LOGINแต่เว่ยเจ๋อหมิงเป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงดีงามในสำนักศึกษาจื้อกั๋ว ทุกคนในอำเภอเหออันต่างก็รู้จักเขาเป็นอย่างดี จะทำสิ่งใดยังต้องคิดให้ถี่ถ้วน
ตั้งแต่ที่พบกันครั้งแรก เขาก็รู้สึกไม่ชอบหน้าคนผู้นี้เลยสักนิด บัณฑิตยากจนที่มาจากหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขา แต่กลับมีความสามารถสอบเข้าสำนักศึกษาจื้อกั๋วได้เป็นอันดับที่หนึ่ง
สำหรับเขาแล้ว เว่ยเจ๋อหมิงนับว่าเป็นกระดูกชิ้นโตที่ขวางทางเขาในทุกเรื่อง เมื่อก่อนมีใครบ้างในสำนักศึกษาที่ไม่ชื่นชมในตัวเขา พอเว่ยเจ๋อหมิงผู้นี้เข้ามาทุกคนต่างก็หันไปหามันแทน คนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างเว่ยเจ๋อหมิงมีสิ่งใดให้น่าชื่นชมกัน ซ่งหยางเฉิงคิดในใจอย่างหงุดหงิด ก่อนจะแสร้งยิ้มแย้มเดินเข้าหาร่างสูง
“บัณฑิตเว่ยเจ้ารู้จักกับแม่นางผู้นั้นอย่างนั้นหรือ”
ซ่งหยางเฉิงเก็บความไม่พอใจต่อเว่ยเจ๋อหมิงเอาไว้ข้างใน แล้วถามถึงหญิงงามที่พึ่งออกจากร้านไป แต่เว่ยเจ๋อหมิงกลับไม่สนใจ เขาจ่ายเงินค่ากระดาษที่เถียนสวี่หลันเลือกเอาไว้ก่อนที่จะเดินออกจากร้านขายตำรา
ซ่งหยางเฉิงเห็นอีกฝ่ายเมินคำถามของตน เขาก็รู้สึกเสียหน้าและโมโหเป็นอย่างมาก ร่างสูงรีบก้าวเข้าไปขวางเว่ยเจ๋อหมิงเอาไว้
“นี่ ข้ากำลังถามเจ้าอยู่นะ เหตุใดถึงไม่ตอบ”
เว่ยเจ๋อหมิงมองซ่งหยางเฉิงด้วยสายตาเย็นชา
“เจ้าถามข้าแล้วข้าจำเป็นต้องตอบด้วยอย่างนั้นหรือ นี่มันกฎอันใดกัน หลีกทางไปซะที่นี่หาใช่จวนตระกูลซ่งที่เจ้าจะกระทำตนเป็นอันธพาลได้”
เมื่อเว่ยเจ๋อหมิงเอ่ยออกมาเช่นนั้น บัณฑิตทุกคนในร้านขายตำราต่างก็มองไปยังเขาเป็นตาเดียว ซ่งหยางเฉิงที่เป็นคนรักหน้าตาจึงจำต้องปล่อยเว่ยเจ๋อหมิงไป
“ฝากไว้ก่อนเถอะเจ้าบัณฑิตกระจอก คิดว่ามีอาจารย์ใหญ่ฮั่วคอยหนุนหลังแล้วคิดว่าเจ้าจะรอดไปได้อย่างนั้นหรือ วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่สักวันข้าจะดึงลิ้นนั่นออกมาสับให้แร้งกากิน”
ซ่งหยางเฉิงสบถไล่หลังเว่ยเจ๋อหมิงไปด้วยความเดือดดาล หลังจากออกมาจากร้านตำราเว่ยเจ๋อหมิงก็มาสมทบกับคนตระกูลเถียนที่ทางเข้าอำเภอเหออัน เขาได้สั่งเถียนซู่เจิงเอาไว้แล้วว่าหลังจากที่เถียนสวี่หลันออกมาจากร้านขายตำรา ให้พวกนางมารอที่ทางเข้าอำเภอ
“มาแล้วหรือ ในร้านขายตำราเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่เหตุใดนางถึงได้มีอาการเช่นนี้”
เถียนซู่เจิงถามเว่ยเจ๋อหมิงด้วยความร้อนใจ เว่ยเจ๋อหมิงเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าเหตุใดเถียนสวี่หลันถึงได้มีท่าทางหวาดกลัวซ่งหยางเฉิงมากมายเพียงนั้น
