Masukไม้หวายถูกนำออกมา อันเนี่ยนฉีถูกจับยืนมัดติดกับเสา อดทนอีกสักนิดพี่ชายต่างมารดาซึ่ง บุตรชายคนโตของบ้านก็จะผ่านมาทางนี้พอดี เขามีตำแหน่งในราชสำนัก ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดี เป็นบุตรชายของอดีตฮูหยินใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว มีสถานะศักดิ์เป็นพระภาคิไนยของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน จึงไม่มีใครกล้าล่วงเกินหรือทำร้ายเขา
นาน ๆ ครั้งเขาจะกลับมาที่บ้านสักหน นางไม่เคยเล่าเรื่องความยากลำบากใด ๆ เลยให้พี่ชายฟัง เพราะถูกข่มขู่เอาไว้ รวมถึงนางในชีวิตที่แล้วไม่มีความกล้าพอ พบหน้ากันเมื่อชีวิตที่แล้วนับครั้งได้ จำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพี่ชายของนางผู้นี้หน้าตาเป็นเช่นไร เมื่อเขาไม่เคยรับรู้ว่าเซียงถังซีวางอำนาจบาตรใหญ่ในบ้านหลังนี้ เขาจึงไม่รู้ว่าสมควรจัดการเซียงถังซีผู้นั้น ภายหลังเขาเซียงถังซีหลอกเขาให้ติดกับโดยใช้หลานสาวของตนหลอกล่อให้เขาตบแต่งกับนาง
แต่ในวันนี้นางจะต้องบอกเขา ต้องให้เขารับรู้เรื่องราวพวกนี้
“ท่านแม่ใหญ่ ข้าไม่ได้ทำจริง ๆ นะเจ้าคะ และรอยพวกนี้ก็เกิดจากมดกัดเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ทำ ท่านแม่ใหญ่ ข้าไม่ได้ทำจริง ๆ เจ้าค่ะ” อันเนี่ยนฉีแหกปากร้องสุดเสียงเอาให้ดังที่สุดเท่าที่นางเคยส่งเสียงมา และภาวนาให้พี่ชายต่างมารดาผู้นั้นได้ยิน
เสียงไม้หวายกระทบกับผิวกายของอันเนี่ยนฉี ร่องรอยบาดแผลปริแตกจนหยาดโลหิตไหลซึม ร่างเล็กตะโกนส่งเสียงปฏิเสธเสียงแข็งว่านางไม่ได้ทำ นางไม่ได้กระทำตัวชั่วช้าและไม่ได้เอาสิ่งของใด ๆ ของอันรั่วหลันไป
“หยุดเดี๋ยวนี้!!!”
เพราะอันจิ้งหยางอยากสำรวจความเปลี่ยนแปลงภายในบ้าน เขาจึงเดินเตร็ดเตร่ก่อนจะไปพบบิดา คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินได้เห็นอะไรเช่นนี้
อันจิ้งหยางหรี่ตามองดูสตรีตัวเล็กที่ถูกผูกมัดติดกับเสาบ้าน จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านางคือใคร แต่ถ้าหากนางอยู่ที่นี่ก็คงเป็น...น้องสาวคนที่เก้าของเขากระมัง เพราะนี่คือจวนอนุภรรยาที่ของบิดาที่ล่วงลับไปนานแล้ว
“ท่านทำอะไร” อันจิ้งหยางหันไปสบตากับเซียงถังซี “ปล่อยนางเดี๋ยวนี้” บ่าวไพร่ไม่มีใครกล้าขัดจึงแก้มัดเชือกปล่อยอันเนี่ยนฉีออกจากการควบคุม
“คือ...”
