ประตูรั้วไม้สภาพเก่าคร่ำคร่าตามอายุขัยกว่าห้าสิบปี ถูกผลักให้เปิดออกช้าๆ ด้วยความทุลักทุเล เสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดของมันเรียกความสนใจจากหญิงร่างท้วมวัยกลางคน ให้ชะโงกหน้าออกมามองจากเงารกครึ้มของต้นน้อยหน่าข้างบ้าน
เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังปิดประตูบานเก่ากลับเข้าที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว เธอก็รีบวางไม้กวาดทางมะพร้าวแบบมีด้ามจับ พิงเข้ากับรั้วอิฐบล็อกข้างบ้านที่เต็มไปด้วยคราบตะไคร่ ละมือจากการกวาดใบไม้ แล้วเดินตรงเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าประหลาดใจ
พอได้เห็นแสงไฟจากท้ายรถสปอร์ตสีแดงที่ค่อยๆ ทิ้งห่างไปจากถนนหน้าบ้าน พร้อมกับเสียงคำรามกระหึ่มของท่อไอเสียที่ถูกดัดแปลงตามสไตล์รถแต่ง ก็ทำให้ใบหน้าอวบอิ่มแปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง ดูไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก
“อ้าว แม่เองเหรอคะ... ทำไมค่ำมืดขนาดนี้แล้วยังออกมายืนอยู่นอกบ้านอีก ศิหันไปเกือบจะสะดุ้งตกใจอยู่แล้วเชียว” ศศิวลัยร้องทักเมื่อมองเห็นมารดากำลังก้าวเข้ามาหา
“ก็ใบน้อยหน่ามันกองรกอยู่บนพื้นตั้งขนาดนั้น จะให้แม่ทนเห็นได้ยังไงล่ะ ก็ไหนลูกรับปากเอาไว้ว่าจะกวาดให้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่เหรอ จนป่านนี้ยังไม่ทำซักที แม่ก็ต้องลงมือจัดการเองน่ะสิ” เค้าหน้าที่ยังคงความงดงามสมวัยหันมามองอย่างนึกตำหนิ “แล้วนั่นรถของใครที่ไหนกันล่ะ ที่ขับมาส่งเราน่ะ”
“อ๋อ รุ่นพี่ที่บริษัทน่ะค่ะ พอดีตอนที่เขาขับผ่าน บังเอิญเห็นศิกำลังยืนรอรถอยู่ที่สนามบิน ก็เลยอาสาพามาส่งค่ะ”
ได้ยินดังนั้น พรนภาก็ส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาแทบจะทันที ปากก็บ่นพึมพำไปพลาง ขณะทำท่าจะหมุนตัวกลับไปเพื่อทำงานที่ค้างคาอยู่
“เด็กสมัยนี้ไม่มีมารยาทเอาซะเลย มาถึงเรือนถึงบ้านคนอื่นแล้ว แทนที่จะแวะลงมาทักทายผู้ใหญ่ ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่น่าดูเอาเสียเลย...”
