บทที่ 2
“มือถือๆๆ” เธอนึกถึงโทรศัพท์มือถือที่เมื่อคืนแบตหมด จึงตั้งใจจะรีบวิ่งไปชาร์ต แต่ด้วยความรีบร้อนทำให้เธอไม่ทันระวังผ้าผ่อนที่นุ่งกระโจมอกไว้คลายออก กระทั่งร่วงหลุดลงไปกองที่ปลายเท้า
“อุ๊ย!” ที่ต้องร้องอุทาน ไม่ใช่เพราะผ้าหลุด เพราะปกติมันก็หลุดอยู่เป็นนิจอยู่แล้ว ก็อยู่คนเดียวจะต้องกลัวใครมาเห็น แต่ที่ต้องร้องเพราะร่องรอยที่ผู้ชายทิ้งไว้บนเนื้อตัวเธอต่างหาก
“บ้าบอ! ทำไมหื่นขนาดนี้เนี่ยคุณภากร” เธอเขินแทบบิดตัวเป็นเกลียวกับรอยแดงเป็นจ้ำๆ ใต้ร่มผ้า คิดไม่ถึงว่าคนที่มีประสบการณ์เรื่องอย่างว่าเป็นศูนย์ จะทำให้ผู้ชายหลงใหลได้
“ป่านนี้เขาจะคิดถึงเราบ้างไหมนะ บางทีเขาก็จะกำลังตามหาเราอยู่ก็ได้ ก็เราเล่นออกมาโดยไม่บอกเขาสักคำนี่นา ตอนนี้คงกำลังพยายามโทรหาเรา เออ…จริงด้วย! โทรศัพท์ ตายๆๆ ป่านนี้ไม่โทรจนสายไหม้ไปแล้วรึไง” เธอรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือมาชาร์ต แต่ทันทีที่เครื่องเปิดขึ้นมา เสียงเตือนข้อความจากสายโทรเข้าก็ดังขึ้น แต่มันกลับไม่ใช่เบอร์ของคนที่คิด
“ไม่เห็นมีสายคุณภากรเลย มีแต่สายยัยศิ แล้วนี่ยัยศิจะโทรมาทำไมนักหนาเนี่ย” ข้อความจากเบอร์ที่พยายามโทรหากลับเป็นเบอร์ของเพื่อนรักอย่างศิศิรา กระทั่งข้อความจากไลน์ก็เด้งตามมาอีกรัวๆ
(วา แกรีบออกมาจากห้องคุณภากรด่วนเลย ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ไว้ฉันจะอธิบายให้ฟังทีหลัง) ศิศิราที่รู้เห็นในทุกๆ เรื่องของเพื่อน จะเรียกว่ากองหนุนก็คงไม่ผิดนัก ก็คีย์การ์ดที่เธอได้มาก็มาจากเพื่อนรักคนนี้แหละ ดูเหมือนข้อความของศิศิราจะทำให้แวววิวาห์สงสัยอยู่ไม่น้อย กระทั่งได้อ่านข้อความถัดมา ซึ่งดูจากเวลาน่าจะห่างกันประมาณยี่สิบนาที
(ฉันหวังว่าแกจะทันได้อ่านข้อความนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป คุณภากรเขาไม่ได้เป็นอย่างที่แกคิด เขาไม่ได้ชอบผู้หญิง เขาเป็นเกย์) ข้อความนี้ของเพื่อนทำให้เธอเผลอเถียงออกมาทันที
“บ้าแล้ว แกนั่นแหละที่ต้องตั้งสติ เขาจะเป็นเกย์ได้ยังไงในเมื่อเขาเพิ่งนอนกับฉันเมื่อคืน เป็นอะไรของแกเนี่ยยัยศิ หรือว่าเมา” เธอส่ายหน้าน้อยๆ ไม่เชื่อที่เพื่อนบอกเลยสักนิด กระทั่งข้อความถัดมา แต่คราวนี้ฝั่งนั้นกลับส่งมาเป็นเสียงแทนการพิมพ์
(วา ตอนนี้แกอยู่ไหน ออกมารึยัง ฉันรู้ว่าเรื่องที่คุณภากรเป็นเกย์มันเป็นเรื่องที่เชื่อยาก แต่แกเชื่อฉันเถอะ เพราะฉันเห็นมากับตา) คลิปเสียงแรกทำเอาคนอ่านถึงกับขมวดคิ้ว ก่อนจะกดฟังคลิปเสียงต่อไป