นางเคยพบกับเขามาก่อนหรือ หรือว่านางเคยถูกเขาทำร้ายมาก่อน แต่ซ่งหยางเฉิงดูเหมือนจะไม่รู้จักนางเลยสักนิด แล้วเหตุใดนางถึงต้องหวาดกลัวเขา คำถามมากมายติดอยู่ในใจแต่ไม่สามารถหาคำตอบได้ คนที่จะให้คำตอบได้ตอนนี้คงมีเพียงคนผู้เดียว ก็คือนาง
เกวียนวัววิ่งมารับคนทั้งสี่กลับไปยังหมู่บ้านหนานซาน เถียนสวี่หลันแทบไม่มีสติหลงเหลืออยู่แล้ว ถ้าหากไม่ได้อาเล็กของนางคอยช่วยพยุง นางก็คงไม่สามารถเดินได้ด้วยตนเอง เรี่ยวแรงของนางทั้งหมดตอนนี้เหมือนถูกสูบออกไปจนเหือดแห้ง
ดวงตาของเถียนสวี่หลันดูเหม่อลอยและเจ็บปวด สิ่งใดกันที่ทำให้เด็กสาวที่แทบไม่ก้าวเท้าออกจาหมู่บ้านเลย แสดงอาการเช่นนี้ออกมา เว่ยเจ๋อหมิงมองร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขนของเถียนซู่เจิงอย่างไม่เข้าใจ
หลังจากกลับมาจากอำเภอเหออัน เถียนสวี่หลันก็เอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ภายในห้อง นางไม่แม้แต่จะออกมาพบหน้าคนในครอบครัว นางไม่ยอมดื่มน้ำหรือทานอาหารพอตกกลางคืนก็เอาแต่กรีดร้องโหยหวนออกมาเหมือนกำลังหวาดกลัวบางอย่าง
แม่เฒ่าจางที่เห็นหลานสาวเป็นเช่นนั้นก็รู้สึกปวดใจยิ่งนัก นางให้ถียนซู่เจิงเข้าไปนอนเฝ้าเถียนสวี่หลันเพราะกลัวว่านางจะทำร้ายตนเอง ทุกคนในตระกูลเถียนต่างก็ร้อนใจและคิดหาวิธีเพื่อช่วยเหลือนาง
แม่เฒ่าจางนึกถึงเจ้าอาวาสวัดประจำอำเภอเหออันขึ้นมาได้ ท่านเป็นคนทำนายดวงชะตาของเถียนสวี่หลันเมื่อยังเป็นทารก บางทีท่านอาจจะมีวิธีช่วยนางก็เป็นได้
เช้าตรู่วันต่อมาแม่เฒ่าจางก็ไม่คิดรีรอ นางจ้างเกวียนวัวเพื่อไปที่วัดแห่งนั้นทันที เมื่อไปถึงนางก็ขอพบกับท่านเจ้าอาวาส แต่น่าเสียดายที่เณรน้อยแจ้งแก่แม่เฒ่าจางว่าท่านเจ้าอาวาสเดินทางไปเมืองหลวงคงจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกสักพัก
แม่เฒ่าจางต้องกลับมาที่หมู่บ้านหนานซานด้วยความผิดหวัง นางสิ้นไร้หนทางที่จะช่วยเหลือหลานสาวได้แล้ว ความเจ็บปวดของเถียนสวี่หลันเปรียบเสมือนความเจ็บปวดของคนทั้งครอบครัว แม้แต่บิดามารดาก็ปิดร้านเพื่อกลับมาดูแลนาง
ผ่านไปหนึ่งเดือน เป็นครั้งแรกที่เถียนสวี่หลันก้าวเท้าออกมาจากห้อง หลังจากที่จมปลักอยู่กับความเจ็บปวดมานานและได้ใช้ความคิดเพียงลำพังทำให้นางคิดได้ว่า หากนางยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปนางจะไม่มีวันก้าวผ่านความกลัวเหล่านั้น และชีวิตใหม่ของนางที่ได้รับมาก็คงจะไม่มีวันมีความสุข อีกทั้งนางไม่ต้องการให้ความเจ็บปวดของตน กลายมาเป็นตัวบั่นทอนความรู้สึกของคนในครอบครัวอีกต่อไปแล้ว
“ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ อารอง อาสะใภ้รอง อาเล็ก ซวนเอ๋อ ข้าขอโทษ จากนี้ไปข้าจะเปลี่ยนแปลง ข้าจะเข้มแข็งจะไม่ปล่อยให้ตนเองต้องจมปลักอยู่กับความเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว”
