ข่าวเรื่องนางกำนัลชื่อจูเอ๋อร์ถูกขับไล่ออกจากวังอ๋องลือสะพัดไปทั่วทั้งวัง ภายในเวลาไม่กี่เค่อนับจากที่นางกำนัลผู้นั้นต่อว่าดูหมิ่นจางอวิ๋นซี พวกนางกำนัลทั้งหลายต่างคาดเดาไปในทางเดียวกันว่าอาจจะเป็นเพราะจางอวิ๋นซีที่ทำให้จูเอ๋อร์นั้นถูกไล่ออกจากวังอย่างไม่ทันตั้งตัว
เสียงร่ำไห้ของจูเอ๋อร์ทำให้จางอวิ๋นซีอดสงสารไม่ได้ แต่เพลานี้นางไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะช่วยใครได้ แม้กระทั่งตำแหน่งพระชายาเอกที่นางได้มาเพราะสมรสพระราชทานยังถูกหานไท่หยางปลดลงมาเป็นนางกำนัลเล็กๆ ได้เลย เจ้าคนบ้าอำนาจ! “ปล่อยข้านะ พวกเจ้ามาไล่ข้าแบบไม่มีเหตุผลไม่ได้นะ ข้ารับใช้ที่นี่มานาน อย่ามาทำกับข้าแบบนี้นะ!” เสียงของจูเอ๋อร์กรีดร้องโวยวายภายในเรือนหลัง จางอวิ๋นซีจึงละมือจากงานในครัวไปถามหลินกงกง “ท่านกงกง เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” จางอวิ๋นซีถาม หลินกงกงยิ้มให้กับนางเล็กน้อย “ท่านอ๋อง ทรงมีรับสั่งให้ขับนางออกจากวังพะยะค่ะ” “เรื่องอะไร ทำไมต้องลงโทษรุนแรงแบบนี้” นางอยากไปถามหานไท่หยางใจจะขาด แต่หากนางไปพบเขาตอนนี้เขาคงได้ตะเพิดไล่นางออกมาจาก ตำหนักใหญ่ให้ขายหน้าเป็นแน่ หลินกงกงยิ้มอีกรอบ “เกรงว่าเรื่องนี้พระชายาคงต้องหาคำตอบด้วยตนเองแล้วพะยะค่ะ กระหม่อมเป็นผู้น้อยได้แต่ทำตามรับสั่งของผู้เป็นนายเท่านั้น” หญิงสาวถอนหายใจ แม้กระทั่งเหตุผลเล็กๆ หลินกงกงยังไล่นางให้ไปหากับอ๋องอำมหิตนั่นอีก ในเมื่อไม่อาจทราบเหตุผลที่เขาไล่จูเอ๋อร์ออกจากวังได้ นางก็ไม่ควรไปซักไซ้ถามเขาเอง ตอนนี้นางมีสถานะเป็นนางกำนัลไม่ใช่พระชายานายหญิงของวังอีกต่อไปจางอวิ๋นซีตรวจสอบสำรับอาหารเช้าของหานไท่หยาง เซ่าปิ่งไส้เผือกและซาลาเปาไส้หมูสับส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ยั่วยวนน้ำลายของผู้ที่ได้กลิ่นและผู้ที่อยู่รายรอบนัก นานมากแล้วที่ไม่ได้กินอาหารรสชาตดีๆ นอกจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในเวลาเข้าเวรแผนกฉุกเฉิน
อาหารมื้อนี้หญิงสาวไม่ได้เป็นผู้ปรุงเอง นางจึงช่วยจัดจานสำรับอย่างสวยงาม ให้หลินกงกงนำไปถวายหานไท่หยาง “เจ้านายของเจ้าคงไม่ต้องการพบข้า เจ้าก็อาหารนี้ไปมอบให้เขาเองเถิด” หลินกงกงมองพระชายาอย่างสงสาร ถ้อยคำที่หานไท่หยางประกาศกร้าวว่าไม่อยากให้นางมาย่างกรายตำหนักใหญ่นั้น นางได้ยินแทบทุกคำ แม้นางจะทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่ทว่าหลังจากที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันเมื่อคืนแล้วนั้นทำให้นางยากที่จะไม่สนใจอีกฝ่ายได้ “เอ่อ คือ พระชายา” หลินกงกงทำท่าจะกล่าวบางอย่าง “แม้ท่านอ๋องภายนอกจะดูโหดร้าย แต่จริงๆ แล้วท่านอ๋องใส่ใจท่านมากนะพะยะค่ะ ท่านอ๋องไม่เคยใส่ใจสตรีคนไหนมาก่อนเลย” “เจ้าเอาอาหารไปให้เขาเถิด เกิดโมโหหิวขึ้นมาจะมาอาละวาดใส่ข้าอีก” นางยื่นถาดสำรับให้หลินกงกงเสร็จก็หันไปสนใจงานในครัวต่อ โดยมิลืมถามหลินกงกงอีกเรื่องหนึ่ง “อ้อ พอดีข้าว่าจะออกไปนอกวังเสียหน่อย หวังว่าท่านกงกงคงไม่ขัดข้า นะ” นางถาม หลินกงกงได้แต่พยักหน้าตอบเบาๆจางอวิ๋นซีเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในเรือนของตนเอง เป็นเสื้อผ้าแบบเรียบง่ายเหมาะกับการออกไปเดินเล่นนอกวังยิ่งนัก นางตั้งใจว่าจะไปเดินตลาดในเมืองเพื่อหาซื้อวัตถุดิบบางอย่างสำหรับทำขนมหวานที่นางอยากกิน
