แต่เมื่อระยะฟักตัวผ่านไป ผู้ติดเชื้อก็จะไอเป็นเลือดอย่างต่อเนื่อง และแม้แต่ความต้านทานของร่างกายก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้ติดเชื้อที่เป็นมะเร็งก็จะเร่งการเกิดมะเร็ง ระบบเผาผลาญในร่างกายก็จะเร่งความเร็วขึ้น ค่าเกล็ดเลือด จะผิดปกติ เพียงแค่ไม่กี่ปี ก็จะเสียชีวิตซือเย่เจ๋วยิ้มอย่างขมขื่น "ดังนั้น ผมยังมีชีวิตได้อีกนานแค่ไหน?"เรเวียร์ขมวดคิ้ว "จากสถานการณ์ของคุณในตอนนี้ น่าจะยังมีชีวิตได้อีกสามสีปี"......เจียงเซิงนำอาหารเย็นที่ทำเสร็จเรียบร้อยมายังโรงพยาบาล เธอเพิ่งเดินเข้าห้องพักผู้ป่วย ก็เห็นซือเย่เจ๋วนั่งอยู่บนเตียงมองไปนอกหน้าต่างอยู่เพียงลำพัง เรเวียร์ไม่เห็นเงาตั้งนานแล้ว“ซือเย่เจ๋ว ฉันเอาอาหารเย็นมาให้คุณแล้ว” เธอเดินไปข้างเตียงและวางอาหารเย็นไว้บนโต๊ะข้างเตียงซือเย่เจ๋วหันกลับมามองเธอแล้วยิ้มบาง "อืม คุณป้อนผม"เจียงเซิงไม่ปฏิเสธ เธอเปิดกล่องอาหาร นั่งลงข้างเตียงหยิบช้อนขึ้นมาตักให้เขาหนึ่งคำแล้วยื่นไปที่ข้างปากของเขาเมื่อเห็นซือเย่เจ๋วทานเข้าไป เจียงเซิงก็ถามขึ้น "คุณลุงเรเวียร์กลับไปแล้วเหรอ?"“อืม เขามีธุระจึงกลับไปก่อนแล้ว”เจียงเซิงยื่นไปข้างปากของเขาทีละคำแล
ซือเย่เจ๋วตอบอย่างเรียบเฉย "อืม ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว"ขณะพูด เขามองไปทางหลัวเชว่ "ไปจองตั๋วเครื่องบินกลับประเทศ วันมะรืนตอนเช้า"หลัวเชว่ตกตะลึง "แต่ว่าร่างกายของคุณ..."“ร่างกายของฉันฉันรู้ดี” ซือเย่เจ๋วตัดสินใจแน่วแน่หลัวเชว่มองท่านผู้เฒ่าอย่างลำบากใจ ท่านผู้เฒ่าพับแขนเสื้อขึ้นแล้วพูดว่า "เขาอยากกลับไปก็กลับไป ฉันไม่สนแล้ว!"เขาสะบัดมือเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไปด้วยความโมโหเจียงเซิงกัดริมฝีปาก เดินไปตรงหน้าซือเย่เจ๋ว "คุณควรฟังท่านผู้เฒ่าดีกว่า รออีกสองสามวันค่อยกลับไปก็ไม่สายนะ"บนเครื่องบินระยะทางยาวไกล ถ้าหากบาดแผลของเขาฉีก งั้นควรทำอย่างไร?ซือเย่เจ๋วมองเธอด้วยสายตาเฉยเมย ริมฝีปากบางเม้มแน่น สายตาที่เจียงเซิงมองเขาสั่นเทาเล็กน้อย เหมือนว่าไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่ "ซือเย่เจ๋ว?"“ผมต้องกลับไป” เขาลุกขึ้นและเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่อยู่ด้านข้างโดยไม่ได้อธิบายอะไรมากมายในตอนที่เขาถอดเสื้อออก เจียงเซิงสามารถมองเห็นผ้ากอซที่พันหลังของเขาได้อย่างชัดเจน นอกจากบาดแผลกระสุนปืนแล้ว ยังมีบาดแผลจากมีดที่ค่อนข้างใหม่อีกด้วย เป็นคืนนั้นที่เขาต่อสู้กับคนชุดดำเหล่านั้นหลงเหลือไ