“ข้าให้ท่านพูด ปกติก็เห็นฮูหยินใหญ่เป็นคนพูดมากนี่นา เหตุในวันนี้จึงปิดปากเงียบล่ะ” เขากดดันนางอีกรอบ
เมื่อเห็นมารดาไม่กล้าเอ่ยอันรั่วหลันจึงกล่าวเอง
“พี่ใหญ่ เรื่องมีอยู่ว่า ท่านแม่สงสัยว่าน้องเก้าขโมยชุดผ้าไหมและกำไลหยกม่วงที่ได้รับพระราชทานไป ก็เลยมาค้นดู ข้าเองก็พยายามห้ามท่านแม่แล้วและเชื่อว่าน้องเก้าไม่ได้เป็นคนเอาไป แต่ทำอย่างไรละเจ้าคะ ก็ในเมื่อมีพยานบอกว่าเห็นนางเข้าไปในห้องข้าแล้วหอบสิ่งของบางอย่างออกมาด้วย”
“แล้วเจอของหรือไม่” อันจิ้งหยางมองเข้าไปในเรือนของอันเนี่ยนฉีพบว่าถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย สภาพที่แต่เดิมย่ำแย่อยู่แล้ว ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม
“ไม่เจอเจ้าค่ะ...ที่จริงก็ยังมีอีกเรื่อง พี่ใหญ่ดูสิเจ้าคะ บนร่างกายของนางยังมีร่องรอยที่คล้ายกับ....” นางหยุดเว้นวรรคใบหน้าเป็นสีแดงระเรื่อ “ดูท่าน้องเก้าคงจะต้องไปมีสัมพันธ์กับบุรุษมาแน่ ๆ”
อันเนี่ยนฉีรู้นิสัยพี่สาวคนนี้ดี นางตั้งใจพูดเอาหน้ากับพี่ชาย เผื่อว่าถ้าหากเขาไม่ตรวจสอบเรื่องนี้นางก็จะได้หน้า แต่แน่นอนว่าอันจิ้งหยางเป็นคนยุติธรรมพอ
“พี่ใหญ่...ข้าไม่ได้ทำเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น พี่ใหญ่ท่านเข้าไปดูที่เตียงนอนกับหน้าต่างห้องข้าสิเจ้าคะ เพราะมีมดมาทำรังเต็มไปหมด ทำให้ข้าถูกพวกมันกัด ของของพี่หญิงข้าก็ไม่ได้เอาไป ของอะไรนั่นข้าไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ พี่ใหญ่ท่านต้องให้ความยุติธรรมกับข้านะเจ้าคะ ท่านแม่ใหญ่กับพี่หญิง ยังไม่ทันจะได้สืบสาวราวเรื่องก็ทำร้ายข้าแล้ว แถมยังใช้กำลังบีบบังคับให้ข้ารับสารภาพ ถึงเนี่ยนเนี่ยนตายก็จะไม่รับสารภาพในสิ่งที่ข้าไม่ได้ทำ”
เพื่อความกระจ่างและให้ความยุติธรรมกับทุกคน เขาจึงเข้าไปสำรวจภายในห้องของน้องสาว พบว่ามีมดกำลังเดินไปที่เตียงนอนเก่าโทรมของนาง เมื่อเดินตามร่องรอยไปถึงก็พบว่ามีมดอยู่ตามนั้นจริง ๆ สภาพหลังคาภายในเรือนก็ย่ำแย่ ผ้าม่านขาดวิ่น เครื่องเรือนดูออกว่าผ่านการซ่อมแซมมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เดินเลยไปจนถึงตู้เสื้อผ้าของนางก็พบว่ามีเพียงไม่กี่ชุด
คิดไม่ถึงว่าทุกคนในบ้านหลังนี้จะปล่อยปละละเลยนางได้ถึงเพียงนี้ อย่างไรนางก็เป็นคุณหนูของที่นี่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับการโปรดปรานจากบิดาของเขา แต่ก็ควรดูแลนางให้เหมาะสม ไม่ใช่ทำไปแบบตามมีตามเกิด