เถียนสวี่หลันเอ่ยขอโทษคนทั้งครอบครัวจากใจจริง ที่พวกเขาต้องมาลำบากดูแลนาง โดยที่ไม่เคยกล่าวโทษใดใดต่อนางเลยสักครั้ง
“เด็กโง่พวกเราคือครอบครัวเดียวกันมิใช่หรือ”
แม่เฒ่าจางกอดหลานสาวคนโตเอาไว้อย่างทะนุถนอม คนตระกูลเถียนทั้งหมดสามารถหายใจหายคอได้คล่องขึ้น หลังจากที่เถียนสวี่หลันกลับมาเป็นคนเดิม ไม่มีใครกล้าถามถึงสาเหตุที่ทำให้นางมีอาการเช่นนี้ เพราะพวกเขาไม่ต้องการจะนึกถึงมันอีก
หลังจากที่ได้มีเวลานั่งคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมาทำให้นางคิดได้ว่า เรื่องทั้งหมดที่นางเคยประสบมาในชีวิตก่อน มันยังไม่ได้เกิดขึ้นสักหน่อย เพียงแค่นางขัดขวางไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง นางก็คงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเฉกเช่นชีวิตที่แล้ว
เมื่อความหวาดกลัวในจิตใจหมดไป เถียนสวี่หลันก็กลับมาเป็นปกตินางก็มุ่งมั่นอยู่กับการเรียนเขียนอ่าน น่าแปลกมากหลังจากที่นางได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง นางก็รู้สึกว่าตนเองมีบางอย่างเปลี่ยนไป
เช่นความจำของนางที่ดีขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า ไม่ว่านางจะเคยเห็นสิ่งใดเพียงแค่ผ่านตานางก็สามารถจดจำรายละเอียดได้อย่างแม่นยำ ยิ่งเป็นเรื่องการเรียนที่เป็นปมในใจของนางเมื่อชีวิตก่อนนางยิ่งทำได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ผ่านไปเพียงแค่สองเดือนเถียนสวี่หลันก็สามารถก้าวข้ามน้องชายที่ร่ำเรียนมาก่อนนางถึงสามปี
ด้านพละกำลังของนางก็เช่นเดียวกัน เถียนสวี่หลันช่วยอาเล็กของนางแบกถังน้ำสองถังได้อย่างสบาย โดยที่นางไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของมันเลยสักนิด ทั้งที่แต่ก่อนแรงจะฆ่าไก่ของนางยังแทบไม่มี
ถึงทุกอย่างในครอบครัวตระกูลเถียนจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม แต่ก็เกิดข่าวลือในหมู่บ้านขึ้นว่าเถียนสวี่หลันกลายเป็นคนวิกลจริตไปแล้ว
มีบางคนจำได้ว่าเสียงกรีดร้องที่ดังออกมาจากเรือนตระกูลเถียนทุกคืนคือเสียงของหลานสาวคนโตของแม่เฒ่าจาง มิน่าเล่าผ่านไปสองสามเดือนพวกเขาถึงไม่เคยเห็นนางออกมาเดินในหมู่บ้านเลยสักครั้ง
ส่วนคนที่คอยกระพือให้ข่าวลือดูรุนแรงขึ้นคือ สวีม่านนี บุตรสาวของหัวหน้าหมู่บ้าน นางเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเถียนสวี่หลันมานาน เพราะตัวนางเองก็พึงใจในตัวของเว่ยเจ๋อหมิงเช่นกัน แต่นางกลับถูกเถียนสวี่หลันขัดขวางทุกวิถีทาง เพื่อไม่ให้นางสามารถเข้าใกล้เว่ยเจ๋อหมิงได้