“ท่านอ๋องใหญ่” จังหวะที่นางกำลังจะก้าวเดินออกจากประตูวัง นางบังเอิญได้เจอหานอี้หรืออ๋องใหญ่ ซึ่งนางคาดเดาว่าเขาคงมาเยี่ยมหานไท่หยางกับนางตามธรรมเนียมหลังแต่งงานเป็นแน่ “น้องสะใภ้นั่นเอง เจ้ากำลังไปที่ใดรึ” หานอี้ทักทายด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น จางอวิ๋นซียิ้มตอบอย่างอายๆ “หม่อมฉันกำลังจะออกไปซื้อของนอกวังเพคะ” นางกล่าวตอบเสียงหวาน “แล้ว อาหยางรู้เรื่องนี้หรือเปล่า” หานอี้ถามอย่างใส่ใจ “เอ่อ ท่านอ๋องใหญ่คงมาเยี่ยมหานอ๋อง หม่อมฉันจะให้คนไปกราบทูลเพคะ” นางหันไปทางหรูหรงส่งสัญญาณสายตาให้อีกฝ่าย หรูหรงเข้าใจทันที นางจึงเดินผละออกไปที่ตำหนักใหญ่ แต่หานอี้นั้นกล่าวดักเอาไว้ก่อน “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวข้าไปหาเขาเอง...” หานอี้ตอบ เขาระบายยิ้มอบอุ่นให้กับหญิงสาวตรงหน้า “แต่ว่า เจ้ามีปัญหาอันใดกับอาหยางหรือไม่” หญิงสาวระบายยิ้มแห้งๆ จะให้นางตอบได้อย่างไรว่าถูกลดสถานะเป็นเพียงนางกำนัลเล็กๆ ในวังนี้ หากนางได้บอกกับหานอี้ไป ดีหรือร้ายเรื่องนี้อาจถึงหูจางเซียวหรูกับฮูหยินรองจนมารดาของนางอาจตกที่นั่งลำบาก “เปล่าหรอกเพคะ เชิญท่านอ๋องใหญ่ตามสบายเถิด หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ” นางรีบกล่าวแล้วจูงมือหรูหรงเดินออกจากวังของหานไท่หยางทันที นางกลัวว่าเรื่องที่ถูกปลดเป็นนางกำนัลจะถูกเปิดเผยหากสนทนากับอีกฝ่ายนานมากกว่านี้ หานอี้มองตามหลังไปด้วยสายตาเป็นห่วง จากท่าทีแบบนั้นของนางเขาสังเกตได้ทันทีว่านางคงมีปัญหากับหานไท่หยาง น้องชายต่างมารดาของเขาเป็นแน่ ในเมื่อนางกับหานไท่หยางมีปัญหาต่อกัน เขาจึงไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อให้มีเรื่องบานปลายมากกว่านี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นหานอี้จึงออกจากวังเดินตามจางอวิ๋นซีไปด้วยความเป็นห่วงหญิงสาวพาหรูหรงมาเดินตลาดในเมืองที่มีคนพลุกพล่านจำนวนมาก หญิงสาวเดินเลือกซื้อวัตถุดิบทำอาหารหลายอย่าง จนหรูหรงถือของแทบล้นมือ มีทั้งแป้งสาลี นมวัวและเนยจากพ่อค้าชาวต่างชาติที่นำมาขาย รวมถึงไข่ไก่อีกจำนวนหนึ่งในเกือบล้นตะกร้า
“พระชายา นี่ก็มากเกินไปแล้วนะเพคะ จะทรงทำอาหารชนิดใดหรือถึงใช้ของเยอะถึงเพียงนี้” หรูหรงถามพลางมองวัตถุดิบมากมายในตะกร้าหวายอย่างไม่เข้าใจ “ขนมเค้กอย่างไรล่ะ” จางอวิ๋นซียิ้มกว้างตอบ “เค้ก?” หรูหรงทวนคำ นางพยายามนึกให้ออกว่าพระชายาของตนกำลังหมายถึงขนมชนิดใด “เป็นขนมชนิดใดหรือเพคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างตอบ “เอาเป็นว่าเดี๋ยวข้าทำให้เจ้ากิน รับรองว่าอร่อยเหาะไปเลย” “กินแล้วบินได้หรือเพคะ” หรูหรงถามอย่างตกใจ ขนมชนิดใดกันกินแล้วบินได้? “ไม่ใช่ ข้าหมายความว่าอร่อยมากๆ เลยล่ะ” จางอวิ๋นซีอธิบายให้หรูหรงเข้าใจ อีกฝ่ายร้องอ๋อเข้าใจสิ่งที่พระชายาของตนต้องการสื่อ “แล้วพระชายาจะทำให้ท่านอ๋องหรือเจ้าคะ” หรูหรงยิ้มถามผู้เป็นนาย นึกถึงหานไท่หยางทีไรนางยิ่งนึกเคืองเขานัก สั่งปลดนางด้วยเรื่องอันใดก็ดูไม่เข้าท่าเลยสักนิด นางกอดอกตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ใครจะทำให้ตาอ๋องนั่นกินกัน! อยากใจร้ายกับข้านัก” นางพูดจบก็เดินสะบัดไปข้างหน้า เจอกับหานอี้ที่ยืนโบกมือทักทายนางอย่างมีไมตรี “ท่านอ๋องใหญ่ มิใช่ทรงอยู่กับไท่หยางหรือเพคะ” นางถาม แรกๆ รู้สึกแปลกใจนักที่เจอเขาที่ตลาดและกำลังยิ้มทักทายนางอีกรอบ อ๋องหนุ่มตอบ “อาหยางติดงานสำคัญน่ะ ข้าเลยอยากมาเดินตลาดเป็นเพื่อนเจ้า” หานอี้เล่าเรื่องโกหกออกไป หานไท่หยางไม่อยู่แบบนี้ยิ่งดีนักที่เขาจะได้อยู่ใกล้ชิดกับจางอวิ๋นซี โอกาสแบบนี้หาไม่ง่ายนักสำหรับหานไท่หยางที่เคยเหยียดหยามเขาด้วยการจูบนางต่อหน้าคนอื่นเมื่อครั้งก่อน “หม่อมฉันออกมาซื้อของ อีกประเดี๋ยวก็จะกลับวังแล้วเพคะ” นางกล่าวอย่างไว้ตน ตอนนี้นางแต่งงานกับหานไท่หยาง ในทะเบียนราชวงศ์ก็มีชื่อของนางเป็นพระชายาเอกอยู่แล้ว ไม่เหมาะสมนักหากนางจะมาเดินเล่นกับหานอี้ที่มิใช่สามี “จะรีบกลับไปไยเล่า นานๆ ทีเจ้ากับข้าจะได้ออกมาเจอกันนอกวัง ไม่เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อยหรือ” หานอี้รบเร้านาง สองมือของเขากอบกุมมือนางเอาไว้อย่างถือวิสาสะ จางอวิ๋นซีรีบดึงมือกลับทันที ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยนัก “หม่อมฉันต้องรีบกลับวังแล้ว หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ” นางกับหรูหรงรีบเดินหนีหานอี้ด้วยความหวาดกลัว “เดี๋ยวก่อนสิ...” หานอี้ยังไม่ลดละ เขาวิ่งมายืนขวางนางเอาไว้ “ข้ารู้นะ ว่าเจ้าไม่เต็มใจแต่งงานกับไท่หยาง เจ้ามีปัญหาอันใดเจ้าบอกข้าได้ ข้า...” “หม่อมฉันไม่ทราบว่าตนเองเคยมีปูมหลังอะไรกับองค์ชายมาก่อนหรือเปล่า แต่ตอนนี้หม่อมฉันแต่งงานแล้ว และหม่อมฉันไม่ใช่คนเดิมที่พระองค์เคยรู้จัก ขอพระองค์โปรดเข้าพระทัยด้วยเพคะ” หญิงสาวกล่าวแค่นั้น นางรีบเดินหนีไปทันที ทิ้งให้หานอี้ยืนนิ่งอึ้งกับคำกล่าวของนาง หานอี้นึกย้อนไปในอดีต เมื่อครั้งที่ตนเองได้พบเจอกับนางครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน แม้นางในครานั้นจะมีเพียงแต่ใบหน้าเศร้าสร้อย ราวกับคนอมทุกข์ แต่นางกลับงดงามพิลาสล้ำเหนือผู้ใด นางงดงามสะกดใจเขาตั้งแต่แรกพบ แม้ว่านางจะไม่โดดเด่นเท่าจางเซียวหรูบุตรสาวฮูหยินรอง แต่นางกลับมีบางสิ่งที่โดดเด่นกว่าอีกฝ่ายนัก นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาเฝ้าแต่ติดตามนาง จนรู้ว่าชีวิตนางนั้นน่าสงสารเพียงใด แต่ไม่สามารถกล่าวคำอันใดหรือยื่นมือเข้ามาช่วยนางได้เลย แค่นั้นเขาก็เจ็บปวดใจมากพอแล้วที่ไม่สามารถช่วยนางได้ ยิ่งเมื่อรู้ว่านางต้องแต่งงานกับน้องชายต่างมารดา หัวใจของเขายิ่งเจ็บหนึบมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้นางไม่ใช่จางอวิ๋นซีคนเก่าที่เขารู้จักอีกต่อไป ต่อให้นางจะแต่งงานออกเรือนไปแล้วเขาก็ไม่สนใจใดๆ ทั้งสิ้น“พระชายา ไหนว่าเสด็จกลับวังเพคะ” หรูหรงถามจางอวิ๋นซี นางเดินตามอีกฝ่ายมาเรื่อยๆ จนเลยทางกลับวัง แต่ตอนนี้จางอวิ๋นซีนั้นไม่อยู่ในสภาวะอารมณ์ที่จะตอบคำถามผู้ใด นางได้แต่เดินดุ่มๆ มาเรื่อยๆ จนกระทั่งชนเข้ากับบุรุษผู้หนึ่ง