อันเนี่ยนฉี ยังคงแสร้งทำหน้าเศร้า แต่ในใจแสนจะสุขใจ ในขณะที่นางต้องสวมเสื้อผ้าเก่า ๆ อาศัยอยู่ในเรือนที่ไม่ได้รับการดูแลเปรียบเทียบกับเรือนของบ่าวไพร่ยังไม่ได้ ภาพนี้มันปรากฏชัดเจนถึงเพียงนี้ นางเชื่อว่าอันจิ้งหยางจะต้องให้ความยุติธรรมกับนาง
ชายหนุ่มเดินออกมาจากเรือนของอันเนี่ยนฉี ใบหน้าคมสันหล่อเหลาบึ้งตึงเคร่งเครียด
“ข้าเข้าไปสำรวจดูแล้ว บนเตียงนอนของนางมีมดมาทำรังอยู่จริง ฮูหยินใหญ่ ท่านไม่ทันจะได้สืบหาความจริงก็ปรักปรำนางแล้ว ท่านยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า” เขาขึ้นเสียงใส่เซียงถังซี
“ข้า...ข้า...” เมื่อถูกเขาอันจิ้งหยางขึ้นเสียงใส่ก็ทำตัวไม่ถูกลนลานไปหมด
“แต่นางขโมยชุดของข้าไปจริง ๆ นะเจ้าคะ ข้าพิสูจน์ได้” อันรั่วหลันยังคงยืนกราน นางมั่นใจว่าอันเนี่ยนฉีขโมยของที่เป็นของนางไปจริง ๆ
“หุบปาก!!! ในห้องของนางมีเสื้อผ้าดี ๆ เสียที่ไหน เรียกว่าชุดไม่ได้ด้วยซ้ำ นางจะขโมยอะไรของเจ้าไปได้”
“พี่ใหญ่ ท่านต้องเชื่อข้านะเจ้าคะ เพราะนาง เพราะนางขโมยชุดของข้าไป ทำให้ในวันงานเลี้ยงฉลองของท่านแม่ทัพข้า...ข้าต้องใส่ชุดซ้ำกับเมื่อครั้งที่แล้ว โดนคุณหนูบ้านอื่นหัวเราะเยาะเย้ย”
รักษาภาพลักษณ์แสนดีและสมถะมาตั้งนาน ในที่สุดวันนี้ก็ถูกทำลาย อันเนี่ยนฉีลอบยิ้มในใจ พี่ใหญ่ของนางเป็นคนฉลาด
“แค่ชุดซ้ำเจ้าก็อับอาย แล้วนางล่ะ นางใส่แต่ชุดที่ไม่ต่างอะไรจากสาวใช้ใยไม่เคยเห็นนางบ่นว่าอับอาย” อันจิ้งหยางขึ้นเสียงใส่ ตั้งแต่มารดาของเขาตายจากไป คนพวกนี้ก็สูบเอาทรัพย์สมบัติของบ้านไปกินจนพุงกาง ตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในครอบครัวอีก แต่เมื่อเห็นอันเนี่ยนฉีถูกรังแกเช่นนี้เขาก็อดที่จะไม่ยืนมือเข้ามาไม่ได้
“จากนี้ไป ข้าจะเป็นดูแลเรื่องการเงินภายในบ้านหลังนี้เอง ฮูหยินใหญ่ พรุ่งนี้นำสมุดบัญชีและของที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาให้ข้า”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ คุณชายใหญ่ ท่านไม่ได้กลับมาที่บ้านนานแล้วเปลี่ยนมือไปมาแบบนี้จะเกิดความวุ่นวาย”
“งั้นข้าจะกราบทูลฝ่าบาทดีหรือไม่” ในเมื่อนางไม่ยินยอมเขาก็ต้องอ้างถึงฮ่องเต้รัชกาลปัจจุบัน
สุดท้ายนางก็ต้องยอมปล่อยมือ
จนถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งก็ยังไม่ได้ยินข่าวคราวของฟู่เหยาเหยาคล้ายกับว่านางหายไปจากโลกนี้อย่างไรอย่างนั้น อากาศในเมืองหลวงเริ่มหนาวขึ้นทุกวัน ๆ รวมไปถึงท้องของนางที่โตขึ้นเรื่อย ๆ การยืนเดินนั่งนอนของนางล้วนลำบากไปเสียหมด หลายครั้งที่ฟู่ลี่อิ๋งลุกขึ้นมานั่งร้องห่มร้องไห้กลางดึกเพียงเพราะอยากกินบะหมี่เนื้อรสเผ็ดทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านางไม่คอยชอบความเผ็ดของมัน