“แม่คะ!! ศิสอบผ่านแล้วค่ะ ศิได้เป็นแอร์โฮสเตสแล้ว!!” จู่ๆ เสียงร้องด้วยความดีใจก็ดังมาจากห้องรับแขกด้านในตัวบ้าน... ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างสูงโปร่ง เพรียวระหงของหญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดปี ก็วิ่งพรวดพราดออกมาจากประตูมุ้งลวดกรอบไม้ของบ้านสองชั้นทรงโบราณที่ถูกปลูกสร้างมานานเกือบห้าสิบปีแล้ว
หญิงวัยกลางคนร่างท้วม ผู้เป็นแม่ ซึ่งกำลังถือสายยางรดน้ำแปลงดอกไม้ในบริเวณสนามหญ้าเล็กๆ หน้าบ้าน ต้องหันไปมองคนที่กำลังกระโดดโลดเต้นเข้ามาหาตัวเองอย่างขัดเคืองใจ
“อะไรกัน ศศิวลัย... แม่สอนกี่ครั้งแล้วว่าเป็นสาวเป็นนางไม่ให้ทำตัวกระโดกกระเดก ไม่ให้พูดจาโหวกเหวกโวยวาย คนผ่านไปใครมาได้ยินเข้า จะหาว่าผู้ใหญ่บ้านนี้ไม่อบรม” อีกฝ่ายพูดตำหนิ
“แม่ก็... ศิขอโทษค่ะ ก็ศิกำลังดีใจนี่นา” หญิงสาวทำเสียงอ่อย ปั้นหน้าเจื่อน พลางเดินเข้าไปกอดเอวมารดา ทำงอนง้อเอาใจ แต่สุดท้ายก็ทนเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ต้องร้องบอกซ้ำอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น
“ศิได้เป็นแอร์โฮสเตสแล้วล่ะค่ะ บริษัทที่ศิไปสอบสัมภาษณ์มาเมื่ออาทิตย์ก่อน เขาโทรมาแจ้งเมื่อกี้นี้เอง วันมะรืนนี้ศิก็จะได้เข้าไปอบรมที่สำนักงานใหญ่แล้ว แม่ดีใจกับศิหน่อยสิคะ...”
พรนภาถอนหายใจเบาๆ หันไปมองหน้าบุตรสาวแล้วยิ้มให้อย่างเสียไม่ได้
“ดีใจก็ได้จ้ะ เอ้า! ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว...” พูดจบก็ยัดสายยางสีเขียวคร่ำคร่าใส่ในมือบุตรสาว “รดน้ำต้นไม้ให้แม่ด้วย แม่จะได้ไปทำกับข้าว นี่ก็จะเย็นแล้ว เดี๋ยวคุณยายบ่นหิวอีก”
“ได้ค่ะแม่” ศศิวลัยรับคำอย่างร่าเริงแข็งขัน “แล้วเย็นนี้แม่จะทำอะไรเหรอคะ”
“ว่าจะเก็บดอกขจรหลังบ้านไปทำแกงจืดไข่น้ำให้คุณยายสักหน่อยน่ะจ้ะ อีกอย่างก็คงเป็นหมูสับทอดกระเทียมของโปรดเรานั่นแหละ แม่หมักหมูเอาไว้แล้วในตู้เย็น...”
“ถ้าอย่างนั้นแม่ไปทอดหมูก่อนเลยก็ได้นะคะ เดี๋ยวรดน้ำต้นไม้เสร็จแล้ว ศิจะเก็บดอกขจรให้เอง ศิจะได้ช่วยแม่ทำแกงจืดด้วย...”
