หลังเลิกงาน ฉันออกจากที่ทำงานได้ก็มุ่งตรงไปที่บ้านคุณยาย ซึ่งตอนนี้เป็นบ้านของพี่กิ๊งไปแล้ว ฉันจำทางไปที่นั่นได้อย่างแม่นยำ เพราะฉันไปนั่งกินข้าวเป็นประจำ คุณยายท่านเอ็นดูฉันมาก ตั้งแต่ที่ฉันเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ ๆ คุณยายก็เป็นคนคอยสอนงานต่าง ๆ ให้ฉันเสมอ ท่านใจดี อยู่ด้วยแล้วสงบเย็น ฉันจึงรักและเคารพคุณยายอย่างที่สุด
นั่งรถไฟฟ้ายาวมาจนสุดสายก็ถึงปากทางเข้าบ้านของพี่กิ๊ง ฉันลงแล้วเดินต่อเข้าซอยไปอีกไม่นาน ก็ถึงบ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดใหญ่หลังหนึ่ง ประตูรั้วไม้สีน้ำตาลช่องถี่ปิดสนิท ฉันกดกริ่งแล้วยืนรอ
ครู่เดียวเสียงรองเท้าเหยียบใบไม้แห้งก็เดินตรงเข้ามาที่ประตู ประตูเปิดออกพี่กิ๊งในชุดลำลองยืนยิ้มกว้างให้ฉัน ฉันเดินตามเธอเข้าไปในบ้านที่ฉันคุ้นเคย ระหว่างทางเดินเข้าไปในบ้านมองเห็นสวนดอกไม้ของคุณยายยังบานสะพรั่ง แม้จะไม่งามเท่าตอนที่คุณยายยังอยู่ แต่ก็ถือว่าพี่กิ๊งดูแลสวนดอกไม้ของคุณยายไว้ได้เป็นอย่างดี
เดินเข้ามาในบ้านไม่มีคนอยู่ พี่กิ๊งเปิดเพลงดังไปทั่วบ้าน ฉันเดาว่าเธอคงจะเหงาที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว หลังจากหย่าขาดจากสามีเก่าไป พี่กิ๊งก็ยังครองตัวเป็นโสดเรื่อยมา
“น้องตา หิวอะไรมั้ยจ๊ะ กินอาหารเย็นที่นี่เลยนะ .. พี่จะทำอุด้งน้ำให้กิน” พี่กิ๊งอ่อนโยนกับฉันเสมอ ฉันยังสงสัยว่าสามีของเธอคิดอะไรอยู่ถึงทิ้งผู้หญิงดี ๆ แบบนี้ไป
“อุด้งเหรอคะ เอาค่ะ เอา ๆ ..” ฉันไม่จำเป็นต้องคิดหน้าคิดหลังหรอก อุด้งสูตรบ้านนี้ถ้าใครกินเป็นต้องหลงรัก
“มาสิ พี่จะพาไปดูอะไรบางอย่าง ก่อนที่พี่จะไปทำอุด้งสูตรเด็ดให้กิน” เธอเดินนำฉันขึ้นบนชั้นสอง
ฉันประหม่านิดหน่อย จริงอยู่ที่ฉันสนิทสมกับคุณยายและพี่กิ๊งมาก แต่ก็ไม่มากขนาดจะเดินขึ้นชั้นสองซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวมาก่อน แม้จะเป็นอย่างนั้นฉันก็เดินตามเธอไปติด ๆ
ขึ้นมาบนนี้ ก็เหมือนบ้านทั่วไป คือมีประตูห้องหลายห้องแยกตัวกันซ้ายขวา ฉันก็ไม่รู้ว่าห้องไหนห้องนอน ห้องไหนห้องน้ำ ได้แต่เดินตามพี่กิ๊งไปเงียบ ๆ
“เข้ามาเลยจะ” พี่กิ๊งเปิดประตูห้องห้องหนึ่งออกจนกว้าง ห้องนี้อยู่ริมสุดทางเดิน คล้ายแอบอยู่หลังเสาต้นใหญ่ที่ตั้งค้ำยันโครงสร้างหลักของบ้าน เมื่อฉันก้าวเข้าไปในห้องถึงกับอ้าปากค้าง
“ชอบล่ะสิ” พี่กิ๊งเอ่ยแซวเมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉัน
“สุดยอดดด” ฉันยังตะลึงงัน
ภายในห้องนั้นอัดแน่นไปด้วยชั้นวางหนังสือทำจากไม้สีเข้ม ที่ถูกแกะสลักสวยงามอย่างงดงามมาก ฉันไม่รู้หรอกว่าลายแกะสลักของชั้นวางหนังสือนั้นเป็นศิลปะในยุคสมัยใดกันแน่ มันเป็นลายพลิ้วไหว แต่ก็ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่แข็งแรง มันให้อารมณ์ราวกับว่าฉันได้ตัดขาดจากโลกภายนอกไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ผนังทั่วห้องเรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือที่สูงตั้งแต่พื้นห้องจรดเพดาน มีบันไดยาวที่ทำจากไม้พาดผ่านชั้นหนังสือ ตรงกลางห้องเป็นเก้าอี้นวมตัวใหญ่วางอยู่กับที่วางเท้า มองดูเป็นเซตเข้ากันอยู่บนพรมสีน้ำตาลเข้มรูปวงกลมผืนใหญ่
ตามข้างกำแพงห้องมีไฟกิ่ง ส่องแสงสีทองนวลตากระจายอยู่ทั่วห้อง และบนโต๊ะข้างเก้าอี้นวมก็มีไฟสำหรับอ่านหนังสือตั้งอยู่ด้วย ฉันสอดส่ายสายตาด้วยความทึ่ง
“ของยายเขาน่ะ ทั้งหมดเลย” เสียงของเธอห่วงหา พูดพลางกวาดตาไปทั่วทั้งห้อง
“สมบัติล้ำค่าของเขาเลย” เธอสูดหายใจเข้าจนลึก ฉันที่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ อดไม่ไหวที่จะเอื้อมไปจับแขนเล็ก ๆ ของพี่กิ๊ง บีบมันเบา ๆ ขนาดฉันยังคิดถึงคุณยายขนาดนี้ แล้วเธอจะขนาดไหนกัน ฉันไม่อยากจะนึกเลย โธ่ .. พี่กิ๊ง ฉันรู้สึกใจสลาย
หลังจากที่เธอทิ้งให้ฉันครอบครองห้องนี้เพียงลำพัง ฉันก็เดินสำรวจไปทั่ว ห้องนี้เป็นห้องที่พี่กิ๊งบอกว่า ใหญ่ที่สุดในบรรดาห้องทั้งหมดในบ้าน คุณยายเลือกห้องนี้เป็นห้องหนังสือส่วนตัวของท่าน
ก่อนออกไปเธอเล่าว่า คุณยายเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก ข้อนั้นฉันพอเดาได้จากการที่ทำงานกับคุณยายมาพักใหญ่ เพราะท่านเป็นคนเดียวในหอสมุดแห่งนั้น ที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ ได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่ายที่สุดแล้ว
การที่ฉันทำงานที่นั่น ทำให้รู้ว่าแม้จะทำงานที่หอสมุดก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรักการอ่าน
แต่ห้องนี้มัน .. ว้าววววว
ขณะที่นิ้วของฉันสัมผัสหน้าปกของหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า ที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบอยู่บนชั้น บ่งบอกว่าเจ้าของนั้นใส่ใจหนังสือของเธอแค่ไหน ฉันนึกปลาบปลื้มชื่นชมอย่างล้นใจ จะมีอะไรทำให้ฉันมีความสุขไปมากกว่านี้อีกมั้ยนะ
ฉัน .. ตื้นตันเหลือเกิน คุณยายสุดยอดเลยค่ะ ฉันยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าของหญิงชราใจดี ที่ฉันเคารพรักคนนั้น
นึกดีใจที่พี่กิ๊งดันทุรังรักษาห้องห้องนี้เอาไว้จนได้ เพราะหลังจากที่คุณยายจากพวกเราไป บรรดาลูก ๆ ของคุณยาย ก็ออกความเห็นกันว่าให้ปรับห้องนี้เสียใหม่ ทำเป็นห้องดูหนังฟังเพลงหรืออะไรก็ได้ แล้วก็เอาหนังสือพวกนี้ไปชั่งกิโลขายเสียเลยจะได้ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องมดปลวกจะมาอาศัยอยู่ โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากรู้สึกเศร้าใจทุกครั้งที่ต้องเข้ามาในห้องนี้
แต่พี่กิ๊งยืนยันชัดเจนว่า บ้านหลังนี้เป็นสมบัติของเธอ เพราะคุณยายยกบ้านนี้ให้พี่กิ๊ง ส่วนลูกคนอื่นได้ที่ดินที่อื่น ๆ ไป พี่กิ๊งจึงออกปากปฏิเสธโดยเด็ดขาด เธอบอกว่าในบรรดาครอบครัวของเธอมีคุณยายคนเดียวเท่านั้นที่รักหนังสือ ส่วนคนอื่นมองว่ามันก็เป็นแค่กองกระดาษที่ซ่องสุมของปลวกเท่านั้นเอง
พลันเท้าฉันก็เดินเข้าไปใกล้กับตู้หนังสือโบราณตู้หนึ่ง ตู้ใบใหญ่ใบนี้แหละที่พี่กิ๊งชี้บอกไว้ว่า ตำราโหราศาสตร์ของคุณยายถูกเก็บอยู่
ฉันมองมันอย่างพิศวงผสมความสนใจใคร่รู้ ตู้ใบนี้มีสีเข้มกว่าชั้นหนังสือทั้งหมดเล็กน้อย มีรูปสลักเสลาของหญิงสาวในชุดนักบวชฉันเดาว่าเป็นอย่างนั้น เพราะเธอสวมเสื้อผ้ามิดชิดมีผ้าคลุมศีรษะ ในอุ้งมือของเธอกอบกุมตำราเล่มหนึ่งเอาไว้ และที่ใต้ฝ่าเท้าของเธอมีสิ่งหนึ่งที่ถูกเธอเหยียบเอาไว้ด้วย
ฉันก้มเข้าไปใกล้ต้องการมองให้ชัดเจนว่ามันคืออะไร และพบกว่าสิ่งที่เธอเหยียบอยู่นั้นคือ พระจันทร์เสี้ยว
ฉันนึกขออนุญาตคุณยายอยู่ในใจ ระหว่างที่ฉันเอื้อมมือไปจับประตูตู้ที่รูปร่างคล้ายกระดุมเม็ดใหญ่หนาสีทองสนิม ดูแข็งแกร่งแต่นุ่มมืออย่างประหลาด
เมื่อฉันเปิดประตูตู้หนังสือออก ภายในตู้มีตำราปกแข็งเก่าแก่มากมายวางเรียงอยู่ในนั้น ฉันเอื้อมมือเข้าไปลูบสันหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่ตรงกลาง ปกสีทองเข้มตัวอักษรนูนสีดำ เขียนว่า TAROT ฉันไล่นิ้วไปเรื่อย ๆ ด้วยใจที่กำลังเต้นตึกตัก
ฉันชอบศาสตร์ลึกลับ ชอบฟังนิทานปรัมปรา ตำนานเก่าแก่ที่เล่าขานกันมาอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย แต่มันก็เป็นสิ่งที่ต้องแอบซ่อนเอาไว้ เพราะพ่อและแม่ของฉันท่านคงจะไม่ชอบใจนัก หากได้รู้ว่าลูกสาวคนเดียวของท่าน มีความชื่นชอบอะไรแบบนี้ พ่อแม่ฉันใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ และสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้เท่านั้น
