หลังเลิกงาน ฉันออกจากที่ทำงานได้ก็มุ่งตรงไปที่บ้านคุณยาย ซึ่งตอนนี้เป็นบ้านของพี่กิ๊งไปแล้ว ฉันจำทางไปที่นั่นได้อย่างแม่นยำ เพราะฉันไปนั่งกินข้าวเป็นประจำ คุณยายท่านเอ็นดูฉันมาก ตั้งแต่ที่ฉันเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ ๆ คุณยายก็เป็นคนคอยสอนงานต่าง ๆ ให้ฉันเสมอ ท่านใจดี อยู่ด้วยแล้วสงบเย็น ฉันจึงรักและเคารพคุณยายอย่างที่สุด
นั่งรถไฟฟ้ายาวมาจนสุดสายก็ถึงปากทางเข้าบ้านของพี่กิ๊ง ฉันลงแล้วเดินต่อเข้าซอยไปอีกไม่นาน ก็ถึงบ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ประตูรั้วไม้สีน้ำตาลช่องถี่ปิดสนิท ฉันกดกริ่งแล้วยืนรอ
ครู่เดียวเสียงรองเท้าเหยียบใบไม้แห้งก็เดินตรงเข้ามาที่ประตู ประตูเปิดออกพี่กิ๊งในชุดลำลองยืนยิ้มกว้างให้ฉัน ฉันเดินตามเธอเข้าไปในบ้านที่ฉันคุ้นเคย ระหว่างทางเดินเข้าไปในบ้านมองเห็นสวนดอกไม้ของคุณยายยังบานสะพรั่ง แม้จะไม่งามเท่าตอนที่คุณยายยังอยู่ แต่ก็ถือว่าพี่กิ๊งดูแลสวนดอกไม้ของคุณยายไว้ได้เป็นอย่างดี
เดินเข้ามาในบ้านไม่มีคนอยู่ พี่กิ๊งเปิดเพลงดังไปทั่วบ้าน ฉันเดาว่าเธอคงจะเหงาที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว หลังจากหย่าขาดจากสามีเก่าไป พี่กิ๊งก็ยังครองตัวเป็นโสดเรื่อยมา
“น้องตา หิวอะไรมั้ยจ๊ะ กินอาหารเย็นที่นี่เลยนะ .. พี่จะทำอุด้งน้ำให้กิน” พี่กิ๊งอ่อนโยนกับฉันเสมอ ฉันยังสงสัยว่าสามีของเธอคิดอะไรอยู่ถึงทิ้งผู้หญิงดี ๆ แบบนี้ไป
“อุด้งเหรอคะ เอาค่ะ เอา ๆ ..” ฉันไม่จำเป็นต้องคิดหน้าคิดหลังหรอก อุด้งสูตรบ้านนี้ถ้าใครกินเป็นต้องหลงรัก
“มาสิ พี่จะพาไปดูอะไรบางอย่าง ก่อนที่พี่จะไปทำอุด้งสูตรเด็ดให้กิน” เธอเดินนำฉันขึ้นบนชั้นสอง
ฉันประหม่านิดหน่อย จริงอยู่ที่ฉันสนิทสมกับคุณยายและพี่กิ๊งมาก แต่ก็ไม่มากขนาดจะเดินขึ้นชั้นสองซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวมาก่อน แม้จะเป็นอย่างนั้นฉันก็เดินตามเธอไปติด ๆ
ขึ้นมาบนนี้ ก็เหมือนบ้านทั่วไป คือมีประตูห้องหลายห้องแยกตัวกันซ้ายขวา ฉันก็ไม่รู้ว่าห้องไหนห้องนอน ห้องไหนห้องน้ำ ได้แต่เดินตามพี่กิ๊งไปเงียบ ๆ
“เข้ามาเลยจะ” พี่กิ๊งเปิดประตูห้องห้องหนึ่งออกจนกว้าง ห้องนี้อยู่ริมสุดทางเดิน คล้ายแอบอยู่หลังเสาต้นใหญ่ที่ตั้งค้ำยันโครงสร้างหลักของบ้าน เมื่อฉันก้าวเข้าไปในห้องถึงกับอ้าปากค้าง
“ชอบล่ะสิ” พี่กิ๊งเอ่ยแซวเมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉัน
“สุดยอดดด” ฉันยังตะลึงงัน
