Masukคราแรกอันจิ้งหยางไม่ได้เข้ามาสนทนาอะไรกับนางให้มากความ เพียงแต่ให้คนมาปรับปรุงเรือนของนางแต่โดยด่วน ส่วนนางนั้นระหว่างรอให้เรือนได้รับการปรับปรุง ก็มาอาศัยอยู่ที่เรือนรับรองที่สภาพดีกว่าเรือนเก่าที่นางเคยพำนักอยู่มาก
ไม่คิดเลยว่าการที่นางเรียกร้องความสนใจจากอันจิ้งหยาง จะสามารถทำให้อันจิ้งหยางที่แต่เดิมก็ไม่กินเส้นกับเซียงถังซีอยู่แล้ว ทะเลาะกันอีกครั้งได้ อำนาจที่มีอยู่เต็มมือของเซียงถังซีถูกบุตรชายผู้เป็นผู้สืบทอดทำลายในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
เพราะนางเป็นสตรี อันจิ้งหยางนั้นใส่ใจนักจึงเชิญหมอหญิงเข้ามารักษาดูแล นับเป็นครั้งแรกที่นางได้รับความปรานีจากคนในครอบครัว ที่นางไม่รู้ว่าจะสามารถเรียกว่าครอบครัวได้หรือไม่ มารดาที่นางไม่เคยเห็นหน้าจากไปตั้งแต่คลอดนาง บิดาที่นาน ๆ จะได้พบหน้ากันสักครั้งก็ไม่ได้รักใคร่เอ็นดู เขาจำชื่อนางได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้
ในชีวิตที่แล้ว นางไม่เคยได้รับการสั่งสอนอบรม จึงกลายเป็นสตรีที่มักจะทำเรื่องโง่เขลาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ก็มักจะเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนล้วนแล้วแต่ส่ายหน้าหนี แต่หลังจากถูกส่งตัวไปอยู่ในขบวนค้าทาส นางถูกสั่งสอนจากอดีตหญิงคณิกาโดยบังเอิญ แม้จะไม่รู้ว่าจะเรียนรู้เรื่องพวกนั้นไปทำไม แต่เพราะนางมีความหวัง หวังว่าสักวันจะได้กลับมาแก้แค้นเอาคืนคนพวกนี้ นางจึงตั้งใจเรียนรู้ แต่สุดท้ายในชีวิตที่แล้วนางก็ไม่มีโอกาสได้ทำตามความปรารถนา
ตอนที่นางกำลังจะหมดลมหายใจกลายเป็นว่าสวรรค์ให้โอกาสนางย้อนเวลากลับมาอีกครั้ง
และสองแม่ลูกเซียงถังซีและอันรั่วหลันรวมถึงบิดาของนาง จะเป็นบุคคลกลุ่มแรกที่นางคิดกำจัด แล้วหลังจากนั้น ค่อยสืบสาวหาตัวการร่วมที่ทำให้นางไปตกระกำลำบากอยู่ในกระบวนค้าทาสพวกนั้นแทน รวมถึงบุรุษที่สวมหน้ากากหยก คนผู้นั้นโหดเหี้ยมอำมหิตนัก หลังจากทุกอย่างจบสิ้นแล้ว นางจะเก็บเงินให้มากพอแล้วหลีกหนีผู้คนทำลายโฉมของตนเอง ไปหาสถานที่อยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง
อันเนี่ยนฉีนั่งมองโฉมหน้าของตนเองผ่านกระจกทองเหลือง นอกจากปิ่นทองที่นางใช้แลกกับยาพิษนั่น ก็มีแต่ใบหน้าที่งดงามนี้ เป็นมรดกตกทอดของมารดาที่ส่งต่อให้แก่นาง นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้นางระลึกถึงมารดาของตนเองกระมัง เคยได้ยินกล่าวถึงว่า ใบหน้าของนางนั้นคล้ายมารดาอยู่หลายส่วน นางไม่รู้ว่าชาติกำเนิดของมารดาตนนั้นเป็นใครมาจากไหน เพียงแต่เคยได้ยินว่าเป็นนางคณิกาที่มีชื่อเสียง บิดาของนางเห็นแล้วก็ถูกใจ ยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อไถ่ตัวมารดาของนางออกมา น่าจะเป็นเช่นนั้นกระมังเลือนรางเหลือเกิน
