บทที่ 59/2 รวี่เยว่แล้วข้าเล่า!!! นอกเหนือจากคนตำหนักเทวาอนธการ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ไม่มีใครเคยเห็นองค์ราชาอวี้เหวินเทียนเหิงมาก่อน ต่างจ้องมองเขาเป็นตาเดียว และมีเพียงความคิดเดียวผุดขึ้นในหัวของทุกคน “ช่างหล่อเหลาสง่างามเหลือเกิน” “ว่าที่พ่อตาของท่านรูปงามมากเลยนะฝ่าบาท ตบะอยู่ถึงระดับฮว่าเสินขั้นกลางเสียด้วย” อี้หรงเอ่ยกับฮั่วเฮ่อฉีเป็นเชิงชื่นชมอีกฝ่าย ฮั่วเฮ่อฉีพยักหน้าเห็นด้วย หากแต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยความกังวล ‘เขาจะยอมยกรวี่เยว่ให้ข้ารึเปล่านะ แล้วถ้าหากไม่ยอมล่ะข้าจะทำอย่างไรดี…’ ทว่าก่อนที่ชายหนุ่มจะได้คิดฟุ้งซ่านต่อ สุ้มเสียงทรงอำนาจของอวี้เหวินเทียนเหิงก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ “ว่าอย่างไร ผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของสำนักกระบี่สวรรค์ จะเริ่มสู้กันได้รึยัง ข้ารอจนเริ่มเบื่อแล้ว…โอ้ เงียบไม่ยอมตอบ เช่นนั้นข้าเริ่มก่อนล่ะนะ” อวี้เหวินเทียนเหิงยกมุมปาก ปล่อยแรงกดดันกระแทกใส่กลุ่มผู้อาวุโสของสำนักกระบี่สวรรค์ ทำแต่ละคนลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้น ตบะระดับฮว่าเสินหาใช่สิ่งที่นักพรตระดับหยวนอิงจะรับมือได้ง่ายๆ กอปรกับสายเลือดมารสวรรค์ ยิ่งทำให้อวี้เหวินเทียนเหิงแข็งแกร่งกว่าเผ่ามนุษ
บทที่ 60/1 ยุติศึกในช่วงสั้นๆ คำกล่าวของต้าอ๋องไม่ได้มีเพียงรวี่เยว่ที่ได้ยิน อวี้เหวินเทียนเหิงที่อยู่ห่างออกไปก็ได้ยินเช่นกัน องค์ราชารีบเก็บจิตวิญญาณทั้งแปดใส่กระบี่ แล้วแวบมาปรากฏตรงหน้าเลี่ยวคังหนานด้วยเพลิงแค้นสุมอก แรงกดดันมหาศาลกระหน่ำใส่ชายตรงหน้าจนแทบแหลกเป็นผุยผง เสียงกระดูกซี่โครงหักดังลั่นได้ยินชัดเจน พร้อมเสียงโหยหวนจากความเจ็บปวดที่ได้รับ กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ อ๊ากกกกก!!! “ที่แท้ก็เป็นเจ้าที่ทำให้นางตาย!” ภายในดวงตาคู่คมของอวี้เหวินเทียนเหิงแฝงไปด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้นเหนือคณานับ ถึงแม้ว่าตัวเขาจะมิอาจครองคู่กับนาง แต่การได้รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ ก็เปรียบเสมือนแสงเทียนที่ส่องสว่าง มอบความอบอุ่นในจิตใจให้เขาในคืนอันเหน็บหนาวและมืดมิด ในตอนที่เยว่หนิงลี่ยังมีชีวิตอยู่ มีบางครั้งที่เขาแอบลงไปจากภูผา เดินทางไปยังแดนใต้เมื่อรู้ว่านางไปที่นั่น เพื่อแอบมองนางอยู่ห่างๆให้หายคิดถึง เขาเลี่ยงที่จะไปเมืองหลวง เพราะเกรงจะเห็นภาพบาดตาบาดใจ หากแต่หลายปีมานี้ไม่มีนางอีกแล้ว และชายตรงหน้าคือคนที่พรากนางไปจากเขาและธิดา ทว่าก่อนที่อวี้เหวินเทียนเหิงจะลงมือบดขยี้อีกฝ่าย เสียง
