ช่วงเวลาสองเดือนของการฝึกอบรมก่อนเริ่มทำงานผ่านพ้นไปในที่สุด กว่าที่ศศิวลัยจะได้สวมเครื่องแบบพนักงานต้อนรับขึ้นไปดูแลผู้โดยสารบนเครื่องบินก็ต้องผ่านการอบรมหลายขั้นตอน แทบไม่ต่างกับการกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยใหม่อีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาๆ อย่างการอุ่นอาหาร เสิร์ฟเครื่องดื่ม การยิ้มแย้มพูดคุยด้วยมารยาท ไปจนถึงเรื่องที่หญิงสาวเองก็คาดไม่ถึง เช่น การรับผิดชอบความปลอดภัยของผู้โดยสาร การปฐมพยาบาล ทำ CPR ปั๊มหัวใจ ห้ามเลือด การแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าเมื่อพบกับปัญหาจากผู้โดยสาร ต้องเรียนรู้ชนิดของเครื่องบินรุ่นต่างๆ ที่บริษัทมีการใช้งานอยู่ เพื่อให้รู้ถึงตำแหน่งของประตูทางออกและอุปกรณ์ฉุกเฉินต่างๆ หากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด เป็นต้น
‘เทรนนี’ หรือพนักงานต้อนรับฝึกหัดจะเริ่มบินครั้งแรกๆ ด้วยเที่ยวบินระยะสั้นอย่างเที่ยวบินภายในประเทศก่อน โดยแต่ละเที่ยวบินจะมีพนักงานเต็มตัวคอยสอนงานอยู่ด้วยหนึ่งถึงสองคน ไม่นับรวมหัวหน้าพนักงานที่เรียกว่า ‘เพอร์เซอร์’ หรือมีระดับผู้จัดการอยู่ด้วยอีกหนึ่งคนเพื่อคอยดูแลในแต่ละเที่ยวบิน ซึ่งในหลายๆ เที่ยวบินก็อาจต้องมี ‘สจ๊วต’ หรือพนักงานต้อนรับผู้โดยสารชายอีกอย่างน้อยหนึ่งคน เพื่ออำนวยความสะดวกในส่วนที่ผู้หญิงทำได้ลำบาก เช่น การยกสัมภาระหนัก การให้บริการพระภิกษุสงฆ์ หรือแม้แต่การควบคุมตัวผู้โดยสารที่เป็นอันตราย
เช่นเดียวกับเที่ยวบินแรกของศศิวลัย เธอถูกจัดให้บริการในเที่ยวบินกรุงเทพฯ-ภูเก็ต ร่วมกับพนักงานรุ่นพี่ในบริษัท ซึ่งหญิงสาวก็รู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะทำตัวไม่ถูกตั้งแต่อยู่ในห้องประชุมลูกเรือ จนกระทั่งขึ้นไปเตรียมตัวตรวจสอบจำนวนสิ่งของสำหรับให้บริการบนเครื่อง โดยไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่น้อยว่ามีสายตาสองคู่คอยจับจ้องเธออยู่ด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป
“เป็นยังไงบ้าง” เสียงทุ้มละมุนหูที่ดังขึ้นด้านข้าง ทำให้ศศิวลัยซึ่งกำลังย่อตัวลงนั่งนับกล่องอาหารว่างและจัดวางไว้ในตู้เก็บของชั้นล่างของ ‘ห้องครัว’ ต้องตกใจจนเกือบปล่อยกล่องอาหารเหล่านั้นหลุดมือ
“ผู้จัดการ” เธอหันไปมองหน้าเขาซึ่งควรจะประจำอยู่ด้านหน้าเครื่องด้วยความตื่นตระหนก
“อย่าเรียกกันเต็มยศขนาดนั้นสิ เรียกพี่ว่าพี่ภูเฉยๆ ก็พอแล้ว” ภูรินทร์ ผู้จัดการหนุ่มวัยสามสิบสองยิ้มพราย พลางยกมือข้างหนึ่งลูบต้นแขนเธอเบาๆ “ชื่อศศิวลัยใช่ไหม เราน่ะ...”
