุษไร้ยางอาย “หาใช่เช่นนั้นไม่ ข้าแค่หยุดยืนดูต้นไม้ใบหญ้าก็เท่านั้น ว่าแต่...กุยกุย เหตุใดเจ้าจึงกลับมาเร็วนักล่ะ?” “ข้าคิดถึงเจ้า ก็เลยรีบกลับมาหา” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เมิ่งเจียวซินที่ไม่อยากต่อปากต่อคำกับบุรุษไร้ยางอายต่อ นางจึงเลี่ยงเข้าไปนั่งรับลมในศาลา แต่
“ข้ายอมก็ได้ แต่ข้าจะช่วยอีกแค่ครั้งเดียวนะ” กล่าวจบ เมิ่งเจียวซินก็เห็นหลี่อวิ้นกุยพยักหน้าตอบกลับมา พอเห็นเช่นนั้นนางจึงโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตที่ริมฝีปาก แล้วในขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างของเมิ่งเจียวซินก็เริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายของฝ่ายตรงข้าม หลี่อวิ้นกุยรีบปล่อยมือที่โอบเอวของสตรีบนร่าง เพียงไม่นานลมหายใจของเขาก็กลับมาร้อน และติดขัดอีกครั้ง เพราะเมิ่งเจียวซินได้ขยับลงไปฉกชิมยอดอกของเขาสลับกันไปมา แล้วไหนจะมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างของนางที่ลูบไล้ไปตามหน้าท้อง และต้นขา หลังจากนั้นฝ่ายตรงข้ามก็ค่อย ๆ ประทับริมฝีปากต่ำลงไปเรื่อย ๆ “อึก! ซินซินคนดี ข้า...อ่า...ซี๊ดด” หลี่อวิ้นกุยหลุดเสียงครางออกมา เนื่องจากเมิ่งเจียวซินที่เพิ่งจะขยับลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของเขา ได้ใช้มือเล็ก ๆ
“กุยกุยน้อย...” เมิ่งเจียวซินพึมพำออกมาเบา ๆ พร้อมกับจ้องมองเจ้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วด้วยขนาดที่มือหนึ่งข้างไม่อาจโอบรอบมันได้ หากเจ้าสิ่งนี้ถูกเรียกว่า ‘กุยกุยน้อย’ แล้วสากกะเบือตำน้ำพริกที่บ้านของคุณยายบัวล่ะ? ขนาดของสากกะเบือเล็กกว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือของนาง หากเมิ่งเจียวซินกลับไปยังโลกใบเดิมได้ เห็นทีนางคงต้องเปลี่ยนไปเรียกมันว่า‘เจ้าสากน้อย’ สินะ “ซินซิน ได้โปรด...” เมิ่งเจียวซินรีบปล่อยมือจากสิ่งที่จับอยู่ จากนั้นนางก็รีบดึงสติของตัวเองกลับมา แล้วขยับลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของหลี่อวิ้นกุย พอเงยหน้าขึ้นไปมอง สายตาของฝ่ายตรงข้ามมองมาที่นางอย่างน่าสงสาร ส่วนสีหน้าของเจ้าตัวก็แฝงแววตัดพ้ออยู่บ้าง เมื่อเห็นเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินก็ถอนหายใจออกมา เนื่องจากนิ้วมือทั้งห้าของน