“ไอ้ธัชชัยเป็นลูกชายของนายอรรถวัฒน์ ฉันยังพอจำได้ แต่ลูกสาวของนายอรรถวัฒน์ ทำไมฉันถึงไม่คลับคล้ายคลับคลามาก่อน”
“เธอเป็นลูกที่เกิดจากเมียคนที่สองของนายอรรถวัฒน์ครับ เรื่องของเธอ ไม่ค่อยมีข้อมูลเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าเมียคนนี้ของนายอรรถวัฒน์จะเป็นเมียจำใจมากกว่าพอใจครับ”
“อืม...เอาไว้ไปถึงเมืองไทย ฉันคงมีข้อมูลมากกว่านี้ ไปเตรียมตัวเถอะ”
หลังจากไล่ฉีอู่ออกไปจากห้อง หยางโจวหมิงก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ภาพงานวันเกิดของมารดาและทิพวรรณ ก่อนที่เขาจะสูญเสียมารดาไปในวันเดียวกันนั้นผุดขึ้นในหัว จริงอยู่ที่เขาเห็นเพียงตอนที่มารดาเข้าห้องไอซียู และบิดาที่หมดสติไปหลายวัน แต่เขาจดจำได้ถึงความเจ็บปวดและการที่บิดายัดเยียดความเกลียดชังใส่หัวตั้งแต่อายุได้ 4 ขวบ ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่บิดาพร่ำบอก จนกระทั่ง...วันที่เขายืนอยู่หน้าหลุมฝังศพของบิดา
ภาพข่าวการตายของหยางเฟ่ยหลงโดยมีนางทิพวรรณอยู่ในอ้อมแขน ทั้งคู่เหมือนคนที่กอดกันจนข่าวประณามความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ แต่โจวหมิงกลับไม่คิดว่าภาพนั้นจะเกิดขึ้นเพราะความรัก เขามั่นใจว่าบิดาเกลียดทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจากไปของมารดา ไม่มีใครที่เป็นข้อยกเว้น
มือปืนที่ยิงบิดาและนางทิพวรรณจนเสียชีวิต หายเข้ากลีบเมฆ ในขณะนั้นเขายังเด็กเกินกว่าจะดำเนินเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเอง
มาบัดนี้ เขาไม่จำเป็นต้องตามหามือปืนนั้นแล้ว เพราะเขากำลังตามล้างแค้นไอ้คนจ้างวาน พวกอัคราบริรักษ์เป็นศัตรูหมายเลข 1 ไม่ว่าเพราะเหตุใดพวกมันถึงได้ฆ่านางทิพวรรณด้วยนั้นเขาไม่สน ที่เขาสนก็คือ พวกมันกำลังแย่งทุกอย่างไปจากเขา ทั้งพ่อ แม่ และน้องสาว เขาจะไม่ยอมให้มันแย่งเหม่ยลี่ไปได้สำเร็จ
แค้นนี้ต้องชำระ!!!
“โจวหมิง” เสียงนุ่มของแม่นมเทียนอี้เฟย คนที่เลี้ยงดูเขาแทนบิดาและมารดาดังขึ้น
“มีอะไรครับ น้าอี้เฟย”
“จะไปเมืองไทยเหรอ”
“ผมจะไปตามเหม่ยลี่กลับบ้าน”
“แค่ตามเฉยๆ รึเปล่า”
โจวหมิงสบตาเทียนอี้เฟย แววตาของเขาทอแสงอ่อนโยนลง เขารวบร่างบางของแม่นมในวัย 55 ปี เข้ามากอด
“ผมขอโทษนะครับ ที่ไม่สามารถทำอย่างที่น้าอี้เฟยต้องการ”
พญามังกรดำรู้ดีว่าแม่นมของเขาต้องการให้เขาหยุดยั้งความโกรธแค้นในอดีต นี่เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เขาเพิกเฉยต่อศัตรูมาตลอด
“น้าเป็นห่วงโจวหมิงและเหม่ยลี่”
