บัญชาของหานไท่หยางหลินกงกงไม่อาจขัดได้ ขันทีอาวุโสของวังไม่อาจคาดคิดว่าเจ้านายของตนเองจะกลั่นแกล้งพระชายาอย่างใดต่อไป ตอนนี้ภายในใจนั้นได้แต่หวังให้อาหารหวานฝีมือของพระชายาเป็นที่ต้องพระทัย จนท่านอ๋องโปรดปรานนางด้วยเถิด
แต่หลินกงกงอาจทำได้แค่คิดเท่านั้น ไม่มีใครอาจหาญเดาใจหานไท่หยางได้ถูกนัก เนื่องจากอีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉยตลอดเวลายามอยู่กับบ่าวไพร่หรือบรรดาเชื้อพระวงศ์ คงจะมีเพียงแต่พระชายาจางอวิ๋นซีเท่านั้นที่ทำให้ท่านอ๋องเป็นเช่นนี้ ขันทีอาวุโสเดินเท้ามาถึงเรือนหลังเล็กที่จัดเอาไว้ให้จางอวิ๋นซีโดยเฉพาะ บัดนี้อีกฝ่ายมิได้กลับเรือนพัก นางคงอยู่ในโรงครัวเพื่อเตรียมทำสำรับมื้อเย็นเป็นแน่ เมื่อคิดดังนั้นก็เร่งฝีเท้าไปที่โรงครัวของวัง “ขออย่าให้พระชายาดื้อรั้นกับท่านอ๋องเลยนะ!” หลินกงกงกล่าว ภายในใจนั้นหนักอึ้งไปด้วยภาระของเจ้านายทั้งสองกลิ่นหอมของขนมคละคลุ้งไปทั่วทั้งครัว จางอวิ๋นซีเปิดฝาหม้อนึ่ง
มองขนมเค้กกล้วยหอมที่สุกหอมพร้อมรับประทานอย่างภูมิใจ พลางสูดดมกลิ่นหอมเย้ายวนที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วโรงครัว “ขนมอันใดหรือเพคะพระชายา หอมยิ่งนัก” หรูหรงเดินเข้ามาสูดดมกลิ่นหอมของขนม นางหลับตาพริ้มสูดกลิ่นหอมของเค้กกล้วยหอมที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ “นี่น่ะ เขาเรียกว่าเค้กกล้วยหอมล่ะ” นางกล่าวใบหน้าแต้มด้วยรอยยิ้ม “เป็นขนมที่อร่อยระดับนี้เลย” นางกล่าวไม่พอ แต่ทำท่ายกนิ้วโป้งที่หมายถึงว่ายอดเยี่ยมมากต่อหน้าหรูหรงและแม่ครัวคนอื่นๆ “ยอดเยี่ยม...” พวกเหล่าแม่ครัวพูดคำนี้ พลางหันมองหน้ากัน พวกนางพยายามจะทำความเข้าใจสิ่งที่จางอวิ๋นซีกล่าว ตอนนี้นางรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก นางมีอิสระมากกว่าตอนเป็นพระชายาคืนเดียวของหานไท่หยางเสียอีก แต่จะว่าไปแล้ว ขนมหวานของนางนั้นเขาจะชอบไหมนะ... นางคิดในใจถึงขนมหวานที่จัดถวายในสำรับพร้อมกับอาหารคาวอย่างอื่น พลันสายตาเห็นหลินกงกงที่เดินสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของขันทีอาวุโสคลี่ยิ้มทันทีที่เจอนาง นางมองท่าทีเหนื่อยหอบของอีกฝ่ายแล้วถาม “ท่านกงกงใหญ่นี่เอง ท่านมีอันใดรึ? หรือว่าสำรับท่านอ๋องไม่พอ” นางรัวคำถามใส่หลินกงกงเป็นชุด “เอ่อ ท่านอ๋องมีรับสั่งให้กระหม่อมมาตามพระชายาไปที่ตำหนักใหญ่พะยะค่ะ” หลินกงกงกล่าวพลางหอบหายใจ นางเชิดหน้าเอ่ย “แล้วอย่างไร ตอนนี้ข้าเป็นแค่นางกำนัลที่โดนปลดแบบไม่มีเหตุผล ควรค่าที่จะเรียกเป็นพระชายารึ?” เมื่อโดนยอกย้อนถามเช่นนี้ หลินกงกงถึงกับหน้าถอดสี หากเขาพาพระชายาไปหาหานไท่หยางไม่ได้ เขาคงโดนโทสะอีกฝ่ายระบายใส่เป็นแน่ จึงพยายามเกลี้ยกล่อมนางให้ยอมไปเข้าเฝ้าท่านอ๋องพร้อมเขา “ท่านอ๋อง ทรงทำทุกอย่างไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ขอพระชายา...” ยังไม่ ทันที่หลินกงกงจะกล่าวจบ จางอวิ๋นซีกล่าวแทรกขึ้นมาก่อน “ท่านไม่ต้องมาแก้ตัวแทนนายของท่านเลย หากเขาอยากกินสิ่งใด หรืออยากได้สิ่งใด ข้าในฐานะที่เป็นบ่าวย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ แต่การที่ท่านอ๋องไม่มีเหตุผล สั่งลงโทษโดยที่ข้าไร้ซึ่งความผิด ข้าไม่อาจทำตามที่เขาต้องการได้” นางกอดอกเชิดหน้าตอบ หรูหรงใบหน้าห่อเหี่ยว นางนึกว่าตนเองจะได้ออกจากโรงครัว กลับไปรับใช้พระชายาที่อย่างสง่าผ่าเผยเช่นเดิม “พระชายาเพคะ รับสั่งของท่านอ๋อง หากท่านขัดท่านจะเดือดร้อนนะเพคะ” หรูหรงกล่าวเสริม นางพยายามเกลี้ยกล่อมอีกแรง “ตอนนี้ข้าไม่ใช่พระชายาแล้ว คนใจร้ายคนนั้นสั่งปลดข้าเอง เรื่องอะไรข้าต้องทำตามที่เขาต้องการล่ะ ลงโทษข้า ปลดข้าโดยไม่มีเหตุผล” นางกอดอกเชิดหน้าตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านกงกงๆ” หยางกูกูวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในโรงครัว โดยไม่ลืมทำความเคารพจางอวิ๋นซีในฐานะพระชายาเอกของจวน “มีเรื่องอันใดกัน วิ่งหน้าตาตื่นเชียว” หลินกงกงถาม หยางกูกูหอบหายใจคลายเหนื่อยสักครู่ ก่อนจะกล่าว “ไทเฮากับฮองเฮาเสด็จมาเจ้าค่ะ” จางอวิ๋นซีตาตื่นทันที นางไม่คิดว่าไทเฮากับฮองเฮาจะมาที่นี่วังในเพลาแบบนี้ โดยเฉพาะตอนที่นางกำลังถูกปลดเป็นสาวรับใช้อย่างน่าอดสูนัก นางมองหลินกงกงกับหยางกูกูที่ส่งสายตาร้องขอความช่วยเหลือ หึ! หานไท่หยาง คราวนี้นางจะทูลฟ้องฮองเฮาให้หมดเลย! “ข้าต้องจัดขนมและน้ำชาต้อนรับทั้งสองพระองค์ พวกเจ้าไปรายงานหานอ๋องสิ” หญิงสาวรีบจบการสนทนา แล้วหันมาบรรจงจัดขนมเค้กกล้วยหอมที่นางเพิ่งทำเสร็จลงบนจานกระเบื้องลายดอกไม้สวยงาม พร้อมกับชาดอกมะลิที่ส่งกลิ่นหอมดีต่อสุขภาพนักการมาเยือนอย่างกะทันหันของหลิวฮองเฮากับหานไทเฮา ทำให้หานไท่หยางนั่งอยู่ไม่นิ่ง เนื่องจากนับตั้งแต่แต่งจางอวิ๋นซีเป็นพระชายาเอก เขาก็ไม่เคยพานางไปเคารพน้ำชาต่อเบื้องพระพักตร์พระบิดาพระมารดาและเสด็จย่าเลยแม้แต่ครั้งเดียว อ๋องหนุ่มนึกโมโหตนเองนักที่หุนหันพลันแล่นสั่งลงโทษนาง โดยลืมคิดถึงผลที่จะตามมาหากพระมารดาทรงทราบเรื่องนี้
“ถวายพระพรเสด็จย่า เสด็จแม่ เชิญเสด็จเข้ามาประทับด้านในก่อนเถิดพะยะค่ะ” อ๋องหนุ่มประคองหานไทเฮาผู้เป็นเสด็จย่าไปที่ตำหนักใหญ่ของตน หานไทเฮาทรงประทับบนพระแท่นบัญชาการของหานไท่หยางด้วยความอาวุโส ทรงสอดส่องสายพระเนตรมองหาจางอวิ๋นซีเช่นเดียวกับหลิวฮองเฮา “แล้วซีเอ๋อร์เล่า” หานไทเฮาทรงถามด้วยพระสุรเสียงอบอุ่น หลินกงกงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาอย่างรีบร้อน เขากระซิบบอกหานไท่หยาง อีกฝ่ายมีสีหน้าเคร่งขรึมลงอย่างชัดเจน “สตรีดื้อรั้น!” ชายหนุ่มลุกพรวดพราด เดินดุ่มๆ ไปที่โรงครัวด้วยใบหน้าถมึงทึง ทั้งๆ ที่เขาให้หลินกงกงมาพานางไปตำหนักใหญ่ หมายจะคืนตำแหน่งพระชายาให้ แต่นางกลับดื้อรั้นต่อต้านเขายิ่งนัก! “อาหยาง...” หลิวฮองเฮาทรงยกพระหัตถ์เรียกบุตรชาย แต่บุตรชายของนางนั้นเดินออกไปอย่างรวดเร็วนัก จึงทรงหันมาถามเรื่องราวทั้งหมดกับหลินกงกง “หลินกงกง เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมอาหยางเดินออกไปแบบนั้น แล้วซีเอ๋อร์ลูกสะใภ้ข้าเล่า เหตุใดนางไม่มาพร้อมกับอาหยาง” หลิวฮองเฮาทรงถามเสียงเข้ม “คือว่า ท่านอ๋องกับพระชายาทรงมีปัญหากันนิดหน่อยน่ะพะยะค่ะ” หลินกงกงกล่าวด้วยความอึดอัดใจ พลางลอบกลืนน้ำลายลงคอ ด้วยพระอุปนิสัยของหานไทเฮา พระนางต้องถามหาสาเหตุและช่วยแก้ปัญหาให้คลี่คลายอย่างแน่นอน หลินกงกงหลบสายพระเนตรของหานไทเฮา แต่สุดท้ายก็ไม่อาจปกปิดความจริงเรื่องปัญหาของหานไท่หยางกับจางอวิ๋นซีได้อยู่ดี “เจ้าเล่ามาให้หมด ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น” หานไทเฮารับสั่ง หลินกงกงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น เท่าที่ตนเองพอจะทราบเท่านั้น โดยเขาเล่าแค่เพียงว่าหานไท่หยางกับจางอวิ๋นซีมีปัญหาไม่ลงรอยกัน จนทำให้ทั้งสองต้องทะเลาะกันและหานไท่หยางได้ลงโทษจางอวิ๋นซีด้วยการให้ไปเป็นนางรับใช้และปลดจากตำแหน่งพระชายาเอก อันที่จริงขันทีอาวุโสก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ในเมื่อท่านอ๋องของ เขาไร้เหตุผลต่อพระชายาก่อน ก็สมควรยิ่งนักที่ไทเฮากับฮองเฮาจะยื่นมือเข้ามาจัดการ “คิดไม่ผิดจริงๆ คราแรกพวกข้าตั้งใจว่าจะมาหาอาหยางในอีกสามวันพร้อมกับจางฮูหยิน แต่บัดนี้อาหยางทำสิ่งที่ผิดพลาดด้วยอารมณ์หุนหันพลันแล่นนัก ทำให้ซีเอ๋อร์ต้องถูกปลดจากตำแหน่งพระชายาเป็นนางกำนัล เป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลเสียจริง” พระนางทรงต่อว่าบุตรชายตนเองต่อหน้าหานไทเฮา ทรงหันมาถามอีกฝ่ายอย่างขอคำปรึกษา “เสด็จแม่ เราจะทำอย่างไรกันดีเพคะ” หานไทเฮาทรงยิ้ม ทรงมีแผนการบางอย่างในใจแล้ว “หากอาหยางต้องการให้นางเป็นนางกำนัล เราก็จะทำให้เป็นเช่นนั้นเอง” ในเมื่อจางอวิ๋นซีถูกปลดเป็นนางกำนัล ทำงานในโรงครัว บัดนี้ไทเฮาทรงรู้แล้วว่าควรทำอย่างไร พระนางทรงกระซิบกับหลิวฮองเฮาเพียงสองคน ทั้งสองสตรีสูงศักดิ์ยิ้มให้แก่กัน “เป็นวิธีที่ดียิ่งเพคะเสด็จแม่” หลิวฮองเฮาทรงยิ้มกว้างจางอวิ๋นซีกำลังหมกมุ่นกับการเตรียมของว่างถวายไทเฮาและฮองเฮา โดยมิทันได้สังเกตเห็นหานไท่หยางกำลังเดินเข้ามาหานางด้วยความโกรธ เขากระชากแขนนางพร้อมกับใช้มืออีกข้างโอบกระหวัดเอวของหญิงสาวให้แนบชิดกับแผงอกแกร่ง
