ฉันรีบเร่งออกจากคอนโดในเช้าวันจันทร์ อันที่จริงฉันก็รีบเร่งทุกวันนั่นแหละ ฉันไม่ใช่คนตื่นสาย เป็นเพียงคนประเภทเอ้อระเหยมากกว่า ตื่นมาก็มีเรื่องให้ทำเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด หลังลุกจากที่นอน เดินสะโหลสะเหลไปกดกาน้ำร้อนชงกาแฟแล้ว ก็ต้องอ่านหนังสือหน้าที่ฉันคั่นเอาไว้ต่อจากเมื่อคืนให้จบ
แต่บางทีกว่าจะจบบทมันก็ใช่เวลาน่ะ .. ฉันเหลือบมองนาฬิกาเห็นว่าใกล้เวลาต้องออกแล้ว แต่มันยังไม่จบบทนี่นา จะให้ทำอย่างไรได้ ฉันเลยเลือกที่จะเร่งรีบทีหลัง ขอแค่อ่านบทนี้ให้จบเสียก่อนเท่านั้นเอง
วันนี้ก็เหมือนกัน ฉันวิ่งซอยเท้าไปขึ้นรถไฟฟ้าหน้าคอนโด แตะบัตรโดยสารได้ก็กระหืดกระหอบปีนบันไดขึ้นไป พอขึ้นไปได้แค่ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงรถไฟแล่นเข้าชานชาลาพอดี ขาผอมแห้งของฉันนึกอยากจะชะลอความเร็วลง ปล่อยให้รถไฟขบวนนี้ผ่านไปก่อนก็ได้ แต่หัวใจนักสู้ของฉันมันไม่ยอม บังคับขาเล็กจ้อยให้ก้าวขึ้นไปจนทันขบวนนั้นจนได้
โอ้วว .. คุณพระ ฉันเหนื่อยตั้งแต่เริ่มวันเลยล่ะ
ขบวนรถไฟในตอนเช้าก็แน่นอย่างที่คิดนั่นแหละ ชั่วโมงเร่งรีบแบบนี้ก็ต้องทำใจ นอกจากจะต้องวิ่งขึ้นบันไดมาแล้ว ก็ต้องยืนจนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงสวย ( มีคนพูดกับฉันอย่างนั้นจริง ๆ ) แต่ฉันก็ไม่ได้นั่งหรอก
สถานีต่อไป .. หอสมุดแห่งชาติ
Next Station .. NATIONAL LIBRARY
เสียงผู้หญิงหวานไพเราะประกาศสถานีปลายทางของฉันแล้ว แม่เคยบอกว่าเมื่อก่อนไม่มีบีทีเอสแถวนี้ ถ้าฉันจะมาทำงานที่นี่คงไม่แคล้วต้องขับรถมาแน่นอน แค่คิดว่าต้องขับรถในเมืองหลวงอย่างนี้ มือฉันก็เปียกแล้ว การขับรถมันน่ากลัวมาก ฉันเอาชนะมันไม่ได้เสียที แต่ตอนนี้โชคดีที่มีรถไฟฟ้า ฉันก็เลยสุขใจ
เดินเข้ามาสแกนบัตรเข้างาน เริ่มต้นวันอย่างสดใสเพราะในที่สุดก็มาทันเวลา และถึงแม้จะเร่งรีบทุกเช้าแต่ฉันก็ไม่เคยมาสาย
ระหว่างที่ฉันกำลังเพลิดเพลินอยู่กับกองหนังสือมากมาย ตรงหน้าก็มีเสียงคุ้นหูเอ่ยเรียกฉันออกจากภวังค์
“น้องตา”
ฉันเงยหน้ามองตามเสียงต้นทาง แล้วก็ฉีกยิ้มกว้างทันทีโดยอัตโนมัติ