“เอ่อ... ค่ะ”
“บินครั้งแรกไม่ต้องเกร็งมากหรอก ทำตัวให้สบายๆ ก็พอ”
“ค่ะ พี่ภูรินทร์...” หญิงสาวอึกอัก พยักหน้ารับคำ
สายตาศศิวลัยเหลือบมองมือที่ยังลูบไล้อยู่อย่างไม่ชอบใจนัก แต่ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา เพราะตัวเองก็เป็นแค่ลูกเรือน้องใหม่ พยายามคิดว่ากิริยาไม่เหมาะสมระหว่างชายหญิงที่ไม่สนิทสนมกันอย่างนี้ เป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น ซึ่งดูเหมือนว่าภูรินทร์เองจะรับรู้ถึงท่าทางอึดอัดของหญิงสาว เขาจึงเปลี่ยนเป็นตบไหล่เธอเป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนจะชักมือกลับไปพร้อมบอกด้วยรอยยิ้ม
“ค่อยๆ เรียนรู้งานจากลดาวัลย์ให้ดีก็แล้วกันนะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกพี่ ไม่ต้องเกรงใจ...”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะพี่ภู เรื่องในครัวเนี่ยให้ลดาจัดการเองค่ะ พี่ภูกลับไปดูหน้าเครื่องเถอะนะคะ” ยังไม่ทันที่ภูรินทร์จะพูดจบ จู่ๆ อีกเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาอย่างนึกรำคาญใจ
ทั้งสองหันไปมองก็เห็นหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ผู้ทำหน้าที่เป็น ‘เทรนเนอร์’ ให้แก่น้องใหม่ในเที่ยวบินนี้ กำลังเดินกรีดกรายผ่านประตูม่านซึ่งกั้นระหว่างห้องครัวกับส่วนของที่นั่งผู้โดยสารเข้ามา ด้านหลังของเธอยังมีชายหนุ่มร่างสูงเพรียว ท่าทางสำรวย เดินตามมาด้วยอีกคน
ผู้จัดการหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ ไม่ได้ถือสาอะไรกับน้ำเสียงของลดาวัลย์ สองมือขยับสาบเสื้อสูทที่สวมอยู่ให้เข้าที่ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ศศิวลัยเป็นนัยว่าขอตัวก่อน
“โอเค ถ้าอย่างนั้นก็ฝากลดากับเคิร์กช่วยสอนน้องเขาด้วยก็แล้วกัน” พูดพลางเดินเบี่ยงตัวผ่านคนทั้งคู่ออกไปโดยแทบไม่มองหน้า
“ศศิวลัยใช่ไหม เราชื่อเคิร์กนะ” เกริกสยาม พนักงานต้อนรับหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลา ยิ้มให้ขณะแนะนำตัวเองในฐานะเพื่อนร่วมงาน
“เรียกศิว่าศิเฉยๆ ก็ได้ค่ะ พี่เคิร์ก” หญิงสาวยิ้มตอบ
เห็นรอยยิ้มของเทรนนีแล้ว เทรนเนอร์สาวก็ยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตาไปกันใหญ่
“เอ้า! มัวแต่แนะนำตัวกันอยู่นั่นแหละค่ะ วันนี้เช็กไอเท็มไม่เสร็จกันพอดี... ที่ให้ขึ้นมาเช็กจำนวนของว่างกับเครื่องดื่มน่ะ เสร็จหรือยังคะ ผู้โดยสารจะบรอดดิงอยู่แล้วนะ...” ลดาวัลย์ทำตาขวาง ถึงจะมีหางเสียงคะขา แต่ไม่ว่าใครฟังคำพูดและน้ำเสียงของเธอก็เข้าใจได้ทันที ว่าเป็นการต่อว่าอย่างไม่ไว้หน้ากันแม้แต่น้อย
ศศิวลัยถึงกับหน้าเสียเมื่อเห็นปฏิกิริยาจากรุ่นพี่ ได้แต่ฝืนตอบไปในฐานะของพนักงานน้องใหม่ที่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่ง
“เอ่อ... น้ำอัดลมกระป๋องกับของว่างครบตามลิสต์แล้วค่ะ แต่ถั่วถุงศิยังไม่ได้เริ่มนับเลย กำลังจะรีบจัดการนะคะ พี่ลดา...”