เหล่าแม่ครัวและหรูหรงต่างก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย “ท่านอ๋อง ท่านจะทำข้าอะไรข้าอีก!” นางร้องถาม สองมือพยายามทุบแผงอกให้เขาปล่อยนาง แต่สุดท้ายนางก็ทำไม่สำเร็จ อีกทั้ง เขายังตีหน้าดุใส่นางราวกับนางทำความผิดร้ายแรง “หยางเอ๋อร์” เสียงเรียกของหลิวฮองเฮา เรียกหานไท่หยางที่โทสะคุกรุ่น ได้ที่หันไปหาพระมารดา แต่ทว่าสองมือนั้นยังโอบรอบเอวหญิงสาวเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “ฮองเฮา ไทเฮา” จางอวิ๋นซีตกใจ นางไม่คิดว่าจะเจอสองสตรีสูงศักดิ์ในสถานที่แบบนี้ เหล่าแม่ครัวและหรูหรงต่างถวายความเคารพต่อไทเฮาและฮองเฮาพร้อมกัน “ซีเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงแต่งตัวเยี่ยงบ่าวรับใช้เช่นนี้กัน” หลิวฮองเฮาไม่สนใจพระโอรสเพียงนิดเดียว พระนางทรงเดินเข้ามาหาจางอวิ๋นซีมองนางด้วยความห่วงใย ก่อนจะตวัดสายตาถามหาคำตอบจากบุตรชายที่ยืนนิ่งอยู่ “อาหยาง เจ้าทำอันใดกับนาง ที่เจ้าไม่มาเข้าเฝ้าแม่กับเสด็จย่า เพราะเจ้าลงโทษนางงั้นรึ” หลิวฮองเฮาทรงมองบุตรชายอย่างไม่พอพระทัย การที่หานไท่หยางทำเช่นนี้ไม่ต่างกับลบหลู่เกียรติและศักดิ์ศรีของผู้เป็นชายาเลยแม้แต่น้อย “คือว่า เสด็จแม่ เสด็จย่า...” อ๋องหนุ่มพยายามอธิบาย แต่เขาในยามนี้อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่ง ยิ่งเห็นสายตาไม่พอใจของพระมารดากับเสด็จย่า ยิ่งรู้สึกกดดันนัก “ซีเอ๋อร์ เจ้าตอบย่ามา หลานย่าแกล้งอันใดเจ้า” ไทเฮาทรงถามด้วยความห่วงใย “เจ้าไม่ต้องกลัวสิ่งใดทั้งนั้นซีเอ๋อร์” “หม่อมฉันเองก็ไม่ทราบเพคะ ว่าพูดสิ่งใดให้ท่านอ๋องไม่พอพระทัย เขาจึงลงโทษหม่อมฉันแบบนี้” หญิงสาวแสร้งบีบน้ำตากล่าวให้น่าสงสาร ในเมื่อนางต่อกรหานไท่หยางไม่ได้ นางก็ขอยืมหลิวฮองเฮาและหานไทเฮาเป็นเกราะกำบังหน่อยเถิด เวลาเห็นเขาอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ น่าสนุกนัก! “หม่อมฉันไม่ได้รักนาง เหตุใดต้องทำดีกับนางด้วยเล่า” อ๋องหนุ่มกล่าว “แล้วเหตุใดเจ้าจึงตอบรับสมรสพระราชทาน ในเมื่อเจ้าไม่ได้รักนาง ทำแบบนี้นางคือคนที่เสื่อมเสีย!” หานไทเฮาทรงถามเสียงดังอย่างไม่พอพระทัย ไม่คาดคิดนักว่าหลานชายที่ฝากฝังความหวังทั้งมวลเอาไว้จะเป็นบุรุษเช่นนี้ “สมรสพระราชทานเป็นสิ่งที่ไม่อาจขัดได้ กระหม่อมจึงไม่บังอาจขัดราช โองการ แต่ในเมื่อนางแต่งเข้ามาเป็นชายา นั่นก็เท่ากับนางยอมรับสถานะของตนเองแล้ว ในเมื่อนางมีสถานะเป็นคนของหลาน หลานย่อมทำสิ่งใดกับนางก็ย่อมได้” ชายหนุ่มไม่สนใจสักนิดว่าหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพระชายาของตนเองจะโกรธขนาดไหน จางอวิ๋นซีโพล่งเอ่ยขึ้นมา “หากตอนนี้เจ้าปฏิเสธเหมือนกับข้า ข้าก็คงไม่โดนเจ้าลบหลู่แบบนี้หรอก!” นางอดรนทนไม่ไหว ในเมื่อเขาทำสิ่งนี้ที่ยิ่งกว่าให้นางอับอายกลางตลาด แค่จูบนางกลางตลาดให้อับอายนางยังพอทนได้ แต่นี่พอแต่งเข้ามาแล้วคิดกดขี่หาเรื่องหย่ากับนาง เขาใจร้ายยิ่งนัก! “เจ้า..!” หานไทเฮาทรงผิดหวังยิ่งนัก ก่อนที่พระวรกายจะทรุดลงกับพื้นหมดสติไป “ไทเฮา” จางอวิ๋นซีรีบปรี่เข้ามาหาหานไทเฮาอย่างว่องไว เหล่าขันทีช่วยกันประคองร่างของพระนางไปที่ตำหนักใหญ่ของหานไท่หยาง “พวกเจ้าไปตามหมอหลวงมา!” หลิวฮองเฮารับสั่งกับขันทีของไทเฮา จางอวิ๋นซีนั่งลงข้างๆ ร่างของไทเฮาที่หมดสติ นางถกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะก้มลงใช้ใบหูแนบกับหน้าอกฝั่งซ้ายฟังเสียงอัตราการเต้นของหัวใจ “เจ้าจะทำอะไร ลุกออกมาเดี๋ยวนี้!” อ๋องหนุ่มสั่ง เขากระชากตัวนางออกมาจากร่างของผู้เป็นเสด็จย่า “ตอนนี้ข้ากำลังช่วยไทเฮาอยู่ ท่านช่วยอยู่เฉยๆ หน่อยเถอะ!” นางตะโกนตอบโต้เสียงดัง แล้วฟังเสียงชีพจรและอัตราการเต้นของหัวใจอีกรอบ “หัวใจและชีพจรยังคงปกติอยู่เพคะ คงเป็นเพราะอากาศร้อนและพระวรกายที่อ่อนแอแต่เดิมอยู่แล้ว ทำให้พระอาการกำเริบขึ้นมา...” นางกล่าวกับฮองเฮา “แล้วไทเฮาทรงเป็นอันใดมากหรือไม่” หลิวฮองเฮาถามด้วยความเป็นห่วง สายพระเนตรอดขัดเคืองบุตรชายไม่ได้ “เท่าที่หม่อมฉันดู ไม่ทรงเป็นอะไรมากเพคะ แต่ดูจากพระอาการแล้วน่าจะทรงมีอาการวิงเวียนศีรษะบ่อยใช่หรือไม่เพคะ” นางถามอย่างชำนาญ “ใช่แล้วเพคะพระชายา ไทเฮาทรงมีพระโรคเรื้อรังมาหลายปี หมอหลวงทำได้แค่ให้ยาประคับประคองอาการเท่านั้นเพคะ” นางกำนัลอาวุโสผู้ติดตามของไทเฮาเอ่ย “ไทเฮาทรงเคยเสวยน้ำขิงหรือไม่” หญิงสาวถาม หานไท่หยางมองนางด้วยความสงสัย ความเก่งกาจและความชำนาญเรื่องการแพทย์ของนางเป็นที่ประจักษ์นัก “ไม่เคยเพคะ หมอหลวงบอกว่าขิงมีรสเผ็ดร้อน ไม่เหมาะต่อพระวรกายของไทเฮา” นางกำนัลคนเดิมเอ่ย จางอวิ๋นซีเอามือตีหน้าผากดังเปาะ ตำราใดกันที่ห้ามสมุนไพรเหล่านี้ต่อร่างกายของผู้ป่วย แม้แต่ในวงการแพทย์สมัยใหม่ยังยอมรับสมุนไพรอย่างขิงเป็นยอดแห่งการบำรุงเลือดลม อีกทั้งยังไม่ส่งผลเสียต่อผู้ที่มีโรคประจำตัวด้วย “หรูหรง เจ้ารีบไปเอาเปลือกมะกรูดมาให้ข้า แล้วก็การบูรกับพิมเสนด้วยนะ รีบไปเลย” เมื่อได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนาย หรูหรงจึงรีบออกไปทันที มีหลินกงกงไปด้วยกันเพื่อช่วยจัดหาของที่พระชายาต้องการ “ส่วนท่าน หยางกูกู ท่านไปชงน้ำขิงมาหนึ่งจอก ขอแบบร้อนๆ เลยนะ” นางหันมาสั่งหยางกูกูต่อ “เพคะ”หรูหรงกับหลินกงกงและหยางกูกู นำสิ่งที่จางอวิ๋นซีต้องการมาครบแล้ว หญิงสาวจึงเร่งปรุงยาสมุนไพร โดยนำเปลือกมะกรูดมาบดและผสมกับพิมเสนและการบูรเล็กน้อย พอให้มีกลิ่นหอมผ่อนคลายของสมุนไพร ปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วจ่อที่ปลายจมูกของหานไทเฮา
กลิ่นหอมของเปลือกมะกรูดและความเย็นจากพิมเสนกับการบูร ช่วยให้หานไทเฮาทรงฟื้นพระวรกายอย่างรวดเร็ว จางอวิ๋นซีค่อยๆ ประคองร่างของหญิงชราขึ้นมาอย่างแผ่วเบา “ดีนะเพคะที่ซีเอ๋อร์มีวิชาการแพทย์ นางจึงช่วยเสด็จแม่ได้ทัน” หลิวฮองเฮาชื่นชมจางอวิ๋นซีต่อหน้าไทเฮาด้วยพระพักตร์ยิ้มแย้ม “สตรีเช่นนี้ หากบ้าน ใดได้แต่งเป็นภรรยา ลูกสะใภ้ คงเป็นวาสนานักเพคะ” “ไทเฮา ทรงจิบน้ำขิงร้อนก่อนนะเพคะ น้ำขิงจะช่วยบำรุงเลือดลมได้” หญิงสาวหยิบจอกน้ำขิงป้อนหานไทเฮาอย่างเอาใจ “ซีเอ๋อร์ของย่าเป็นเด็กดีจริงๆ เสียดายนักที่ผู้อื่นมองไม่เห็นความดีของเจ้า ย่าคงไม่มีวาสนาได้เจ้ามาเป็นหลานสะใภ้จริงๆ หากเจ้าและอาหยางไม่เต็มใจแต่งงานกัน ย่าก็จะอนุญาตให้พวกเจ้าทั้งสองหย่าจากกันได้” ไทเฮาทรงกล่าวอย่างเอ็นดู ทรงปรายสายพระเนตรไปทางหลานชายตัวดีที่ยืนอึ้งกับคำกล่าวของพระนาง “ฮองเฮา เจ้าจะโกรธแม่หรือไม่” ทรงถามหลิวฮองเฮา “ไม่เพคะ หม่อมฉันผิดเองที่คิดจับทั้งสองสมรสพระราชทานกัน ให้ซีเอ๋อร์ไปอยู่ในวัง แล้วค่อยส่งหนังสือหย่ามาหากนางเต็มใจหย่าเพคะ” ฮองเฮาและไทเฮาทรงลอบยิ้มให้แก่กัน “ไม่ได้นะพะยะค่ะ นางเป็นคนของหลาน แต่งเป็นชายาของหลาน นางก็ต้องอยู่ที่นี่!” หานไท่หยางแย้งขึ้นมาทันควันหานไทเฮาลอบยิ้มกับหลิวฮองเฮา
“หม่อมฉันอยากหย่าเพคะ!” หญิงสาวกล่าวขึ้นมาทันที นางตวัดสายตามองหานไท่หยางอย่างไม่พอใจ ในเมื่อเขาไม่เคยรักนาง แล้วจะถือสิทธิ์อันใดมารั้งนางเอาไว้กัน ในเมื่อไม่ได้รักกันตั้งแต่แรกก็ไม่ควรรั้งนางเอาไว้ และไม่ควรแต่งงานกับนางเพียงเพราะแค่สมรสพระราชทานนั่น หานไทเฮาลำบากพระทัยยิ่งนัก “เอาแบบนี้แล้วกันซีเอ๋อร์ เจ้ามาอยู่กับย่าและฮองเฮาในวัง หากเจ้ายินดีที่จะหย่าจริงๆ ย่าจะอนุญาตให้เจ้ากับหยางเอ๋อร์หย่ากันโดยไม่โต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น” เฉินหรงกับหลินกงกงลอบมองสีพระพักตร์ของท่านอ๋องด้วยความสะใจ ‘ท่านอ๋องเอ๋ย ท่านอ๋อง...แค่ไม่กี่วันก็เริ่มหลงรักพระชายาเสียแล้วกระมัง’ “หากนางต้องการเช่นนั้น ก็ตามใจนางพะยะค่ะ” อ๋องหนุ่มหันหน้ามองไปทางอื่น ตอนนี้เขาไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก ยิ่งเมื่อรู้ว่าเสด็จย่าของเขารู้เห็นเป็นใจคิดให้เขาหย่ากับนาง แค่เขาปลดนางไปเป็นนางกำนัลแค่ไม่กี่วัน นางกลับทำให้เสด็จย่าและเสด็จแม่ของเขาต้องออกโรงมาปกป้องถึงเพียงนี้ นางต้องทำเสน่ห์เล่ห์กลอันใดเป็นแน่ “แต่เรื่องนี้ข้าจะยังไม่บอกแม่ของเจ้า ข้าจะบอกว่าข้าอยากให้เจ้ามาอยู่กับข้าในวังสักระยะเท่านั้น” ไทเฮาเอ่ย “หลานรัก เจ้าไปเก็บข้าวของมาเถิด ข้าจะจัดตำหนักรับรองให้เจ้าอยู่ หากเจ้าสบายใจและพร้อมหย่าเมื่อใดก็บอกข้ากับไทเฮามาได้” ฮองเฮาลูบศีรษะจางอวิ๋นซีด้วยความเอ็นดู จางอวิ๋นซีกับหรูหรงจึงไปเก็บข้าวของของตนเอง หานไท่หยางก้าวตามพวกนางไปอย่างไม่พอใจจางอวิ๋นซีเก็บข้าวของเฉพาะของตนเองที่นำมาด้วยเท่านั้น ทรัพย์สินอย่างอื่นที่เป็นของร่วมกับหานไท่หยางนางไม่คิดจะเก็บมาด้วย นางเกรงว่าเขาจะหาทางมาเอาคืนและทำร้ายนางในภายหลังอีก