“ขออภัยแม่นาง” ชายผู้นั้นกล่าวตอบจางอวิ๋นซีด้วยภาษาที่นางคุ้นเคยอย่างยิ่ง ในแผ่นดินจงหยวนนี้มีคนพูดภาษาตะวันตกได้อีกหรือ? “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางตอบกลับบุรุษผู้นั้นเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน “ท่านไม่เป็นอันใดแน่นะ” ชายผู้นั้นเผลอกล่าวถามนางด้วยภาษาของชาวจงหยวน “ไม่เจ้าค่ะ ข้าขอตัวก่อน” นางตอบอย่างเร่งรีบ โดยมิทันได้สังเกตใบหน้าที่อยู่ภายใต้งอบใบใหญ่ ซึ่งบดบังแสงอาทิตย์เผยเพียงแต่เงาสะท้อนของผู้สวมใส่ ‘เมิ่งฉี’ ดันงอบที่ตนเองสวมใส่ขึ้นเล็กน้อย หลังจากหญิงสาวเดินผ่านไป ผู้ติดตามของเขาที่ซุกซ่อนอยู่เผยตัวออกมาจากที่ซ่อน “องค์ชาย กระหม่อมไปสืบมา นางเป็นพระชายาของหานไท่หยางพะยะค่ะ” ผู้ติดตามของเมิ่งฉีกล่าว เมิ่งฉีกระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัย “น่าสนใจนัก” เมิ่งฉีนั้นเป็นองค์รัชทายาทของแคว้นเยว่ เดิมทีเขาต้องการเดินทางมาที่นี่เพื่อท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ทว่าหลังจากรู้ว่าหานไท่หยางนั้นได้ปราบกบฏกองทัพของเขาที่ตำบลซ่างจิ่งทางตอนเหนือได้แล้ว และยังยึดดินแดนมาเป็นบรรณาการในครอบครองของตนเองก็นับว่าน่าเจ็บใจนัก ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนใจไม่มาหาความสำราญที่แคว้นหาน แต่จะมาสืบความลับภายในแคว้นแทน “องค์ชายจะทำอย่างไรต่อพะยะค่ะ” ผู้ติดตามถาม “บอกเสด็จพ่อ ว่าให้ทำตามแผนให้น้องหญิงเดินทางมาแคว้นหานได้เลย” เมิ่งฉีตอบ “พะยะค่ะ”จางอวิ๋นซีกลับมาถึงวังพร้อมกับหรูหรง นางลอบเดินเข้ามาทางประตูหลังวังอย่างเงียบๆ พร้อมกับหรูหรง เพลานี้หานไท่หยาง คงไปประชุมขุนนางที่ท้องพระโรง ถึงได้เงียบเหงาทั้งวังเช่นนี้ หญิงสาวช่วยหรูหรงเดินถือวัตถุดิบทั้งหมดเข้าไปในครัว เหล่าแม่ครัวทั้งหลายเห็นวัตถุดิบมากมายล้วนแปลกใจ
“ของพวกนี้คืออันใดกันหรือเพคะพระชายา” หัวหน้าแม่ครัวถามด้วยความสงสัย นางมองผลไม้และวัตถุดิบแปลกตาในตะกร้าหวายของหรูหรงอย่างสนใจ จางอวิ๋นซียิ้มให้พวกนางก่อนตอบ “ข้าจะทำขนมเค้กให้พวกเจ้ากิน รับรองว่าพวกเจ้าต้องชอบแน่” “แต่นี่เป็นเพลาอาหารกลางวันของท่านอ๋องแล้วนะเพคะ พวกหม่อมฉันเกรงว่า” เหล่านางครัวต่างกลัวหัวหดยามเอ่ยถึงหานไท่หยาง หากทำอันใดพระชายาให้เสื่อมพระเกียรติ พวกนางคงมีจุดจบไม่ต่างจากจูเอ๋อร์เป็นแน่ “มื้อกลางวันของท่านอ๋อง ข้าจะเป็นคนทำเอง แล้วก็อาหารมื้ออื่นๆ ด้วย” นางยิ้มตอบ ในเมื่อนางอยู่ในจวนของเขาและยังมีฐานะเป็นภรรยาของเขาอยู่ นางควรทำตัวให้ดีเสียหน่อย หานอี้จะได้ไม่มาวุ่นวายกับนางด้วย “ทรงแน่พระทัยหรือเพคะพระชายา หากท่านอ๋อง” หรูหรงถามอย่างกลัวๆ หานไท่หยางโหดร้ายอำมหิต ลงโทษผู้คนโดยไม่มีเหตุผล หากพระชายาของนางโดนลงโทษขึ้นมาอีก นางจะช่วยพระชายาเช่นไรดี “เรื่องทั้งหมดข้าจะรับผิดชอบเอง ตอนนี้เจ้าต้องตั้งเตานึ่งให้ข้าก่อน