(ฉันเจอเขาในงาน แล้วเขาก็มากับคู่ขาของเขาด้วย ทีแรกฉันก็คิดว่าเขาจะพากันไปต่อที่ห้อง เลยให้แกรีบออกมา แต่ตอนนี้ฉันว่ายาว เพราะเขาเปิดห้องที่นี่กันแล้ว) ใช่! เพื่อนเธอไปงานแต่งงานของญาติ และเท่าที่จับใจความได้ เธอไปเจอเขาที่นั่น แต่ที่ไม่เข้าใจเลยคือ มันจะเป็นอย่างที่เพื่อนเธอว่าได้ยังไง ในเมื่อเธอกับเขาเพิ่งจะมีอะไรกันเมื่อคืน
ข้อมูลที่ได้มาทำเธออึ้ง รอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนหน้าไม่มีอีกแล้ว มีเพียงความรู้สึกราวกับถูกค้อนหนักๆ มาทุบลงบนหัว จนเธอแทบล้มทั้งยืน ถ้าเรื่องมันเป็นอย่างที่เพื่อนว่า แล้วเมื่อคืนมันคืออะไร ถ้านั่นไม่ใช่ภากร แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ตอนนี้เธอรู้สึกว่ามือไม้สั่นไปหมด แต่ก็ยังพยายามคิดในแง่ดีว่าเพื่อนอาจจะกำลังเข้าใจอะไรผิด พลันนิ้วเธอก็ดันเผลอจิ้มโทรออกไป
“วา…วา…ฮัลโหลวา แกเป็นอะไรรึเปล่า” เสียงปลายสายจากศิศิราทำให้เธอตื่นจากภวังค์ ก้มมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือด้วยความตกใจ
“อื้อ! ว่าไง”
(ว่าไงอะไรล่ะ ฉันต่างหากที่ต้องถามแก แกเป็นฝ่ายโทรหาฉันนะ นี่แกเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย หรือเป็นเพราะผิดหวังเรื่องเมื่อคืน เอาน่า! ไม่ต้องคิดมาก ผู้ชายไม่สิ้นไร้เท่าใบพุทรา ผิดหวังตอนนี้ยังดีกว่าต้องมาเสียใจภายหลัง เกย์นะแก ยังไงเขาก็ไม่เอาผู้หญิงอย่างเราๆ หรอก อีกอย่างรูปหล่อ โปรไฟล์ดีไม่ได้มีแค่คุณภากรซะหน่อย อีกอย่างผู้หญิงหน้าตาดีมีพรหมจรรย์เป็นของแถมอย่างเราๆ ไม่เห็นต้องเดือดร้อนอะไร เชื่อฉัน! มั่นหน้าเข้าไว้ เดี๋ยวผู้ชายก็เข้ามาให้เลือกเองนั่นแหละ) เอ่อ…ดูเหมือนศิศิราจะพูดแบบนี้มาตั้งแต่ห้าหกปีที่แล้ว จนตอนนี้อีกไม่กี่ปีก็สามสิบแล้ว เฮ้อ! เห็นคานทองรออยู่รำไร แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่ว่า…เธอนอนกับใครก็ไม่รู้ ที่สำคัญพรหมจรรย์ที่เคยหวงแหนก็ถูกพรากไปแล้วด้วย
“ฮือๆๆ” คำว่าพรหมจรรย์จากปลายสายทำให้เธอปล่อยโฮอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จนปลายสายพลอยตกใจไปด้วย
(เฮ้ย! วาแกเป็นอะไรไป เสียใจเรื่องคุณภากรขนาดนี้เลยเหรอ) เสียงปลายสายดูร้อนรนด้วยความเป็นห่วง แต่มันกลับทำให้แวววิวาห์ยิ่งร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม เพียงเพราะชื่อของคุณภากร
“ฮือๆๆ หมดแล้ว ฉันไม่เหลืออะไรแล้วแก” แวววิวาห์ฟูมฟายจนปลายสายตกใจอีก