ทุกอย่าง...ก็ดูจะผ่านพ้นไปด้วยดี มารดาของนางได้รับการโปรดปรานรักใคร่จากท่านอัครเสนาบดี จนเป็นที่อิจฉาของเหล่าภรรยาคนอื่น ๆ แต่กระนั้นเพราะรู้ตนว่าเป็นเพียงสตรีต่ำต้อย จึงไม่เคยคิดชูคอเหนือกว่าผู้ใด อาศัยอยู่เงียบ ๆ สงบเสงี่ยมในเรือนตามลำพัง กระทั่งนางตั้งครรภ์ ทุกคนล้วนแล้วแต่หวั่นเกรงว่านางจะคลอดลูกออกมาเป็นบุรุษ จึงคิดสรรหาสารพัดวิธีมากำจัดนางทิ้ง มารดาของนางพยายามปกป้องครรภ์ของตนเองอย่างถึงที่สุด แต่เพราะถูกคนลอบทำร้ายอยู่ตลอดเวลา เมื่อนางคลอดออกมา มารดาก็จากไป
พอพบว่าเป็นสตรีทุกคนจึงคลายความกังวล
อันจิ้งหยางแวะมาที่เรือนรับรองที่อันเนี่ยนฉีพักผ่อนอาศัยอยู่ เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าหาน้องสาวคนนี้ เขามีพี่น้องมากมาย แต่ไม่เคยรู้เลยว่าความเป็นอยู่ของนางย่ำแย่ถึงเพียงนั้น คงเป็นเพราะนางเป็นผู้เดียวที่ไม่มีมารดาคอยปกป้อง ผู้เป็นพี่ชายนั่งอยู่ตรงโต๊ะกลางห้อง ไม่ได้เข้ามาหานางใกล้ ๆ ทำแค่เพียงส่งเสียงคุยกันผ่านม่านกั้น อย่างไรนางก็เป็นสตรี แม้จะเป็นพี่น้องแต่ก็ไม่ควรใกล้ชิดกันจนเกินงาม
“น้องเก้า เป็นอย่างไรบ้าง” ผู้เป็นพี่ชายถามอย่างเป็นห่วง ในฐานะพี่ชาย อย่างไรในเวลานี้บิดาก็ไม่อยู่ รวมถึงเขายึดอำนาจการดูแลบ้านมาจากเซียงถังซี น้องสาวเพียงคนเดียวเขาปกป้องได้อยู่แล้ว
“ข้า...ยังรู้สึกเจ็บที่แผลอยู่เลยเจ้าค่ะ เมื่อครู่ท่านหมอใส่ยาให้แล้ว รวมถึงสอนหญิงรับใช้ให้ดูแลข้า” นางไม่โกหก เขาเป็นคนฉลาดโกหกแค่เพียงนิดเดียวเขาก็จะจับได้ ความทรงจำจากชีวิตที่แล้วสอนว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาห้ามเสแสร้งเด็ดขาด
“งั้นก็ดีแล้ว ข้าจะให้คนของข้ามาดูแลเจ้า แล้วก็ไม่ต้องห่วงเรื่องที่เซียงถังซีจะมายุ่งวุ่นวายกับเจ้า อย่างน้อยในระหว่างที่ข้ายังอยู่ที่นี่นางก็จะไม่มาวุ่นวายกับเจ้าแล้ว”
พี่ชายของนางกล้าเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ทำให้หลายเรื่องรุดหน้าเกินไปมาก
“เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจแล้ว แต่ว่าข้าไม่ต้องการให้มีสาวใช้ คงเป็นเพราะที่ผ่านมาข้าใช้ชีวิตตามลำพังผู้เดียวมาโดยตลอด จึงรู้สึกไม่ค่อยชินนัก” เรื่องไม่ชินคือความจริง ส่วนอีกเรื่องหากมีนางกำนัลของอันจิ้งหยางเดินไปเดินมาใกล้ ๆ ตัวนาง แผนการที่จะออกไปพบเขา เพื่อคลายความทรมานให้แก่หนานกงหว่านเฉียนมิล่มหรอกหรือ ไหนจะเรื่องที่นางนัดหมายเขาในอีกสามวันอีก