ได้ยินแล้วผู้เป็นแม่ถึงกับต้องหันมามองตาโพลง รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นการใหญ่
“ไม่เอานะ ไม่เอา... ไม่ต้องมาช่วยแม่เลย แม่ไม่อยากให้คุณยายท้องเสีย... ไว้รอให้ลูกแยกน้ำตาลกับเกลือได้ก่อนเถอะ ค่อยคิดจะมาช่วยแม่”
แน่ล่ะ! พรนภายังจำได้ดีถึงผัดเปรี้ยวหวานมื้อเย็นเมื่อวานซืน ที่ลูกสาวเธอพยายามจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นผัดแตงกวากับสับปะรดคั่วเกลือ
เห็นท่าทีหวาดระแวงอย่างเป็นจริงเป็นจังของพรนภาแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าศศิวลัยก็เจื่อนหายไปในชั่วพริบตา
“แหม... แม่ก็อย่าซ้ำเติมศินักสิคะ ศิพลาดแค่ครั้งสองครั้งเอง ถ้าไม่ให้โอกาสศิได้ฝึกมือบ่อยๆ แล้วเมื่อไหร่ศิจะทำกับข้าวเป็นล่ะคะ”
“ไม่ต้องมาทำงอนเลยนะเรา อยากจะฝึกก็เอาไว้ใกล้ๆ จะได้ออกเรือนก่อนเถอะ ตอนนี้แม่ไม่มีเงินเหลือเฟือจะซื้อผักซื้อปลามาให้ลูกหัดเล่นขายของหรอก”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ดูจากกิริยามารยาทที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อย พานออกไปทางม้าดีดกะโหลกแล้ว พรนภายังนึกสงสัยเสียด้วยซ้ำ ว่าลูกของเธอจะมีวันได้ออกเรือนกับเขาบ้างหรือเปล่า เพราะอันที่จริงตั้งแต่โตเป็นสาวจนจบปริญญาตรีทุกวันนี้ เธอก็ยังไม่เคยวี่แววว่าหญิงสาวจะมีเพื่อนชายเลยสักคน บางทียังอดสงสัยไม่ได้ว่าศศิวลัยจะเป็นทอมเป็นดี้อย่างที่สมัยนี้เขานิยมกันหรือเปล่าก็ไม่รู้
ยิ่งได้ยินคำพูดตัดพ้อต่อว่าของผู้เป็นแม่ หญิงสาวต้องค้อนปะหลับปะเหลือกจนพรนภาทั้งนึกขำทั้งเอ็นดู ถอนหายใจเนือยๆ อีกครั้ง ก่อนจะเดินอ้อมตัวบ้าน มุ่งไปยังห้องครัวเล็กๆ ที่สร้างแยกออกไปทางด้านหลัง ขณะที่อีกฝ่ายก็หันไปฉีดน้ำจากสายยางให้กระจายเป็นฝอย รดบนแปลงต้นเยอบีราริมรั้ว ไม่วายเหลือบไปมองตามหลังเจ้าของร่างท้วม พร้อมกับสีหน้าที่ค้อนควักอยู่เมื่อสักครู่ก็ค่อยๆ สลดลงไปทีละน้อย เมื่อคิดทบทวนถึงคำพูดของมารดา
ทำไมศศิวลัยจะไม่รู้ล่ะว่าตอนนี้ฐานะทางบ้านเธอเป็นอย่างไร...