ฟู่ลี่อิ๋งคิดถึงวันที่ที่พระสวามีเคยพาไปกิน คิดถึงเมื่อตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆ ส่วนเว่ยจงหมิงเองก็ตามใจและเข้าใจได้ไท่จื่อเฟยตั้งครรภ์ท้องแรกอีกทั้งยังไม่มีประสบการณ์ไม่มีผู้ใดสอนนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางจะกลัว กังวลและหวั่นใจไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นหน้าที่ของเขาที่เป็นสามีที่จะคอยให้ความอุ่นใจ อยู่เคียงข้างนางให้นางอบอุ่นใจในบางวันที่เว่ยจงหมิงต้องไปทำงานไกล ๆ ก็จะได้ไคไคน้อยมาอยู่เป็นเพื่อนคอยเล่านู่นเล่านี้ให้นางฟังไม่มีเบื่อถึงตอนนี้ฟู่ลี่อิ๋งถึงเพิ่งสังเกตว่าไคไคน้อยสูงขึ้นมาก จากที่เคยสูงกว่าเอวนางนิดหนึ่งตอนนี้หัวของเขาอยู่ในระดับไหล่นางเสียแล้ว ความรู้สึกเหมือนผ่านมาแค่ครู่เดียว แต่ชั่วเวลากะพริบตาเท่านั้น“เสด็จป้า ท่านว่าน้องข
หลังจากได้ยินเรื่องที่ฟู่เหยาเหยาหย่ากับเว่ยเจิ้งหยาง ฟู่ลี่อิ๋งก็ไม่สบายใจนัก นางไปถามกับพี่ชายว่าสาเหตุที่เขามาที่เมืองหลวง ใช่เรื่องเพราะเรื่องนี้หรือไม่ คราแรกเขาอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดจนสุดท้ายนางก็คาดคั้นเอาคำตอบออกมาจากปากเขาได้ในที่สุดเมื่อได้ยินทุกอย่างที่นางอยากจะฟัง ฟู่ลี่อิ๋งจึงลากพี่ชายไปสืบความที่จวนเว่ยอ๋องด้วยกัน เนื่องด้วยไม่อยากไปเหยียบที่นั่นเพียงลำพังเว่ยเจิ้งหยางเมื่อได้ยินว่าไท่จื่อเฟยมาถึงที่นี่ก็ละทิ้งทุกอย่างรีบมาหานาง แต่เมื่อออกมาถึงกลับพบว่านางไม่ได้มาตามลำพัง เรื่องราวที่เคยคิดเข้าข้างตัวเองก็สลายหายไป นางมาที่นี่พร้อมกับฟู่หมิงจือ สีหน้าท่าทางของโหวน้อยดูกังวล ส่วนฟู่ลี่อิ๋งดูเย็นชาเห็นหน้าของเว่ยเจิ้งหยาง หญิงสาวก็เริ่มพูดคุยเขาเรื่องทันทีโดยไม่อ้อมค้อม“ข้าได้ยินจากไท่จื่อบอกว่าท่าหย่ากับน้องสาวของข้าแล้ว”เว่ยเจิ้งหยางเลิกคิ้วเล็กน้อย “ใช่แล้ว ข้าหย่ากับนางไปตั้งแต่วันที่กลับมาจากจวนเสนาบดีสี”“เรื่องสำคัญเช่นนี้ ไม่เห็นมีใครบอกเรื่องนี้กับข้าสักคน” น้ำเสียงของนางระคนความขุ่นเคือง “แล้วเวลานี้นางอยู่ที่ไหนกัน ท่านรู้หรือไม่”“นางกลับไปเสิ่นหนานตั้งแต่เช้า