ภายในห้องนั้นอัดแน่นไปด้วยชั้นวางหนังสือทำจากไม้สีเข้ม ที่ถูกแกะสลักสวยงามอย่างงดงามมาก ฉันไม่รู้หรอกว่าลายแกะสลักของชั้นวางหนังสือนั้นเป็นศิลปะในยุคสมัยใดกันแน่ มันเป็นลายพลิ้วไหว แต่ก็ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่แข็งแรง มันให้อารมณ์ราวกับว่าฉันได้ตัดขาดจากโลกภายนอกไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ผนังทั่วห้องเรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือที่สูงตั้งแต่พื้นห้องจรดเพดาน มีบันไดยาวที่ทำจากไม้พาดผ่านชั้นหนังสือ ตรงกลางห้องเป็นเก้าอี้นวมตัวใหญ่วางอยู่กับที่วางเท้า มองดูเป็นเซตเข้ากันอยู่บนพรมสีน้ำตาลเข้มรูปวงกลมผืนใหญ่
ตามข้างกำแพงห้องมีไฟกิ่ง ส่องแสงสีทองนวลตากระจายอยู่ทั่วห้อง และบนโต๊ะข้างเก้าอี้นวมก็มีไฟสำหรับอ่านหนังสือตั้งอยู่ด้วย ฉันสอดส่ายสายตาด้วยความทึ่ง
“ของยายเขาน่ะ ทั้งหมดเลย” เสียงของเธอห่วงหา พูดพลางกวาดตาไปทั่วทั้งห้อง
“สมบัติล้ำค่าของเขาเลย” เธอสูดหายใจเข้าจนลึก ฉันที่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ อดไม่ไหวที่จะเอื้อมไปจับแขนเล็ก ๆ ของพี่กิ๊ง บีบมันเบา ๆ ขนาดฉันยังคิดถึงคุณยายขนาดนี้ แล้วเธอจะขนาดไหนกัน ฉันไม่อยากจะนึกเลย โธ่ .. พี่กิ๊ง ฉันรู้สึกใจสลาย
หลังจากที่เธอทิ้งให้ฉันครอบครองห้องนี้เพียงลำพัง ฉันก็เดินสำรวจไปทั่ว ห้องนี้เป็นห้องที่พี่กิ๊งบอกว่า ใหญ่ที่สุดในบรรดาห้องทั้งหมดในบ้าน คุณยายเลือกห้องนี้เป็นห้องหนังสือส่วนตัวของท่าน
ก่อนออกไปเธอเล่าว่า คุณยายเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก ข้อนั้นฉันพอเดาได้จากการที่ทำงานกับคุณยายมาพักใหญ่ เพราะท่านเป็นคนเดียวในหอสมุดแห่งนั้น ที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ ได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่ายที่สุดแล้ว
การที่ฉันทำงานที่นั่น ทำให้รู้ว่าแม้จะทำงานที่หอสมุดก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรักการอ่าน
แต่ห้องนี้มัน .. ว้าววววว
ขณะที่นิ้วของฉันสัมผัสหน้าปกของหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า ที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบอยู่บนชั้น บ่งบอกว่าเจ้าของนั้นใส่ใจหนังสือของเธอแค่ไหน ฉันนึกปลาบปลื้มชื่นชมอย่างล้นใจ จะมีอะไรทำให้ฉันมีความสุขไปมากกว่านี้อีกมั้ยนะ
ฉัน .. ตื้นตันเหลือเกิน คุณยายสุดยอดเลยค่ะ ฉันยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าของหญิงชราใจดี ที่ฉันเคารพรักคนนั้น