บทที่60/2 ยุติศึกในช่วงสั้นๆ กลับมาที่แดนมนุษย์ ต้าอ๋องยังคงยืนนิ่งตาค้างขนหัวลุก เมื่อได้เห็นการช่วงชิงจิตวิญญาณสดๆร้อนๆกับตา “อัคคีนิลกาฬช่างน่าสะพรึง สมคำร่ำลือจริงๆ” จากนั้นจึงกล่าวกับรวี่เยว่ว่า ในเมื่อกระทั่งแม่ทัพใหญ่ของหวงซา ยังสามารถแฝงตัวอยู่ในสำนักกระบี่สวรรค์ นั่นก็อาจเป็นไปได้ว่า อาจมีคนของอาณาจักรหวงซาแทรกซึมเข้ามาในอาณาจักรอู๋ซางโดยที่พวกเขาไม่รู้ “เรื่องนี้ไม่ห่วงเจ้าค่ะ กลับไปค่อยเอาวิญญาณของหนานอ๋อง ออกมาทรมานรีดเค้นข้อมูลทีหลัง” นางบอกกับต้าอ๋องด้วยท่าทางผ่อนคลาย สามเค่อต่อมา สำนักกระบี่สวรรค์ก็พ่ายแพ้ อาคารต่างๆของสำนักพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี เปลวไฟลุกโหมไปทั่วราวทะเลเพลิง ศิษย์หลายคนที่ยังรอดชีวิตยอมศิโรราบต่อกองกำลังของราชวงศ์ เวลานี้ร่างของฮั่วเฮ่อฉีย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน ดวงตาสีฟ้าพร่างพราวเปี่ยมด้วยไอสังหารน่าหวาดหวั่น ชายหนุ่มคร่าชีวิตของคนสำนักกระบี่สวรรค์ ด้วยมือตนเองไปมากกว่าหกร้อยคนในระยเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม! สร้างความตื่นตะลึงระคนหวาดผวา ให้กับคนจากสามสำนักใหญ่ไปตามๆกัน หลายคนตระหนักแล้วว่า ฉายาจอมอหังการขององค์ไท่จื่อแห่งตำหนักเทพอนันต์ ไม่ได้เ
บทที่ 1 ขอพรกับดาวตก ณ แดนเทพอันศักดิ์สิทธิ์ มหาเทพหวงหลงนั่งหรี่ตาเล็งศิลาเทวะธาตุหลายลูกในกล่องด้วยสีหน้าคร่ำเครียด ครุ่นคิดว่าจะหยิบศิลาลูกไหนขึ้นมาดีดใส่ศิลาของอีกฝ่ายเพื่อทำแต้มตีเสมอ คู่ต่อสู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามมีใบหน้างดงามราวอิสตรี เอนกายอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน พิงหมอนอิงใบใหญ่บนตั่ง อากัปกิริยาค่อนไปทางเกียจคร้าน มือขาวหมุนจอกสุราดอกท้อหยกพันปี ส่งกลิ่นหอมกรุ่นละมุนไปทั่วสวนลอยฟ้า ณ ตำหนักของมหาเทพหวงหลง ริมฝีปากหยักสีลูกท้อสุกเหยียดยิ้มยียวน เอื้อนเอ่ยเย้ยหยันฝีมือดีดลูกแก้วของสหายรัก "ท่านจะเลือกศิลาอีกนานเท่าใด หวงหลง ข้ารอจนรากจะงอกอยู่แล้ว สู้ไม่ได้ก็ยอมแพ้เสียเถิด ดันทุรังไปก็เปล่าประโยชน์" "เฮอะ! สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร ชิงหลง รอบนี้ข้าไม่แพ้เจ้าแน่!" มหาเทพหวงหลงแค่นเสียง ใบหน้าหล่อเหลาราวหยกสลักดูยุ่งเหยิง ตัดสินใจหยิบก้อนศิลา ซึ่งกำลังเปล่งแสงเรืองรองสีขาวสลับดำออกมาจากกลางกล่องถือไว้ในมือ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดพรายที่มุมปาก "เพ้ย! แบบนี้ขี้โกงกันนี่หวงหลง! ท่านจะเอาศิลาเทวะธาตุลูกนั้นออกมาใช้ไม่ได้นะ!" เสียงคัดค้านของมหาเทพชิงหลงดังขึ้นทันที หล