หมับ ชายหนุ่มคว้าแขนของหญิงสาวจากด้านหลัง บังคับให้นางหันหน้ามาหาเขาแล้วบีบปลายคางของนางแน่นจนเจ็บระบม “เจ้า! ปล่อยข้านะ” หานไท่หยางยอมปล่อยนางแต่โดยดี เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองนางด้วยสายตาน่ากลัว กัดฟันกล่าวต่อนางด้วยความโมโห “ต่อให้เจ้าไม่อยากแต่งงานกับข้า ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าไปแต่งงานกับหานอี้เด็ดขาด อะไรที่เป็นของข้าข้าจะไม่ยอมสูญเสียไป แล้วอีกอย่างข้าจะไม่มีวันหย่ากับเจ้า!” ใบหน้าหล่อคมยื่นเข้ามาประชิดใบหน้างดงามของหญิงสาว สายตาที่จ้องมองนางหาใช่สายตาของผู้ที่กำลังโกรธเกรี้ยว แต่เป็นสายตาที่ฉายแววความน้อยเนื้อต่ำใจ โดยเฉพาะสายตาเช่นนี้ที่มีต่อนาง “ข้าไม่เคยรักหานอี้ และไม่เคยรักใคร ข้ารักใครไม่ได้ด้วย เราสองคนไม่ได้รักกัน ท่านไม่มีเหตุผลเสียแล้ว มีสตรีมากมายที่พร้อมแต่งงานเป็นชายาของท่าน ท่านไม่ต้องมาทำเช่นนี้กับข้าด้วย” นางกล่าวจบพลางเดินออกไปนอกเรือน อย่างรวดเร็ว ข้าวของทั้งหมดของจางอวิ๋นซี ถูกขันทีของไทเฮาขนขึ้นเกี้ยวไปจนหมด นางขึ้นเกี้ยวตามหลังไทเฮาและฮองเฮา สายตาเห็นหานไท่หยางมองนางมา สายตานั้นทอประกายด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้นางเจ็บแปลบในอก ‘ทำไมฉันต้องมารู้สึกเสียใจด้วยนะ’เกี้ยวของทั้งสามมาหยุดหน้าตำหนักคังเฉวียนของไทเฮา ที่พักของจางอวิ๋นซีคือเรือนฝั่งตะวันออกของตำหนักคังเฉวียน ซึ่งเป็นเรือนรับรองที่หรูหราสมฐานะพระชายาอ๋องยิ่งนัก นอกจากนี้จางอวิ๋นซีได้ขออนุญาตไทเฮาไปช่วยงานที่โรงหมอหลวง แม้คราแรกไทเฮาจะคัดค้านแต่สุดท้ายก็พระทัยอ่อน ยอมให้นางไปเรียนรู้ตำรับยาสมุนไพรจากท่านหมอหลวง
ผ่านไปสามวัน จางอวิ๋นซีช่วยงานที่โรงหมอหลวง ด้วยการจัดยาสมุนไพรและถือโอกาสเรียนรู้ตำรับยาสมุนไพรจากหัวหน้าหมอหลวงของวังหลวง ซึ่งแม้ในโลกปัจจุบันนางจะเป็นแพทย์แผนตะวันตก แต่ทว่าสมุนไพรจีนและสมุนไพรทั่วโลกต่างเป็นยารักษาที่มีประสิทธิภาพไม่ต่างจากยาทางเคมีเลยแม้แต่น้อย แม้จะใช้ระยะเวลานานกว่าจะรักษาหาย แต่กลับได้ผลข้างเคียงน้อยเป็นที่น่าพึงพอใจนัก เมื่อสบโอกาสนางจึงถามพระอาการป่วยของไทเฮา “พระอาการป่วยของไทเฮาเมื่อสามวันก่อนที่จวนอ๋อง ข้าสงสัยว่าพระอาการกำเริบอาจมิใช่เพราะทรงเป็นลมแดดเพียงอย่างเดียว พระนางทรงมีพระโรคแทรกซ้อนอีกหรือท่านหมอหลวง” จางอวิ๋นซีถามหมอหลวงอย่างสนใจ “ทูลพระชายา พักนี้ที่พระอาการของไทเฮาทรงเป็นเช่นนี้เรื่อยๆ กระหม่อมพบว่าพระนางมีอาการใกล้เคียงกับโรคของพวกพ่อค้าฝรั่ง ที่เรียกว่า เอ่อ...วัณโรคปอดพะยะค่ะ” หมอหลวงมีสีหน้าวิตกกังวล “วัณโรคปอด” นางขมวดคิ้วพึมพำเบาๆ “แต่วันนั้นที่ข้าตรวจชีพรจรแล้ว พระนางเหมือนมีอาการแทรกซ้อนของภาวะลมแดด ทรงแพ้สมุนไพรอันใดหรือไม่” “พระชายา ก่อนที่ท่านจะมาที่นี่ ก่อนหน้านี้ไทเฮาทรงประชวรด้วยอาการไอเป็นพระโลหิตพะยะค่ะ แต่พระนางขอให้กระหม่อมปกปิดเรื่องนี้ไว้ ก็เลย เลย...” หมอหลวงก้มหน้ายอมรับสำนึกผิด จางอวิ๋นซีหัวเสีย นางอยากจะเขกหัวหมอหลวงนักที่ไม่มีจรรยาบรรณในอาชีพ หากเป็นโลกปัจจุบันที่เธอจากมาหมอที่ปกปิดอาการป่วยของคนไข้นั้นมีโทษทางวินัยสถานหนักทีเดียว แต่หากไม่ติดที่หมอหลวงผู้นี้อาวุโสกว่า นางอยากจะเขกหัวเขาจริงๆ นะ “ท่านไม่รู้หรือว่าวัณโรคปอดนี้อันตรายขนาดไหน หากรักษาช้ากว่านี้อาจถึงตายได้นะ!” นางบ่นเสียงดังกับหมอหลวง แต่ว่าเมื่อนึกถึงวัณโรคปอด นางก็นึกถึงมารดาอย่างจางฮูหยินที่ป่วยด้วยโรคนี้เช่นกัน ยาสมุนไพรที่นางให้กินมารดาจะดีขึ้นหรือไม่นะ “หรูหรงๆ” จางอวิ๋นซีเรียกหรูหรงที่ช่วยตากยาสมุนไพร สาวใช้คนสนิทเดินเข้ามาเจ้านายของตนเอง “เพคะ พระชายา” หรูหรงเอ่ย “เจ้าหยุดมือจากงานทั้งหมด แล้วกลับไปที่จวนหาท่านแม่ข้าหน่อย ยาที่ข้าให้นางกินนางเริ่มอาการดีขึ้นบ้างหรือยัง ไปสืบมาให้ข้าที” นางร่ายคำสั่งเสียยืดยาว แต่ทว่าหรูหรงกลับเข้าใจได้ทันที นางชะงักเท้าหันหลังกลับมาหาจางอวิ๋นซีเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ “ให้หม่อมฉันแวะไปสืบที่จวนท่านอ๋องด้วยหรือไม่เพคะ” “ไม่ต้องเลย! อย่าเอ่ยนามเขาให้ข้าได้ยินอีกนะ” นางสั่ง “เพคะๆ” หรูหรงยกมืออย่างเกรงใจ ก่อนจะรีบวิ่งออกไป ว่าแต่...ตอนนี้หานไท่หยางจะเป็นอย่างไรบ้างนะ“ท่านอ๋อง เสวยพระกระยาหารหน่อยเถิดพะยะค่ะ” หลินกงกงเกลี้ยกล่อมหานไท่หยาง นี่ผ่านไปสามวันแล้ว นับตั้งแต่พระชายาเอกจางกับหานไท่หยางตัดสินใจจะหย่าขาดจากัน ท่านอ๋องของเขาก็ไม่เป็นอันกินอันนอนใดๆ แม้กระทั่งการฝึกซ้อมรบเช่นทุกวันก็ทรงไม่สนใจ กลับเอาแต่หมกมุ่นกับสุราและขนมหวานชิ้นนั้นที่พระชายาทำเองกับมือ แต่ทว่าชายหนุ่มทำได้แต่เพียงมอง มิได้