นึกดีใจที่พี่กิ๊งดันทุรังรักษาห้องห้องนี้เอาไว้จนได้ เพราะหลังจากที่คุณยายจากพวกเราไป บรรดาลูก ๆ ของคุณยาย ก็ออกความเห็นกันว่าให้ปรับห้องนี้เสียใหม่ ทำเป็นห้องดูหนังฟังเพลงหรืออะไรก็ได้ แล้วก็เอาหนังสือพวกนี้ไปชั่งกิโลขายเสียเลยจะได้ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องมดปลวกจะมาอาศัยอยู่ โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากรู้สึกเศร้าใจทุกครั้งที่ต้องเข้ามาในห้องนี้
แต่พี่กิ๊งยืนยันชัดเจนว่า บ้านหลังนี้เป็นสมบัติของเธอ เพราะคุณยายยกบ้านนี้ให้พี่กิ๊ง ส่วนลูกคนอื่นได้ที่ดินที่อื่น ๆ ไป พี่กิ๊งจึงออกปากปฏิเสธโดยเด็ดขาด เธอบอกว่าในบรรดาครอบครัวของเธอมีคุณยายคนเดียวเท่านั้นที่รักหนังสือ ส่วนคนอื่นมองว่ามันก็เป็นแค่กองกระดาษที่ซ่องสุมของปลวกเท่านั้นเอง
พลันเท้าฉันก็เดินเข้าไปใกล้กับตู้หนังสือโบราณตู้หนึ่ง ตู้ใบใหญ่ใบนี้แหละที่พี่กิ๊งชี้บอกไว้ว่า ตำราโหราศาสตร์ของคุณยายถูกเก็บอยู่
ฉันมองมันอย่างพิศวงผสมความสนใจใคร่รู้ ตู้ใบนี้มีสีเข้มกว่าชั้นหนังสือทั้งหมดเล็กน้อย มีรูปสลักเสลาของหญิงสาวในชุดนักบวชฉันเดาว่าเป็นอย่างนั้น เพราะเธอสวมเสื้อผ้ามิดชิดมีผ้าคลุมศีรษะ ในอุ้งมือของเธอกอบกุมตำราเล่มหนึ่งเอาไว้ และที่ใต้ฝ่าเท้าของเธอมีสิ่งหนึ่งที่ถูกเธอเหยียบเอาไว้ด้วย
ฉันก้มเข้าไปใกล้ต้องการมองให้ชัดเจนว่ามันคืออะไร และพบกว่าสิ่งที่เธอเหยียบอยู่นั้นคือ พระจันทร์เสี้ยว
ฉันนึกขออนุญาตคุณยายอยู่ในใจ ระหว่างที่ฉันเอื้อมมือไปจับประตูตู้ที่รูปร่างคล้ายกระดุมเม็ดใหญ่หนาสีทองสนิม ดูแข็งแกร่งแต่นุ่มมืออย่างประหลาด
เมื่อฉันเปิดประตูตู้หนังสือออก ภายในตู้มีตำราปกแข็งเก่าแก่มากมายวางเรียงอยู่ในนั้น ฉันเอื้อมมือเข้าไปลูบสันหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่ตรงกลาง ปกสีทองเข้มตัวอักษรนูนสีดำ เขียนว่า TAROT ฉันไล่นิ้วไปเรื่อย ๆ ด้วยใจที่กำลังเต้นตึกตัก
ฉันชอบศาสตร์ลึกลับ ชอบฟังนิทานปรัมปรา ตำนานเก่าแก่ที่เล่าขานกันมาอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย แต่มันก็เป็นสิ่งที่ต้องแอบซ่อนเอาไว้ เพราะพ่อและแม่ของฉันท่านคงจะไม่ชอบใจนัก หากได้รู้ว่าลูกสาวคนเดียวของท่าน มีความชื่นชอบอะไรแบบนี้ พ่อแม่ฉันใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ และสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้เท่านั้น