แสงอาทิตย์ลอดเข้ามาในห้องนับแล้วเท่ากับแปดครั้ง สีฮูหยินกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างดีใจ นางหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างสะใจ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง จากนี้ไปจะไม่มีเว่ยจงหมิงอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้วในขณะที่นางกำลังดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แสงไฟในคุกก็สว่างไสวประดุจกลางวัน สีฮูหยินที่อยู่ในความมืดมานานนับสัปดาห์ต้องหลับตาและใช้แขนเสื้อของตนเองปกป้องดวงตาของตัวเอง ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้นนางจึงจะสามารถลืมตาขึ้นได้สิ่งที่สตรีวัยกลางคนเห็นเมื่อลืมตาขึ้นพบกับบุรุษที่นางเกลียดที่สุดผู้หนึ่งในชีวิต เว่ยจงหมิงนั่งอยู่บนคานหาม แบบสี่คนแบก ชายหนุ่มนั่งอยู่บนนั้นเส้นผมดำขลับถูกปล่อยสยายยาวสอดรับกับใบหน้าหล่อเหลา เขาสวมเสื้อผ้าสีขาวสบาย ๆ ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับสิ่งใด และดูไม่เจ็บไม่ป่วย“ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่” สีฮูหยินได้เห็นหน้าของเว่ยจงหมิงก็เริ่มมีปฏิกิริยาแห่งโทสะ“องค์หญิงเออร์น่าคงตกใจมาก ที่เห็นว่าข้ายังมีชีวิตอยู่” เว่ยจงหมิงหยิบองุ่นขึ้นมากินในขณะที่สนทนากับนาง“ไม่!!! ทำไมเจ้ายังไม่ตาย ถูกพิษชนิดนั้นเข้าไปแล้วเหตุใดจึงยังรอดมาได้” สีฮูหยินเริ่มหวีดร้องโวยวาย “มันไม่มียารักษาผู้ที่โดนพิษต้องตาย
อากาศยามเช้าหลังจากฝนหยุดตกสดชื่นปลอดโปร่ง เสียงวิหคบินวนขับขานดังกังวานไปทั่วทั้งพื้นที่ เช้าวันนี้นางรู้สึกว่าตัวเองสดชื่นกว่าทุกวัน อาจจะเป็นเพราะยาบำรุงของท่านซุน ที่ช่วยให้นางผ่อนคลายและหลับสบายมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ที่พระสวามีป่วยฟู่ลี่อิ๋งก็ย้ายออกไปนอนห้องนอนเล็กที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันเพราะนางไม่อยากรบกวนคนป่วยเกรงว่าตนเองจะนอนดิ้นและทำให้เขาลำบาก รอให้เว่ยจงหมิงฟื้นและหายดีก่อนค่อยกลับมาร่วมห้องทีหลังก็ได้ทุก ๆ วันฟู่ลี่อิ๋งจะมานั่งเฝ้าพระสวามีในห้อง นี่ก็ผ่านมา 7 วันนับตั้งแต่เขาถูกพิษ เว่ยจงหมิงก็ไม่ฟื้นสักที วันนี้ก็เช่นกันนางมานั่งข้างเตียงพูดคุยกับเขาดังเช่นเคยมือเรียวเล็กจับมือของเขามาสัมผัสที่หน้าท้องแบนราบของตนเอง“ท่านพี่ เมื่อไหร่ท่านจะฟื้นกันนะ” ร่างเล็กพึมพำ “ท่านรู้หรือไม่ว่าไคไคน้อยกำลังจะมีน้องชายน้องสาวแล้วนะ” ฟู่ลี่อิ๋งกระซิบแผ่วเบาสีหน้าของเว่ยจงหมิงดูดีกว่าหลายวันที่ผ่านมา วิธีการของท่านซุนออกจะประหลาดไปบ้างแต่ก็ได้ผล หนำซ้ำยังได้ยาบำรุงชั้นดีจากวังหลวงมาช่วยอีก นางก็คาดหวังให้เขาตื่นขึ้นมาก่อกวนออดอ้อนนางได้แล้วในขณะที่ร่างเล็กกำลังจะลุกขึ้น เอวเล็กแบบ