แล้วเป็นลูกมือช่วยข้าทำขนมมื้อนี้ พวกเจ้าด้วยนะ” นางหันมาสั่ง หรูหรงกับแม่ครัวทั้งหมด “เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยดีกว่า” จางอวิ๋นซีถกแขนเสื้อขึ้นเหนือข้อพับแขน เรือนผมของนางที่ยาวรุ่มร่าม บัดนี้นางรวบขึ้นเป็นมวยสูงก่อนจะใช้ตะเกียบที่คว้ามาได้ถนัดมือใช้แทนปิ่นปักผม แล้วจึงลงมือผสมแป้งสาลีและไข่ไก่รวมกัน แล้วใช้ฝ่ามือคลุกเคล้าส่วนผสมทั้งสอง “หรูหรง เจ้าหยิบเนยมาให้ข้าหน่อย แล้วก็ เอ่อ นมวัวที่ซื้อมาจากในตลาดด้วยนะ เอาผสมกับเนยใช้ส้อมตีให้เข้ากัน” นางหันมาสั่งกับหรูหรง ซึ่งอีกฝ่ายเข้าใจคำสั่งได้โดยง่าย “แล้วก็พวกเจ้า ไปเตรียมตั้งหม้อนึ่งให้น้ำเดือดๆ เลยนะ ส่วนพวกเจ้าที่เหลือนำผลไม้พวกนี้ไปล้างและหั่นให้สะอาด” จางอวิ๋นซีแจกแจงหน้าที่ให้แต่ละคน ส่วนตัวนางนั้นลงมือผสมแป้งต่อไป บรรยากาศการทำขนมเค้กเต็มไปด้วยความสนุกสนาน กระทั่งหานไท่หยางที่แอบเดินมาบริเวณโรงครัวด้วยความคิดถึงที่มีต่อนาง เขาอดทนไม่ไหวจึงอยากแอบมาดูด้วยตนเอง เห็นนางกำลังทำอาหารอย่างมีความสุขกับพวกบ่าวไพร่ในเรือน “ท่านอ๋องจะเสด็จไปหาพระชายาหรือไม่เพคะ” หยางกูกูยิ้มถาม นางเป็นกูกูอาวุโสรับใช้ท่านอ๋องมานาน มีหรือจะไม่รู้ว่าท่านอ๋องคิดเช่นไรกับพระชายาจาง หานไท่หยางมองภาพนั้นอย่างเพลินตา ชายหนุ่มลอบยิ้มอย่างพึงใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับตำหนักของตนเองอย่างเงียบๆขนมเค้กรูปร่างหน้าตาสวยงามถูกจางอวิ๋นซีตกแต่งจนน่ารับประทานยิ่งนัก เนื้อเค้กด้านในเป็นรสเนยมีผลไม้อย่างสตรอว์เบอร์รี่
สอดไส้อยู่ ซึ่งสตรอว์เบอร์รี่เหล่านั้นถูกหั่นเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ โดยจาง อวิ๋นซีใช้ตกแต่งเป็นไส้ขนม และอีกส่วนถูกแบ่งมาทำเป็นแยมปาดหน้าวิปครีมของเนื้อเค้ก “น่ากินจังเลยเพคะพระชายา” หรูหรงมองอย่างตื่นเต้นระคนชื่นชม จางอวิ๋นซียิ้มอย่างภาคภูมิใจ นางไม่อยากบอกนักว่าก่อนที่จะมาสิงร่างนี้นางเคยเดินทางไปท่องเที่ยวมาหลายประเทศ เรียนรู้วัฒนธรรมอาหารของแต่ละประเทศเช่นเดียวกับการเป็นหมอ หญิงสาวใช้มีดตัดแบ่งขนมเค้กทรงสี่เหลี่ยมออกเป็นชิ้นเท่าๆ กัน จัดแบ่งให้พวกแม่ครัวแต่ละคน และอีกชิ้นหนึ่งนางแบ่งเก็บเอาไว้ให้หานไท่หยาง “สำรับมื้อกลางวันของท่านอ๋อง พวกเจ้าเตรียมเสร็จแล้วใช่หรือไม่” นางถาม “เพคะ พร้อมนำถวายท่านอ๋องแล้วเพคะ” หนึ่งในแม่ครัวตอบ พอดีกับหลินกงกงที่เดินเข้ามารับสำรับมื้อกลางวัน เจอกับจางอวิ๋นซีที่จัดขนมเค้กในสำรับเสร็จเรียบร้อยแล้ว “วันนี้ข้าลองทำขนมให้นายของเจ้าทาน ฝากเจ้านำไปถวายเขาด้วยล่ะ” นางกล่าวกับหลินกงกง ขันทีอาวุโสรับสำรับอาหารนั้นมาอย่างดีใจ “แล้วก็นำสำรับไปถวายเสร็จ ท่านก็มากินขนมด้วยกันที่นี่เถิด...” “ขอบพระทัย พะยะค่ะ” หลินกงกงยิ้มกว้าง “ขนมพวกนี้ พวกเจ้านำไปแบ่งคนในวังและพวกทหารด้วยนะ ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า” จางอวิ๋นซีกล่าวอย่างใจดี ความใจดีของจางอวิ๋นซีเป็นที่ลือกระฉ่อนไปทั่ววัง รวมถึงพระราชวังหลวง ทำให้ไทเฮาและฮองเฮาอดค่อนขอดหานไท่หยางไม่ได้ ที่ไม่ยอมพาพระชายาเอกมาเคารพน้ำชาตามประเพณี