ซึ่งฉันก็เคารพในความเชื่อของท่านเช่นกัน
แค่ยินยอมให้ฉันได้เรียนและได้ทำงานในสิ่งที่ฉันรัก ฉันก็นึกขอบคุณพวกท่านมากมายพออยู่แล้ว ส่วนเรื่องความชอบส่วนตัวในแนวนี้ของฉัน ฉันจะเก็บมันไว้เงียบ ๆ ในใจก็พอ
ระหว่างที่ฉันสัมผัสไปบนปกหนังสือเก่าแก่มากมายในตู้ใบนี้ นิ้วของฉันก็เลื่อนกลับมายังตำราเก่าแก่เล่มเดิม ราวกับมีพลังบางอย่างเรียกร้อง ไม่แน่ใจว่าจากหนังสือเล่มนั้นร้องเรียกฉัน หรือว่าเป็นพลังงานภายในตัวของฉันเองกันแน่
หลังจากเดินไปส่งเดฟที่บ้านตุ๊กตาของเขาแล้ว ฉันมีโอกาสได้พบลูน่าอีกครั้ง แถมครั้งนี้ได้เจอมาร์คัส เจ้ากระต่ายน้อยซุกซนกระโดดหยองแหยงไปมา รอบตัวฉันและเอเดน “ หวัดดีฮะๆ ” เขาพูดได้! มาร์คัสโดดเดินหน้าถอยหลัง อย่างร่าเริง ลูน่าจับหูสองข้างของลูกชายยกเขาลอยขึ้นอย่างแผ่วเบา อุ้งเท้าน้อยๆ ของเจ้ามาร์คัสยังคงตวัดป่ายไปมากลางอากาศ รอยยิ้มอันสดใสของเขา ช่วยทำให้จิตใจของฉันเบิกบาน แล้วเราทั้งหมดต่างร่ำลากันโดยดี ขณะเดินผ่านรั้วออกมาแล้ว ฉันก็เหลียวมองกลับไปยังที่บ้านกระต่ายหลังน้อยที่น่ารักหลังนั้น ฉันเอ่ยลาพวกเขาในใจอีกครั้งหนึ่ง ‘ลาก่อนค่ะเดฟ’ เอเดนกับฉัน เราเดินกลับมาที่วิหารหินด้วยความเงียบ ฉันรู้สึกปวดมวนในท้อง ไม่รู้ว่าการที่เขาตัดสินใจแบบนี้ มันจะเป็นผลดีกับฉันฝ่ายเดียวหรือเปล่า เขายอมทิ้งชีวิตที่วิเศษสุดของที่นี่ ตามฉันไปอยู่ในโลกที่ฉันเองก็ไม่ได้สันทัด หรือเชี่ยวชาญในการใช้ชีวิตอะไรเลย อยู่ที่นี่เขาจะแข็งแรง มีอายุยืนยาว อยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ อากาศก็ดีแสนดี บ้านเมืองงดงามราวเ
เอเดนพาฉันเดินมาตามถนนที่แสงจันทร์ส่องสว่างอาบไล้ไปทั่วอย่างเคย สายลมยามราตรีพัดโชยเย็นสบาย ผมหน้าของเอเดนปลิวลู่ไปด้านข้าง เผยให้เห็นหน้าผากใสเนียน ขนาดมองด้านข้างเขายังงดงามไร้ที่ติเลย ฉันไม่รู้จะหาจุดบกพร่องจากบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้จากที่ตรงไหน แล้วเหตุใดฉันจึงได้เป็นผู้หญิงที่โชคดีอะไรอย่างนี้ ฉันกระชับมือที่จับกันกับมือของเอเดนอยู่ให้แน่นขึ้น เขาเองก็บีบมือตอบกลับมา เดินผ่านที่ราบกว้าง ริมทะเลสาบ มองไปสุดสายตาเห็นวิหารหินตั้งสูงเด่นเป็นสง่า เรากำลังจะไปบ้านของเดฟ เอเดนบอกฉันอย่างนั้น “วิหารนั้น