ซึ่งฉันก็เคารพในความเชื่อของท่านเช่นกัน
แค่ยินยอมให้ฉันได้เรียนและได้ทำงานในสิ่งที่ฉันรัก ฉันก็นึกขอบคุณพวกท่านมากมายพออยู่แล้ว ส่วนเรื่องความชอบส่วนตัวในแนวนี้ของฉัน ฉันจะเก็บมันไว้เงียบ ๆ ในใจก็พอ
ระหว่างที่ฉันสัมผัสไปบนปกหนังสือเก่าแก่มากมายในตู้ใบนี้ นิ้วของฉันก็เลื่อนกลับมายังตำราเก่าแก่เล่มเดิม ราวกับมีพลังบางอย่างเรียกร้อง ไม่แน่ใจว่าจากหนังสือเล่มนั้นร้องเรียกฉัน หรือว่าเป็นพลังงานภายในตัวของฉันเองกันแน่
สี่ไม้เท้า ห้าถ้วย และสามถ้วย ฉันจ้องมองหน้าไพ่ทาโร่ต์ที่ฉันสั่งมาทางออนไลน์ เพราะในที่สุดฉันก็แพ้ความปรารถนาของตัวเอง เช้านี้หลังจากตื่นมาอย่างสดชื่นแบบไม่มีเสียงนาฬิกาปลุก เพราะเป็นวันหยุดงานวันแรกของฉัน และพึ่งบอกปฏิเสธการไปทริปครอบครัวที่ญี่ปุ่นกับแม่ไปเรียบร้อย โดยบอกว่าฉันนัดกับลิลลี่เอาไว้ก่อนแล้ว แม่ไม่ตัดพ้อไม่ต่อว่า แม่แค่บอกว่าอยากให้ฉันออกไปท่องเที่ยวบ้าง และพอรู้ว่าฉันมีแผนอยู่แล้วแม่ก็โล่งใจ ตอนนี้ฉันยังไม่มีจิตใจจะไปท่องเที่ยวที่ไหน นอกจากที่นั่นอีกแล้ว .. น้ำเสียงแม่ก็ดูปกติดีบอกว่าคิดถึงฉัน ฉันเองก็คิดถึงท่านทั้งสอง ไว้ฉันจะไปชดเชยให้ทีหลัง จากนั้นฉันจึงนั่งลงทำใจให้สงบแล้วลองจับไพ่ดูบ้าง ฉันทดลองสับไพ่อย่างที่เคยเห็นผู้ทำนายแต่ละคนทำ ดูเหมือนง่ายดายแต่เอาเข้าจริงไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย ไพ่ร่วงกราวใบแล้วใบเล่า จนฉันต้องตั้งสติและค่อยเป็นค่อยไป เมื่อสับไพ่ได้จนพอใจแล้ว ฉันก็คลี่ไพ่บนโต๊ะทำงานของฉัน คลี่มันออกเป็นครึ่งวงกลมอย่างที่ฉันเคยเห็นเดฟทำประจำเลย
ฉันตื่นขึ้นอีกครั้งในเวลาเช้ามืดก่อนนาฬิกาจะปลุกเสียอีก ซึ่งนั่นเป็นที่น่าแปลกใจอยู่มาก เพราะโดยปกติถ้าฉันเข้านอนดึกมากอย่างเมื่อคืนล่ะก็ .. ฉันจะนอนลากยาวแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวไปจนถึงเที่ยงวัน คงเป็นเพราะขณะนี้หัวใจของฉันว้าวุ่นไปหมด ฉันนึกถึงคำพูดและแววตาห่วงหาอาลัยของเขาอย่างแจ่มชัดทันทีที่ลืมตาตื่น นี่ฉัน .. กำลังคิดถึงชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่จริง ๆ เหรอ มันเป็นเรื่องใหญ่และใหม่มากเลย สำหรับผู้หญิงที่มีชีวิตวนเวียนซ้ำซากอย่างฉัน แต่ที่แน่ ๆ เขาไม่ใช่ชายหนุ่มทั่วไป แต่ .. แต่เขา .. เป็นชายที่งดงามที่สุดเลย ฉันขอใช้คำนี้เลยแล้วกันเพราะมันบอกความเป็นท่าน เอเดนได้ตรงใจฉันที่สุดแล้ว ท่าน เอ เดน .. ฉันเอ่ยเรียกชื่อเขาซ้ำๆ ในใจ พลางยิ้มด้วยความเขินอาย เปิดผ้าห่มออกและก้าวขาอย่างมั่นใจไปยังระเบียง เมื่อแหวกเปิดม่านออก บรรยากาศภายนอกสดชื่น โลกของฉันก็มีอากาศแบบนี้ด้วยเหมือนกันนะฉันไม่ยักสังเกต ปกติก็หายใจเข้าออกทุกวันไปอย่างอัตโนมัติไม่เคยได้ฉุกคิด หรือหยุดซาบซึ้งกับอะไรพวกนี้เลย ฉันคิดแล้วสูดมันเข้าไปใ