ละเลียดชิมเลยแม้แต่คำเดียว “อาหารนี่ทำให้สุนัขทานหรือไร?!” อ๋องหนุ่มโวยวายด้วยความเมามายจากฤทธิ์สุรา เพล้ง! ชายหนุ่มปัดจานสำรับจนตกแตกละเอียด ร้อนให้หลินกงกงพานางกำนัลและขันทีเข้ามาเก็บกวาดให้สะอาด “อึก...นางคิดทอดทิ้งข้าไปแต่งงานกับหานอี้หรืออย่างไร” อ๋องหนุ่มสะอึกนิดหนึ่งแล้วเอ่ยตัดพ้อ หลินกงกงกับเฉินหรงได้แต่มองด้วยความเห็นใจ ท่านอ๋องของพวกเขาเป็นคนประเภทเก็บความรู้สึก มีสิ่งใดในพระทัยก็ไม่ยอมบอกใคร รู้สึกเช่นใดก็มิเคยแสดงออกมา แต่เพลานี้เพิ่งแต่งพระชายาเข้าจวนได้เพียงสามวัน ท่านอ๋องก็พลันคิดถึงนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ ดูแล้วท่านอ๋องของพวกเขาคงหลงรักพระชายาเป็นแน่ “หากทรงคิดถึงพระชายา กระหม่อมจะไปสืบข่าวจากในวังมาให้พะยะค่ะ” เฉินหรงรับอาสา เขาทำท่าจะออกไปแต่ถูกอ๋องหนุ่มสั่งห้าม “ไม่ต้อง อึก! ข้าไม่อยากรับรู้ข่าวอะไรของนางทั้งนั้น นางอยากหย่าจากข้าก็ปล่อยนางไป!” หานไท่หยางกล่าวด้วยความเมามาย แต่สองมือนั้นยังคงกอดหมอนที่นางนอนหนุนซึ่งยังมีกลิ่นของนางติดอยู่ นับตั้งแต่คืนแรกที่เข้าหอด้วยกัน จะให้สืบข่าวของนางมาเพื่ออะไร ในเมื่อนางคงกำลังดีใจที่จะหย่ากับเขาทำให้เขาเจ็บช้ำใจมากไปอีกอาการของจางฮูหยินดีขึ้นตามที่หรูหรงเล่ามา เพราะยาสมุนไพรขมิ้นชันที่จางอวิ๋นซีได้แนะนำให้บ่าวคนสนิทของมารดา ปั้นเป็นลูกกลอนให้มารดากินนั่นเอง แต่ว่านางมิได้เล่าเรื่องที่จางอวิ๋นซีออกจากจวนอ๋องมาอยู่ในวัง เหตุผลเพียงเพราะต้องการหย่าเนื่องจากไม่เห็นด้วยกับสมรสพระราชทาน เพราะถ้าหากเล่าไปอาการของจางฮูหยินอาจกำเริบขึ้นมาอีก
“ท่านแม่ตอนนี้ดีขึ้นมาแล้วหรือ?” นางถามอย่างดีใจ “เพคะ ยาของพระชายาดีมากๆ เลยเพคะ บ่าวของฮูหยินใหญ่บอกว่าได้กินยาตามตำรับที่พระชายาจัดเอาไว้ อาการของฮูหยินใหญ่ก็ดีขึ้นภายในไม่กี่วัน” หรูหรงกล่าวยกยอปอปั้นเสียใหญ่โต “ไม่ต้องเรียกข้าว่าพระชายาแล้วก็ได้ อีกไม่นานข้าก็จะหย่ากับหานอ๋องแล้ว ก็จะมีสถานะเป็นคุณหนูดังเดิม” นางกล่าว “แต่ช่วงนี้บ่าวเห็นฮูหยินรองกับคุณหนูใหญ่ เข้าออกตำหนักของหยางเต๋อเฟยบ่อยๆ ด้วยนะเพคะ พระชายาคงไม่คิดว่าพวกนางจะ...” หรูหรงเห็นสองแม่ลูกคือหลี่ฮูหยินกับจางเซียวหรู เดินเข้ามาตำหนักฝ่ายใน นางจึงแอบสะกดรอยตามไปจนรู้ว่าสองแม่ลูกนั้นไปเข้าเฝ้าหยางเต๋อเฟย “พวกนางจะเป็นอันใดล้วนไม่เกี่ยวกับข้า หากพวกนางอยากไต่เต้าเป็นชายาอ๋อง ก็เรื่องของพวกนางแล้ว ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น” หญิงสาวไม่ใคร่ใส่ใจสองแม่ลูกคู่นี้มากนัก นางหันมาจัดสมุนไพรที่เพิ่งตากแห้งเสร็จ “แต่พระชายาเพคะ หากพวกนั้นรู้ว่าพระชายาคิดจะหย่ากับท่านอ๋อง ท่านไม่อายพวกนางหรือเพคะ แล้วไหนจะมารดาของท่านอีก จะต้องถูกพวกนั้นเหยียดหยามเป็นแน่” หรูหรงถาม จางอวิ๋นซีคิดในใจ เหตุใดนางจะไม่กลัวว่าจางฮูหยินจะกลายเป็นที่ครหากันล่ะ แต่นางมาที่โลกอดีตนี้ไม่ใช่เพราะต้องการแต่งงานกับหานไท่หยาง แต่นางติดค้างคำสัญญากับจางอวิ๋นซีคนก่อนที่จะช่วยตามหาคนร้ายที่คิดฆ่าอีกฝ่าย นางไม่ควรผิดคำสัญญากับอีกฝ่ายสิ หญิงสาวไม่สนใจสิ่งที่หรูหรงพยายามกล่าวอีก แต่ลึกๆ ในใจนางอดเป็นห่วงหานไท่หยางไม่ได้หนึ่งเดือนผ่านไป