“โอ๊ย! ตายแล้ว งานง่ายๆ แค่นี้จะใช้เวลาเป็นวันเลยใช่ไหมคะ! ไม่ใช่ว่าที่ยังไม่เสร็จก็เพราะว่ามัวแต่อ่อย ’เจอร์ อยู่หรอกนะคะ” เธอหมายถึง ‘อินไฟลต์ เมเนเจอร์’ หรือผู้จัดการนั่นเอง
“ไม่ใช่นะคะ พี่ลดา ศิไม่ได้...” หญิงสาวถึงกับหน้าชาไปวูบหนึ่ง
เกริกสยามเองก็พลอยตะลึงจนตาค้างไปด้วย ใครจะคิดว่าลดาวัลย์กล้าพูดจารุนแรงขนาดนี้กับรุ่นน้องทั้งที่เพิ่งจะร่วมงานด้วยกันเป็นครั้งแรก เขาจึงรีบหาทางคลี่คลายสถานการณ์เท่าที่จะนึกออก
“พี่ลดาไปสแตนด์บายกับพี่ภูหน้าเครื่องเถอะ... เดี๋ยวเคิร์กช่วยเด็กใหม่เช็กของเอง”
รุ่นพี่ของศศิวลัยปรายตามองเธออีกครั้ง เหยียดริมฝีปากน้อยๆ แล้วจึงทำทีเป็นกำชับ
“รีบๆ เข้าก็แล้วกันค่ะ เสร็จแล้วก็พาศศิวลัยออกไปเช็กก๊อบปี้หนังสือพิมพ์ด้วยนะคะ” พูดจบก็หยิบตลับแป้งชาแนลออกมาจากกระเป๋าถือยี่ห้อเดียวกัน ก่อนจะเปิดเพื่อส่องกระจกสำรวจใบหน้าตัวเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ลดาวัลย์ค่อยๆ กรีดปลายนิ้วเช็ดรอยลิปสติกสีแดงสดที่เลยขอบริมฝีปากออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงยกพัฟฟ์เนื้อเนียนละเอียดที่วางอยู่ในตลับขึ้นมากดเบาๆ เพื่อกลบรอยเปื้อนของลิปสติกอีกสองสามครั้ง เมื่อมั่นใจว่าใบหน้าของเธอสวยสมบูรณ์แบบแล้ว พนักงานต้อนรับสาวรุ่นพี่ก็เก็บอุปกรณ์เสริมความงามใส่คืนลงในกระเป๋า เดินเชิดหน้าออกไปจากห้องครัวทันที
ข่าวการจัดงานแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่ระหว่างหม่อมราชวงศ์พิษณุนเรศวร์ โขมพัสตร์ กับซินเดอเรลลาสาวเจ้าของตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์คนล่าสุด ของ กลามูร์ ไดมอนด์ สร้างความตกตะลึงให้กับบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคม ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารย์มากมายหลายทางบ้างก็ว่าเพื่อกลบข่าวอื้อฉาวเรื่องการยกเลิกงานแต่งงานของหม่อมราชวงศ์หญิงรัตน์นเรศวร์เมื่อหลายเดือนก่อน บ้างก็ว่าเป็นเคล็ดล้างอาถรรพ์แบรนด์แอมบาสเดอร์ ตำแหน่งสำคัญของบริษัทที่ไม่เคยมีใครเป็นได้นานเกินสามเดือนบ้างก็เจาะประเด็นเรื่องข่าวลือที่ว่าเจ้าสาวท้องก่อนแต่งแต่ไม่ว่าจะเป็นข่าวในแง่ไหนก็ไม่มีผลกระทบใดๆ กับเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงาน ซึ่งได้กลายเป็นบุคคลที่มีความสุขมากที่สุดในค่ำคืนนี้ไปเสียแล้วบนขั้นบันไดด้านหน้าของประตูวังโขมพัสตร์ ศศิวลัยกำลังยืนหันหลังพร้อมกับถือช่อดอกไม้ขนาดใหญ่อยู่ในมือทั้งสองข้าง บนใบหน้าที่อ่อนหวานของผู้เป็นเจ้าสาว ถูกแต่งแต้มอย่างเบาบาง เป็นธรรมชาติ อย่างที่สามีหมาดๆ ของเธอชอบ ซึ่งก็ช่วยขับเน้นเสน่ห์และความงดงามให้ยิ่งเปล่งประกายในคืนที่สำคัญที่สุดในชีวิตลูกผู้หญิงหญิงสาวอยู่ในชุดผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสสีครีม ตัดเย็บเป็นชุ
“คุณนี่มันรั้นตลอดเลยนะ...” หม่อมราชวงศ์หนุ่มขมวดคิ้วมุ่น แต่ใบหน้าก็ยังประดับด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้ว ว่าทุกครั้งที่อีกฝ่ายโกรธเคืองคำพูดของเขา มันเป็นเพราะอะไร “ที่ผมบอกว่ารับผิดชอบน่ะ ก็เพราะลูกเมียเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ชายอยู่แล้ว คุณอยากได้แต่ความรัก แต่ไม่ต้องการความรับผิดชอบเลยเหรอ”“ฉันก็ไม่ต้องการจริงๆ นี่คะ” หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น เบือนหน้าไปทางอื่น แต่ไม่ยอมที่จะสบตาเขา“คุณบอกว่าคุณรักผม รักมาตั้งแต่ไปยุโรปด้วยกัน แต่ทำไมพอผมพยายามแสดงความรักให้คุณรับรู้ คุณกลับปฏิเสธผมตลอด คุณเป็นซาดิสต์เหรอครับ ศิ หือ...”