ผู้เป็นพี่ชายขมวดคิ้ว
“ได้อย่างไรกัน อย่างไรเจ้าก็เป็นคุณหนูจวนอัครเสนาบดี คนเดียวยังนับว่าน้อยไปด้วยซ้ำ อีกสักพักข้าจะขอองครักษ์ฝีมือดีมาจากกรมอาญาคอยดูแลเจ้าอีกด้วย”
“ท่านพี่ ข้า...” นางกำลังจะอ้าปากคัดค้าน แต่พี่ชายของนางกลับโบกไม้โบกมือ
“ไม่ชินก็ต้องทำตัวให้ชิน เจ้าอายุเท่าไหร่กันแล้ว ถ้า...ไม่พอใจพวกนาง หลังจากนางปรนนิบัติเจ้าแล้วก็แค่ไล่ออกไปให้ไกลตาก็พอ เนี่ยนเนี่ยน อีกสักพักข้าต้องกลับไปที่เมืองซูโจวแล้ว เมื่อข้าไม่อยู่อย่างน้อยเจ้าเองก็ต้องมีขุมกำลังเอาไว้ปกป้องและเป็นมือเป็นเท้าให้กับตน”
คำพูดของอันจิ้งหยางทำให้นางฉุกคิดขึ้นมาได้ ถ้ามีคนของเขาอยู่ข้างตัวนางคอยสอดส่องเป็นหูเป็นตายามที่พี่ชายของนางไม่อยู่ ก็จะเป็นเกราะกำบังที่ทำให้นางปลอดภัย
“ท่านพี่ พวกเขาจะรายงานความเคลื่อนไหวของข้าให้ท่านรับรู้หรือไม่”
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้เขาทึ่งในความคิดของน้องสาวคนที่เก้าผู้นี้
“แล้วแต่เจ้า ข้าจะไม่บังคับ เมื่อข้ายกคนของข้าให้เจ้าแล้ว เขาย่อมเป็นคนของเจ้า”
“งั้น...ข้าจะให้พวกเขาคอยรายงานเรื่องระหว่างข้าและ.....ฮูหยินใหญ่” คำพูดของนางนั้นจะสื่อว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องจะบอกเล่าให้เขารับรู้แค่เพียงบางเรื่องเท่านั้น
“ข้าไปล่ะ อยู่นานแล้ว” เงาร่างเล็ก ๆ ขยับตัวเคลื่อนไหวอยู่หลังม่านกั้น เขาชอบคนที่ไม่พูดจาโกหกมีสิ่งใดก็พูดออกมาตามตรง เกลียดนิสัยเสแสร้งแกล้งทำ อย่างที่อันรั่วหลันเป็น “แล้วก็...หากเจ้าไม่อยากเรียกนางว่าฮูหยินใหญ่ ก็เรียกชื่อของนางก็ได้ คนเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องนับถือ”
กล่าวจบผู้เป็นพี่ชายก็สะบัดชายเสื้อเดินหายลับไปออกไปจากเรือนรับรอง
จนถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งก็ยังไม่ได้ยินข่าวคราวของฟู่เหยาเหยาคล้ายกับว่านางหายไปจากโลกนี้อย่างไรอย่างนั้น อากาศในเมืองหลวงเริ่มหนาวขึ้นทุกวัน ๆ รวมไปถึงท้องของนางที่โตขึ้นเรื่อย ๆ การยืนเดินนั่งนอนของนางล้วนลำบากไปเสียหมด หลายครั้งที่ฟู่ลี่อิ๋งลุกขึ้นมานั่งร้องห่มร้องไห้กลางดึกเพียงเพราะอยากกินบะหมี่เนื้อรสเผ็ดทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านางไม่คอยชอบความเผ็ดของมัน ฟู่ลี่อิ๋งคิดถึงวันที่ที่พระสวามีเคยพาไปกิน