มือของเจียงเซิงที่ถือแก้วน้ำชาหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นก้มหน้าพูด "ไม่ใช่ค่ะ เป็นเพื่อนร่วมธุรกิจของฉัน"วันนี้หลังจากที่ซือเย่เจ๋วออกจากโรงพยาบาล เธอก็ไม่เห็นเงาของเขาอีกเลย แม้แต่หลัวหยิงก็ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่เธอเพิ่งจิบชาเข้าไป จู่ ๆ ก็เกิดคลื่นไส้ขึ้นมา เธอปิดปากแล้วลุกวิ่งไปที่ห้องน้ำ“คุณ โซรา?”เธอรู้ว่าโจนส์เรียกเธออยู่ที่ด้านหลัง แต่เธอไม่สามารถตอบรับได้ด้วยซ้ำ หลังจากพุ่งตรงไปที่ห้องน้ำเธอก็อ้วกออกมาที่อ่างล้างมือจริง ๆ แม้แต่อาหารกลางวันที่เพิ่งทานไปเมื่อสักครู่ก็อ้วกออกมาจนหมดเธอเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างอ้วกออก แต่ก็รู้สึกคลื่นไส้อีกครั้ง จนกระทั่งไม่มีอะไรที่สามารถอ้วกออกมาได้แล้ว เธอถึงได้ล้างหน้าและดึงทิชชูมาเช็ดเมื่อเดินออกจากห้องน้ำ พบว่าโจนส์รอเธออยู่ข้างนอก เห็นเธอสีหน้าซีดเซียวจึงถามขึ้น "คุณไม่สบายใจเหรอ?"“ไม่เป็นไร ฉันอาจจะกินอะไรไม่ดีเข้าไป” เจียงเซิงโบกมือ“ให้ผมพาคุณไปโรงพยาบาลไหม?” โจนส์ถามอีกครั้งเจียงเซิงส่ายหัวและฝืนยิ้มออกมา: "ไม่ต้องจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณสำหรับน้ำใจของคุณ ฉันอยากกลับไปพักผ่อนสักพักหน่อย"“งั้นก็ได้” โจนส์ไม่ได้ถามอะไรอีกกลับ
เจียงเซิงกอดเขาเอาไว้ และซุกหน้าไปที่หน้าอกของเขา “อืม ฉันเชื่อคุณ”ซือเย่เจ๋วก้มหน้าลง ในดวงตากลับเหมือนกับติดอยู่ในวังวนลึก ที่มืดสลัวลง**หลานอู๋เหยียนได้รับข้อความ และขว้างโทรศัพท์ไปที่กำแพงส่วนลูกน้องเหล่านั้นที่อยู่ด้านหลังของเขาต่างก้มหน้าไม่พูดจา ชายคนหนึ่งในนั้นเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง “เรเวียร์ก็เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ บวกกับตอนนี้ซืออู๋เทียนกลับมาแล้ว รู้เรื่องที่หลานชายของตัวเองบาดเจ็บ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยคนของพวกเราไป”หลานอู๋เหยียนยืนอยู่ตรงหน้าต่างและสูบบุหรี่ไฟฟ้า พ่นควันไปที่กระจก เบลอเงาที่สะท้อนตรงหน้าต่าง “คนพวกนั้นตกไปอยู่ในมือของซืออู๋เทียนแล้ว น่าจะกลับมาไม่ได้แล้ว”ชายคนนั้นสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “เช่นนั้นควรทำอย่างไรดีครับ?”เขาสูบและพ่นควันออกมา จากนั้นถามขึ้น “ทางด้านเรเจลว่าอย่างไร?”ผู้ชายคนนั้นตอบกลับ "บอกว่าให้คุณจัดการเรื่องนี้ อีกอย่าง ทางด้านโรงพยาบาลเกรงว่าจะค้นพบแล้วว่าซือเย่เจ๋วติดเชื้อ…… "หลานอู๋เหยียนสายตาเคร่งขรึมลง จากนั้นค่อย ๆ หันหน้ามา "ไปจัดการคนซะ เรื่องไวรัสจะให้คนรับรู้หลายคนไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลา"ซือเย่เจ๋วตายไปไม่ช้