แม่นางหลี่กอดบุตรสาวเอาไว้ เถียนสวี่หลันเองก็วางมือจากพู่กันหันมากอดมารดาของตน“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ข้าสัญญา”หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป กลายเป็นตระกูลสวีที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ภายในเรือน แม้แต่สวีไคที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่กล้าออกมาสู้หน้าชาวบ้านอีกแล้ว เหตุเพราะบุตรสาวของตนทำเรื่องงามหน้าเอาไว้มากมายเช่นนั้นครบกำหนดห้าวันสวีไคได้นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาส่งให้เถียนสวี่หลันด้วยตนเอง ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่สวีไคก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะตอนนี้เขาไม่มีชาวบ้านหนานซานคอยหนุนหลังอีกแล้ว หากต้องการจะเล่นงานตระกูลเถียนถือว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขา“อาเล็กอาสะใภ้รอง พวกท่านกำลังจะไปที่ใดอย่างนั้นหรือ”เถียนสวี่หลันที่พึ่งออกมาจากห้อง เห็นสมาชิกทั้งสองของตระกูลเถียนกำลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินออกจากเรือนไป“หลายวันมานี้ฝนตกทุกวัน เรากำลังจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่ามีผักป่าขึ้นบ้างหรือไม่ เผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาทำอาหารเย็นบ้าง”เถียนสวี่หลันได้ยินเช่นนั้นนางก็นึกสนุกขึ้นมา นางเกิดมามีชีวิตถึงสองครั้งแต่กลับไม่เคยขึ้นไปบนเขาด้านหลังหมู
ท่าทางยืนก้มหน้าเท้าเขี่ยพื้นของนางตอนนี้ในสายตาของเว่ยเจ๋อหมิงมันช่างดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้สองสามเดือนเขาได้ยินจากเถียนซู่เจิงว่าอาการของนางไม่ค่อยดี ความรู้สึกเป็นห่วงนางแปลกๆ ก็เกิดขึ้นภายในใจของเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุเขาเองก็ไม่อยากยอมรับว่าตั้งแต่ที่นางแสดงอาการหวาดกลัวซ่งหยางเฉิงออกมาที่ร้านขายตำรา ในหัวของเขาก็มีแต่ภาพของนางและไม่สามารถสลัดมันให้หลุดออกไปได้ยิ่งได้ยินว่านางกำลังป่วยเขายิ่งรู้สึกเป็นห่วงและร้อนรน เขาอยากไปพบนางที่เรือนตระกูลเถียน แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ระหว่างเขาและนางเราสองคนมิได้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน แล้วเขาจะใช้เหตุผลใดเข้าไปเยี่ยมนางเล่า“หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ปล่อยแขนของข้าเสียที มิใช่ว่าเมื่อคืนข้าพูดกับเจ้าชัดเจนแล้วหรือ ต่อไปนี้ระหว่างเราไม่จำเป็นจะต้องพูดคุย เมื่อเจ้าพบข้าโดยบังเอิญเจ้าก็ทำเหมือนข้าเป็นอากาศเสีย”เถียนสวี่หลันดึงแขนของตนออกจากมือของเว่ยเจ๋อ หมิง ก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน เว่ยเจ๋อ หมิงมองมือที่ว่างเปล่าของตนไม่ต่างจากหัวใจของเขาที่เหมือนถูกฉีกกระชากเขาไม่รู้ว่าเหตุใดทุกครั้งที่เขาพยายามจะพูดคุยดีๆ กับนา
นักพรตหนุ่มที่สวีม่านนีเชิญมา จัดตั้งโต๊ะประกอบพิธีกรรมขับไล่ดวงวิญญาณทันที หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยุติการโต้เถียงกัน ชาวบ้านในอำเภอเหออันต่างก็รู้ดีเรื่องชื่อเสียงของนักพรตผู้นี้ ทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นพนมหลังจากที่เขาเริ่มบทสวดเสียงสวดภาวนาของเขาดังก้องไปทั่วหมู่บ้าน ทุกคนต่างเงียบเพื่อรอดูเหตุการณ์ต่อไป เถียนสวี่หลันที่เป็นตัวเอกยืนมองชาวบ้านที่มามุงดูด้วยสายตาเรียบเฉยแม้จะมีโอกาสได้มีชีวิตถึงสองครั้ง แต่เรื่องวุ่นวายทำนองนี้ก็ไม่ยอมหายไปจากชีวิตของนางเสียที นางจะต้องทำอย่างไรที่จะให้พวกเขายอมเลิกราไปแต่โดยดี เถียนสวี่หลันถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายผู้ช่วยที่ติดตามนักพรตมาด้วยเชือดไก่สองตัวเพื่อรีดเอาเลือดของมัน ทุกคนเห็นกับตาว่าไก่สองตัวนั้นดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดจนกระทั่งมันหยุดดิ้นเพราะถูกรีดเอาเลือดไปจนหมดตัวผู้ช่วยนำเลือดมาวางด้านหน้านักพรตหนุ่มที่ยืนกวัดแกว่งกระบี่ไม้ของตนที่หน้าปะรำพิธี นักพรตหนุ่มผู้นั้นยังคงหลับตาปากก็ไม่ยอมหยุดสวดภาวนา จนกระทั่งเขาใช้ยันต์แผนสี่เหลืองโยนขึ้นไปด้านบนพร้อมกัน สวีม่านนีที่ยืนมองอยู่ข้างสวีไคมองไปยังเถียนสวี่หลันที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อม ใบหน
เมื่อได้ยินเถียนสวี่หลันเอ่ยเช่นนั้น ชาวบ้านหนานซานทั้งหมดต่างก็มองไปที่หัวหน้าหมู่บ้านเป็นตาเดียว สวีไคมีท่าทีลังเลเล็กน้อย หากวันนี้เขาไม่ยอมรับผิดชอบคำพูดของตน ต่อไปคงจะไม่มีใครเชื่อถือในคำพูดของเขาอีกต่อไปแล้ว“ได้ เถียนสวี่หลันหากว่าเจ้ามิได้ถูกผีเข้า ข้าจะยอมจ่ายให้เจ้ายี่สิบตำลึงเป็นค่าทำขวัญ”เถียนสวี่หลันยกยิ้มมุมปาก ยี่สิบตำลึงอย่างนั้นหรือ เงินเพียงแค่นั้นยังไม่พอค่าจ้างและค่าเสียเวลาของข้าเลยสักนิด นางส่ายหน้าปฏิเสธ“หนึ่งร้อยตำลึง ไม่อย่างนั้นข้าจะไปแจ้งกับทางการว่าพวกเจ้าชาวบ้านหนานซานใส่ร้ายข้าและคิดจะบีบคั้นให้คนตระกูลเถียนของข้าออกไปจากหมู่บ้าน”“พวกเจ้าลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือ ว่าหลายคนที่นี่ต่างก็เช่าที่ดินของบ้านข้าทำนาอยู่ หากไม่อยากอดตายก็จงทำตามที่ข้าเรียกร้องซะ ไม่อย่างนั้น....ข้าจะให้ท่านปู่ขายที่ดินในหมู่บ้านหนานซานคืนให้ทางการ เมื่อถึงเวลานั้นค่าเช่าก็คงจะเป็นหกต่อสี่ อีกทั้งยังต้องจ่ายภาษีให้กับทางการอีก พวกเจ้าจงเลือกเอาว่าจะเลือกหนทางไหน”เถียนสวี่หลันยิ้มเยาะเย้ยสวีไค หากเขาไม่ทำตามความต้องการของนาง คนที่ถูกกดดันก็จะเป็นตัวเขาเอง ใครบ้างไม่รู้ว่าคนตระกูลเถ