เมื่อฉันคลายข้อข้องใจลงแล้ว ฉันก็ลองถามคำถามตรงหน้าดูว่าไพ่ทั้งสามใบนั้นหมายถึงอะไร “ไพ่เด็กถือไม้ หมายถึง การริเริ่ม ริรักขอรับ ใบนี้คือ หนึ่งเหรียญ หมายถึงของมีค่า ของรักหรือการพบนางหรือชายในฝัน และใบนี้ใบสุดท้ายคือ สองดาบ หมายถึง ความวิตกกังวล คิดอะไรไม่ถูกมองอะไรไม่ออก สับสนลังเล ขอรับคุณผู้หญิง อยากให้ข้า เอ่ยคำพยากรณ์ออกมาหรือไม่ขอรับ” กระต่ายน้อยถามฉันด้วยอาการมีเลศนัย ฉันอึกอักบอกใบ้ว่าไม่ต้อง พร้อมกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ฉันได้ยินเสียงกระถางต้นไม้หล่นลงพื้นบริเวณสวนหน้าบ้าน ท่านเอเดนออกไปทำอะไรเสียนานสองนาน นั่นเขาจะพังสวนของเขาหรือไงกันนะ ฉันคิดพลางลนลานเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วฉันก็พุ่งเป้าไปที่เจ้าของคนเดิมของหนังสือเล่มนั้น ใช่สิ! .. คุณยายล่ะ “ขอถามอีกเรื่องได้มั้ยคะ” ฉันนึกเกรงใจเดฟขึ้นมานิดหน่อย คนรอบตัวฉันบางทีก็แสดงอาการระอาใจกับเรื่องความขี้สงสัย อยากรู้ไปเสียหมดของฉัน ฉันจึงขออนุญาตถามเขาอีกที “ได้เสมอขอรับ คุณผู้หญิง” เดฟสุภาพจนฉันชักจะเกรงใจเขาขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ฉันจะถามแต่คำถ
ราวกับฉันหลุดไปอีกโลกหนึ่งอีกครั้งเสียแล้ว ฉันจะเลิกประหลาดใจกับดินแดนแห่งความหวังแห่งนี้ได้เมื่อไหร่กันนะ วิหารหินและบรรยากาศแสนสดชื่นเมื่อครู่นี้ คล้ายจะธรรมดาไปเลย เมื่อเทียบกับสถานที่ตรงหน้า บ้านเมืองที่นี่ .. จะเรียกว่าไงดี ให้ตายเถอะ .. คุณพระช่วย .. มัน .. ว้าววว!! ฉันปล่อยมือจากการเกาะเกี่ยวบุรุษหนุ่มรูปงาม แล้วหันมาเพลิดเพลินเจริญใจกับสิ่งตรงหน้า ราวกับว่าตัวฉันกำลังหลุดไปอยู่ในเทพนิยายเสียแล้ว สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่สร้างจากก้อนหินทรงสี่เหลี่ยมสีขาวปนครีม แต่เมื่อถูกแสงอาทิตย์อัสดงฉาบทาก็มองคล้ายเป็นสีทองอร่ามไปทั่ว ตามกำแพงบ้านมีดอกไม้บานสะพรั่งเลื้อยเกาะคลุมไปทั่ว บางจังหวะดอกไม้ก็ยอมเว้นช่วงเผยให้เห็นความงามและความแข็งแกร่งของกำแพงอิฐ ไฟสีทองนวลตาถูกเปิดต้อนรับรัตติกาลแล้วในขณะนี้ มันอาบย้อมบรรยากาศทั้งเมืองให้สว่างไสว คล้ายต้องการส่องสว่างโชว์ให้ที่แห่งนี้นั้น โดดเด่นที่สุดในจักรวาล มันสวยงามจนฉันอ้าปากค้างตกตะลึง เขาทั้งสองเ