(อะไร? ไม่เหลืออะไร มันเกิดอะไรขึ้น ฉันงงไปหมดแล้ว หรือว่าเมื่อคืนมันมีเรื่องอะไรที่ฉันยังไม่รู้ ให้ตายสิ! เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกับแกวา) น้ำเสียงศิศิราเริ่มเครียดจัด ด้วยทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกันมาหลายปี ไม่สิไม่ใช่แค่เธอสองคน แต่ยังมีสาวเนิร์ดอย่างพริมรตาด้วยอีกคน ทั้งสามคนเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมจนจบปริญญา กระทั่งมาทำงานก็ยังได้ทำงานอยู่บริษัทเดียวกัน ถึงแม้เธอจะเป็นคนเดียวที่เพิ่งย้ายตามมาทีหลังก็ตามเถอะ
“ฮือๆๆ เมื่อคืนฉัน…ฉัน…ฮึกๆๆ เมื่อคืน…ฮือๆๆ” ความเครียด ความกลัว ความสับสนผสมปนเปกันจนเธอพูดไม่ออก และไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี
(เอาล่ะ! ไหนแกลองตั้งสติ แล้วค่อยๆ เล่าให้ฉันฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าแกยังไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า แต่แกจงจำไว้ไม่ว่ายังไงฉันก็จะอยู่ข้างแกเสมอ) คำปลอบประโลมของเพื่อนทำให้เธอตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด
“ฉันเสียตัวไปแล้ว ฮือๆๆ”
(ฮะ! เสียตัว! เสียให้ใคร) เสียงของศิศิราแทบเป็นเสียงตะโกน จนคนฟังร้องหนักยิ่งกว่าเดิม
“ไม่รู้…ฉันไม่รู้ ฮือๆๆ” แวววิวาห์ยังคงฟูมฟาย
(ไม่รู้? แกไม่รู้ว่าแกนอนกับใครเนี่ยนะ วา!) น้ำเสียงของศิศิราก็ฟังดูร้อนรนไม่แพ้กัน
“ฉัน…ฉันเมา ฮือๆๆ”
(เมา! โอเค! เอาล่ะ ไหนแกลองเล่าเรื่องทั้งหมดมาตั้งแต่ต้นซิ ไม่ๆๆ แกเมา งั้นเอาที่จำได้แล้วกัน) ดูเหมือนศิศิราเองก็พยายามตั้งสติอย่างยิ่งยวดอยู่เหมือนกัน
แวววิวาห์เดินเข้าบริษัทด้วยสติเลื่อนลอย เธอเดินเข้าไป ในลิฟต์พร้อมกับอีกหลายๆ คน แต่แล้วทุกคนก็พาเดินกันเดินออกมาจนหมด เหลือเพียงเธอที่ยังคงยืนเหม่อลอยอยู่ด้านในสุด ไม่ได้สนใจเพื่อนๆ ที่กำลังกวักมือเรียกให้เธอรีบเดินตามออกไป กระทั่งเธอหันไปเห็นพริมรตาที่กำลังยืนกวักมืออยู่ด้านหน้า เธอจึงตั้งใจจะเดินไปหาเพื่อน ครั้นพอจะเดินออกไป ประตูลิฟต์ก็ถูกกดปิดซะก่อน เธอหันไปมองคนกดลิฟต์ ก่อนจะหันมองรอบๆ ตัว ให้ตายสิ! ในลิฟต์มีแค่เธอกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเขาหล่อมาก คนอะไรดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า‘หึ! ตกใจสินะที่เจอเราที่นี่’ เป็นเพราะถูกอีกฝ่ายจับจ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย เลยทำให้ภาคิน ท่านประธานสุดหล่อคิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากว่าคุณเธอจะกำลังตกใจที่เจอเขาที่นี่ กระทั่งเสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น“อืม! ว่าไง” เห็นเป็นพริมรตาที่โทรเข้ามา เธอจึงรีบกดรับ ด้วยไม่แน่ใจว่าเพื่อนมีเรื่องอะไรตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว(รีบออกมาจากลิฟต์เดี๋ยวนี้) “อะไรของแกเนี่ยพรีม ก็…” ยังไม่ทันที่เธอจะโวยเพื่อนต่อ เพื่อนก็แทรกขึ้นมาอีก(แกอยู่ในลิฟต์กับท่านประธาน) พูดจบเพื่อนก็กดวางไป ในขณะที่เธอยังคงอึ้งกับสิ่งที่ได