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมสัญญาว่าจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี และจะพาเหม่ยลี่กลับมาอย่างปลอดภัย”
หยางโจวหมิงบอกราวกับให้คำสัญญาต่อแม่นมเทียนอี้เฟย แล้วเดินจากไปเงียบๆ
มนธชัยเงยหน้าขึ้นมองดอกไม้งามที่กำลังย่างก้าวลงมาจากชั้นบนของบ้านอัคราบริรักษ์ เขาถึงกับลืมหายใจไปหลายวินาทีเมื่อได้เห็นสาวสวยและสง่างามเหมือนดอกไม้แรกแย้มอย่างสรัญรัตน์ วันนี้เธออยู่ในชุดเดรสยาวแค่เข่าสีชมพูหวาน เข้ากับรูปร่างอรชรและใบหน้าหวานหยด
สรัญรัตน์ลอบถอนใจเมื่อประสานสายตากับชายหนุ่ม เห็นเขายิ้มให้ก็อดที่จะยิ้มตอบไม่ได้ แม้รอยยิ้มนั้นจะดูจืดชืดไปบ้างแต่มันกลับทำให้ความสวยนั้นพอกพูนขึ้นเป็นทวี
“เอ่อ...สวัสดีครับ คุณตันหยง”
“สวัสดีค่ะ คุณมนธชัย”
“เอ่อ...วันนี้คุณสวยมาก สวยกว่าทุกครั้งที่ผมจำได้”
อีกครั้งที่สรัญรัตน์ต้องถอนใจ เธอได้ยินคำพูดประมาณนี้มากี่ครั้งแล้วนะ ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะภูมิใจหรือเปล่า แต่เธอกลับคิดว่ามันน่าเบื่อเหลือเกิน
“ขอบคุณค่ะ เรารีบไปเถอะค่ะ ฉันไม่อยากกลับบ้านดึก”
เท่านั้น มนธชัยก็แทบประคับประคองหญิงสาวออกจากบ้าน สรัญรัตน์พยายามวางตัวให้เหมาะสม ชายหนุ่มจะได้ไม่เห็นว่าเธอง่ายไปนัก นี่ถ้าเขารู้ว่าสาเหตุที่ทำให้เธอไปดินเนอร์ด้วยคืออะไร เขาจะมีท่าทางยังไงนะ
ไม่นานต่อมา รถคันโก้ของมนธชัยก็เลี้ยวเข้าไปจอดหน้าร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง
สรัญรัตน์เดินตามร่างสูงเข้าไปเงียบๆ เหมือนตอนที่อยู่ในรถ เธอปริปากพูดกับเขาแทบจะนับคำได้ แต่มนธชัยไม่คิดจะสนใจ เพราะไม่ว่าเธอจะพูดหรือไม่พูด เธอก็ยอมไปดินเนอร์กับเขาแล้ว
“คุณตันหยงอยากทานอะไร สั่งได้เต็มที่เลยนะครับ”
หญิงสาวไม่ปฏิเสธ เธอเลือกเมนูอาหารของโปรดแค่อย่างเดียวกับเครื่องดื่มที่ชื่นชอบ ชายหนุ่มได้แต่อมยิ้มแล้วสั่งอาหารสำหรับตัวเอง โดยเพิ่มอาหารที่คิดว่าผู้หญิงน่าจะชอบอีก 2 อย่าง ต่อท้ายด้วยผลไม้ล้างคอ
“สั่งเยอะขนาดนี้ จะทานหมดหรือคะ”
“ผมน่ะไม่เหลือหรอกครับ แต่คุณตันหยงควรจะทานให้มาก ไม่ต้องกลัวอ้วนหรอกครับ หุ่นอย่างคุณตันหยงยังห่างไกลจากคำว่าอ้วนมาก”
คำพูดที่คล้ายไม่ได้ปั้นแต่ง แต่ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ของมนธชัย ทำให้สรัญรัตน์ยิ้มออกแล้วเผลอส่งเสียงหัวเราะออกมาแผ่วเบา
“อย่างฉันนี่นะคะ เพื่อนบอกว่าอวบระยะสุดท้ายแล้ว”
“ฮ่ะ ฮ่ะ ไม่จริงหรอกครับ คุณตันหยงแค่เริ่มจะอวบ แต่ผมชอบนะครับแบบนี้ มองแล้วเจริญหูเจริญตากว่าคนที่มีหุ่นนางแบบ”
“คุณมนธชัยปากหวานจนมดขึ้นแล้วนะคะ”