“พี่กิ๊ง .. สวัสดีค่า” ฉันเอ่ยถามออกไป พี่กิ๊งลูกสาวคุณยายบรรณารักษ์คนก่อนที่ฉันเคารพรัก แต่ท่านจากไปได้ปีกว่าแล้ว
“มาทำอะไรคะเนี่ยย” ฉันถามต่อ เพราะมันเป็นภาพที่ไม่ชินตาเอาเสียเลย ตั้งแต่คุณยายจากไปพี่กิ๊งก็ไม่เคยมาที่นี่อีก และเธอก็ไม่ใช่คนชอบอ่านหนังสือเสียด้วย
“แค่ผ่านมาแถวนี้ ไม่ได้มาอ่านหนังสือ ไม่ต้องตกใจไปหรอก 555 แค่ลองแวะขึ้นมาดูเผื่อจะเจอน้องตา แล้วก็เจอจริงๆ อยากชวนไปกินข้าวน่ะ .. ไปด้วยกันมั้ยจ๊ะ ใกล้พักเที่ยงหรือยัง”
ฉันเหลือบมองนาฬิกาเรือนมโหฬารที่ฝาผนัง
“อีก 15 นาทีค่ะ พี่กิ๊งสะดวกมั้ยคะ”
“ได้เลย พี่รอข้างล่างนะจ๊ะ บนนี้เงียบจัง” เธอพูดพลางทำหน้าเหยเก ฉันรู้ว่าเธอจะบอกว่าบรรยากาศมันวังเวง มันก็จริงนั่นแหละ แต่ฉันชอบนะ .. ที่จริงชอบมากเสียด้วย
“ค่ะ เดี๋ยวหนูตามลงไปค่ะ” ฉันยิ้มให้เธอ เห็นพี่กิ๊งแบบนี้แล้วคุณถึงคุณยายจังเลย คุณยายสบายดีนะคะ ฉันคิดไปในใจ
ฉันจัดหนังสือแยกออกตามหมวดหมู่เรียบร้อย เหลือบมองนาฬิกาอีกรอบ เห็นว่าเข็มยาวเกือบจะชี้เลขสิบสองแล้วอีกเสี้ยวเดียวเท่านั้น ฉันหยิบกระเป๋าและนั่งจ้องมันนิ่ง พอเข็มยาวชี้ตรงเลขสิบสองพอดี ฉันก็ลุกพรวดออกจากโต๊ะประจำเดินลงข้างล่างทันที
“พี่กิ๊งไปกันค่ะ”
เราสองคนเดินนวยนาดไปตามทาง อิฐก้อนสีส้มเข้มปูยาวตั้งแต่หน้าประตูหอสมุดจนถึงปากทางเข้า อากาศวันนี้ไม่ร้อนเลย ลมเย็นสบาย แดดหุบ แถมมีร่มไม้ข้างทางเป็นใจให้เราเดินได้อย่างไม่ต้องรีบร้อน
หลังจากที่เราสั่งอาหารกันแล้ว ฉันก็เริ่มเล่าเรื่องตื่นเต้นให้พี่กิ๊งฟัง ฉันรู้สึกสนิทใจกับพี่กิ๊งมากทีเดียวทั้งที่เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาก่อน เพียงแต่ช่วงที่คุณยายยังอยู่ พี่กิ๊งซึ่งเป็นลูกสาวจะเป็นคนมารับมาส่งคุณยายทุกวัน ได้เจอหน้ากันบ่อย ฉันและเธอถึงได้สนิทกัน พอได้พูดคุยกันก็ดันถูกคอ ก็ยิ่งสนิทสนมกับเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ มาจนบัดนี้
“หนูมีอะไรจะเล่าให้ฟัง พี่กิ๊งอย่าขำนะคะ” ฉันอยากเล่าเรื่องส่วนตัวเรื่องนี้ให้ใครสักคนที่ฉันไว้ใจฟัง แต่ไม่กล้าเล่าให้แม่ฟัง ส่วนลิลลี่เธอต้องหัวเราะเยาะฉันแน่ ๆ ฉันเลยเก็บเธอเอาไว้ทีหลัง
“ห้ะ .. อะไรล่ะ” เธอพูดปนน้ำเสียงขบขัน
แน่ะ! ก็บอกว่าอย่าขำ .. ฉันจะเล่าดีมั้ยนะ