เสี่ยวหลงติดตามท่านเหลียงออกเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อติดตามเรียนรู้วิชาการตัดเย็บเสื้อผ้าจากเหลียงเหลียนฮ่าวและฝากตัวเป็นลูกศิษย์ แต่เมื่อหลายวันก่อนตอนเดินทาง ในวันที่พายุฝนโหมกระหน่ำ คณะเดินทางของท่านเหลียงผ่านไปพบกับสตรีผู้หนึ่ง นางนอนกลายเป็นซากคล้ายกับศพอยู่ในเส้นทางที่พวกเขาผ่านสภาพของนางไม่ต่างอะไรจากซากศพบาดแผลบนใบหน้าฉกรรจ์น่ารังเกียจ สัตว์และแมลงตอมไต่จนบาดแผลเน่าเฟะเหม็นคลุ้งเหลียงเหลียนฮ่าวใช้ไม้เขี่ย ๆ เห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่จึงพาตัวไปด้วยกันถือว่าเอาบุญ ตอนที่ช่วยเหลือเสี่ยวหลงเห็นตราหยกสีชมพูคล้าย ๆ กับชิ้นที่ไท่จื่อเฟยมี ก็เดา ๆ เอาไว้ว่าสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้น่าจะเป็นผู้ใด แต่ก็ไม่ได้บอกเล่าเรื่องนี้ให้ผู้ใดฟังกระดูกบนร่างกายของสตรีอัปลักษณ์หักอยู่หลายส่วน ท่านหมอที่ติดตามมากับคณะของเหลียงเหลียนฮ่าวใช้วิธีการเอาไม้ไผ่มาดามนางเอาไว้ทั้งร่าง ฟู่เหยาเหยาตื่นขึ้นมาอีกทีพบว่าร่างกายของตนเองกำลังถูกวางเอาไว้บนเกวียนบรรทุกสิ่งของ แขนขาถูกมัดเอาไว้กับไม้ไผ่ขยับไปไหนไม่ได้บาดแผลบนใบหน้าคล้ายกับมีอะไรบางอย่างขยับยุบยิบไปมา ในทุก ๆ วันจะมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามาช่วยเปลี่
เจ้างูสีขาวตัวเล็ก ๆ ดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อยที่มันถูกผู้เป็นนายปลุกให้ตื่น มันสะบัดหัวไปมาและค่อย ๆ ยืดตัวชูคอขึ้นทำท่าทางคล้ายกับบิดขี้เกียจ แต่เมื่อเห็นหน้าผู้เป็นนายมันก็รีบกระโดดออกจากกระปุกสีขาวขึ้นไปหยอกล้อคลอเคลียท่าทางเหมือนกับลูกสุนัขตัวเล็ก ๆฟู่ลี่อิ๋งเห็นแล้วก็พูดสิ่งใดไม่ออก สัตว์มีเกล็ดลิ้นยาวพวกนั้นสามารถมองให้น่ารักได้ด้วยหรือ นางรู้สึกขนลุก แต่ก็ไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใดออกมา ปล่อยให้ท่านซุนรักษาไปตามวิธีการของเขา แม้จะทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกคล้ายจะเป็นลมอยู่ตลอดเวลาก็ตามงูเทพหิมะเมื่อเห็นแมงป่องสีรุ้งมันก็คล้ายกับทำตาโตด้วยความดีใจ ซุนจงปล่อยมันลงกับพื้นพร้อม ๆ กับแมงป่องสีรุ้ง ทั้งงูและแมงป่องลงต่อสู้กัน เจ้าแม่งป่องพยายามใช้หางพิษของตนเองต่อสู้กับเจ้างูเทพหิมะแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้ต่อความปราดเปรียวของเจ้าตัวเล็กสีขาวทันทีที่แมงป่องสีรุ้งสิ้นท่า เจ้าตัวเล็กสีขาวก็เขมือบเจ้าแมงป่องตัวสีรุ้งที่นอนหมดแรง เข้าไปทั้งร่างอย่างเชื่องช้า เจ้าของร่างเล็กแบบบางต้องหลับตาขยับไปหลบอยู่เบื้องหลังของเสด็จลุงเพราะทนดูไม่ได้ เยี่ยเทียนก็ได้แต่ตบไหล่ปลอบโยน นี่เป็นเรื่องที่เขา