บทเสริมมหาพิภพทงเทียนเหอ ประกอบไปด้วยสี่อาณาจักรทิศเหนือ อาณาจักรอู๋ซางทิศใต้ อาณาจักรหวงซาทิศตะวันออก อาณาจักรตงหลงทิศตะวันตก อาณาจักรเว่ยเสินพลังธาตุในมหาพิภพทงเทียนเหอชนิดพลังธาตุและสีของไฟธาตุต้นกำเนิด (ที่เรียกว่าไฟธาตุ เพราะดูเก๋ตามจินตนาการของนักเขียนค่ะ หากฟังดูไม่เข้าท่าในความคิดของนักอ่านบางท่าน ก็อย่าเก็บมาคิดมากนะคะเน้นจินตนาการและความบันเทิงค่ะ)พลังธาตุปกติดิน ปฐพีธาตุ ไฟธาตุสีน้ำตาลน้ำ วารีธาตุ ไฟธาตุสีขาวใสลม วาโยธาตุ ไฟธาตุสีขาวแกมเขียวอ่อนไฟ อัคคีธาตุ ไฟธาตุสีส้มแดงไม้ พฤกษาธาตุ ไฟธาตุสีเขียวเข้มพลังธาตุพิเศษ แบ่งเป็นสายฟ้า อัสนีธาตุ ไฟธาตุสีเงินน้ำแข็ง หรือ หิมะ เหมันต์ธาตุ ไฟธาตุสีฟ้าพลังธาตุพิเศษหายาก หรือ มหาธาตุหยินหยางธาตุแสง ไฟธาตุสีทอง เรียกอีกชื่อว่า อัคคีหิรัณย์ธาตุมืด ไฟธาตุสีดำ เรียกอีกชื่อว่า อัคคีนิลกาฬอาณาจักรอู๋ซางราชวงศ์หวงฝู่ ปกครองโดยเผ่ามนุษย์สี่สำนักใหญ่สำนักเพลิงจักรพรรดิสำนักหงสาจันทราสำนักกระบี่สวรรค์สำนักอัสนีเทพสองตำหนักใหญ่ในอาณาจักรอู๋ซาง มีราชวงศ์ปกครองตนเอง ได้แก่ตำหนักเทวาอนธการ ปกครองโดยเผ่ามนุษย์สายเลือดมารส
บทที่ 2 พลังที่ตื่นขึ้น แสงทองของวันใหม่ทาบทับขอบฟ้า เสียงสกุณาขับขานบทเพลงแห่งชีวิต สายลมอุ่นยามเช้าโลมเลียผิวอ่อนของเด็กหญิงตัวน้อยบนกองฟาง เปลือกตาของร่างเล็กพลันเคลื่อนไหว "คิกๆๆ จั๊กจี้ เช้าแล้วเหรอ นี่ข้ายังไม่ตายเหรอ?!" หวังลี่ถิงปรือตาตื่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงมีฟางติดผมหลายเส้น ดวงตาดอกท้อกลอกไปมาแลดูสับสน "ก็เช้าแล้วน่ะสิ ถิงเอ๋อร์ ไยเจ้าถึงมาหลับอยู่ตรงนี้กัน แล้วที่บอกว่ายังไม่ตายอีก แปลกจริงเขียว ว่าแต่เจ้าไปทำอะไรมาถึงได้สกปรกเหม็นหึ่งขนาดนี้" นกกระเต็นสีฟ้าสดใสใช้ปากของมันเขี่ยใบหูของเด็กหญิง ส่งเสียงเจื้อยแจ้วทักทายอยู่ข้างหูเล็ก นี่คือความพิเศษของหวังลี่ถิง ซึ่งมีเพียงแม่นมและสาวใช้คนสนิทเท่านั้นที่รู้ แม้ว่านางจะไม่มีพลังธาตุ ทว่ากลับสามารถสื่อสารกับสัตว์ได้ทุกชนิด ยกเว้นจำพวกแมลง… "อรุณสวัสดิ์ เสี่ยวหลาน!" เด็กหญิงเอ่ยทักทายนกน้อยเสียงใส ก้มหน้าสำรวจคราบสีดำส่งกลิ่นคละคลุ้งบนร่างกาย "เห คราบสีดำพวกนี้มาได้อย่างไรเนี่ย เหม็นชะมัด" หรือว่านางนอนละเมอไปเล่นกับหมูอสูรในเล้ามากันนะ ร่างเล็กรีบไถลลงจากกองฟาง วิ่งตรงไปยังบ้านของตนเพื่อชำระร่างกาย "ข้ารีบกลับบ้านไ
บทที่ 3 /1 มหาธาตุหยินหยาง เสียงเจื้อยแจ้วของเสี่ยวหลานช่วยเรียกสติหวังลี่ถิงให้กลับมา ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ จ้องมองไฟธาตุสีทองและสีดำที่เพิ่งเรียกขึ้นมาในมือด้วยแววตาใคร่รู้ จนแทบมองเห็นเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นเหนือศีรษะเล็กๆ ของนาง "เสี่ยวหลาน ท่านปู่นกฮูกได้บอกหรือไม่ ว่าไฟธาตุพิเศษมีสีอะไรบ้าง ธาตุปกติข้าพอรู้ ธาตุพิเศษอย่างสายฟ้ากับน้ำแข็งก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่ธาตุแสงกับธาตุมืดนี่สิ ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน" นกกระเต็นที่ดื่มน้ำจนหายคอแห้ง รีบยืดอกของตนก่อนเอ่ยตอบเด็กหญิง ด้วยท่าทางคล้ายผู้คงแก่เรียน "อ่ะ แฮ่ม นี่ใคร นี่เสี่ยวหลานนะ เรื่องรอบคอบขอให้บอกนกกระเต็นแสนสวยอย่างข้า ไฟธาตุต้นกำเนิดในมือของถิงเอ๋อร์ก็คือธาตุแสงและธาตุมืดอย่างไรล่ะ เห็นชัดออกขนาดนี้ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ข้าไม่ได้บอกเรื่องของเจ้ากับท่านปู่นกฮูกหรือใครๆทั้งสิ้น" "ธาตุแสงและธาตุมืดอย่างนั้นหรือ?" หวังลี่พึมพำเสียงแผ่วก่อนที่… "ว้ายยย ถิงเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรไป! จวี๋จื่อช่วยที" เสี่ยวหลานร้องเสียงหลง ยามเห็นสหายมนุษย์ตัวน้อยของมันลมจับหงายท้องตึง ลงไปกองอยู่บนตั่งจากอารามตกใจเรื่องธาตุสุดพิเศษของตน แมวส้มหน้า
บทที่ 3/2 มหาธาตุหยินหยาง "โอ้ นี่มันธาตุลมเหมือนกับของฮูหยินเลยเจ้าค่ะ" ดวงตาสองคู่จดจ้องลมหมุนสีเขียวอ่อนบนฝ่ามือเล็กอย่างยินดี พวกนางดีใจที่หวังลี่ถิงมีธาตุลมเหมือนมารดา หาใช่ธาตุไฟเหมือนบุรษใจดำผู้นั้น! หวังลี่ถิงเก็บพลังของตน ก่อนขอให้แม่นมและสาวใช้ตามนางเข้าไปห้องนอน เอ่ยขอให้ทั้งสองนั่งลงบนตั่ง พลางหันไปพูดกับนกกระเต็น "เสี่ยวหลาน ช่วยดูให้ถิงเอ๋อร์ทีว่ามีใครอยู่แถวหน้าบ้านหรือด้านหลังหรือเปล่า" "ได้เลย" นกกระเต็นผละออกไปตามคำขอ ครู่หนึ่งจึงบินกลับมาหาเด็กหญิง ยามได้รับคำตอบว่ารอบบ้านปลอดคน หวังลี่ถิงจึงหันมาหาแม่นมและสาวใช้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ที่มองอย่างไรก็น่าเอ็นดูที่สุดในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสอง "แม่นมเจ้าคะ พี่ชุนอิ่งเจ้าคะ สิ่งที่ถิงเอ๋อร์กำลังจะบอก เป็นเรื่องสำคัญมากเจ้าค่ะ และถิงเอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี แต่ก่อนอื่น ถิงเอ๋อร์อยากให้พวกท่านสัญญาก่อนเจ้าค่ะว่าจะไม่ตกใจ" แม่นมชุนหงหันมาสบตากับหลานสาว คล้ายกำลังสื่อสารว่าวันนี้คุณหนูดูมีลับลมคมนัยแปลกๆ ทั้งสองพยักหน้าให้กัน ก่อนหันมาตอบรับคำของเจ้านายตัวน้อยอย่างพร้อมเพรียง "พวกเราสัญญาว่าจะไม่ตกใจเจ้า
บทที่60/2 ยุติศึกในช่วงสั้นๆ กลับมาที่แดนมนุษย์ ต้าอ๋องยังคงยืนนิ่งตาค้างขนหัวลุก เมื่อได้เห็นการช่วงชิงจิตวิญญาณสดๆร้อนๆกับตา “อัคคีนิลกาฬช่างน่าสะพรึง สมคำร่ำลือจริงๆ” จากนั้นจึงกล่าวกับรวี่เยว่ว่า ในเมื่อกระทั่งแม่ทัพใหญ่ของหวงซา ยังสามารถแฝงตัวอยู่ในสำนักกระบี่สวรรค์ นั่นก็อาจเป็นไปได้ว่า อาจมีคนของอาณาจักรหวงซาแทรกซึมเข้ามาในอาณาจักรอู๋ซางโดยที่พวกเขาไม่รู้ “เรื่องนี้ไม่ห่วงเจ้าค่ะ กลับไปค่อยเอาวิญญาณของหนานอ๋อง ออกมาทรมานรีดเค้นข้อมูลทีหลัง” นางบอกกับต้าอ๋องด้วยท่าทางผ่อนคลาย