หนึ่งเดือนแล้วที่จางอวิ๋นซีมาอยู่กับไทเฮาและฮองเฮาที่วัง บริเวณเขตตำหนักคังเฉวียนเงียบสงบนัก เป็นพระราชฐานฝ่ายในที่คุมเข้ม ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านเท่ากับตำหนักใหญ่ของฮ่องเต้เท่าใด นางสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจ จะมีบ้างก็บางครั้งที่หลินกงกงพยายามเกลี้ยกล่อมให้นางไปง้อหานไท่หยาง เป็นคนบอกเองว่าไม่เต็มใจแต่งงานกับนาง ทั้งยังพูดเรื่องหย่าขึ้นมาก่อนแล้วนางจะไปง้อทำไมกัน! วันนี้หญิงสาวออกมาเดินเล่นนอกตำหนักคังเฉวียน เจอหานอี้กำลังอยู่กับจางเซียวหรู ดูจากทั้งหมดแล้ว จางเซียวหรูคงเป็นฝ่ายตามหานอี้เสียมากกว่า และดูท่าทางหานอี้คงไม่พอใจแต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ “อ้าว น้องหญิง ไม่สิ พระชายาเอก” จางเซียวหรูแสร้งเรียกทักทายจังหวะที่จางอวิ๋นซีกำลังจะหันกลับไป หญิงสาวที่ถูกเรียกหันหน้ากลับมาแสร้งปั้นยิ้มกลบเกลื่อนความไม่พอใจ “น้องสะใภ้” หานอี้ทักทายพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น จางเซียวหรูกระชับแขนของอีกฝ่ายแน่นเป็นเชิงตอกย้ำจางอวิ๋นซี “อ๋องใหญ่ พี่หญิง มีอะไรกับข้าหรือ?” นางปั้นยิ้มถาม ร้ายมาก็ร้ายกลับล่ะ! “แต่งเป็นพระชายาจวนอ๋อง ไม่คิดจะมาเยี่ยมครอบครัวกับพี่สาวเลยรึ” จางเซียวหรูแสร้งเอ่ยด้วยความน้อยใจ แต่ทว่าแววตากลับมีแต่ความสงสัยเต็มไปหมด “แล้วท่านอ๋องรองเล่า สามีน้องหญิงไม่มาด้วยรึ” “ท่านพูดกับข้า แต่ทำไมต้องถามถึงสามีข้าด้วย” นางย้อนถาม จางเซียวหรูปล่อยมือจากแขนของหานอี้ นางปั้นยิ้มหวานตอบกลับไป “แหม พี่สาวคนนี้เป็นห่วง กลัวว่าเจ้าจะอยู่จวนอ๋องไม่ทนเท่าไหร่ หากคิดถึงบ้านก็กลับมาเถิดนะ พี่สาวยังอยู่ข้างเจ้าเสมอ” จางอวิ๋นซีย่อตัวลง นางแสร้งคลี่ยิ้มแสดงน้ำใจ “ขอบน้ำใจพี่หญิงนัก แต่ข้าคงไม่ตกอับถึงขนาดต้องไปขอให้ท่านยืนข้างข้าหรอก เพราะท่านเองก็ไม่เคยยืนข้างข้ามาแต่แรก” ‘คิดจะหักหน้ากันหรอ ฝันไปเถอะ’ จางอวิ๋นซีคิดในใจ จางเซียวหรูกำหมัดแน่น นางพยายามรักษาท่าทีอ่อนหวานมีน้ำใจต่อหน้าหานอี้ แต่ดูเหมือนน้องสาวต่างมารดาพยายามจะหักหน้านางเสียเหลือเกิน “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะท่านอ๋องใหญ่...และหวังว่าจะไม่ต้องเจอกันอีกนะเพคะ เพราะวังหลวงออกจะกว้างใหญ่” นางคลี่ยิ้มทิ้งท้าย แล้วเดินจากไป หานอี้นึกเคืองตนเองในใจ เป็นเพราะคราวนั้นที่เขาสารภาพความรู้สึกที่มีต่อนางไป จนอาจทำให้นางเคืองเขาจนแทบไม่อยากมองหน้า เหตุการณ์เมื่อสักครู่นางก็แทบไม่มองหน้าเขาเลย นางทำเพียงแค่ทักทายตามมารยาทเท่านั้น หากตอนนั้นเขามีความกล้าขอนางแต่งงานก่อนหานไท่หยาง ป่านนี้นางคงกลายเป็นพระชายาเอกของเขาไปแล้ว “หม่อมฉันว่าเรากลับกันเถอะเพคะ” จางเซียวหรูเกาะแขนหานอี้อีกครั้งอย่างออดอ้อน นางมั่นใจว่านางนั้นงดงามไม่ต่างจากจางอวิ๋นซี นางคงมีวาสนาบารมีได้เป็นพระชายาเอกของอ๋องใหญ่บ้างล่ะ หานอี้แกะมือนางออกจากแขน “ขออภัยแม่นางจาง แต่ข้าต้องไปแล้ว” “ท่านอ๋องเพคะ รอหม่อมฉันด้วยสิเพคะ..” จางเซียวหรูนิ่งอึ้งเพียงชั่วครู่ นางเดินตามหานอี้ที่ทิ้งห่างนางออกไปอย่างรวดเร็ว นี่นางพยายามลงทุนใช้มารยาหญิงกับเขาขนาดนี้ แต่เขาก็ยังมิใจอ่อนรับนางเป็นพระชายาอีก!เกือบหนึ่งเดือนที่หานไท่หยางมิได้สะสางราชกิจสงครามทางตอนเหนือเลยสักนิด การที่อ๋องหนุ่มแทบไม่สนใจราชกิจเลยทำให้เฉินหรงเป็นกังวลยิ่งนัก เพราะทางแคว้นเยว่เริ่มมีการเคลื่อนไหวทางตำบลซ่างจิ่งแล้ว หากแคว้นเยว่ยึดเมืองทางตอนเหนือไปได้หมด อาจเป็นภัยต่อแคว้นหานในภายหลังเป็นแน่
“หากท่านอ๋องทรงละเลยฎีกาจากพวกขุนนางทางตอนเหนือ แบบนี้ไม่ดีแน่ขอรับท่านกงกง” เฉินหรงกระซิบกับหลินกงกง เพราะตอนนี้พวกเขายืนอารักขาอยู่หน้าตำหนักใหญ่ของวังอ๋อง หลินกงกงถอนหายใจ “แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า ตั้งแต่พระชายาไปอยู่ในวัง ท่านอ๋องก็เอาแต่ซึม ฎีกาก็มีเปิดอ่านบ้างแต่ก็มิได้รับสั่งอันใด เกรงว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แดนอุดรคงต้องตกเป็นของอ๋องใหญ่แน่” คำพูดของหลินกงกงดังพอที่จะทำให้หานไท่หยาง ซึ่งกำลังนั่งหงอยเหงาภายในตำหนักได้ยิน แต่คราวนี้อ๋องหนุ่มเลือกที่จะไม่อาละวาดหรือสั่งลงโทษ เพราะคำพูดพวกนั้นเป็นจริงทุกอย่าง หากหานอี้มาแทนตำแหน่งเขา และตอนนี้ภรรยาก็ยังคิดหย่าขาดกับเขาอีก เขาไม่อาจสูญเสียสิ่งที่เขาพยายามสร้างมาทั้งหมดได้ และของทุกอย่างที่เป็นของเขา เขาจะไม่ยอมสูญเสียให้ใครเด็ดขาด เขาต้องพานางกลับมา! “หลินกงกง เข้ามาหาข้าที!” อ๋องหนุ่มรับสั่งเรียกหลินกงกง