แต่แล้วก็เล่าออกไป
“คือว่า .. หนูไปดูดวงมาค่ะ”
“แค่นั้นเอง จะกลัวพี่ขำทำไมเนี่ย” พี่กิ๊งพูดปนขำคิกคัก นี่ขนาดฉันยังไม่ได้เล่าอะไรเลยนะ
“คือว่า หมอดูเขาทักมาว่า หนูกำลังจะเจอเนื้อคู่ค่ะ”
“จริงเหรอ งั้นก็ดีน่ะสิ .. ดีมากเลย น้องพี่จะขายออกแล้วใช่มั้ย” เธอทำตาโต ดูท่าทางจะดีใจจริง ๆ
“แต่แม่หมอคนนั้น เขาบอกว่า ถ้าจะให้ดี หนูต้อง .. เอ่อ ออ .. ต้อง” ฉันพูดตะกุกตะกัก
“ต้องอะไร” พี่กิ๊งอยากรู้เต็มที่แล้ว
“ต้องจำกัดขน .. เอ๊ย! โทษทีค่ะ กำจัดขนก่อนค่ะ” ฉันยกมือขึ้นเป็นปางห้ามญาติและอายหน้าแดง
“55555 อะไร เกี่ยวอะไรด้วย เตรียมพร้อมเลยว่างั้น แล้วเขาให้กำจัดตรงไหน” เธอหัวเราะเอิ้กอ้าก
“ทุกตรงค่ะ โดยเฉพาะร่มผ้า” ฉันหลับตาปี๋
“5555555555555” พี่กิ๊งหัวเราะดังลั่น แล้วก็พยายามสงบสติอารมณ์ลงได้แค่นิดหน่อย แต่ยังขำค้างไม่หยุด นั่งกินข้าวไปก็ขำไป
เฮ้อ! .. ไม่ได้ช่วยอะไรฉันเลยจริง ๆ
กินข้าวเสร็จเราก็เดินกลับมายังหอสมุดเช่นเดิม ระหว่างทางพี่กิ๊งถามขึ้นมาว่า ฉันเชื่อเรื่องโชคชะตามากแค่ไหน ฉันตอบเธอไปว่า ที่จริงฉันชอบเรื่องลึกลับ ชอบเรื่องดวงดาว ชอบโหราศาสตร์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะเรียกว่าเชื่อมันก็ไม่น่าจะผิดนักหรอก แต่ฉันเกิดมาในครอบครัวคุณหมอ ฉันเลยมีความเชื่อที่อยู่บนพื้นฐานของการไตร่ตรอง ยังไม่ถึงขั้นงมงาย ฉันแค่เชื่อว่าโลกนี้มีพลังงานที่เรามองไม่เห็นอยู่จริง ๆ อะไรทำนองนั้นมากกว่า
ที่ฉันตั้งใจเล่าเรื่องหมอดูให้พี่กิ๊งฟัง เพราะต้องการปรึกษาเรื่องคอร์สเสริมความงามต่างหาก ฉันดันลงคอร์สไปเต็มสตรีมเลย แต่ลังเลไม่อยากไปทำต่อแล้ว ฉันแค่นึกเสียดายเงินขึ้นมาก็เท่านั้นเอง
พี่กิ๊งแนะนำว่า ถ้าฉันไม่สบายใจก็ไม่ต้องไปทำหรอก ถ้าเนื้อคู่ของฉันกำลังจะมาจริง ๆ ถึงฉันจะมีขนหรือไม่มี มันก็ไม่ได้ทำให้ดวงชะตาของฉันเปลี่ยนไปแน่นอน ซึ่งฉันเองก็เห็นด้วยนะ ตอนนั้นฉันคงเป็นบ้าไปชั่วขณะ สรุปแล้วฉันจะยกสิทธิ์ให้ลิลลี่ เธอคงไม่ปฏิเสธฉันมั่นใจ
ตอนท้ายก่อนที่พี่กิ๊งจะขอตัวกลับไป เธอบอกอะไรฉันอย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันสงสัยใคร่รู้