“หลังจากที่แยกกับแก ฉันก็กลับไปแต่งตัวสวยๆ ตามที่แกบอก ฮึกๆๆ แต่พอฉันไปถึงที่หน้าคอนโด ฉันก็ตื่นเต้นไม่กล้าขึ้นไป ฉันก็เลยไปหาเหล้าดื่มย้อมใจ หวังว่ามันจะช่วยทำให้ฉันใจกล้าขึ้น แต่ไม่นึกว่า…ฮือๆๆ” เธอเล่าพลางสะอึกสะอื้น ก่อนจะปล่อยโฮออกมาเสียงดังอีก(โอย! อยากจะบ้าตาย ฉันเตือนแกแล้วใช่ไหมว่าทำอะไรให้มีสติ เห็นไหมว่าเหล้ามันไม่ได้ช่วยให้แกมีสติขึ้นมาเลยสักนิด จากที่คิดว่าจะไปสารภาพรัก กลายเป็น…เฮ้ย! นี่อย่าบอกนะว่าที่แกกินเหล้า เพราะแกไม่ได้คิดแค่จะสารภาพรักอย่างเดียวตั้งแต่แรก) ศิศิราพูดไปบ่นไป ก่อนจะโวยเสียงหลง“ฮือๆๆ” เธอตอบคำถามเพื่อนด้วยการร้องไห้ ซึ่งดูเหมือนมันจะชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว (โอ๊ย! แกคิดอะไรของแกอยู่เนี่ย โอเคๆ ไหนๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ถึงพูดตอนนี้ก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะเอายังไงกันต่อดี) ศิศิราพยายามระงับสติอารมณ์ไม่ให้มันพลุ่งพล่านไปมากกว่านี้ แค่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ เพื่อนก็คงทุกข์ใจมากพอแล้ว “แล้วฉันจะท้องไหมอะแก ถ้าฉันท้องขึ้นมาแม่ยายเอาฉันตายแน่ ฮือๆๆ” แรกเริ่มเดิมทีที่เธอตัดสินใจจะเข้าหาภากรก็เพราะอยากท้อง อยากใช้ลูกในท้องบีบบังคับใ
บทที่ 2“มือถือๆๆ” เธอนึกถึงโทรศัพท์มือถือที่เมื่อคืนแบตหมด จึงตั้งใจจะรีบวิ่งไปชาร์ต แต่ด้วยความรีบร้อนทำให้เธอไม่ทันระวังผ้าผ่อนที่นุ่งกระโจมอกไว้คลายออก กระทั่งร่วงหลุดลงไปกองที่ปลายเท้า“อุ๊ย!” ที่ต้องร้องอุทาน ไม่ใช่เพราะผ้าหลุด เพราะปกติมันก็หลุดอยู่เป็นนิจอยู่แล้ว ก็อยู่คนเดียวจะต้องกลัวใครมาเห็น แต่ที่ต้องร้องเพราะร่องรอยที่ผู้ชายทิ้งไว้บนเนื้อตัวเธอต่างหาก“บ้าบอ! ทำไมหื่นขนาดนี้เนี่ยคุณภากร” เธอเขินแทบบิดตัวเป็นเกลียวกับรอยแดงเป็นจ้ำๆ ใต้ร่มผ้า คิดไม่ถึงว่าคนที่มีประสบการณ์เรื่องอย่างว่าเป็นศูนย์ จะทำให้ผู้ชายหลงใหลได้“ป่านนี้เขาจะคิดถึงเราบ้างไหมนะ บางทีเขาก็จะกำลังตามหาเราอยู่ก็ได้ ก็เราเล่นออกมาโดยไม่บอกเขาสักคำนี่นา ตอนนี้คงกำลังพยายามโทรหาเรา เออ…จริงด้วย! โทรศัพท์ ตายๆๆ ป่านนี้ไม่โทรจนสายไหม้ไปแล้วรึไง” เธอรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือมาชาร์ต แต่ทันทีที่เครื่องเปิดขึ้นมา เสียงเตือนข้อความจากสายโทรเข้าก็ดังขึ้น แต่มันกลับไม่ใช่เบอร์ของคนที่คิด“ไม่เห็นมีสายคุณภากรเลย มีแต่สายยัยศิ แล้วนี่ยัยศิจะโทรมาทำไมนักหนาเนี่ย” ข้อความจากเบอร์ที่พยายามโทรหากลับเป็นเบอร์ของเพื่อนรักอ