จึงทรงมีดำริว่าจะออกเดินทางไปหาทั้งสองที่จวนด้วยตนเองหลังจากนี้อีกสามวัน และได้ส่งจดหมายไปเชิญจางฮูหยินและไท่ฮูหยินด้วยตนเอง หานไท่หยางมองขนมเค้กก้อนนั้นอย่างไม่วางตา มุมปากนั้นคลี่ยิ้มอ่อนๆ ยากที่หลินกงกงจะเห็นท่านอ๋องของเขาคลี่ยิ้มราวกับคนมีความสุข แต่ว่าเจ้านายมีความสุข ข้าราชบริพารเช่นเขากับเฉินหรงก็พลอยมีความสุขไปด้วยที่ได้เห็นผู้เป็นนายคลี่ยิ้มเบิกบานใจเช่นนี้ “สำรับนี้ใครเป็นคนทำ” หานไท่หยางแสร้งถามกลบเกลื่อนอาการดีใจ “อาหารคาว เป็นฝีมือของแม่ครัว แต่ขนมหวานชิ้นนี้พระชายาเป็นผู้ทำเองพะยะค่ะ” หลินกงกงกล่าวพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้านายตนเองอยู่ในสภาวะอารมณ์ใด จะดีหรือร้ายกันนะ หานไท่หยางหยิบจานขนมเค้กขึ้นมามองพิจารณา รูปร่างแปลกตาพิกล นักในสายตาของอ๋องหนุ่ม ก่อนจะวางขนมเค้กชิ้นนั้นลง “ไปพานางมาพบข้า” หานไท่หยางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลินกงกงขมวดคิ้ว เขากับเฉินหรงมองหน้ากัน แล้วถาม “นางผู้ใดหรือพะยะค่ะ” แม้จะพอคาดเดาคำตอบได้ แต่เขาก็อยากแกล้งถามเจ้านายนัก “พระชายา...หรือเจ้าจะให้ข้าไปเชิญนางมาด้วยตนเอง” อ๋องหนุ่มย้อนถามกลับ “แต่พระองค์มีรับสั่งไม่อนุญาตให้พระชายาเสด็จมาที่ตำหนักใหญ่นะพะยะค่ะ” เฉินหรงได้ทีร่วมผสมโรงกับหลินกงกง “แล้วอย่างไร ข้าออกคำสั่งได้ ก็ถอนได้เหมือนกัน ไปเรียกนางมาที่นี่!” หานไท่หยางสั่งเสียงดุ หลินกงกงรีบผลุนผลันออกไปทันทีสมรสพระราชทานระหว่างจางเซียวหรูและหานอี้ ถูกประกาศไว้ทั่วเมืองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยฝีมือของหยางเต๋อเฟย ไม่แพ้คราวที่จางอวิ๋นซีแต่งงานกับหานไท่หยางเลยสักนิด เป็นที่โจษจันกันทั่ววังหลวงว่าในอนาคตนี้ อ๋องใหญ่หานอี้อาจได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทเป็นแน่ด้วยอุปนิสัยของหานอี้ที่เข้าถึงได้ง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก และจางเซียวหรูที่เป็นถึงบัณฑิตหญิงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน ย่อมเหมาะสมยิ่งนักราวกับกิ่งทองใบหยก ข่าวดีนี้ทำให้มีเหล่าเสนาบดีน้อยใหญ่มากมายต่างมาผูกสัมพันธ์กับสกุลจางให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยตราหน้าจางเซียวหรูว่าเป็นบุตรีฮูหยินรอง บัดนี้พวกนางต่างมานอบน้อมต่อจางเซียวหรูทั้งสิ้นข้าวของเงินทองถูกนำมาเป็นของกำนัลล่วงหน้าในงานแต่งงาน ทรัพย์สินสมรสของหานอี้ถูกทยอยส่งมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย อีกทั้งยังมีเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมายที่ถูกส่งมาจากหยางรั่วอวิ๋นหรือ หยางเต๋อเฟย“เครื่องประดับพวกนี้งดงามนักเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านย่าว่าอย่างไรเจ้าคะ” ไท่ฮูหยินที่เป็นย่าก็ร่วมยินดีที่หลานสาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเทศกาลล่าสัตว์เมื่อวันก่อน ทำให้ หยางเต๋อเฟยกังวลพระทัยอยู่หลายวัน เนื่องจากการมีองค์หญิงแคว้นเยว่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพระชายารองของหานไท่หยาง