“น้องตาอยากศึกษาโหราศาสตร์ด้วยตัวเองมั้ยล่ะ จะได้ไม่ต้องไปดูดวงกับคนอื่น แล้วไปเจอเรื่องแปลก ๆ แบบนี้อีก”
“เย็นนี้มาหาพี่ที่บ้านสิ พี่จะเอาอะไรให้ดู” เธอทิ้งท้าย
หลังจากเดินไปส่งเดฟที่บ้านตุ๊กตาของเขาแล้ว ฉันมีโอกาสได้พบลูน่าอีกครั้ง แถมครั้งนี้ได้เจอมาร์คัส เจ้ากระต่ายน้อยซุกซนกระโดดหยองแหยงไปมา รอบตัวฉันและเอเดน “ หวัดดีฮะๆ ” เขาพูดได้! มาร์คัสโดดเดินหน้าถอยหลัง อย่างร่าเริง ลูน่าจับหูสองข้างของลูกชายยกเขาลอยขึ้นอย่างแผ่วเบา อุ้งเท้าน้อยๆ ของเจ้ามาร์คัสยังคงตวัดป่ายไปมากลางอากาศ รอยยิ้มอันสดใสของเขา ช่วยทำให้จิตใจของฉันเบิกบาน แล้วเราทั้งหมดต่างร่ำลากันโดยดี ขณะเดินผ่านรั้วออกมาแล้ว ฉันก็เหลียวมองกลับไปยังที่บ้านกระต่ายหลังน้อยที่น่ารักหลังนั้น ฉันเอ่ยลาพวกเขาในใจอีกครั้งหนึ่ง ‘ลาก่อนค่ะเดฟ’ เอเดนกับฉัน เราเดินกลับมาที่วิหารหินด้วยความเงียบ ฉันรู้สึกปวดมวนในท้อง ไม่รู้ว่าการที่เขาตัดสินใจแบบนี้ มันจะเป็นผลดีกับฉันฝ่ายเดียวหรือเปล่า เขายอมทิ้งชีวิตที่วิเศษสุดของที่นี่ ตามฉันไปอยู่ในโลกที่ฉันเองก็ไม่ได้สันทัด หรือเชี่ยวชาญในการใช้ชีวิตอะไรเลย อยู่ที่นี่เขาจะแข็งแรง มีอายุยืนยาว อยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ อากาศก็ดีแสนดี บ้านเมืองงดงามราวเ
เอเดนพาฉันเดินมาตามถนนที่แสงจันทร์ส่องสว่างอาบไล้ไปทั่วอย่างเคย สายลมยามราตรีพัดโชยเย็นสบาย ผมหน้าของเอเดนปลิวลู่ไปด้านข้าง เผยให้เห็นหน้าผากใสเนียน ขนาดมองด้านข้างเขายังงดงามไร้ที่ติเลย ฉันไม่รู้จะหาจุดบกพร่องจากบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้จากที่ตรงไหน แล้วเหตุใดฉันจึงได้เป็นผู้หญิงที่โชคดีอะไรอย่างนี้ ฉันกระชับมือที่จับกันกับมือของเอเดนอยู่ให้แน่นขึ้น เขาเองก็บีบมือตอบกลับมา เดินผ่านที่ราบกว้าง ริมทะเลสาบ มองไปสุดสายตาเห็นวิหารหินตั้งสูงเด่นเป็นสง่า เรากำลังจะไปบ้านของเดฟ เอเดนบอกฉันอย่างนั้น “วิหารนั้น เป็นที่ไว้สำหรับทำอะไรเหรอคะ” ฉันว่าจะถามมาตั้งนานแล้ว “อ่อ .. เป็นที่สำหรับต้อนรับผู้มาเยือนน่ะ ลิต้าที่รัก ท่านเองก็มีประสบการณ์จากวิหารนั้นมิใช่หรือ” เอเดนไขข้อข้องใจ “อย่างเดียวเลยเหรอคะ” “เท่านั้นก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญเพียงพอ” เขาเอ่ยทุ้มลึกกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ไม่นานนักเราก็ผ่านสวนพันธุ์ไม้ที่เขียวชอุ่ม ที่ที่ฉันพบกับเดฟเป็นครั้งแรก ฉันมองเข้าไปด้วยความรู้สึกท่วมท้น