“คะ...ใครบอกคุณ คุณไปฟังมาจากไหนว่าฉันรักคุณ ไม่จริงนะคะ ไม่ใช่!”ได้ยินคำพูดของคุณชายหนุ่ม ดวงตาของศศิวลัยก็เบิกโพลง อ้าปากค้าง หันไปส่ายศีรษะปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย รีบบอกปัดเสียงตะกุกตะกัก ขณะเดียวกันก็รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งใบหน้า แทบอยากจะมุดดินหนีไปตรงนั้น ตั้งแต่อีกฝ่ายยังพูดไม่ทันจบประโยค“ก็คุณเขียนบอกเอาไว้ในจดหมายยังไงล่ะครับ”“คุณโกหก! จดหมายนั่นฉันเขียนกับมือเอง ทำไมจะจำไม่ได้!” เธอแหวกลับพิษณุนเณศวร์หัวเราะหึๆ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋
การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ตามลำพังไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างศศิวลัย เพราะความเหงาและความว้าเหว่ เป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่พร้อมจะเข้าจู่โจมมนุษย์ทุกคน ในช่วงเวลาที่อ่อนไหวและเปราะบางที่สุดเดิมทีหญิงสาวอยู่ร่วมกับมารดาและผู้เป็นยายจนเคยชิน แต่เพราะความจำเป็นทำให้ต้องตัดสินใจโง่ๆ ออกมาเผชิญโชคตามลำพัง โดยมีสิ่งยึดเหนี่ยวเพียงอย่างเดียวคือลูกในท้อง แม้จะเคยเข้มแข็งมาตลอด ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากจะมีคืนใดสักคืนหนึ่งในแต่ละสัปดาห์ ที่เธอจะต้องนอนร้องไห้เพราะความคิดถึงบ้านเช่นเดียวกับคืนนี้ หลังจากได้บังเอิญพบเข้ากับอลงกต ตะกอนความรู้สึกหลายๆ อย่างที่ทับถมอยู่ในจิตใจมาตลอดหลายเดือน ก็เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็น ขุดคุ้ย แกว่งกวน จนพากันลอยฟุ้งขึ้นมารบกวนจิตใจเธออีกครั้งโดยเฉพาะเรื่องของหม่อมราชวงศ์พิษณุนเรศวร์...เพราะอลงกตคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง เป็นคนเชื่อมโยงให้คุณชายหนุ่มมาพบเธอ ทำให้เธอรักเขา พลัดพรากจากเขา ในขณะเดียวกันก็ได้สิ่งล้ำค่าจากเขามาเป็นพยานของความรัก ศศิวลัยจึงอดไม่ได้ที่จะนอนน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวอย่างนี้บ่อยครั้งเหลือเกินที่หญิงสาวนึกเกลียดตัวเองนักทั้งๆ ที่เธ
สวัสดีค่ะ คุณชายพิษณุนเรศวร์ก่อนอื่นต้องขอบคุณและขอโทษพนักงานของ กลามูร์ ไดมอนด์ ทุกคน ที่ให้การดูแลฉันอย่างดีมาตลอด แต่ฉันมีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องทิ้งงานแล้วหายตัวไปอย่างนี้...นั่นก็เพราะความผิดของคุณนั่นแหละค่ะ ไอ้คุณชายเฮงซวย! ขอบคุณคุณมากนะคะ ไอ้คนบ้า ที่จู่ๆ ก็เอาไข้แตงโมมาฝาก!เพราะฉะนั้นคุณก็รับหน้าพวกผู้บริหารเอาเองก็แล้วกัน ส่วนเงินห้าล้านที่ให้ฉันมาแล้ว ฉันขอยืมไปใช้ก่อนนะคะ ถือเสียว่าเป็นเงินค่าเลี้ยงลูกคุณ ไว้ฉันมีเมื่อไหร่จะส่งมาคืนให้เองรักศศิวลัยป.ล. คุณไม่ต้องตามหาฉันหรอกนะคะ ฉันอยู่ไม่เป็นหลักแหล่งป.ล.2 หาเวลาทำบุญบริษัทบ้างเถอะค่ะ รู้สึกว่าตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ของบริษัทคุณ มันมีอาถรรพ์ยังไงไม่รู้ป.ล.3 ขอบคุณสำหรับทริปยุโรปค่ะ คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นั่นร่วมกับคุณ ฉันจะจดจำมันไว้ในความทรงจำตลอดไปจดหมายที่เต็มไปด้วยร่องรอยยับยู่ยี่จากการถูกอ่านซ้ำไปซ้ำมามากกว่ายี่สิบครั้ง ถูกพับสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตอย่างบรรจง ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะวางทาบลงไปราวกับต้องการให้มันรับรู้ถึงจังหวะหัวใจของเขาในเวลานี้ผ่านไปสามวันแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่หม่อมรา