อันที่จริงพรนภารู้สึกไม่พอใจกับเสียงรบกวนจากท่อไอเสียรถเมื่อสักครู่มากกว่าเรื่องมารยาทที่อ้างออกไปเสียอีก เพราะกลัวว่ามันจะสร้างความรำคาญให้เพื่อนบ้าน จนกลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้ง หรือพูดจาโต้แย้งกันในภายหลัง
“แหม แม่ก็... เขาคงเห็นว่าค่ำแล้ว เลยไม่อยากรบกวนมากกว่าค่ะ พี่เขาก็อุตส่าห์มีน้ำใจมาส่งศิถึงบ้านแล้ว แม่อย่าไปว่าเขาเลยนะคะ...” หญิงสาวทำเสียอ่อย พยายามพูดแก้ต่างให้ภูรินทร์
ถึงใจหนึ่งจะยังนึกหวาดระแวงในพฤติกรรมของชายหนุ่มอยู่ไม่น้อย แต่เขาอุตส่าห์ใช้เวลาตั้งสองชั่วโมงกว่า ฝ่าการจราจรในช่วงหัวค่ำเพื่อพาเธอมาส่งถึงบ้าน มันทำให้หญิงสาวอดที่จะเห็นใจเขากับการถูกมารดาตำหนิไม่ได้
“อุ๊ย! พอก่อนเถอะค่ะ แม่ไม่ต้องทำแล้ว ให้ศิเป็นคนกวาดเอง ส่วนแม่ก็เข้าไปนั่งดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนคุณยายข้างในบ้านดีกว่า”
เมื่อเห็นผู้เป็นแม่หยิบไม้กวาดขึ้นมาตั้งท่าจะกวาดใบไม้ต่อ เธอก็วิ่งตามไปติดๆ แล้วคว้าเอาไม้กวาดอันดังกล่าวมาถือไว้เสียเอง
“เอ้า ตามใจ... แล้วนี่กินข้าวกินปลามาหรือยังล่ะ แม่จะได้ไปอุ่นกับข้าวเอาไว้ให้”
“ศิกินที่สนามบินแล้วล่ะค่ะ แม่ไม่ต้องลำบากหรอกนะคะ ไปนั่งพักผ่อนสบายๆ ก็พอ” เธอหันไปยิ้มยิงฟัน ทำหน้าเป็นกับพรนภา
“อือๆ... ถ้าอย่างนั้นก็รีบกวาดให้เสร็จๆ ไปซักทีเถอะ แม่ขัดหูขัดตามาทั้งวันแล้ว ลูกเองก็จะได้อาบน้ำอาบท่าเข้านอน นี่เกือบจะสามทุ่มอยู่แล้ว...” มารดากำชับ ก่อนจะยื่นมือออกไปแล้วพูดต่อ “ส่งของมาให้แม่สิ... เดี๋ยวแม่ถือเข้าไปให้ จะได้ไม่เกะกะ”
“ค่ะแม่” หญิงสาวตอบพลางรีบทำตามคำสั่ง
“งั้นแม่จะเข้าไปหาคุณยายล่ะนะ”
รับเอ่ากระเป๋าสะพายใบเก่าจากมือบุตรสาวมาถือแล้ว ผู้เป็นแม่ก็เดินกลับไปที่ประตูมุ้งลวดหน้าบ้านโดยไม่รอฟังคำตอบ จึงไม่ทันได้เห็นสีหน้าของศศิวลัยที่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ด้านหลัง
โชคดีจริงๆ ที่พรนภาไม่ได้ซักไซ้ว่าคนที่ขับรถมาส่งเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ไม่อย่างนั้นเธอคงถูกอีกฝ่ายตำหนิมากกว่านี้อย่างแน่นอน
ก็ไม่ใช่ว่ามารดาของศศิวลัยจะกีดกันเรื่องการคบหากับผู้ชายหรอกนะ เพราะดูเธอเองจะกังวลเรื่องที่บุตรสาวไม่เคยมีคนรักเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ เสียด้วยซ้ำ เพียงแต่คนที่จะคบกับหญิงสาวได้ จำเป็นต้องเข้าตามตรอกออกตามประตูเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นแค่รุ่นพี่ เป็นแค่เพื่อน หรือเป็นมากกว่าเพื่อน ถ้านึกจะคบหากันก็จะต้องพาตัวมาแนะนำให้ที่บ้านรู้จักหน้าค่าตากันเสียก่อน เพราะฉะนั้น เรื่องนั่งรถมาด้วยกันสองต่อสองในเวลามืดค่ำอย่างนี้น่ะหรือ หากรู้ถึงหูพรนภาเมื่อไร ศศิวลัยคงต้องทนนั่งฟังเทศนากัณฑ์ใหญ่ ไม่ได้หลับได้นอนเป็นแน่