คิดถึงเมื่อตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆ ส่วนเว่ยจงหมิงเองก็ตามใจและเข้าใจได้ไท่จื่อเฟยตั้งครรภ์ท้องแรกอีกทั้งยังไม่มีประสบการณ์ไม่มีผู้ใดสอนนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางจะกลัว กังวลและหวั่นใจไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นหน้าที่ของเขาที่เป็นสามีที่จะคอยให้ความอุ่นใจ อยู่เคียงข้างนางให้นางอบอุ่นใจในบางวันที่เว่ยจงหมิงต้องไปทำงานไกล ๆ ก็จะได้ไคไคน้อยมาอยู่เป็นเพื่อนคอยเล่านู่นเล่านี้ให้นางฟังไม่มีเบื่อถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งถึงเพิ่งสังเกตว่าไคไคน้อยสูงขึ้นมาก จากที่เคยสูงกว่าเอวนางนิดหนึ่งตอนนี้หัวของเขาอยู่ในระดับไหล่นางเสียแล้ว ความรู้สึกเหมือนผ่านมาแค่ครู่เดียว แต่ชั่วเวลากะพริบตาเท่านั้น“เสด็จป้า ท่านว่าน้องข
หลังจากได้ยินเรื่องที่ฟู่เหยาเหยาหย่ากับเว่ยเจิ้งหยาง ฟู่ลี่อิ๋งก็ไม่สบายใจนัก นางไปถามกับพี่ชายว่าสาเหตุที่เขามาที่เมืองหลวง ใช่เรื่องเพราะเรื่องนี้หรือไม่ คราแรกเขาอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดจนสุดท้ายนางก็คาดคั้นเอาคำตอบออกมาจากปากเขาได้ในที่สุดเมื่อได้ยินทุกอย่างที่นางอยากจะฟัง ฟู่ลี่อิ๋งจึงลากพี่ชายไปสืบความที่จวนเว่ยอ๋องด้วยกัน เนื่องด้วยไม่อยากไปเหยียบที่นั่นเพียงลำพังเว่ยเจิ้งหยางเมื่อได้ยินว่าไท่จื่อเฟยมาถึงที่นี่ก็ละทิ้งทุกอย่างรีบมาหานาง แต่เมื่อออกมาถึงกลับพบว่านางไม่ได้มาตามลำพัง เรื่องราวที่เคยคิดเข้าข้างตัวเองก็สลายหายไป นางมาที่นี่พร้อมกับฟู่หมิงจือ สีหน้าท่าทางของโหวน้อยดูกังวล ส่วนฟู่ลี่อิ๋งดูเย็นชาเห็นหน้าของเว่ยเจิ้งหยาง หญิงสาวก็เริ่มพูดคุยเขาเรื่องทันทีโดยไม่อ้อมค้อม“ข้าได้ยินจากไท่จื่อบอกว่าท่าหย่ากับน้องสาวของข้าแล้ว”เว่ยเจิ้งหยางเลิกคิ้วเล็กน้อย “ใช่แล้ว ข้าหย่ากับนางไปตั้งแต่วันที่กลับมาจากจวนเสนาบดีสี”“เรื่องสำคัญเช่นนี้ ไม่เห็นมีใครบอกเรื่องนี้กับข้าสักคน” น้ำเสียงของนางระคนความขุ่นเคือง “แล้วเวลานี้นางอยู่ที่ไหนกัน ท่านรู้หรือไม่”“นางกลับไปเสิ่นหนานตั้งแต่เช้า
แสงอาทิตย์ลอดเข้ามาในห้องนับแล้วเท่ากับแปดครั้ง สีฮูหยินกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างดีใจ นางหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสะใจ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง จากนี้ไปจะไม่มีเว่ยจงหมิงอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้วในขณะที่นางกำลังดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แสงไฟในคุกก็สว่างไสวประดุจกลางวัน