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงกับภาพตรงหน้า จึงรีบหลุบตามองต่ำหัวใจเต้นแรง แล้วก็ทำใจกล้าเหลือบตามองไปยังที่แห่งนั้นอีกครั้ง ชายหนุ่มรูปงาม โอ้ว .. เขารูปงามมาก ๆ ฉันไม่อาจนึกได้เลยว่า เคยเห็นเค้าโครงหน้าและรูปร่างที่งดงามขนาดนี้มาบ้างหรือเปล่า อาจจะเคย .. แต่ก็เป็นเพียงในจินตนาการจากการอ่านนิยายของฉันเท่านั้น แต่นี้ .. มันอะไรกัน เขานั่งคุกเข่าข้างเดียวทำท่าทางเหมือนกำลังคุยปรึกษากับเดฟอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่ฉันจะปรากฏกาย ในขณะที่ฉันกำลังใจเต้นระส่ำ ชายคนนั้นก็ยืนขึ้น เขาเองก็จ้องฉันไม่วางตาเช่นกัน เขาคงตกใจและสงสัยแน่นอนว่าฉันเป็นใคร เขาสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำทับด้วยกั๊กสูทสีเทาพอดีตัว และกางเกงขายาวสีดำ ดูเป็นทางการแต่ก็ลำลองในทีอยู่ด้วยเหมือนกัน มันเป็นสไตล์แบบไหนกัน ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องแฟชั่นเท่าไหร่นัก ถ้าเป็นลิลลี่เพื่อนรักล่ะก็เธอต้องรู้แน่ ฉันเหลือบมองตัวเองอยู่ครู่หนึ่งนึกขอบคุณตัวเองมากเหลือเกิน ที่วันนี้ฉันเลือกชุดนอนเป็นชุดกระโปรงสีครีมผ้าสองชั้น ชายกระโปรงยาวกรอมเท้า แขนเส
ช่วงนี้ฉันหมกมุ่นอยู่กับตำราเล่นนั้นมากเหลือเกิน ทุกเย็นเมื่อเลิกงานฉันจะรีบตาลีตาเหลือกกลับคอนโด ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรีบอะไรนักหนา เพราะถึงอย่างไรฉันก็ไม่มีนัดกับใคร ไม่ต้องคอยทำอาหารปรนนิบัติใครทั้งสิ้น ฉันก็มีเพียงแค่ตัวฉันเองคนเดียว ขนาดลิลลี่เพื่อนรัก โทรมาชวนออกไปดินเนอร์ (เธอบอกกับฉันแบบนั้น ) ฉันยังบอกปัดเธอไปเลย ว่าช่วงนี้ฉันยุ่ง .. แล้วลิลลี่เพื่อนรักก็สวนกลับทันควัน ว่าฉันไม่มีทางยุ่งได้หรอก ซึ่งนั่นก็จริง เพราะเธอรู้จักวงเวียนชีวิตอันเรียบง่ายของฉันดี แต่เธอก็ไม่เซ้าซี้ต่อแล้วบอกว่าจะรอให้ฉันออกปากชวนเองก็แล้วกัน นี่แหละเธอจึงเป็น ลิลลี่เพื่อนรักตลอดกาลของฉัน ตำแหน่งนี้ฉันยกให้เธอคนเดียว เมื่อมาถึงคอนโดฉันก็เร่งรีบจัดการธุระส่วนตัว ถึงฉันจะอยากฉวยหนังสือออกมานั่งอ่านสักเพียงใด แต่ฉันก็มีนิสัยต้องอาบน้ำก่อนขึ้นเตียงนอนทุกครั้งหลังกลับจากข้างนอก และฉันไม่เคยทำลายกฎที่ฉันสร้างมันขึ้นมาเลยสักครั้ง ฉันรักความสะอาดสุด ๆ บางทีสิ่งนี้อาจจะมาจากการเป็นลูกสาวของคุณหมอทั้งสองก็เป็นได้ เมื่อเร