สามเค่อต่อมา สำนักกระบี่สวรรค์ก็พ่ายแพ้ อาคารต่างๆของสำนักพังพินาศไม่เหลือชิ้นดี เปลวไฟลุกโหมไปทั่วราวทะเลเพลิง ศิษย์หลายคนที่ยังรอดชีวิตยอมศิโรราบต่อกองกำลังของราชวงศ์ เวลานี้ร่างของฮั่วเฮ่อฉีย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน ดวงตาสีฟ้าพร่างพราวเปี่ยมด้วยไอสังหารน่าหวาดหวั่น ชายหนุ่มคร่าชีวิตของคนสำนักกระบี่สวรรค์ ด้วยมือตนเองไปมากกว่าหกร้อยคนในระยเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม! สร้างความตื่นตะลึงระคนหวาดผวา ให้กับคนจากสามสำนักใหญ่ไปตามๆกัน หลายคนตระหนักแล้วว่า ฉายาจอมอหังการขององค์ไท่จื่อแห่งตำหนักเทพอนันต์ ไม่ได้เ
บทที่ 60/1 ยุติศึกในช่วงสั้นๆ คำกล่าวของต้าอ๋องไม่ได้มีเพียงรวี่เยว่ที่ได้ยิน อวี้เหวินเทียนเหิงที่อยู่ห่างออกไปก็ได้ยินเช่นกัน องค์ราชารีบเก็บจิตวิญญาณทั้งแปดใส่กระบี่ แล้วแวบมาปรากฏตรงหน้าเลี่ยวคังหนานด้วยเพลิงแค้นสุมอก แรงกดดันมหาศาลกระหน่ำใส่ชายตรงหน้าจนแทบแหลกเป็นผุยผง เสียงกระดูกซี่โครงหักดังลั่นได้ยินชัดเจน พร้อมเสียงโหยหวนจากความเจ็บปวดที่ได้รับ กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ อ๊ากกกกก!!! “ที่แท้ก็เป็นเจ้าที่ทำให้นางตาย!” ภายในดวงตาคู่คมของอวี้เหวินเทียนเหิงแฝงไปด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้นเหนือคณานับ ถึงแม้ว่าตัวเขาจะมิอาจครองคู่กับนาง แต่การได้รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ ก็เปรียบเสมือนแสงเทียนที่ส่องสว่าง มอบความอบอุ่นในจิตใจให้เขาในคืนอันเหน็บหนาวและมืดมิด ในตอนที่เยว่หนิงลี่ยังมีชีวิตอยู่ มีบางครั้งที่เขาแอบลงไปจากภูผา เดินทางไปยังแดนใต้เมื่อรู้ว่านางไปที่นั่น เพื่อแอบมองนางอยู่ห่างๆให้หายคิดถึง เขาเลี่ยงที่จะไปเมืองหลวง เพราะเกรงจะเห็นภาพบาดตาบาดใจ หากแต่หลายปีมานี้ไม่มีนางอีกแล้ว และชายตรงหน้าคือคนที่พรากนางไปจากเขาและธิดา ทว่าก่อนที่อวี้เหวินเทียนเหิงจะลงมือบดขยี้อีกฝ่าย เสียง
บทที่ 59/2 รวี่เยว่แล้วข้าเล่า!!! นอกเหนือจากคนตำหนักเทวาอนธการ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ไม่มีใครเคยเห็นองค์ราชาอวี้เหวินเทียนเหิงมาก่อน ต่างจ้องมองเขาเป็นตาเดียว และมีเพียงความคิดเดียวผุดขึ้นในหัวของทุกคน “ช่างหล่อเหลาสง่างามเหลือเกิน” “ว่าที่พ่อตาของท่านรูปงามมากเลยนะฝ่าบาท ตบะอยู่ถึงระดับฮว่าเสินขั้นกลางเสียด้วย” อี้หรงเอ่ยกับฮั่วเฮ่อฉีเป็นเชิงชื่นชมอีกฝ่าย ฮั่วเฮ่อฉีพยักหน้าเห็นด้วย หากแต่ในหัวกลับเต็มไปด้วยความกังวล ‘เขาจะยอมยกรวี่เยว่ให้ข้ารึเปล่านะ แล้วถ้าหากไม่ยอมล่ะข้าจะทำอย่างไรดี…’ ทว่าก่อนที่ชายหนุ่มจะได้คิดฟุ้งซ่านต่อ สุ้มเสียงทรงอำนาจของอวี้เหวินเทียนเหิงก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ “ว่าอย่างไร ผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของสำนักกระบี่สวรรค์ จะเริ่มสู้กันได้รึยัง ข้ารอจนเริ่มเบื่อแล้ว…โอ้ เงียบไม่ยอมตอบ เช่นนั้นข้าเริ่มก่อนล่ะนะ” อวี้เหวินเทียนเหิงยกมุมปาก ปล่อยแรงกดดันกระแทกใส่กลุ่มผู้อาวุโสของสำนักกระบี่สวรรค์ ทำแต่ละคนลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้น ตบะระดับฮว่าเสินหาใช่สิ่งที่นักพรตระดับหยวนอิงจะรับมือได้ง่ายๆ กอปรกับสายเลือดมารสวรรค์ ยิ่งทำให้อวี้เหวินเทียนเหิงแข็งแกร่งกว่าเผ่ามนุษ
บทที่ 59 รวี่เยว่แล้วข้าเล่า!!! หนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักกระบี่สวรรค์ ยกมือสั่นระริกชี้มาที่บุรุษชุดดำที่ยืนเอามือไพล่หลัง จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่เห็นแล้วทำให้ขนหัวลุก ชายชรารวบรวมสติ ละล่ำละลักเอ่ยถามในสิ่งที่ตนข้องใจ “จะ เจ้า เจ้าคืออวี้เหวินเทียนเหิงอย่างนั้นรึ” “บังอาจ!!กล้าเอ่ยนามองค์ราชาอย่างไม่เคารพ สมควรตาย!” แม่ทัพเฉียนกวางตวาดใส่ชายชราในชุดสีเทาเสียงกึกก้อง ถ้อยคำของแม่ทัพเฉียน ช่วยให้ความกระจ่างแจ้งแก่คนสำนักกระบี่สวรรค์ ในฉับพลันเสียงระฆังเตือนภัยจากหอสูง ของศิษย์ฝ่ายในได้ดังขึ้นตามมา พร้อมเสียงประกาศก้องทรงพลังของผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของสำนัก “ศิษย์สำนักกระบี่สวรรค์ทุกคน เตรียมพร้อมขับไล่ศัตรูที่มารุกราน ปกป้องศักดิ์ศรีสำนักอย่ายอมให้ใครเหยียบย่ำได้เด็ดขาด!!! สิ้นเสียงประกาศ ศิษย์ทุกคนทั้งฝ่ายนอกฝ่ายใน ต่างรีบขี่กระบี่และมารวมตัวกันอยู่บนอากาศเหนือที่ตั้งสำนัก บางส่วนยืนคุมเชิงอยู่บนภาคพื้น เมื่อคาดคะเนดู จำนวนศิษย์ของสำนัก รวมถึงผู้ที่ไม่ใช่คนของสำนักน่าจะมีไม่ต่ำกว่าสามพันคน บรรดาผู้อาวุโสอีกหลายคนที่กำลังกักตนอยู่ในหอบำเพ็ญ รีบออกมาจากกักตนทันที หลังได้ย
บทที่ 58/2 เริ่มต้นการต่อสู้ เมื่อเห็นว่าลูกธนูบนอากาศทั้งหมดหายไป รวมถึงกลุ่มคนที่เป็นคนยิงพวกมัน ถูกสุดหล่อของนางจัดการเกลี้ยงไม่เหลือซาก รวี่เยว่จึงหันมาพยักหน้าก่อนปลดเขตแดนออก อวี้เหวินเทียนหยาหิ้วหลังคอเสื้อของสือเซินแวบหายไปจากตรงนั้น ฮั่วเฮ่อฉีเหินขึ้นไปบนอากาศ ปล่อยพลังธาตุเหมันต์สร้างเกล็ดหิมะจำนวนมากมายมาแทนที่ลูกธนูทั้งหมด ทันทีที่รวี่เยว่ปลดเขตแดนแห่งมิติเวลา ทุกสิ่งรอบกายกลับมาเคลื่อนไหวเป็นปกติอีกครั้ง เสียงกรีดร้องและความโกลาหลทั้งหมดหยุดลง เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตกลงมาคือเกล็ดหิมะ “ที่แท้ก็เพียงเกล็ดหิมะนี่เอง ตกใจหมดนึกว่าถูกคนร้ายลอบโจมตีเสียอีก ฮ่าๆๆๆ” “นั่นสิ พวกเราเข้าใจผิดไปนี่เอง” “มีทั้งคนตำหนักเทวาอนธการและตำหนักเทพอนันต์อยู่ ใครมันจะกล้ามากำแหง ข้าลืมไปเสียสนิท ฮ่ะๆๆๆ” ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะอย่างรื่นเริงของประชาชนบนอัฒจันทร์ดังขึ้น ฮ่องเต้หวงฝู่ฮุ่ยหมิ่นพลันพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่าคนจากสำนักกระบี่สวรรค์กลับหน้าถอดสี คาดไม่ถึงว่าที่จู่ๆลูกธนูทั้งหมดกลับกลายเป็นเกล็ดหิมะแทน “มันกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร เอ๊ะ! แล้วท่านเจ้าสำนักหายไปไหน! มิใช่ว่ายืน
บทที่ 58/1 เริ่มต้นการต่อสู้ อึดใจต่อมา การต่อสู้ฟาดฟันของคู่ชิงชนะเลิศก็เริ่มต้น รวี่เยว่ดวงตาวาววับอย่างตื่นเต้น หวนรำลึกถึงวันที่นางอยู่บนสนามประลอง ในรอบชิงชนะเลิศเมื่อหกปีก่อนในเมืองลวี่เฟิง ฮั่วเฮ่อฉีคล้ายจะอ่านความคิดของหญิงสาวออก จึงลุกขึ้นเดินมากระซิบข้างหูเล็กเสียงแหบพร่าว่า “ในวันนั้น รวี่เยว่น้อยของข้าแสดงฝีมือได้ยอดเยี่ยมจริงๆ กระบี่วาโยพวกนั้นร้ายกาจมาก เตะโด่งเจ้าเด็กนั่นกระเด็นตกเวทีไปเลย ข้ายังจำได้แม่น” ลมหายใจอุ่นที่สัมผัสข้างใบหูขาว ทำหญิงสาวหน้าร้อนวาบ รวี่เยว่ยกสองมือประกบแก้มอย่างเก้อเขิน แอบรำพึงในใจว่า ‘ไม่น่าเชื่อว่าองค์ไท่จื่อยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ด้วย’ “อะ แฮ่ม! นู่นๆ คู่ชิงชนะเลิศอยู่ตรงหน้านู้น ช่วยสนใจหน่อย เรื่องเกี้ยวพานรวี่เยว่ องค์ไท่จื่อรอให้เสร็จเรื่องวันนี้ก่อนก็ได้” เสียงทุ้มต่ำของพยัคฆ์อนธการดังขึ้น ขัดจังหวะเกี้ยวพานของฮั่วเฮ่อฉี พรืดดด!! ราชันย์หมาป่าพระจันทร์เงินหลุดขำ ทว่ารีบยกอุ้งเท้าปิดปากของตนแทบไม่ทัน ยามได้เห็นสายตาของฮั่วเฮ่อฉี ‘อย่ากัดหูข้าตอนนี้นะ! คนเยอะอายเขา ไว้ไปกัดตอนกลับคฤหาสน์ก็แล้วกัน‘ อี้หรงสื่อสารผ่านจิต จะใ
บทที่ 57/2 ข้าขอเป็นคนเลวสักครั้งในชีวิตเถิด เหวินไป๋เหลียนคนรักของเขาที่งดงามสดใสราวดอกทานตะวัน เทียบไม่ได้เลยกับความงามสง่าโดดเด่น ประหนึ่งดอกหมู่ตานตรงหน้า จากที่คิดว่าจะออกไปจากห้องหอทันทีหลังเปิดผ้าคลุมหน้าสาว หวังเหลียงกลับเปลี่ยนใจ เดินไปรินสุรามงคลมายื่นให้เยว่หนิงลี่แทน และใช้เวลาอยู่กับนางทั้งคืน ทว่าหลังจากนั้นเพียงเจ็ดวัน หวังเหลียงก็พาเหวินไป๋เหลียนเข้าจวน นับเป็นการหยามเกียรติฮูหยินเอกเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเยว่หนิงลี่กล้บไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นางสงบนิ่งเยือกเย็นราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับตน กลับเป็นชุนหมัวมัวและหลานสาวนามชุนอิ่งที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน ครึ่งปีต่อมาหวังเหลียงก็พาอนุอีกคนเข้าจวน เหวินไป๋เหลียนแล่นมาหาเยว่หนิงลี่ให้จัดการเรื่องนี้ ทว่าเยว่หนิงลี่ที่กำลังตั้งครรภ์ได้หกเดือนกลับนิ่งเฉยไม่สนใจ ทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางอีกนั่นแหละ เหวินไป๋เหลียนที่กำลังตั้งครรภ์เช่นกันยิ่งเดือดดาลกว่าเดิม เพราะไม่สามารถยุแยงให้อีกฝ่ายออกโรงได้ “นางเป็นก้อนหินหรืออย่างไรกัน ถึงได้เย็นชาไร้อารมณ์เยี่ยงนี้ น่าโมโหที่สุด! หวังเหลียงนะหวังเหลียง!” เกือบสี่เดือนห