สีฮูหยินที่อยู่ในความมืดมานานนับสัปดาห์ต้องหลับตาและใช้แขนเสื้อของตนเองปกป้องดวงตาของตัวเอง ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้นนางจึงจะสามารถลืมตาขึ้นได้สิ่งที่สตรีวัยกลางคนเห็นเมื่อลืมตาขึ้นพบกับบุรุษที่นางเกลียดที่สุดผู้หนึ่งในชีวิต เว่ยจงหมิงนั่งอยู่บนคานหาม แบบสี่คนแบก ชายหนุ่มนั่งอยู่บนนั้นเส้นผมดำขลับถูกปล่อยสยายยาวสอดรับกับใบหน้าหล่อเหลา เขาสวมเสื้อผ้าสีขาวสบาย ๆ ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสิ่งใด และดูไม่เจ็บไม่ป่วย“ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่” สีฮูหยินได้เห็นหน้าของเว่ยจงหมิงก็เริ่มมีปฏิกิริยาแห่งโทสะ“องค์หญิงเออร์น่าคงตกใจมาก ที่เห็นว่าข้ายังมีชีวิตอยู่” เว่ยจงหมิงหยิบองุ่นขึ้นมากินในขณะที่สนทนากับนาง“ไม่!!! ทำไมเจ้ายังไม่ตาย ถูกพิษชนิดนั้นเข้าไปแล้วเหตุใดจึงยังรอดมาได้” สีฮูหยินเริ่มหวีดร้องโวยวาย “มันไม่มียารักษาผู้ที่โดนพิษต้องตาย
อากาศยามเช้าหลังจากฝนหยุดตกสดชื่นปลอดโปร่ง เสียงวิหคบินวนขับขานดังกังวานไปทั่วทั้งพื้นที่ เช้าวันนี้นางรู้สึกว่าตัวเองสดชื่นกว่าทุกวัน อาจจะเป็นเพราะยาบำรุงของท่านซุน ที่ช่วยให้นางผ่อนคลายและหลับสบายมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ที่พระสวามีป่วยฟู่ลี่อิ๋งก็ย้ายออกไปนอนห้องนอนเล็กที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันเพราะนางไม่อยากรบกวนคนป่วยเกรงว่าตนเองจะนอนดิ้นและทำให้เขาลำบาก รอให้เว่ยจงหมิงฟื้นและหายดีก่อนค่อยกลับมาร่วมห้องทีหลังก็ได้ทุก ๆ วันฟู่ลี่อิ๋งจะมานั่งเฝ้าพระสวามีในห้อง นี่ก็ผ่านมา 7 วันนับตั้งแต่เขาถูกพิษ เว่ยจงหมิงก็ไม่ฟื้นสักที วันนี้ก็เช่นกันนางมานั่งข้างเตียงพูดคุยกับเขาดังเช่นเคยมือเรียวเล็กจับมือของเขามาสัมผัสที่หน้าท้องแบนราบของตนเอง“ท่านพี่ เมื่อไหร่ท่านจะฟื้นกันนะ” ร่างเล็กพึมพำ “ท่านรู้หรือไม่ว่าไคไคน้อยกำลังจะมีน้องชายน้องสาวแล้วนะ” ฟู่ลี่อิ๋งกระซิบแผ่วเบาสีหน้าของเว่ยจงหมิงดูดีกว่าหลายวันที่ผ่านมา วิธีการของท่านซุนออกจะประหลาดไปบ้างแต่ก็ได้ผล หนำซ้ำยังได้ยาบำรุงชั้นดีจากวังหลวงมาช่วยอีก นางก็คาดหวังให้เขาตื่นขึ้นมาก่อกวนออดอ้อนนางได้แล้วในขณะที่ร่างเล็กกำลังจะลุกขึ้น เอวเล็กแบบ