เป็นที่ไว้สำหรับทำอะไรเหรอคะ” ฉันว่าจะถามมาตั้งนานแล้ว “อ่อ .. เป็นที่สำหรับต้อนรับผู้มาเยือนน่ะ ลิต้าที่รัก ท่านเองก็มีประสบการณ์จากวิหารนั้นมิใช่หรือ” เอเดนไขข้อข้องใจ “อย่างเดียวเลยเหรอคะ” “เท่านั้นก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และสำคัญเพียงพอ” เขาเอ่ยทุ้มลึกกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ไม่นานนักเราก็ผ่านสวนพันธุ์ไม้ที่เขียวชอุ่ม ที่ที่ฉันพบกับเดฟเป็นครั้งแรก ฉันมองเข้าไปด้วยความรู้สึกท่วมท้น
เพียงคำเดียวที่ปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระ จากความทุกข์ทรมานทั้งปวง คำคำนั้นคือ “ รัก ” ซอโฟครีส นักเขียนบทละครชาวกรีก ฉันยกหูโทรศัพท์โทรหาแม่ รอสายอยู่นานสายก็ตัดไป ฉันนั่งเอนหลังพิงพนักที่มีเบาะบุขนรูปหน้าแมวสีชมพูอย่างสับสนในจิตใจ ฉันกำลังตัดสินใจว่าจะย้ายไปอยู่กับเอเดนที่โลกแห่งความหวังนั่นดีหรือเปล่า .. ทำไมจะไม่ดีล่ะ? .. เสียงในหัวของฉันดังขัดขึ้นมากลางปล้อง ก็เพราะฉันมีพ่อมีแม่อยู่ที่นี่ยังไงล่ะ ไหนจะลิลลี่เพื่อนรักของฉันอีก ฉันโต้เธอกลับไป ขณะเอานิ้วนวดขมับ เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น แพทย์หญิงผู้เพียบพร้อมของฉันโทรกลับมาหา “ไงลูกรัก” แม่ฉันกรอกเ
ฉันถูกแรงมหาศาลสลัดเหวี่ยงลงบนเตียงนอน หัวอยู่ปลายเตียง ขาฉันฟาดเข้ากับหมอนอิงใบใหญ่ โชคดีที่ไม่โดนหัวเตียงเพราะห่างจากปลายเท้าของฉันเพียงเส้นยาแดงเท่านั้น ครั้งนี้ฉันรู้สึกว่า ฉันเดินทางไปอยู่ที่นั่นนานกว่าทุกครั้ง แถมครั้งนี้ไปค้างคืนมาเสียด้วย จิตใต้สำนึกบอกให้ฉันลุกขึ้นไปคว้าโทรศัพท์มาเช็กดู เผื่อว่าฉันพลาดอะไรที่สำคัญไปหรือเปล่า ฉันปัดเปิดหน้าจออย่างชำนาญ เห็นข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอยู่สามสี่ข้อความ จากแม่ .. เป็นข้อความสวัสดีปีใหม่ จากพ่อ .. ข้อความเช่นเดียวกัน ถัดมาเป็นคนคุยคนเก่าที่ทิ้งฉันไปได้หลายปีแล้ว ส่งสติ๊กเกอร์มาทำไมฉันอ่านและลบออกทันที ส่วนข้อความสุดท้ายมาจากลิลลี่เพื่อนรัก ‘วันหยุดนี้ ทำอะไร ? โทรไปก็ไม่รับ โทรกลับมาด้วยนะ’ ฉันอ่านพลางจินตนาการน้ำเสียงประชดประชัน แต่จริงใจของ ลิลลี่เพื่อนรักของฉัน ฉันอยากโทรไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟังใจจะขาด แต่มันทำไม่ได้ ฉันอยากพาเธอกับครอบครัวไปอยู่ด้วยกันที่โลกแห่งความหวัง แต่ก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน เหนื่อยจัง ..