หญิงสาวใช้เวลาสองสามนาที รีบกวาดใบไม้บนพื้นหญ้าบริเวณใต้ต้นน้อยหน่าให้กองรวมกันอย่างลวกๆ จากนั้นก็นำไม้กวาดไปวางพิงเอาไว้ที่ข้างถังขยะข้างบ้าน ก่อนจะก้าวเร็วๆ ตามผู้เป็นแม่ไป โดยไม่ลืมที่จะถอนหายใจช้าๆ อีกครั้งกับการรอดตัวไปได้อย่างเฉียดฉิวในครั้งนี้
ข่าวการจัดงานแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่ระหว่างหม่อมราชวงศ์พิษณุนเรศวร์ โขมพัสตร์ กับซินเดอเรลลาสาวเจ้าของตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์คนล่าสุด ของ กลามูร์ ไดมอนด์ สร้างความตกตะลึงให้กับบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคม ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารย์มากมายหลายทางบ้างก็ว่าเพื่อกลบข่าวอื้อฉาวเรื่องการยกเลิกงานแต่งงานของหม่อมราชวงศ์หญิงรัตน์นเรศวร์เมื่อหลายเดือนก่อน บ้างก็ว่าเป็นเคล็ดล้างอาถรรพ์แบรนด์แอมบาสเดอร์ ตำแหน่งสำคัญของบริษัทที่ไม่เคยมีใครเป็นได้นานเกินสามเดือนบ้างก็เจาะประเด็นเรื่องข่าวลือที่ว่าเจ้าสาวท้องก่อนแต่งแต่ไม่ว่าจะเป็นข่าวในแง่ไหนก็ไม่มีผลกระทบใดๆ กับเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงาน ซึ่งได้กลายเป็นบุคคลที่มีความสุขมากที่สุดในค่ำคืนนี้ไปเสียแล้วบนขั้นบันไดด้านหน้าของประตูวังโขมพัสตร์ ศศิวลัยกำลังยืนหันหลังพร้อมกับถือช่อดอกไม้ขนาดใหญ่อยู่ในมือทั้งสองข้าง บนใบหน้าที่อ่อนหวานของผู้เป็นเจ้าสาว ถูกแต่งแต้มอย่างเบาบาง เป็นธรรมชาติ อย่างที่สามีหมาดๆ ของเธอชอบ ซึ่งก็ช่วยขับเน้นเสน่ห์และความงดงามให้ยิ่งเปล่งประกายในคืนที่สำคัญที่สุดในชีวิตลูกผู้หญิงหญิงสาวอยู่ในชุดผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสสีครีม ตัดเย็บเป็นชุ
“คุณนี่มันรั้นตลอดเลยนะ...” หม่อมราชวงศ์หนุ่มขมวดคิ้วมุ่น แต่ใบหน้าก็ยังประดับด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้ว ว่าทุกครั้งที่อีกฝ่ายโกรธเคืองคำพูดของเขา มันเป็นเพราะอะไร “ที่ผมบอกว่ารับผิดชอบน่ะ ก็เพราะลูกเมียเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ชายอยู่แล้ว คุณอยากได้แต่ความรัก แต่ไม่ต้องการความรับผิดชอบเลยเหรอ”“ฉันก็ไม่ต้องการจริงๆ นี่คะ” หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น เบือนหน้าไปทางอื่น แต่ไม่ยอมที่จะสบตาเขา“คุณบอกว่าคุณรักผม รักมาตั้งแต่ไปยุโรปด้วยกัน แต่ทำไมพอผมพยายามแสดงความรักให้คุณรับรู้ คุณกลับปฏิเสธผมตลอด คุณเป็นซาดิสต์เหรอครับ ศิ หือ...”“คะ...ใครบอกคุณ คุณไปฟังมาจากไหนว่าฉันรักคุณ ไม่จริงนะคะ ไม่ใช่!”ได้ยินคำพูดของคุณชายหนุ่ม ดวงตาของศศิวลัยก็เบิกโพลง อ้าปากค้าง หันไปส่ายศีรษะปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย รีบบอกปัดเสียงตะกุกตะกัก ขณะเดียวกันก็รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งใบหน้า แทบอยากจะมุดดินหนีไปตรงนั้น ตั้งแต่อีกฝ่ายยังพูดไม่ทันจบประโยค“ก็คุณเขียนบอกเอาไว้ในจดหมายยังไงล่ะครับ”“คุณโกหก! จดหมายนั่นฉันเขียนกับมือเอง ทำไมจะจำไม่ได้!” เธอแหวกลับพิษณุนเณศวร์หัวเราะหึๆ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋
การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ตามลำพังไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างศศิวลัย เพราะความเหงาและความว้าเหว่ เป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่พร้อมจะเข้าจู่โจมมนุษย์ทุกคน ในช่วงเวลาที่อ่อนไหวและเปราะบางที่สุดเดิมทีหญิงสาวอยู่ร่วมกับมารดาและผู้เป็นยายจนเคยชิน แต่เพราะความจำเป็นทำให้ต้องตัดสินใจโง่ๆ ออกมาเผชิญโชคตามลำพัง โดยมีสิ่งยึดเหนี่ยวเพียงอย่างเดียวคือลูกในท้อง แม้จะเคยเข้มแข็งมาตลอด ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากจะมีคืนใดสักคืนหนึ่งในแต่ละสัปดาห์ ที่เธอจะต้องนอนร้องไห้เพราะความคิดถึงบ้านเช่นเดียวกับคืนนี้ หลังจากได้บังเอิญพบเข้ากับอลงกต ตะกอนความรู้สึกหลายๆ อย่างที่ทับถมอยู่ในจิตใจมาตลอดหลายเดือน ก็เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็น ขุดคุ้ย แกว่งกวน จนพากันลอยฟุ้งขึ้นมารบกวนจิตใจเธออีกครั้งโดยเฉพาะเรื่องของหม่อมราชวงศ์พิษณุนเรศวร์...เพราะอลงกตคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง เป็นคนเชื่อมโยงให้คุณชายหนุ่มมาพบเธอ ทำให้เธอรักเขา พลัดพรากจากเขา ในขณะเดียวกันก็ได้สิ่งล้ำค่าจากเขามาเป็นพยานของความรัก ศศิวลัยจึงอดไม่ได้ที่จะนอนน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวอย่างนี้บ่อยครั้งเหลือเกินที่หญิงสาวนึกเกลียดตัวเองนักทั้งๆ ที่เธ
สวัสดีค่ะ คุณชายพิษณุนเรศวร์ก่อนอื่นต้องขอบคุณและขอโทษพนักงานของ กลามูร์ ไดมอนด์ ทุกคน ที่ให้การดูแลฉันอย่างดีมาตลอด แต่ฉันมีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องทิ้งงานแล้วหายตัวไปอย่างนี้...นั่นก็เพราะความผิดของคุณนั่นแหละค่ะ ไอ้คุณชายเฮงซวย! ขอบคุณคุณมากนะคะ ไอ้คนบ้า ที่จู่ๆ ก็เอาไข้แตงโมมาฝาก!เพราะฉะนั้นคุณก็รับหน้าพวกผู้บริหารเอาเองก็แล้วกัน ส่วนเงินห้าล้านที่ให้ฉันมาแล้ว ฉันขอยืมไปใช้ก่อนนะคะ ถือเสียว่าเป็นเงินค่าเลี้ยงลูกคุณ ไว้ฉันมีเมื่อไหร่จะส่งมาคืนให้เองรักศศิวลัยป.ล. คุณไม่ต้องตามหาฉันหรอกนะคะ ฉันอยู่ไม่เป็นหลักแหล่งป.ล.2 หาเวลาทำบุญบริษัทบ้างเถอะค่ะ รู้สึกว่าตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ของบริษัทคุณ มันมีอาถรรพ์ยังไงไม่รู้ป.ล.3 ขอบคุณสำหรับทริปยุโรปค่ะ คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นั่นร่วมกับคุณ ฉันจะจดจำมันไว้ในความทรงจำตลอดไปจดหมายที่เต็มไปด้วยร่องรอยยับยู่ยี่จากการถูกอ่านซ้ำไปซ้ำมามากกว่ายี่สิบครั้ง ถูกพับสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตอย่างบรรจง ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะวางทาบลงไปราวกับต้องการให้มันรับรู้ถึงจังหวะหัวใจของเขาในเวลานี้ผ่านไปสามวันแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่หม่อมรา