“ผมพูดความจริงครับ คุณตันหยงอวบสวยเหมือนดอกไม้แรกแย้มที่ใกล้จะผลิบาน”
สรัญรัตน์คลายยิ้ม ก่อนขอตัวไปห้องน้ำ
“ฉันขอตัวสักประเดี๋ยวนะคะ”
“อ๋อ...เชิญครับ”
“โอวววว” พร้อมกับครางเสียงแหลมเล็ก“ฉันไม่เคยคิดจะมีคนอื่นหรือหาเศษหาเลยนอกบ้านเลยนะตันหยง เธอกับลูกคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน รอยลิปสติคก็แค่จากเด็กสาวหน้าโง่คนหนึ่งที่อยากอ่อยให้ท่าฉัน แต่ฉันไม่สนใจหรอกนะที่รัก ฉันจะออกไปกินข้าวข้างนอกทำไมในเมื่อกับข้าวที่บ้านอร่อยเด็ดกว่าเยอะ”“จริงเหรอคะ อ๊ะ” อารมณ์คุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ สรัญรัตน์ก็สะบัดกระทั้นกระแทกสะโพกสวมครอบท่อนลึงค์เต็มอารมณ์อ่อนไหว“จริงที่สุดทูนหัว สายตาของฉันไม่เคยมีเงาใครในนั้นนอกจากเธอกับลูก หัวใจก็เช่นกัน มีลูกให้ฉันอีกหลายๆ คนนะที่รัก นานแล้วที่ฉันไม่ได้ยินเสียงเด็กร้องกินนมจากเต้าของเธอ ฉันอยากเห็นอีก อยากได้ยินอีกหลายๆ ครั้ง นะที่รัก”“คุณไม่ได้คิดจะขังฉันไว้ที่บ้าน เพื่อออกไปเสวยสุขข้างนอกหรอกนะคะ”“สาบานได้” เขายกมือขึ้น“ไม่ค่ะ อย่าพูดคำนั้น แค่คุณบอก ตันหยงก็เชื่อค่ะ แต่ที่งอนเพราะคุณแยกลูกไปจากฉัน”สรัญรัตน์กระทั้นกายขย่มลำสามีอย่างบ้าคลั่งอย่างไร้ซึ่งความอับอาย เวลานี้เธออยากมอบความสุขให้เขา อยากให้เขารู้สึกว่าข้างนอกไม่มีอะไรดีไปกว่าคนในบ้าน สรัญรัตน์เชื่อใจเขาแต่ไม่ไว้ใจคนอื่น ทว่าเรื่องนี้ก็ยังไม่ใช่ปัญหามากกว่าเร
“อ๊ะ!” สรัญรัตน์สะดุ้งเฮือก“คุณนายหยางตกใจอะไรหรือครับ” อี้ผิงเห็นสีหน้าของสรัญรัตน์แล้วครุ่นคิด หรือเขาจะทำให้เธอตกใจ จะด้วยสาเหตุอะไร สีหน้าของคุณนายหยางจึงแดงๆ ซีดๆ สลับกันเช่นนี้“เปล่า เปล่าจ้ะ มีอะไรอีกหรือเปล่า” เธออยากให้อี้ผิงไปไกลๆ เพราะไม่อาจหยุดการกระทำของสามีจอมหื่นได้“ไม่...”“นายแกะซองให้ทีสิอี้ผิง มือฉันไม่ว่าง”เธออยากกรี๊ดใส่หูทวนลมของเขานัก เอาให้แก้วหูแตกกันไปเลย ยอมหามสามีเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคบ้าๆ ก็ยังดีกว่าต้องอับอายให้คนเอาไปนินทาเล่นสนุกปากอี้ผิงแกะซองสีน้ำตาลส่งกระดาษสีขาวให้เจ้านาย แต่หยางโจวหมิงไม่ยอมรับ แถมยังให้อี้ผิงอ่านรายละเอียดต่างๆ ให้ฟังเสียเอง“เอ่อ...” อี้ผิงตะขิดตะขวงใจ เพราะเหมือนคุณนายกับเจ้านายของเขากำลังมีปัญหากัน แต่เขาเป็นแค่ลูกน้องเจ้านายสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำอี้ผิงอ่านรายงานอย่างละเอียดตามคำสั่งสรัญรัตน์ไม่มีกระจิตกระใจฟัง เวลานี้กลีบเนื้อของเธอถูกปลายนิ้วใหญ่รุกเร้า นิ้วใหญ่ที่แทรกอยู่กลางร่องหลืบถูไถไปมา เธอเสียวกระสันทั้งที่พยายามสกัดกั้นอารมณ์นั้นไว้ด้วยความขุ่นข้องหมองใจในเรื่องเมื่อวาน รอยลิปสติคบนอกเสื้อของสามี แม้เขาจะออกตัวตั้