เพียงคำเดียวที่ปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระ จากความทุกข์ทรมานทั้งปวง คำคำนั้นคือ “ รัก ” ซอโฟครีส นักเขียนบทละครชาวกรีก ฉันยกหูโทรศัพท์โทรหาแม่ รอสายอยู่นานสายก็ตัดไป ฉันนั่งเอนหลังพิงพนักที่มีเบาะบุขนรูปหน้าแมวสีชมพูอย่างสับสนในจิตใจ ฉันกำลังตัดสินใจว่าจะย้ายไปอยู่กับเอเดนที่โลกแห่งความหวังนั่นดีหรือเปล่า .. ทำไมจะไม่ดีล่ะ? .. เสียงในหัวของฉันดังขัดขึ้นมากลางปล้อง ก็เพราะฉันมีพ่อมีแม่อยู่ที่นี่ยังไงล่ะ ไหนจะลิลลี่เพื่อนรักของฉันอีก ฉันโต้เธอกลับไป ขณะเอานิ้วนวดขมับ เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น แพทย์หญิงผู้เพียบพร้อมของฉันโทรกลับมาหา “ไงลูกรัก” แม่ฉันกรอกเ
ฉันถูกแรงมหาศาลสลัดเหวี่ยงลงบนเตียงนอน หัวอยู่ปลายเตียง ขาฉันฟาดเข้ากับหมอนอิงใบใหญ่ โชคดีที่ไม่โดนหัวเตียงเพราะห่างจากปลายเท้าของฉันเพียงเส้นยาแดงเท่านั้น ครั้งนี้ฉันรู้สึกว่า ฉันเดินทางไปอยู่ที่นั่นนานกว่าทุกครั้ง แถมครั้งนี้ไปค้างคืนมาเสียด้วย จิตใต้สำนึกบอกให้ฉันลุกขึ้นไปคว้าโทรศัพท์มาเช็กดู เผื่อว่าฉันพลาดอะไรที่สำคัญไปหรือเปล่า ฉันปัดเปิดหน้าจออย่างชำนาญ เห็นข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอยู่สามสี่ข้อความ จากแม่ .. เป็นข้อความสวัสดีปีใหม่ จากพ่อ .. ข้อความเช่นเดียวกัน ถัดมาเป็นคนคุยคนเก่าที่ทิ้งฉันไปได้หลายปีแล้ว ส่งสติ๊กเกอร์มาทำไมฉันอ่านและลบออกทันที ส่วนข้อความสุดท้ายมาจากลิลลี่เพื่อนรัก ‘วันหยุดนี้ ทำอะไร ? โทรไปก็ไม่รับ โทรกลับมาด้วยนะ’ ฉันอ่านพลางจินตนาการน้ำเสียงประชดประชัน แต่จริงใจของ ลิลลี่เพื่อนรักของฉัน ฉันอยากโทรไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟังใจจะขาด แต่มันทำไม่ได้ ฉันอยากพาเธอกับครอบครัวไปอยู่ด้วยกันที่โลกแห่งความหวัง แต่ก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน เหนื่อยจัง ..