บทที่ 57 1 ข้าขอเป็นคนเลวสักครั้งในชีวิตเถิด @เรื่องราวบางส่วนในบทนี้ค่อนข้างอ่อนไหว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ สิบหกปีก่อน เมืองเทียนหวง อาณาจักรอู๋ซาง นับตั้งแต่บอกลากับอวี้เหวินเทียนเหิง เยว่หนิงลี่กลายเป็นคนเงียบขรึม ทั้งที่ปกติหญิงสาวเป็นคนร่าเริงมีชีวิตชีวาราวลูกกวางน้อยวิ่งเล่นในทุ่งหญ้า แม้แต่ต้าอ๋องยังรู้สึกประหลาดใจ ครั้นถามไถ่หญิงสาวเพียงคลี่ยิ้มบาง และกล่าวว่าอาจเป็นเพราะต้องจากพี่น้องทหารร่วมรบไปอยู่เมืองหลวงจึงรู้สึกใจหาย หนึ่งเดือนก่อนงานแต่ง ค่ำคืนนี้เยว่หนิงลี่ออกมาเดินเล่นเตร็ดเตร่กับชุนหมัวมัวเพราะนอนไม่หล้บ ครั้นมองเห็นหอสุราที่ตนเคยมากับอวี้เหวินเทียนเหิง หญิงสาวก้าวเท้าเข้าไปด้านในอย่างไม่รู้ตัวราวต้องมนตร์ จากนั้นจึงถามหาห้องส่วนตัวที่เคยมา เสี่ยวเอ้อร์เดินนำขึ้นบันไดไป ทว่าระหว่างเดินผ่านห้องส่วนตัวอีกห้อง เสียงสนทนาของบุรุษกลุ่มหนึ่งดังลอดออกมา “นี่ หวังเหลียง เรื่องที่เจ้ากำลังจะแต่งงานกับรองแม่ทัพเยว่หนิงลี่จากแดนใต้ผู้นั้น ไม่ทำให้แม่นางเหวินไป๋เหลียนยอดดวงใจของเจ้าเสียใจแย่รึ” เสียงของบุรุษคนหนึ่งเอ่ยถามบุรุษอีกคนที่ชื่อ หวังเหลียง “นั่น
บทที่ 56/2 รักแรกของอวี้เหวินเทียนเหิง อวี้เหวินเทียนหยาได้แต่ทอดถอนใจ หันไปถามความเห็นของเยว่หนิงลี่ ด้วยความที่หญิงสาวเติบโตมากับบุรุษ จึงทำให้นางมีนิสัยใจกว้างและจริงใจเป็นทุนเดิม เมื่อเห็นว่าคนตำหนักเทวาอนธการ มีใจอยากชื่นชมความมีชีวิตชีวาของเมืองหลวงเผ่ามนุษย์ จึงตบปากรับคำอย่างเต็มใจ เพราะอย่างไรเสีย นางก็ชอบออกมาเดินเล่นเพื่อสอดส่องความปลอดภัยของชาวเมืองยามค่ำคืนเป็นปกติอยู่แล้ว ผูกมิตรไว้ดีกว่าเป็นศัตรู นั้นคือคำที่ต้าอ๋องผู้เฒ่าสั่งสอนนางมาตั้งแต่เด็ก “ได้เจ้าค่ะ ข้ายินดีช่วยพาพี่ชายองครักษ์เที่ยวชมเมืองหลวงยามค่ำคืน” เสียงสดใสจริงใจสะท้อนไปถึงจิตใจขององค์ราชาหนุ่ม จนก้อนเนื้อในอกเต้นแรงไม่เป็นระส่ำ “ถิงซี เรียกข้าว่าถิงซีเถิด” อวี้เหวินเทียนเหิงบอกชื่อกลางของตน ที่ปกติมีเพียงญาติพี่น้องเท่านั้นที่เอ่ยเรียกนามนี้ แค่กก!! ผู้เป็นน้องสำลักน้ำลายรอบที่สอง นับจากคืนนั้น ถิงซี ก็จะมารอพบเยว่หนิงลี่ที่สะพานหิน ซึ่งอยู่ห่างจากร้านอาหารทะเลไปราวครึ่งลี้ทุกคืน แม้ฝนจะตกเขาก็จะกางร่มมายืนรอนางไม่เคยขาด หลังจากผ่านไปสองอาทิตย์ ในที่สุดชายหนุ่มก็มีความกล้า เอ่ยปากชวนนางออกมาเที่ย