เจียงเซิงมองดูพวกเขา และก็เดาได้ว่าน่าจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น แต่เธอไม่ได้ถามเรเวียร์หันหน้ามา และยกมือขึ้นวางบนไหล่ของเธอและพูดกับเธอ "ผมกับกังจือยังมีเรื่องให้ไปจัดการ เซิงเซิง คุณกลับไปก่อน"เจียงเซิงพยักหน้าเธอมองดูพวกเขาจากไปในตอนนี้เองหลัวหยิงวิ่งเข้ามา "พี่สะใภ้"เธอเหนื่อยหอบ “ที่แท้พี่ก็อยู่ที่นี่เอง ฉันคิดว่าพี่ไปไหนซะอีก”"มีอะไรเหรอ?"หลังจากเธอปรับลมหายใจ ก็รีบพูดขึ้น "ท่านเจ๋วสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก ท่านผู้เฒ่าบอกให้พี่ไปหา"เจียงเซิงรีบตามหลัวหยิงมาถึงที่ห้อง ภายในห้องนอกจากหลัวเชว่กับท่านผู้เฒ่าที่เธอรู้จัก ยังมีผู้ชายอีกสองสามคนที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน คิดว่าน่าจะเป็นคนของ "องค์กรเย่เยี่ยน"ซือเย่เจ๋วนอนอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว หน้าผากมีเหงื่อออกเต็มไปหมด ท่านผู้เฒ่าเรียกหมอประจำตัวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญมาวัดอุณหภูมิร่างกายให้เขาหมอประจำตัวมองดูปรอทวัดอุณหภมูิ "ท่านเจ๋วมีไข้ต่ำ เรื่องเกิดขึ้นตอนไหน?"เขาถามหลัวเชว่ หลัวเชว่ตกตะลึงเล็กน้อยแล้วตอบกลับ "ตอนที่ท่านเจ๋วกลับมาเมื่อเช้า ก็เหมือนว่าจะไม่สบายแล้ว"เจียงเซิงตกตะลึง ตอนเช้าเหรอ?เป็นไปได้ไหมที่ซือเย่เ
"อืม" เจียงเซิงก้มหน้าลง "ขอโทษ ฉันไม่รู้ว่าคุณมีไข้ต่ำ"ซือเย่เจ๋วยื่นมือออกไปกุมหลังมือของเธอที่เย็นเฉียบ จากนั้นยิ้มมุมปากขึ้นมา "ผมไม่อยากให้คุณเป็นห่วง ดังนั้นจึงไม่ได้บอกคุณ เซิงเซิง คนที่ควรพูดขอโทษคือผม"เป็นเขาที่ปิดบังเธอเขารู้ว่าเขาติดเชื้อไวรัส และตอนนี้เป็นช่วงที่เริ่มมีอาการแล้ว เขาอาจจะมีไข้ต่ำได้ตลอดเวลา และไอ สภาพร่างกายก็แย่ลง เขามีเวลาเพียงแค่สามปีถึงสี่ปีเท่านั้นเจียงเซิงกำลังจะพูดอะไร ท่านผู้เฒ่าก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าห้อง "เย่เจ๋ว นายฟื้นแล้ว?"“ครับ” เขาพยักหน้าท่านผู้เฒ่าเหลือบมองเจียงเซิง “เธอออกไป ฉันมีเรื่องจะคุยกับเย่เจ๋ว”เจียงเซิงเม้มปากไม่พูดจา จากนั้นลุกขึ้นเดินออกไป ซือเย่เจ๋วมองไปที่แผ่นหลังของเธอ สายตาค่อย ๆ หม่นมัวรอให้ภายในห้องเหลือเพียงแค่พวกเขา ท่านผู้เฒ่าจึงได้ถามขึ้น "นายบอกฉันมาตรง ๆ นายเป็นอะไรกันแน่?"วันนี้พูดคุยกับหมอประจำตัว จากปากของหมอก็พบความผิดปกติของเขา คนทั่วไปเป็นไข้ต่ำปกตินอนหลับหนึ่งคืน รอให้เหงื่อออกก็สามารถฟื้นฟูได้ แต่ซือเย่เจ๋วเป็นไข้ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงวันที่สองก็ยังไม่หาย สถานการณ์แบบนี้ ทำให้เขาเป็นกังวลซือเย่เ