ขณะที่เจ้าของบริษัทกำลังนั่งคลื่นไส้อาเจียนอยู่ในห้องทำงานที่ชั้นบนสุด ภายในห้องน้ำหญิงชั้นล่างสุดของอาคารบริษัท กลามูร์ ไดมอนด์ คนที่ไม่มีอาการใดๆ เลยกลับนั่งอยู่บนฝาชักโครก รอให้เวลาแต่ละนาทีผ่านไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอันที่จริง คนที่เซ็นสัญญาว่าจ้างชั่วคราวในตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ หรือ ‘ตัวแทนของบริษัท’ อย่างศศิวลัย ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัททุกวันเหมือนพนักงานประจำ แต่เนื่องจากวันนี้เธอมีนัดประชุมกับฝ่ายการตลาด เรื่องที่จะต้องถ่ายทำบทสัมภาษณ์พิเศษเพื่อโปรโมตกิจกรรมของบริษัท จึงเลี่ยงไม่ได้หากในขณะที่กำลังเดินทางออกจากบ้าน หญิงสาวก็บังเอิญนึกขึ้นได้ว่ารอบเดือนของเธอน่าจะมาถึงแล้ว แต่ยังไม่เห็นวี่แววใดๆ จึงตัดสินใจแวะซื้อแบบทดสอบการตั้งครรภ์จากร้านขายยาระหว่างทาง และความกังวลใจก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะใช้งานมันทันทีความจริงเธอเองก็นึกเอะใจตั้งแต่เดือนที่แล้ว เมื่อประจำเดือนที่เคยมาเป็นปกติอยู่เสมอเกิดขาดหายไปดื้อๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์มองโลกในแง่ดี เพราะในช่วงที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ก็มีบ้างบางครั้งที่ประจำเดือนมาๆ ขาดๆ ซึ่งครั้งนี้เธอก็ได้แต่ภาวนาว่าจะเป็นเช่นเดียวกันศศิวลัยไม่กล้าแ
การเตรียมพร้อมเพื่อจะเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของบริษัท กลามูร์ ไดมอนด์ เริ่มต้นตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ศศิวลัยเซ็นสัญญาเสร็จสิ้น โดยที่เธอจะต้องเข้าคอร์สเสริมความงาม เพื่อดูแลทั้งเรื่องผิวพรรณ รูปร่าง ทรงผม เป็นประจำทุกสัปดาห์ นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังต้องเข้าคอร์สพัฒนาบุคลิกภาพ เรียนรู้วิธีการแต่งหน้าอย่างมืออาชีพ ศึกษาถึงข้อมูลของเพชรและพลอยชนิดต่างๆ พอสังเขป รวมถึงประวัติความเป็นมาของบริษัท วิธีตอบคำถามสื่อ และการประชาสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานหลังจากผ่านสัปดาห์ที่สามไปแล้ว ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่ และการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ก็เริ่มชัดเจนขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการถ่ายภาพนิ่งเพื่อนำไปใช้ทำคัตเอาต์ โบรชัวร์ และสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ สำหรับลงโฆษณาในนิตยสารหรือโซเชียลมีเดีย แต่ก็ยังไม่มีการนัดถ่ายทำสื่อที่เป็นภาพเคลื่อนไหวตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หม่อมราชวงศ์พิษณุนเรศวร์ก็ยังรักษาสัญญา ทำตามข้อแม้ที่หญิงสาวยื่นไว้อย่างเคร่งครัด จนบางครั้งเธอก็ยังเป็นฝ่ายรู้สึกสงสารเขาเสียเองเพราะจากภาพในความทรงจำครั้งที่เขาล่อลวงเธอไปถึงยุโรป คุณชายหนุ่มมักร่าเริงและมีรอยยิ้มอยู่เสมอ แม้ในเวลาที่กำลังวางแผนร้าย