“นางเป็นน้องสาวของลุคน่ะ ลิต้าที่รัก นางจิตใจดีและมีน้ำใจมากทีเดียว” เอเดนตอบคำถามของฉันอีกครั้ง “อ่อ ค่ะ” ฉันพึมพำ “เราขออย่างเดิม สามที่นะลุค ขอบใจ” เอเดนกล่าว “ไม่นานเกินรอ ท่านทั้งหลาย” หนุ่มรูปหล่อคนใหม่หายเข้าไปหลังบาร์ ฉันมองไปรอบร้าน ไม่มีลูกค้าคนอื่นเลยมีเพียงแต่พวกเราเท่านั้น เสียงกระดิ่งประตูหน้าดังขึ้น ลมเย็นพัดโบกเข้ามา หญิงสาวหน้าตาสวยสะดุด กระโปรงสีเขียวมิ้นท์ของเธอปลิวไสวในสายลม ผมสีทองมวยต่ำ ตาสีฟ้าโตลึกคมเข้ม ฉบับสาวฝรั่งในนิตยสาร “เอเดน .. เดฟ อะไรดลใจท่านงั้นหรือ” เธอพูดจงใจมองหน้าเอเดน และฉันแปลมันออกทุกคำเลย “เจซี่ สวัสดี” เอเดนทักทายสุภาพ อ่อ! .. สาวงามคนนี้นี่เอง “สวัสดีขอรับ คุณผู้หญิง” กระต่ายน้อยที่นั่งอยู่ข้างซ้ายติดกระจกร้านเอ่ยทักทาย “ท่านหายไปนานเหลือเกิน ลุคกับข้าคิดว่าท่านทำตัวห่างเหิน” เจซี่พูดพลางไล่สายตามาหยุดอยู่ที่ฉัน เอเดนยิ้มรักษากิริยา เขาสง่างามเสมอเลย “โอ้ว .. ข้าไม่ทันสังเกตให้ดี ขออภัย
เช้านี้ฉันลืมตาขึ้นมามองเห็นห้องที่ไม่คุ้นตา ฉันพลิกตัวนอนหงายอย่างเร็วและแรงมาก หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมากองอยู่นอกอก ฉันจับมันเอาไว้พยายามควบคุมจังหวะการหายใจของตัวเองอย่างยากลำบาก กว่าฉันจะระลึกชาติได้ว่าฉันนอนอยู่ที่ไหน และเมื่อคืนก่อนนอนฉันทำอะไรไปบ้าง เสียงมือจับประตูห้องนอนก็ถูกขยับกึกกัก ประตูเปิดผางออก ภาพงดงามปรากฏขึ้นตรงหน้า “สวัสดี .. จวนเที่ยงแล้ว ข้ากำลังจะเข้ามาปลุกท่านอยู่พอดีลิต้าที่รัก หลับอย่างเป็นสุขดีหรือไม่เมื่อคืนนี้” เอเดนสาวเท้าเข้ามาใกล้ฉันที่เตียงนอน “อย่าพึ่งเข้ามานะคะ” ฉันยกมือขึ้นห้ามเขา “ .. ” เขาหยุดกึก เลิกคิ้วอย่าฉงนใจ “ห้องน้ำอยู่ไหนคะ ฉัน .. อยากเข้าห้องน้ำ” “อ่อ .. เชิญทางนี้” เอเดนผายมือ และเดินนำฉันออกมาทางประตู เลี้ยวซ้ายตรงไปอีกนิดหน่อยก็ถึงห้องหนึ่งที่ประตูปิดสนิท คงเป็นห้องน้ำอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันเปิดและรีบแทรกตัวเข้าไปในนั้น ตามด้วยหันหลังกลับมาปิดประตูทันที “เดี๋ยวฉันตามลงไปนะคะ” ฉันตะโกน ฉันจะตะโกนทำไมเนี่ย เวลารู้สึกก