เสี่ยวหลงติดตามท่านเหลียงออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อติดตามเรียนรู้วิชาการตัดเย็บเสื้อผ้าจากเหลียงเหลียนฮ่าวและฝากตัวเป็นลูกศิษย์ แต่เมื่อหลายวันก่อนตอนเดินทาง ในวันที่พายุฝนโหมกระหน่ำ คณะเดินทางของท่านเหลียงผ่านไปพบกับสตรีผู้หนึ่ง นางนอนกลายเป็นซากคล้ายกับศพอยู่ในเส้นทางที่พวกเขาผ่านสภาพของนางไม่ต่างอะไรจากซากศพบาดแผลบนใบหน้าฉกรรจ์น่ารังเกียจ สัตว์และแมลงตอมไต่จนบาดแผลเน่าเฟะเหม็นคลุ้งเหลียงเหลียนฮ่าวใช้ไม้เขี่ย ๆ เห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่จึงพาตัวไปด้วยกันถือว่าเอาบุญ ตอนที่ช่วยเหลือเสี่ยวหลงเห็นตราหยกสีชมพูคล้าย ๆ กับชิ้นที่ไท่จื่อเฟยมี ก็เดา ๆ เอาไว้ว่าสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้น่าจะเป็นผู้ใด แต่ก็ไม่ได้บอกเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟังกระดูกบนร่างกายของสตรีอัปลักษณ์หักอยู่หลายส่วน ท่านหมอที่ติดตามมากับคณะของเหลียงเหลียนฮ่าวใช้วิธีการเอาไม้ไผ่มาดามนางเอาไว้ทั้งร่าง ฟู่เหยาเหยาตื่นขึ้นมาอีกทีพบว่าร่างกายของตนเองกำลังถูกวางเอาไว้บนเกวียนบรรทุกสิ่งของ แขนขาถูกมัดเอาไว้กับไม้ไผ่ขยับไปไหนไม่ได้บาดแผลบนใบหน้าคล้ายกับมีอะไรบางอย่างขยับยุบยิบไปมา ในทุก ๆ วันจะมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามาช่วยเปลี่
เจ้างูสีขาวตัวเล็ก ๆ ดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อยที่มันถูกผู้เป็นนายปลุกให้ตื่น มันสะบัดหัวไปมาและค่อย ๆ ยืดตัวชูคอขึ้นทำท่าทางคล้ายกับบิดขี้เกียจ แต่เมื่อเห็นหน้าผู้เป็นนายมันก็รีบกระโดดออกจากกระปุกสีขาวขึ้นไปหยอกล้อคลอเคลียท่าทางเหมือนกับลูกสุนัขตัวเล็ก ๆฟู่ลี่อิ๋งเห็นแล้วก็พูดสิ่งใดไม่ออก สัตว์มีเกล็ดลิ้นยาวพวกนั้นสามารถมองให้น่ารักได้ด้วยหรือ นางรู้สึกขนลุก แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใดออกมา ปล่อยให้ท่านซุนรักษาไปตามวิธีการของเขา แม้จะทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกคล้ายจะเป็นลมอยู่ตลอดเวลาก็ตามงูเทพหิมะเมื่อเห็นแมงป่องสีรุ้งมันก็คล้ายกับทำตาโตด้วยความดีใจ ซุนจงปล่อยมันลงกับพื้นพร้อม ๆ กับแมงป่องสีรุ้ง ทั้งงูและแมงป่องลงต่อสู้กัน เจ้าแม่งป่องพยายามใช้หางพิษของตนเองต่อสู้กับเจ้างูเทพหิมะแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้ต่อความปราดเปรียวของเจ้าตัวเล็กสีขาวทันทีที่แมงป่องสีรุ้งสิ้นท่า เจ้าตัวเล็กสีขาวก็เขมือบเจ้าแมงป่องตัวสีรุ้งที่นอนหมดแรง เข้าไปทั้งร่างอย่างเชื่องช้า เจ้าของร่างเล็กแบบบางต้องหลับตาขยับไปหลบอยู่เบื้องหลังของเสด็จลุงเพราะทนดูไม่ได้ เยี่ยเทียนก็ได้แต่ตบไหล่ปลอบโยน นี่เป็นเรื่องที่เขา