อาจส่งผลให้อำนาจของหานอี้บุตรชายของนางลดลง ดังนั้นวันนี้พระนางจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮา เพื่อทวงสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานระหว่างหานอี้กับจางเซียวหรูแต่ทว่าจังหวะที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่นั้น องค์หญิงซิ่วอิ่งก็เดินทางเข้าวังมาถวายพระพรฮองเฮาและไทเฮาตามธรรมเนียมพอดี ทำให้พระนางต้องยืนรอให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหูพ้นตาเสียก่อน จึงริเริ่มแผนการสมรสพระราชทานเมื่อคล้อยหลังองค์หญิงซิ่วอิ่งแล้ว หยางรั่วอวิ๋นหรือหยางเต๋อเฟยจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักคังเฉวียนทันที นางทวงถามสัญญาเรื่องสมรสพระราชทานจากไทเฮา“ดูเจ้าจะรีบร้อนเสียจริง เรื่องการแต่งงานของหลานข้า หานอี้” ไทเฮาทรงจิบชาอย่างเกษมสำราญ มิได้ทุกข์ร้อนดังเช่นหยางเต๋อเฟย“แต่เสด็จแม่เคยให้สัญญากับข้าเอาไว้ แล้วว่าจะประกาศเรื่องสมรสพระราชทานในวันเทศกาลล่าสัตว์ ทรงลืมแล้วหรือเพคะ” หยางเต๋อเฟยกล่าวอย่างร้อนใจ
ภายในใจของจางอวิ๋นซีในตอนนี้ ไม่ต่างกับไฟร้อนที่สุมทรวง นางไม่เข้าใจว่าอาการเหล่านี้คือสิ่งใด หากเป็นที่โลกปัจจุบันของนาง คงเป็นเพราะธาตุทั้งห้าในร่างกายกำลังแปรปรวนเป็นแน่หญิงสาวรีบเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในตำหนัก ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ใดทั้งสิ้น แม้กระทั่งหรูหรงและหยางกูกูก็ยังยืนรอแค่นอกห้อง“ทำไมข้าต้องรู้สึกโกรธที่เจ้าอยู่กับคนอื่นด้วยนะ” นางเอามือกุมหน้าอกที่กำลังร้อนรุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง จะว่านางประจำเดือนมาหรือไม่ก็คงไม่ใช่“หรูหรง หยางกูกู เข้ามาหาข้าที” ข้ารับใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามาเมื่ออีกฝ่ายมีรับสั่งเรียก“เพคะ พระชายา” หรูหรงเดินเข้ามา“หรูหรง เจ้าไปตลาดสด ซื้อสมองหมูกับไส้หมูมาให้ข้าที ส่วน หยางกูกู ท่านไปที่โรงครัว เตรียมมีดสั้นกับตะเกียบมาให้ข้าด้วย” นางสั่งยืดยาวหรูหรงและหยางกูกูมองหน้ากันอย่างงุนงง ของทั้งสองอย่างนั้นพระชายาของพวกนางจะเอามาทำสิ่งใดกันแน่“พระชายาจะเอาของพวกนั้นมาทำสิ่งใดเพคะ” หยางกูกูถามด้วยความอยากรู้
องค์หญิงซิ่วอิ่ง นอกจากจะมีพฤติกรรมถือดี ยโสโอหังแล้วนั้น ยังแสดงความไม่เคารพต่อจางอวิ๋นซีผู้เป็นพระชายาเอกแห่งวังอ๋องอย่างชัดเจน“เป็นแค่พระชายาเอกต่ำศักดิ์ มีสิทธิ์อันใดหรือมาสั่งข้า” ซิ่วอิ่งกล่าววาจาดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน นางยืนกอดอกไม่แสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายเลยสักนิดจางอวิ๋นซียกยิ้ม “เจ้าอยู่ที่นี่ก็มิใช่แขกบ้านแขกเมืองอีกต่อไป ในเมื่ออีกหนึ่งปีต่อจากนี้เจ้าก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นพระชายารองให้สามีข้า หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนเจ้าให้รู้ถึงกฎธรรมเนียมของวัง ย่อมเป็นหน้าที่ข้า ดังนั้นข้าจะทำเช่นใดกับเจ้าก็ย่อมได้”“แต่เดิมทีหน้าที่อบรมขนบธรรมเนียมเป็นหน้าที่ของกูกูใหญ่ ไม่ใช่หน้าที่ของพระชายาเอก” ซิ่วอิ่งแย้งทันควัน หยางกูกูลอบยกยิ้มส่งเสริมพระชายาเอกของนาง“เป็นดั่งที่พระชายาเอกทรงกล่าวเพคะ หน้าที่ในการอบรมสั่งสอนองค์หญิง ย่อมเป็นหน้าที่ของพระนาง จะเป็นหน้าที่ของข้าก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อพระชายาเอกทรงปรารถนาจะสั่งสอนองค์หญิงด้วยตนเอง หม่อมฉันก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ได้” หยางกูกูกล่าวเสริม นางนับถือจ
องค์หญิงซิ่วอิ่งยกยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า นางหันมามองเมิ่งฉีผู้เป็นพี่ชายเชิงส่งสัญญาณ เมิ่งฉีรีบกล่าวทันที“ทูลฮองเฮา ที่น้องสาวกระหม่อมกล่าวมานั้นเป็นความจริงทุกประการ เสด็จพ่อทรงปรารถนาให้น้องหญิง อภิเษกกับพระราชบุตรองค์ใดองค์หนึ่งของฝ่าบาท เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นพะยะค่ะ” เมิ่งฉีกล่าว สายตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันร้ายกาจ“เมื่อสักครู่ฝ่าบาท ฮองเฮา ไทเฮาและทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว ว่าหม่อมฉันได้ขี่ม้าตัวเดียวกับหานไท่หยาง เสด็จพ่อหม่อมฉันทรงปรารถนาให้หม่อมฉันอภิเษกกับหานไท่หยางเพคะ” ซิ่วอิ่งยกยิ้มมุมปาก นางหันไปเย้ยหยันจางอวิ๋นซีที่ยืนนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก“อาหยางของข้ามีชายาเอกอยู่แล้ว การที่องค์หญิงทำเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะสม” หานไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงนุ่มนวล“แต่น้องสาวของข้ามาที่นี่เพื่อการอภิเษก หากพวกท่านทำเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วนางไม่สามารถอภิเษกกับบุรุษอื่นได้อีก พวกท่านทำเช่นนี้ เท่ากับพวกท่านไม่ให้เกียรติทางต้าเยว่ของข้า!” เมิ่งฉีแสร้งมีท่าทีเดือดดาล“ห
จางอวิ๋นซีควบม้านำหานอ๋องไท่หยางผู้เป็นสามี จนกระทั่งมาถึงบริเวณสนามประลองใจกลางป่า ซึ่งมีธงสีแดงโบกพลิ้วไสวอยู่ ธงสีแดงที่โบกพลิ้วอยู่นี้เป็นสัญลักษณ์ของจุดรวมพล หลังจากเสร็จสิ้นการประลองก่อนหมดเวลาเพียงหนึ่งเค่อทุกคนจะต้องมารวมตัวกันที่นี่ทางด้านหลังของหานไท่หยางก็ยังมีองค์หญิงซิ่วอิ่งตามติดมาเช่นกัน อีกฝ่ายยังคงควบม้าตามสามีของนางไม่ลดละ หน้าไม่อายยิ่ง!“นึกว่าจะตามท่านอ๋องไม่ทันเสียแล้ว” นางยกสายบังเหียนขึ้นสูงบังคับให้ม้าหยุด พลางส่งยิ้มหวานให้หานไท่หยางอย่างออดอ่อยเต็มที่“ตามข้ามาทำไม” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายตรงๆ อย่างไม่ไว้หน้านาง ทำเอาองค์หญิงแคว้นเยว่หน้าชาไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีบุรุษใดถามคำถามนางเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งรูปโฉมอันงดงามของนางก็ยากจะมีชายใดปฏิเสธ แต่หานไท่หยางเป็นคนแรกที่กล้าทำเช่นนี้กับนาง“อะ เอ่อ คือ...” นางเอ่ยตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน ปรารถนาจะร่วมล่าสัตว์กับท่านอ๋องนะเพคะ”หานไท่หยางเบื่อหน่ายท่าทีขององค์หญิงผู้นี้นัก “ถ้าเช่นนั้นองค์หญิงก็ดูแลตนเอง เพ