สรวงสุดามองเงินจำนวนมากตรงหน้าด้วยใจที่ระทึก เกิดมาเธอไม่เคยมีเงินมากขนาดนี้มาก่อน มือสั่นๆ ยื่นออกไปหยิบขึ้นมาปึกหนึ่ง แล้วยกขึ้นจรดจมูกสูดดมกลิ่นธนบัตรสีเทาเข้าปอด“นี่เป็นสินสอดของผม ขอมอบให้คุณผู้เป็นแม่ของตันหยง”“โอย...เงินทองตั้งมากมาย ขอบคุณนะคะคุณหยาง”“เงินและทองจำนวนนี้ มันจะงอกเงยขึ้น ถ้าคุณแม่เลิกเล่นการพนันแล้วหันมาเลี้ยงหลานแทน แต่ถ้าคุณยังมีข้อกังขาที่ว่า ผมเองก็เป็นนายบ่อน คุณแม่จะเข้าไปเล่นที่บ่อนผมก็ได้นะ แต่เงินจำนวนนี้ หมดแล้วหมดเลย”สรัญรัตน์ในชุดกี่เพ้าสีแดง ตามธรรมเนียมประเพณีของคนที่มีเชื้อสายจีน นั่งเคียงข้างกับเจ้าบ่าวที่สวมชุดสีเดียวกัน ทำจากผ้าไหมจีนปักลายมังกร และมีช่อบูเก้คาดเฉียงบนหน้าอก วันนี้เป็นวันแต่งงานที่ถือเอาฤกษ์งามยามดีเป็นฤกษ์สะดวก ด้วยเจ้าสาวกลัวจะสวมชุดแต่งงานไม่ได้ เนื่องจากครรภ์ที่เริ่มใหญ่ขึ้นทุกวัน จะเลื่อนงานออกไปหลังคลอด เจ้าบ่าวก็ยืนยันหนักแน่นว่ารอไม่ไหว ดังนั้นหลังจากการขอแต่งงานผ่านไปได้เพียง 1 สัปดาห์ งานแต่งงานตามธรรมเนียมก็ถูกจัดขึ้น“คุณหมายความว่า ฉันจะได้มากกว่านี้งั้นเหรอ”“คุณแม่ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ ถือว่าผมขอ มีสิ่งแลกเปล
ร่างสูงพาตัวเองมายืนห่างจากร่างอวบอัดของคนท้องแค่ 1 ช่วงแขน ดวงตาสีสนิมกวาดมองไปทั่วร่างงามเหมือนทุกครั้ง ครั้งนี้จับจ้องอยู่ที่หน้าท้องนูนเด่น ที่ตั้งของลูกในท้อง เขาจะดีใจไหมนะที่พ่อมาหา“ลูกของฉัน เอ่อ...” อยากจะลดตัวลงจูบหน้าท้องนูนๆ แต่ก็กลัวช่อดอกไม้จะถูกแกะแย่งไป ทำไมเขาถึงทำอะไรไม่ถูกแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ตรงไหน ไม่รู้ว่าจะพูดกับเธอยังไง ทุกอย่างมันดูติดขัดไปหมด ไม่เรียบลื่นเหมือนที่เคยเลยสักนิด“นี่...ช่อดอกไม้ของเธอ รับไว้สิตันหยง”สรัญรัตน์มองอาการเงอะงะติดๆ ขัดๆ ไม่สมกับเป็นมาเฟียใหญ่อย่างพญามังกรดำเลยสักนิด แต่ก็น่าเอ็นดูใช่หยอกเสียเมื่อไหร่ เธอยิ้มทั้งน้ำตายื่นมือออกไปรับช่อดอกไม้จากเขา“ขอบคุณค่ะ”“ฉัน...มีเรื่องจะพูดคุยกับเธอหลายอย่าง แต่...ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี”“ก็แค่พูดความจริงไงคะ ความจริงที่คุณกำลังรู้สึกอยู่”“ฉัน...อยากขอเธอแต่งงาน เธอจะรังเกียจฉันมั้ย”หญิงสาวเกือบจะยิ้มออกมากว้างๆ ถ้าใจไม่สั่งให้เธอค้นหาคำตอบที่พอใจเสียก่อน การจะขอแต่งงานเกิดขึ้นกับเธอบ่อยครั้ง และทุกครั้งทุกคนก็ถูกเธอปฏิเสธจนหมด คราวนี้ผู้ชายตรงหน้าเป็นคนเดียวที่เ