นามสกุลวิเชียรหัสดินทร์ของมารดานั้น สืบทอดมาจากราชทินนามของเจ้าพระยาวิเชียรหัสดินทร์ ขุนนางใหญ่ระดับเจ้าเมือง ผู้เป็นต้นตระกูลเมื่อร้อยกว่าปีก่อน... แต่ในวันนี้ มรดกที่ตกทอดมาถึงครอบครัวของเธอก็มีเพียงบ้านไม้หลังเก่าๆ บนที่ดินจำนวนไม่ถึงหนึ่งงาน หรืออีกนัยหนึ่งไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสี่ไร่เท่านั้น
พรนภาเล่าให้ศศิวลัยฟังว่า ก่อนหน้านั้น เครือระย้า ยายของเธอ ก็เป็นบุตรสาวชาวสวนคนหนึ่งซึ่งเช่าที่ดินของขุนอยุทธ์ วิเชียรหัสดินทร์ ผู้มีศักดิ์เป็นตาของเธออยู่ แต่ต่อมาเมื่อพ่อของยายรู้ว่าท่านขุนเกิดชอบพอรูปร่างหน้าตาของยายเข้า ยายจึงถูกยกให้เป็นภรรยาคนที่สี่ของท่านขุนตั้งแต่ยังสาว ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเขามีอายุมากกว่าหกสิบปีแล้ว
หลังจากให้กำเนิดพรนภาเพียงไม่กี่ปี ขุนอยุทธ์ก็สิ้นบุญด้วยโรคปัจจุบัน ยายซึ่งเป็นภรรยาน้อยจึงต้องหอบหิ้วลูกสาวคนเดียวออกจากเรือนใหญ่ โดยได้รับมรดกเป็นที่ดินแปลงหนึ่งตามพินัยกรรมของสามี อาศัยเงินทองที่ได้เก็บหอมรอมริบไว้สมัยท่านขุนยังมีชีวิตอยู่ นำมาใช้ปลูกบ้านไม้หลังนี้ เลี้ยงดูมารดาของเธอจนเติบโตเป็นสาวโดยไม่เคยกลับไปยุ่งเกี่ยวกับทางครอบครัวของตาอีกเลย
ส่วนบิดาศศิวลัยมีชื่อว่าดิลก เป็นพ่อค้าพลอยจากเชียงราย ในช่วงที่ดิลกเดินทางลงมาค้าขายที่กรุงเทพฯ เขาเกิดพบรักกับผู้เป็นแม่ของเธอ ในที่สุดก็ตัดสินใจแต่งงานอยู่กินด้วยกันโดยไม่ฟังคำคัดค้านของครอบครัว ซึ่งได้หมั้นหมายเขากับบุตรสาวคหบดีทางเหนือเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว เขาจึงถูกผู้เป็นพ่อและแม่ตัดขาด ไม่มีการติดต่อไปมาหาสู่กันอีก
จนกระทั่งศศิวลัยถือกำเนิดได้ไม่กี่เดือน บิดาก็พลอยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุไปด้วยอีกคน เธอจึงไม่เคยรู้จักหน้าค่าตาผู้เป็นพ่อหรือญาติทางฝ่ายนั้นเลยแม้แต่ในภาพถ่าย
ที่ผ่านมายายและมารดาของเธอมีรายได้จากการแบ่งเช่าที่ดิน ซึ่งก็พอจะประคับประคองชีวิตสองแม่ลูกมาได้อย่างไม่ลำบากอะไร แต่เมื่อมีสมาชิกตัวน้อยเพิ่มเข้ามาในครอบครัว พรนภาก็จำเป็นต้องเจียดขายที่ดินที่มีอยู่ไปทีละน้อย เพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูบุตรสาวของเธอให้สุขสบายที่สุด ไม่ให้น้อยหน้าใคร
กว่าศศิวลัยจะเติบโตจนสำเร็จปริญญาอย่างในวันนี้ ที่ดินโดยรอบก็ถูกเปลี่ยนมือไปเป็นของคนอื่นจนเกือบหมด ส่วนเงินสำรองในธนาคารก็ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ จนแทบไม่มีเหลือ แล้วจะไม่ให้หญิงสาวตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร ในเมื่อเธอกำลังจะมีโอกาสได้แบ่งเบาภาระ และตอบแทนพระคุณของบุพการีทั้งสองคนแล้ว
คิดมาถึงตอนนี้ ใบหน้าที่เศร้าสลดไปชั่วขณะก็ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทีละน้อยเหมือนพยายามให้กำลังใจตัวเอง
เธอสัญญา... ต่อแต่นี้ไปเธอจะทำให้มารดาภาคภูมิใจ
และเธอก็จะไม่ยอมให้พรนภากับเครือระย้าผู้เป็นยาย ต้องพบกับลำบากอีกเป็นอันขาด...