บทที่ 1 เกือบหกโมงเช้าของอีกวัน แต่วาหรือแวววิวาห์ สาวน้อยวัยยี่สิบเจ็ด จริงๆ แล้วก็ไม่น้อยหรอก ไอ้ที่น้อยน่าจะเป็นความสาวของเธอมากกว่าที่มันเหลือน้องลงทุกปี และนี่แหละคือสาเหตุของเรื่องวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอตื่นขึ้นมาในที่ที่ไม่คุ้นตา อีกทั้งยังรู้สึกร้าวระบมไปทั้งตัว เธอมองไปรอบๆ ห้องด้วยความรู้สึกหลากหลาย ใช่! เธอเต็มใจมาที่นี่ เรียกว่าเต็มใจมาพลีกายให้เจ้าของห้องโดยเฉพาะเลยแหละ จะเรียกว่าพลีกายก็คงไม่ถูกนัก เรียกว่าแล้วแต่สถานการณ์จะพาไปน่าจะเหมาะกว่า“นี่เรากับคุณภากร…” เธอครางเบาๆ พลางเปิดผ้าห่มเพื่อจะพบกับเนื้อตัวเปลือยเปล่าภายใต้ผ้านวมผืนหนา ครั้นพอหันไปเห็นเสื้อผ้าตัวเองที่วางเกลื่อนพื้นก็รีบดึงผ้านวมขึ้นมาปิดหน้าด้วยความกระดากอีก“พระเจ้า! เรากับเขามีอะไรกัน เรากับคุณภากรมีอะไรกัน” จากสภาพร่างกาย อีกทั้งความรู้สึกที่ร้าวระบมไปหมดทั้งตัว ทำให้เธอคิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากเธอเพิ่งเสียตัวให้กับผู้ชายที่ตัวเองหมายตา“แล้วเขาจะมองว่าเราเป็นผู้หญิงแบบไหน เฮ้ย! แต่เขาก็น่าจะสนใจเราบ้างแหละ ไม่งั้นจะยอมมีอะไรกับเราได้ยังไง” เธอคิดสะระตะไปไกล แต่จริงๆ น่าจะเรียกว่าคิดเองเออเองม
บทนำ “ผับ ๆๆ…” เสียงเสียดสีของสองกายที่ กำลังสอดประสานกลายเป็นหนึ่ง ยิ่งฟังยิ่งกระตุ้นความกำหนัดให้ปะทุถึงขีดสุด ดุ้นยักษ์ที่กำลังชำแรกแทรกผ่านความนุ่มลึก ทำเอาพวกเขาเสียวซ่านจนแทบลืมตัวตน เขาแข็งขึง ในขณะที่เธอก็อ่อนนุ่มแต่ร้อนผ่าว เขาเหยียดขยาย ในขณะที่เธอตอดรัดตลอดลำกายแกร่ง เขาขยับตอกอัด ในขณะที่เธอก็ส่ายร่ารับได้ทุกจังหวะการสอดใส่ ประหนึ่งร่างกายทั้งคู่เกิดมาเพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกัน“อ๊ะ! อื้อ!” เสียงเธอครางตามจังหวะที่ถูกกระแทกกระทั้น รับกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อเป็นจังหวะเดียวกัน “อา…!” เขาเองก็คำรามเสียงแหบห้าว นึกไม่ถึงว่าร่างกายของผู้หญิงคนนี้จะให้ความรู้สึกดีถึงปานนี้ โดยเฉพาะความรัดรึงที่กำลังตอดตุบๆ มันทำเอาเขาอยากทะลายทำนบปลดปล่อยให้สายธารสวาทสาดกระเซ็นใส่ความแนบแน่นของเธอเต็มที อีกไม่นานหรอก รอให้เขาเสพสมเรือนร่างงดงามผุดผาดนี้ให้หนำใจซะก่อน ถึงตอนนั้นเขาจะปลดปล่อยให้เธอได้กลืนกินมัน กายแกร่งแข็งขึงและร้อนผ่าวราวแท่งเหล็กที่กำลังขยับเข้าขยับออกเสียดสีจนเนินสาวร้อนฉ่า ไม่ใช่แค่เธอที่กำลังเสียดเสียวกับดุ้นยักษ์ที่ขยับตอกอัดลงมาซ้ำๆ เขาเองที่เป็นฝ่ายโรมรันก็ไม่ได