ขณะที่เจ้าของบริษัทกำลังนั่งคลื่นไส้อาเจียนอยู่ในห้องทำงานที่ชั้นบนสุด ภายในห้องน้ำหญิงชั้นล่างสุดของอาคารบริษัท กลามูร์ ไดมอนด์ คนที่ไม่มีอาการใดๆ เลยกลับนั่งอยู่บนฝาชักโครก รอให้เวลาแต่ละนาทีผ่านไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอันที่จริง คนที่เซ็นสัญญาว่าจ้างชั่วคราวในตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ หรือ ‘ตัวแทนของบริษัท’ อย่างศศิวลัย ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัททุกวันเหมือนพนักงานประจำ แต่เนื่องจากวันนี้เธอมีนัดประชุมกับฝ่ายการตลาด เรื่องที่จะต้องถ่ายทำบทสัมภาษณ์พิเศษเพื่อโปรโมตกิจกรรมของบริษัท จึงเลี่ยงไม่ได้หากในขณะที่กำลังเดินทางออกจากบ้าน หญิงสาวก็บังเอิญนึกขึ้นได้ว่ารอบเดือนของเธอน่าจะมาถึงแล้ว แต่ยังไม่เห็นวี่แววใดๆ จึงตัดสินใจแวะซื้อแบบทดสอบการตั้งครรภ์จากร้านขายยาระหว่างทาง และความกังวลใจก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะใช้งานมันทันทีความจริงเธอเองก็นึกเอะใจตั้งแต่เดือนที่แล้ว เมื่อประจำเดือนที่เคยมาเป็นปกติอยู่เสมอเกิดขาดหายไปดื้อๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์มองโลกในแง่ดี เพราะในช่วงที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ก็มีบ้างบางครั้งที่ประจำเดือนมาๆ ขาดๆ ซึ่งครั้งนี้เธอก็ได้แต่ภาวนาว่าจะเป็นเช่นเดียวกันศศิวลัยไม่กล้าแ
การเตรียมพร้อมเพื่อจะเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของบริษัท กลามูร์ ไดมอนด์ เริ่มต้นตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ศศิวลัยเซ็นสัญญาเสร็จสิ้น โดยที่เธอจะต้องเข้าคอร์สเสริมความงาม เพื่อดูแลทั้งเรื่องผิวพรรณ รูปร่าง ทรงผม เป็นประจำทุกสัปดาห์ นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังต้องเข้าคอร์สพัฒนาบุคลิกภาพ เรียนรู้วิธีการแต่งหน้าอย่างมืออาชีพ ศึกษาถึงข้อมูลของเพชรและพลอยชนิดต่างๆ พอสังเขป รวมถึงประวัติความเป็นมาของบริษัท วิธีตอบคำถามสื่อ และการประชาสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานหลังจากผ่านสัปดาห์ที่สามไปแล้ว ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่ และการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ก็เริ่มชัดเจนขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการถ่ายภาพนิ่งเพื่อนำไปใช้ทำคัตเอาต์ โบรชัวร์ และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ สำหรับลงโฆษณาในนิตยสารหรือโซเชียลมีเดีย แต่ก็ยังไม่มีการนัดถ่ายทำสื่อที่เป็นภาพเคลื่อนไหวตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หม่อมราชวงศ์พิษณุนเรศวร์ก็ยังรักษาสัญญา ทำตามข้อแม้ที่หญิงสาวยื่นไว้อย่างเคร่งครัด จนบางครั้งเธอก็ยังเป็นฝ่ายรู้สึกสงสารเขาเสียเองเพราะจากภาพในความทรงจำครั้งที่เขาล่อลวงเธอไปถึงยุโรป คุณชายหนุ่มมักร่าเริงและมีรอยยิ้มอยู่เสมอ แม้ในเวลาที่กำลังวางแผนร้าย