ข่าวการจัดงานแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่ระหว่างหม่อมราชวงศ์พิษณุนเรศวร์ โขมพัสตร์ กับซินเดอเรลลาสาวเจ้าของตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์คนล่าสุด ของ กลามูร์ ไดมอนด์ สร้างความตกตะลึงให้กับบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคม ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารย์มากมายหลายทางบ้างก็ว่าเพื่อกลบข่าวอื้อฉาวเรื่องการยกเลิกงานแต่งงานของหม่อมราชวงศ์หญิงรัตน์นเรศวร์เมื่อหลายเดือนก่อน บ้างก็ว่าเป็นเคล็ดล้างอาถรรพ์แบรนด์แอมบาสเดอร์ ตำแหน่งสำคัญของบริษัทที่ไม่เคยมีใครเป็นได้นานเกินสามเดือนบ้างก็เจาะประเด็นเรื่องข่าวลือที่ว่าเจ้าสาวท้องก่อนแต่งแต่ไม่ว่าจะเป็นข่าวในแง่ไหนก็ไม่มีผลกระทบใดๆ กับเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงาน ซึ่งได้กลายเป็นบุคคลที่มีความสุขมากที่สุดในค่ำคืนนี้ไปเสียแล้วบนขั้นบันไดด้านหน้าของประตูวังโขมพัสตร์ ศศิวลัยกำลังยืนหันหลังพร้อมกับถือช่อดอกไม้ขนาดใหญ่อยู่ในมือทั้งสองข้าง บนใบหน้าที่อ่อนหวานของผู้เป็นเจ้าสาว ถูกแต่งแต้มอย่างเบาบาง เป็นธรรมชาติ อย่างที่สามีหมาดๆ ของเธอชอบ ซึ่งก็ช่วยขับเน้นเสน่ห์และความงดงามให้ยิ่งเปล่งประกายในคืนที่สำคัญที่สุดในชีวิตลูกผู้หญิงหญิงสาวอยู่ในชุดผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสสีครีม ตัดเย็บเป็นชุ
“คุณนี่มันรั้นตลอดเลยนะ...” หม่อมราชวงศ์หนุ่มขมวดคิ้วมุ่น แต่ใบหน้าก็ยังประดับด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้ว ว่าทุกครั้งที่อีกฝ่ายโกรธเคืองคำพูดของเขา มันเป็นเพราะอะไร “ที่ผมบอกว่ารับผิดชอบน่ะ ก็เพราะลูกเมียเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ชายอยู่แล้ว คุณอยากได้แต่ความรัก แต่ไม่ต้องการความรับผิดชอบเลยเหรอ”“ฉันก็ไม่ต้องการจริงๆ นี่คะ” หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น เบือนหน้าไปทางอื่น แต่ไม่ยอมที่จะสบตาเขา“คุณบอกว่าคุณรักผม รักมาตั้งแต่ไปยุโรปด้วยกัน แต่ทำไมพอผมพยายามแสดงความรักให้คุณรับรู้ คุณกลับปฏิเสธผมตลอด คุณเป็นซาดิสต์เหรอครับ ศิ หือ...”“คะ...ใครบอกคุณ คุณไปฟังมาจากไหนว่าฉันรักคุณ ไม่จริงนะคะ ไม่ใช่!”ได้ยินคำพูดของคุณชายหนุ่ม ดวงตาของศศิวลัยก็เบิกโพลง อ้าปากค้าง หันไปส่ายศีรษะปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย รีบบอกปัดเสียงตะกุกตะกัก ขณะเดียวกันก็รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งใบหน้า แทบอยากจะมุดดินหนีไปตรงนั้น ตั้งแต่อีกฝ่ายยังพูดไม่ทันจบประโยค“ก็คุณเขียนบอกเอาไว้ในจดหมายยังไงล่ะครับ”“คุณโกหก! จดหมายนั่นฉันเขียนกับมือเอง ทำไมจะจำไม่ได้!” เธอแหวกลับพิษณุนเณศวร์หัวเราะหึๆ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋
การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ตามลำพังไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างศศิวลัย เพราะความเหงาและความว้าเหว่ เป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่พร้อมจะเข้าจู่โจมมนุษย์ทุกคน ในช่วงเวลาที่อ่อนไหวและเปราะบางที่สุดเดิมทีหญิงสาวอยู่ร่วมกับมารดาและผู้เป็นยายจนเคยชิน แต่เพราะความจำเป็นทำให้ต้องตัดสินใจโง่ๆ ออกมาเผชิญโชคตามลำพัง โดยมีสิ่งยึดเหนี่ยวเพียงอย่างเดียวคือลูกในท้อง แม้จะเคยเข้มแข็งมาตลอด ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากจะมีคืนใดสักคืนหนึ่งในแต่ละสัปดาห์ ที่เธอจะต้องนอนร้องไห้เพราะความคิดถึงบ้านเช่นเดียวกับคืนนี้ หลังจากได้บังเอิญพบเข้ากับอลงกต ตะกอนความรู้สึกหลายๆ อย่างที่ทับถมอยู่ในจิตใจมาตลอดหลายเดือน ก็เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็น ขุดคุ้ย แกว่งกวน จนพากันลอยฟุ้งขึ้นมารบกวนจิตใจเธออีกครั้งโดยเฉพาะเรื่องของหม่อมราชวงศ์พิษณุนเรศวร์...เพราะอลงกตคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง เป็นคนเชื่อมโยงให้คุณชายหนุ่มมาพบเธอ ทำให้เธอรักเขา พลัดพรากจากเขา ในขณะเดียวกันก็ได้สิ่งล้ำค่าจากเขามาเป็นพยานของความรัก ศศิวลัยจึงอดไม่ได้ที่จะนอนน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวอย่างนี้บ่อยครั้งเหลือเกินที่หญิงสาวนึกเกลียดตัวเองนักทั้งๆ ที่เธ
สวัสดีค่ะ คุณชายพิษณุนเรศวร์ก่อนอื่นต้องขอบคุณและขอโทษพนักงานของ กลามูร์ ไดมอนด์ ทุกคน ที่ให้การดูแลฉันอย่างดีมาตลอด แต่ฉันมีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องทิ้งงานแล้วหายตัวไปอย่างนี้...นั่นก็เพราะความผิดของคุณนั่นแหละค่ะ ไอ้คุณชายเฮงซวย! ขอบคุณคุณมากนะคะ ไอ้คนบ้า ที่จู่ๆ ก็เอาไข้แตงโมมาฝาก!เพราะฉะนั้นคุณก็รับหน้าพวกผู้บริหารเอาเองก็แล้วกัน ส่วนเงินห้าล้านที่ให้ฉันมาแล้ว ฉันขอยืมไปใช้ก่อนนะคะ ถือเสียว่าเป็นเงินค่าเลี้ยงลูกคุณ ไว้ฉันมีเมื่อไหร่จะส่งมาคืนให้เองรักศศิวลัยป.ล. คุณไม่ต้องตามหาฉันหรอกนะคะ ฉันอยู่ไม่เป็นหลักแหล่งป.ล.2 หาเวลาทำบุญบริษัทบ้างเถอะค่ะ รู้สึกว่าตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ของบริษัทคุณ มันมีอาถรรพ์ยังไงไม่รู้ป.ล.3 ขอบคุณสำหรับทริปยุโรปค่ะ คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นั่นร่วมกับคุณ ฉันจะจดจำมันไว้ในความทรงจำตลอดไปจดหมายที่เต็มไปด้วยร่องรอยยับยู่ยี่จากการถูกอ่านซ้ำไปซ้ำมามากกว่ายี่สิบครั้ง ถูกพับสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตอย่างบรรจง ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะวางทาบลงไปราวกับต้องการให้มันรับรู้ถึงจังหวะหัวใจของเขาในเวลานี้ผ่านไปสามวันแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่หม่อมรา