ขันทีอาวุโสที่ยืนกล่าวถึงเจ้านายอยู่หน้าตำหนักถึงกับสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ ในใจคงคิดว่าตนเองจะถูกลงโทษแล้วเป็นแน่ ขันทีใหญ่ของวังเดินเข้ามาด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ “พะยะค่ะท่านอ๋อง มีสิ่งใดบัญชากระหม่อมพะยะค่ะ” “ไปทำความสะอาดตำหนักและห้องบรรทมของเราให้เรียบร้อย จัดเตรียมเสื้อผ้าของพระชายาให้งดงามที่สุด ข้าจะพานางกลับมา” อ๋องหนุ่มกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง หลินกงกงอ้าปากค้างด้วยความตกใจ หยางกูกูและเฉินหรงที่ยืนฟังอยู่หน้าตำหนัก ถึงกับเผลอร้องออกมาด้วยความดีใจ ขันทีใหญ่อ้าปากตกใจค้าง “พะ พะยะค่ะ” พอหายตกใจแล้วก็รีบออกไปจากห้องทรงงานทันที เขาเก็บอาการดีใจเอาไว้ไม่อยู่ เผลอปลดปล่อยกับเฉินหรงและหยางกูกู “อีกไม่นานวังนี้คงมีท่านอ๋องน้อยมาเดินเล่นแน่ๆ เจ้าค่ะท่านกงกง” หยางกูกูดีใจยิ่งกว่าใคร “เจ้ารีบไปเกณฑ์คนมาช่วยข้าหน่อยแล้วกัน” หลินกงกงสั่งกับหยางกูกูในทุกๆ วัน จางอวิ๋นซีมักจะมาช่วยงานหมอหลวง สลับกับไปเข้าเฝ้าไทเฮาและฮองเฮา ในทุกๆ วันนางจะมักมีสำรับเลิศรสให้ทั้งสองพระองค์และหานฮ่องเต้ได้เสวย สำรับแต่ละอย่างเป็นที่พอพระทัยของทั้งสามพระองค์นัก ถึงขนาดที่ไทเฮามอบไข่มุกราตรีให้นางเป็นรางวัลอีกต่างหาก
“ซีเอ๋อร์ของย่าเก่งขนาดนี้ เจ้าไม่คิดเปลี่ยนใจจากอาหยางจริงหรือ” ไทเฮากล่าวด้วยความรู้สึกแสนเสียดาย นี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว แต่อีกฝ่ายยังคง ยืนกรานหนักแน่น นางยังต้องการหย่าขาดจากหานไท่หยาง “ท่านอ๋องไม่พอพระทัยกับการแต่งงานครั้งนี้ หม่อมฉันคิดว่าให้เขาได้แต่งงานสตรีที่รักมากที่สุดเข้ามาในวังดีกว่าเพคะ หม่อมฉันไม่อยากขัดความสุขของเขา อีกทั้งหม่อมฉันเองก็ยังมีสิ่งที่ไม่ได้ทำตั้งมากมาย” นางกล่าว “แต่เจ้าไม่เสียดายหรือ ที่จริงอาหยางน่ะไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าเห็นหรอกนะ แม้จะใจร้อนไปบ้าง หรืออารมณ์โหดร้ายไปบ้าง แต่กับเจ้าเขายอมทุกอย่าง ยอมเลือกจะหย่าขาดกับเจ้าหากเจ้าต้องการ เจ้าคิดว่าคนนิสัยเช่นนี้จะโหดร้ายกับทุกคนหรือ” หลิวฮองเฮาพยายามเกลี้ยกล่อมอีกแรง หญิงสาวพูดไม่ออก เป็นเพราะตลอดเวลาสามสิบปีนางไม่เคยมีความรัก จึงไม่รู้ว่าการมีความรักนั้นมันดีอย่างไร ในโลกปัจจุบันเธอเติบโตมาแบบตัวคนเดียว แม้จะมีครอบครัวแต่ครอบครัวก็ต่างให้เธออยู่อย่างโดดเดี่ยว ความอบอุ่นเป็นแบบใดเธอยังไม่เคยสัมผัสได้เลย จนมาเจอจางฮูหยินที่มอบความรักความเป็นห่วงให้อย่างเต็มเปี่ยม เธอจึงรู้สึกอบอุ่นไม่น้อย อีกทั้งในคืนนั้นที่เข้าหอกัน แม้คราแรกเขาจะรุนแรงกับนางไปบ้าง แต่ก็มีบางช่วงที่อ่อนโยนจนนางสัมผัสได้ “อาหยางน่ะมีปมในใจตั้งแต่ยังเด็ก เขาถูกพรากจากข้าไปอยู่ที่ไกลแสนไกล ห่างเหินความรักจากบิดา เขาจึงไม่รู้ว่าการมีความรัก หรือการถูกรักมันดีอย่างไร ทั้งๆ ที่ในใจของเขาโหยหาความรักมาตลอดชีวิต แม่เองก็อยากให้เจ้าเป็นคนๆ นั้น ที่มอบสิ่งที่เขาโหยหามาตลอดชีวิตให้กับเขาได้” จางอวิ๋นซีรู้สึกเสียใจไม่น้อยหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากหลิวฮองเฮา การที่คนๆ หนึ่งจะเปลี่ยนไป ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยและสภาพแวดล้อมโดยรอบ นางเพิ่งแต่งงานกับเขามาได้ไม่ถึงเดือน นางไม่ควรต่อต้านทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักนิสัยที่แท้จริงของเขาเลยสักนิด หรือนางควรจะไปขอโทษเขาดีนะ “คือ...หม่อมฉันไม่แน่ใจว่าจะเป็นคนๆ นั้นได้หรือเปล่าเพคะ” นางกล่าวอย่างไม่มั่นใจ ตอนนี้ใจของนางชักเริ่มสงสารอ๋องหนุ่มเข้าแล้ว ที่เขาเป็นแบบนี้เพราะขาดความรักมาตั้งแต่เด็กนี่เอง “อาหยางมีปัญหากับฮ่องเต้มาตั้งแต่ยังเด็ก โลกนี้มีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจเขา แม่อยากให้เจ้าอดทนเพื่อเขา ทำได้หรือไม่” หลิวฮองเฮากล่าวกับลูกสะใภ้ จางอวิ๋นซีพยักหน้าตอบ นางไม่อาจเอ่ยเป็นคำออกมาได้ เพราะทุกอย่างล้วนจุกในอกหมด นางดื้อรั้นต่อเขา นางพยายามทำทุกอย่างเพื่อต่อต้านเขา แต่สุดท้ายกลับเป็นนางเองที่พ่ายแพ้ นางผิดแล้วจริงๆสมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