“นางเป็นน้องสาวของลุคน่ะ ลิต้าที่รัก นางจิตใจดีและมีน้ำใจมากทีเดียว” เอเดนตอบคำถามของฉันอีกครั้ง “อ่อ ค่ะ” ฉันพึมพำ “เราขออย่างเดิม สามที่นะลุค ขอบใจ” เอเดนกล่าว “ไม่นานเกินรอ ท่านทั้งหลาย” หนุ่มรูปหล่อคนใหม่หายเข้าไปหลังบาร์ ฉันมองไปรอบร้าน ไม่มีลูกค้าคนอื่นเลยมีเพียงแต่พวกเราเท่านั้น เสียงกระดิ่งประตูหน้าดังขึ้น ลมเย็นพัดโบกเข้ามา หญิงสาวหน้าตาสวยสะดุด กระโปรงสีเขียวมิ้นท์ของเธอปลิวไสวในสายลม ผมสีทองมวยต่ำ ตาสีฟ้าโตลึกคมเข้ม ฉบับสาวฝรั่งในนิตยสาร “เอเดน .. เดฟ อะไรดลใจท่านงั้นหรือ” เธอพูดจงใจมองหน้าเอเดน และฉันแปลมันออกทุกคำเลย “เจซี่ สวัสดี” เอเดนทักทายสุภาพ อ่อ! .. สาวงามคนนี้นี่เอง “สวัสดีขอรับ คุณผู้หญิง” กระต่ายน้อยที่นั่งอยู่ข้างซ้ายติดกระจกร้านเอ่ยทักทาย “ท่านหายไปนานเหลือเกิน ลุคกับข้าคิดว่าท่านทำตัวห่างเหิน” เจซี่พูดพลางไล่สายตามาหยุดอยู่ที่ฉัน เอเดนยิ้มรักษากิริยา เขาสง่างามเสมอเลย “โอ้ว .. ข้าไม่ทันสังเกตให้ดี ขออภัย
เช้านี้ฉันลืมตาขึ้นมามองเห็นห้องที่ไม่คุ้นตา ฉันพลิกตัวนอนหงายอย่างเร็วและแรงมาก หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมากองอยู่นอกอก ฉันจับมันเอาไว้พยายามควบคุมจังหวะการหายใจของตัวเองอย่างยากลำบาก กว่าฉันจะระลึกชาติได้ว่าฉันนอนอยู่ที่ไหน และเมื่อคืนก่อนนอนฉันทำอะไรไปบ้าง เสียงมือจับประตูห้องนอนก็ถูกขยับกึกกัก ประตูเปิดผางออก ภาพงดงามปรากฏขึ้นตรงหน้า “สวัสดี .. จวนเที่ยงแล้ว ข้ากำลังจะเข้ามาปลุกท่านอยู่พอดีลิต้าที่รัก หลับอย่างเป็นสุขดีหรือไม่เมื่อคืนนี้” เอเดนสาวเท้าเข้ามาใกล้ฉันที่เตียงนอน “อย่าพึ่งเข้ามานะคะ” ฉันยกมือขึ้นห้ามเขา “ .. ” เขาหยุดกึก เลิกคิ้วอย่าฉงนใจ “ห้องน้ำอยู่ไหนคะ ฉัน .. อยากเข้าห้องน้ำ” “อ่อ .. เชิญทางนี้” เอเดนผายมือ และเดินนำฉันออกมาทางประตู เลี้ยวซ้ายตรงไปอีกนิดหน่อยก็ถึงห้องหนึ่งที่ประตูปิดสนิท คงเป็นห้องน้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันเปิดและรีบแทรกตัวเข้าไปในนั้น ตามด้วยหันหลังกลับมาปิดประตูทันที “เดี๋ยวฉันตามลงไปนะคะ” ฉันตะโกน ฉันจะตะโกนทำไมเนี่ย เวลารู้สึกก