ขณะที่เจ้าของบริษัทกำลังนั่งคลื่นไส้อาเจียนอยู่ในห้องทำงานที่ชั้นบนสุด ภายในห้องน้ำหญิงชั้นล่างสุดของอาคารบริษัท กลามูร์ ไดมอนด์ คนที่ไม่มีอาการใดๆ เลยกลับนั่งอยู่บนฝาชักโครก รอให้เวลาแต่ละนาทีผ่านไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอันที่จริง คนที่เซ็นสัญญาว่าจ้างชั่วคราวในตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ หรือ ‘ตัวแทนของบริษัท’ อย่างศศิวลัย ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัททุกวันเหมือนพนักงานประจำ แต่เนื่องจากวันนี้เธอมีนัดประชุมกับฝ่ายการตลาด เรื่องที่จะต้องถ่ายทำบทสัมภาษณ์พิเศษเพื่อโปรโมตกิจกรรมของบริษัท จึงเลี่ยงไม่ได้หากในขณะที่กำลังเดินทางออกจากบ้าน หญิงสาวก็บังเอิญนึกขึ้นได้ว่ารอบเดือนของเธอน่าจะมาถึงแล้ว แต่ยังไม่เห็นวี่แววใดๆ จึงตัดสินใจแวะซื้อแบบทดสอบการตั้งครรภ์จากร้านขายยาระหว่างทาง และความกังวลใจก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะใช้งานมันทันทีความจริงเธอเองก็นึกเอะใจตั้งแต่เดือนที่แล้ว เมื่อประจำเดือนที่เคยมาเป็นปกติอยู่เสมอเกิดขาดหายไปดื้อๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์มองโลกในแง่ดี เพราะในช่วงที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ก็มีบ้างบางครั้งที่ประจำเดือนมาๆ ขาดๆ ซึ่งครั้งนี้เธอก็ได้แต่ภาวนาว่าจะเป็นเช่นเดียวกันศศิวลัยไม่กล้าแ
การเตรียมพร้อมเพื่อจะเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของบริษัท กลามูร์ ไดมอนด์ เริ่มต้นตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ศศิวลัยเซ็นสัญญาเสร็จสิ้น โดยที่เธอจะต้องเข้าคอร์สเสริมความงาม เพื่อดูแลทั้งเรื่องผิวพรรณ รูปร่าง ทรงผม เป็นประจำทุกสัปดาห์ นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังต้องเข้าคอร์สพัฒนาบุคลิกภาพ เรียนรู้วิธีการแต่งหน้าอย่างมืออาชีพ ศึกษาถึงข้อมูลของเพชรและพลอยชนิดต่างๆ พอสังเขป รวมถึงประวัติความเป็นมาของบริษัท วิธีตอบคำถามสื่อ และการประชาสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานหลังจากผ่านสัปดาห์ที่สามไปแล้ว ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่ และการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ก็เริ่มชัดเจนขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการถ่ายภาพนิ่งเพื่อนำไปใช้ทำคัตเอาต์ โบรชัวร์ และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ สำหรับลงโฆษณาในนิตยสารหรือโซเชียลมีเดีย แต่ก็ยังไม่มีการนัดถ่ายทำสื่อที่เป็นภาพเคลื่อนไหวตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หม่อมราชวงศ์พิษณุนเรศวร์ก็ยังรักษาสัญญา ทำตามข้อแม้ที่หญิงสาวยื่นไว้อย่างเคร่งครัด จนบางครั้งเธอก็ยังเป็นฝ่ายรู้สึกสงสารเขาเสียเองเพราะจากภาพในความทรงจำครั้งที่เขาล่อลวงเธอไปถึงยุโรป คุณชายหนุ่มมักร่าเริงและมีรอยยิ้มอยู่เสมอ แม้ในเวลาที่กำลังวางแผนร้าย