“เราไปกันเถอะไปดูว่าวันนี้จะมีงิ้วอันใดให้ดูกัน”สองอาหลานเดินมาถึงหน้าเรือน ที่นั่นมีครอบครัวของนางรวมตัวอยู่กันครบนอกจากเถียนห่าวซวนที่ไปสำนักศึกษา เถียนสวี่หลันมองชาวบ้านที่มาชุมนุมที่หน้าเรือของนางทีละคน ก่อนที่จะไปหยุดที่สวีม่านนีที่ยืนอยู่หลบอยู่ด้านหลังบิดาของนาง“ท่านย่า ชาวบ้านเหล่านี้มาที่เรือนของเราด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ”เถียนสวี่หลันถามแม่เฒ่าจางด้วยใบหน้าใสซื่อ เหมือนนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้“จะอะไรเสียอีก ก็คนพวกนี้หาว่าหลันเอ๋อของย่าถูกผีเข้าน่ะสิ จึงได้พาซินแสมาที่นี่”หลังจากแม่เฒ่าจางเอ่ยจบคนตระกูลเถียนก็มายืนขวางระหว่างนางและชาวบ้านเอาไว้ เถียนสวี่หลันเห็นเช่นนั้นนางก็รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจทันทีเหตุใดชีวิตก่อนนางถึงมองไม่เห็นความรักความหวังดีที่พวกเขามีให้นางบ้างเลยนะ หลังจากที่ซ่งหยางเฉิงเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง นางก็รีบตามเขาไปไม่แม้แต่จะคิดติดต่อกลับมาที่ตระกูลเถียนอีกเลยนางนี่ช่างเป็นคนเลวที่ลืมแม้แต่บุญคุณของคนในครอบครัวที่รักและปกป้องนางมาทั้งชีวิต หรือว่าเรื่องที่เกิดกับนางทั้งหมดจะเป็นเวรกรรมที่นางสมควรได้รับกัน“แม่เฒ่าจาง ท่านอย่าปกป้องนา
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!!”เถียนสวี่หลันพยายามแกะมือใหญ่ที่กำลังลากตนด้วยท่าทางทุลักทุเล เพราะเว่ยเจ๋อหมิงที่ตัวสูงกว่าจึงทำให้ภาพออกมาเหมือนเขากำลังหิ้วเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งในมือ“เถียนสวี่หลันบอกมาซิว่าเจ้าเข้าไปทำอันใดในเรือนตระกูลสวี ข้านึกว่าหลายเดือนมานี้ที่เจ้าอยู่เงียบๆ เป็นเพราะว่าเจ้าคิดได้แล้ว แม้แต่อาเล็กของเจ้าก็ยังเอ่ยปากแทนว่านิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่การแสดงสินะ สุนัขที่เคยกินอาจมมันย่อมไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยได้ง่ายๆ”เถียนสวี่หลันหยุดดิ้นทันที ดวงตาแดงก่ำจ้องไปยังร่างสูงอย่างแข็งกร้าว คำพูดที่แสนดูถูกของเขาทำให้นางนึกถึงเรื่องราวในชีวิตก่อน ตอนที่นางยังไม่ได้ถูกตัดแขนขานางเคยถูกบ่าวรับใช้ในเรือนของซ่งหยางเฉิงรังแก พวกเขาทุกคนต่างประชดประชันนางว่าเป็นหมูบ้างล่ะ เป็นสุนัขที่กินอาจมบ้างล่ะคำพูดดูแคลนสารพัดต่างก็ถูกซัดสาดมาที่นาง หลังจากที่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเถียนสวี่หลันไม่คิดว่าตนจะมาได้ยินคำพูดดูถูกเหล่านั้นอีกครั้งดวงตากลมโตไหวระริก ความเจ็บปวดทั้งหลายปรากฏขึ้นในดวงตางาม เถียนสวี่หลันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ นางไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอต่