ผ่านไปเป็นเวลานาน เขาเอ่ยปากขึ้นเบา ๆ "เซิงเซิง เราหย่ากันเถอะ"เธอตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม หัวสมองว่าเปล่าไปหมด จากนั้นมองไปทางเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ "คุณ......พูดอะไรนะ?"ซือเย่เจ๋วดึงสายตากลับมา และหยุดมองไปที่ตัวเธอ ในดวงตาไม่มีความสั่นไหวแม้แต่น้อย "ผมพูดว่า พวกเราหย่าร้างกัน"หย่าร้าง......สองคำนี้ทิ่มแทงหัวใจของเธออย่างสุดซึ้ง เพราะเธอไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่เขาพูดเรื่องหย่าร้างเธอกัดริมฝีปาก พยายามควบคุมอารมณ์ภายในใจ "เหตุผลล่ะ?"เธอมองดูซือเย่เจ๋ว อยากจะอ่านออกอารมณ์บนใบหน้าของเขา แต่ใบหน้าซีดเซียวของเขาไม่มีความเปลี่ยนแปลง ดวงตาลึกซึ้งคู่นั้นเหมือนกับมหาสมุทรที่ลึกจนไม่สามารถคาดเดาได้ ไม่มีคลื่นลูกใหญ่ ไม่มีอารมณ์ใด ๆ "ไม่มีเหตุผล เพียงแค่......เบื่อหน่ายแล้วก็แค่นั้น"มือสองข้างที่วางอยู่ข้างลำตัวของเจียงเซิงกำแน่นอย่างอดไม่ได้ เหมือนว่าหัวใจที่อ่อนนุ่มถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ มันเจ็บปวดจนไม่สามารถหายใจได้ "เบื่อหน่าย......เหรอ?"เขาไม่พูดจาเจียงเซิงก้าวเท้าเดินไปตรงหน้าของเขา ขนตางอนยาวปกคลุมอารมร์ในดวงตาของเธอ จากนั้นเธอยิ้มอย่างหมดเรี่ยวแรง "ซือเย่เจ๋ว คุณล้อเล่นใช่ไหม เป
เจียงเซิงยิ้มขอบคุณ จากนั้นกลับไปที่ห้องของตัวเอง หลัวหยิงกำลังเก็บสัมภาระอยู่ "ถามหลัวเชว่ว่าซือเย่เจ๋วไปไหน"หลัวหยิงหยุดชะงัก และหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาหลัวเชว่ ไม่รู้ว่าหลัวเชว่พูดอะไร หลัวหยิงตกตะลึงและพูดขึ้น "พวกพี่เที่ยวบินตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ?"หลัวเชว่พูดอะไรบางอย่างและวางสายไป หลัวหยิงหันกลับมาด้วยสีหน้างุนงง "พวกท่านเจ๋วกลับประเทศแล้ว"เห็นเจียงเซิงสีหน้าไม่ดี หลัวหยิงจึงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง "เซิงเซิง ตกลงว่าพี่กับท่านเจ๋วเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรเหรอ?"เป็นเพราะเธอรู้ว่าหลังจากที่เจียงเซิงออกจากห้องของท่านเจ๋วก็โมโหมาก แม้แต่อาหารเย็นก็ไม่กิน เธอถามหลัวเชว่ แต่หลัวเชว่ก็ไม่ได้บอกเธอ“เขาต้องการหย่ากับฉัน”“หย่า...อะไรนะ? หย่าร้าง?” หลัวหยิงเดินไปตรงหน้าเธอ “ท่านเจ๋วจะหย่าร้างกับพี่? เขาล้อเล่นหรือเปล่า?”แม้แต่ปฏิกิริยาของหลัวหยิงก็คิดว่าเขากำลังล้อเล่น เจียงเซิงจะไม่เคยคิดแบบนี้ได้อย่างไรล่ะ?แต่ซือเย่เจ๋วเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงเธอ แม้แต่เวลาเที่ยวบินที่จะกลับไปก็เลื่อนก่อนกำหนด หรือว่าเขาอยากจะหย่าร้างกับเธอจริง ๆ?เบื่อหน่ายแล้วจริง ๆ เหรอ......บน