“...” สถานการณ์ก็ยังเงียบอยู่เช่นเดิม คราวนี้สรัญรัตน์ตัดสินใจจะเปิดประตูรถ เธอไม่คิดจะกระโดด แต่แค่ขู่เผื่อเขาจะนึกสงสารลูกในท้องของเธอบ้าง แต่ประตูรถถูกล็อกจากคนขับเสียนี่“นายเป็นใคร ฉันบอกให้จอดรถนะ นายต้องการอะไร”“...” ความเงียบกำลังทำให้หญิงสาวสติแตก เขาจะจับตัวเธอมาเรียกค่าไถ่หรือเปล่า แล้วเฉวงรู้เห็นกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ คำถามวนเวียนอยู่ในหัวจนรู้สึกมึนไปหมด“นี่นาย! ถ้านายต้องการเงินจากฉันล่ะก็ ฉันมีให้ไม่มากหรอกนะ แต่...ถ้านายร่วมมือกับลุงเหวงจะจับฉันไปเรียกค่าไถ่ นาย...นายน่าจะสงสารเด็กที่อยู่ในท้องฉันบ้างนะ เอ่อ...จับคนท้องไปเรียกค่าไถ่ไม่สนุกหรอกนะ ถ้านายต้องการเงินจริงๆ ส่งฉันกลับไปหาคุณพ่อสิ แล้วฉันจะบอกให้ท่านเอาเงินมาให้นาย”“...”“นี่นายฟังที่ฉันพูดบ้างหรือเปล่าน่ะ”เขาไม่ตอบ ไม่พูด ไม่ถามอะไรทั้งสิ้น แถมยังเปิดเพลงหวานให้เธอฟังเป็นการตอบแทน“หรือว่า...นายเป็นใบ้ นายพูดไม่ได้ใช่มั้ย คนเป็นใบ้ต้องหูหนวกด้วยนี่ ฉันเคยได้ยินมาอย่างนั้น แล้ว...แล้วฉันจะสื่อสารกับนายได้ยังไง”ในขณะที่สรัญรัตน์กำลังว้าวุ่น คนขับรถก็แอบอมยิ้มอยู่เพียงลำพัง“นาย” เธอเรียกหลังจากนิ่งคิดสัก
หญิงสาวเดินลงไปยังรถซึ่งเฉวงคนขับรถได้เปิดประตูรออยู่ เขายิ้มให้คุณหนูตันหยง นึกชื่นชมว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนจะสวยสู้คุณหนูของเขาได้ วันนี้เขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่ง เป็นหน้าที่ที่ไม่อาจจะพูดหรือบอกใครได้ โดยเฉพาะคุณหนูตันหยง“ตันหยง” นางสรวงสุดาเดินลงมาทันก่อนบุตรสาวจะก้าวขึ้นรถ เธอเรียกเอาไว้เพราะมีเรื่องบางอย่างต้องการพูดด้วย“คุณแม่ มีอะไรกับตันหยงหรือเปล่าคะ”“แต่งตัวซะสวย มีนัดกับใครที่ไหนล่ะ” มารดาไม่ตอบ แต่ถามกลับแทน“ตันหยงมีนัดกับคุณพ่อค่ะ คุณแม่มีอะไรคะ”“เอ่อ...มีเงินให้ฉันยืมสัก...แสนนึงมั้ย”“คุณแม่!! ตันหยงจะเอาที่ไหนมาให้คุณแม่คะ ตันหยงไม่ได้ทำงาน ที่มีกินมีใช้ก็เพราะคุณพ่อให้ทั้งนั้น แต่ตันหยงไม่มีเงินเก็บมากมายขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณแม่จะเอาไปทำอะไรคะ”“ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ย” มารดาเกิดอาการฉุนเฉียว แต่บุตรสาวก็เดาได้ไม่ยากว่ามารดาจะเอาเงินไปทำอะไร“คุณแม่จะเอาเงินไปเข้าบ่อนหรือคะ ตันหยงขอได้มั้ยคะ คุณแม่อย่าเล่นอีกเลย” หญิงสาวพยายามอ้อนวอน หวังว่าคำขอของเธอจะทำให้แม่กลับตัวกลับใจ“ฉัน...ก็พยายามอยู่ แต่ว่า...เมื่อวานนี้ฉันเสียไปมาก ก็กู้เงินเขามากะว่าจะถ