LOGINเถียนซู่เจิงพยักหน้าตอบรับคำพูดของหลานสาว นางเหลือบตามองใบหน้าด้านข้างของสหายตนที่กำลังขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่เถียนสวีหลันเอ่ยทะลุกลางปล้องขึ้นมา เถียนสวี่หลันที่นั่งอยู่จนสุดม้านั่ง ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะมองออกไปด้านนอกเกวียนวัว
อาเล็กเองก็อยู่ที่นี่เขาคงไม่กล้าทำอันใดรุนแรงกับนางหรอกกระมัง เถียนสวี่หลันเอ่ยปลอบตนเองในใจ เว่ยเจ๋อหมิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเถียนสวี่หลันเอาแต่จ้องหน้านางอยู่เช่นเดิม
เขารู้สึกแปลกใจในพฤติกรรมของนางไม่น้อย หากในเวลาปกตินางคงจะเข้ามาประชิดตัวเขาแล้ว ยิ่งในสถานที่จำกัดพื้นที่เช่นเกวียนวัวนางยิ่งจะต้องฉวยโอกาสเพื่อเข้าหาเขาให้ได้
แต่นี่เกิดอันใดขึ้นกัน นางไม่เพียงไม่เข้าหาตน แต่นางถึงกับถอยออกไปจนสุดปลายม้านั่งเพื่ออยู่ให้ห่างจากเขาเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการมาตลอด แต่เหตุใดเขาจะต้องรู้สึกหงุดหงิดมากมายเพียงนี้
เถียนสวี่หลันไม่รู้ความคิดในใจของเว่ยเจ๋อหมิง เมื่อเกวียนวัวมาถึงทางเข้าอำเภอเหออัน นางก็รีบจ่ายเงินค่าโดยสารสำหรับสามคนจากนั้นจึงรีบพาน้องชายเดินตัวปลิวไปที่ร้านขายบะหมี่ทันที ในใจของนางตอนนี้หวังแค่ว่าคนผู้นั้นจะไม่ตามมาที่นี่อีก
เถียนซู่เจิงที่เห็นหลานสาวและหลานชายเดินจากไป นางจึงเอ่ยลาเว่ยเจ๋อหมิงแล้วรีบตามทั้งสองไปทันที
“อาเล็กทางนี้ ข้าสั่งบะหมี่ให้ท่านแล้ว”
เถียนสวี่หลันกวักมือเรียกอาเล็กของตน หลังจากที่ทั้งสามทานบะหมี่เสร็จพวกนางก็เดินไปที่ร้านขายของของบิดามารดาที่เปิดในอำเภอเหออัน
“ท่านพ่อท่านแม่พวกเรามาแล้ว”
เถียนห่าวซวนเป็นคนแรกที่ส่งเสียงออกไปก่อน เขารีบวิ่งตรงไปยังบิดาที่กำลังยืนคุยกับลูกค้าอยู่หน้าร้าน บิดาของเถียนสวี่หลันคือเถียนห่าวหยาง ลูกค้าที่มาซื้อของที่ร้านนี้มักจะเรียกเขาว่าเถ้าแก่เถียน ส่วนมารดาของนางคือหลี่ม่านหลีนางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของพ่อค้าหลี่
หลังจากที่พบรักกับบัณฑิตเถียนเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน ท่านตาท่านยายของเถียนสวี่หลันได้ยกร้านขายของแห่งนี้ให้เป็นสินเดิมแก่มารดาของนาง พวกท่านมีเงินเก็บอยู่ไม่น้อยจึงเกษียณตนเองกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมของตนในตำบลที่ไม่ห่างจากอำเภอเหออันเท่าใดนัก
“พวกเจ้ามาได้อย่างไร”
แม่นางหลี่ท่านแม่ของเถียนสวี่หลันเดินออกมาต้อนรับทั้งสามคนที่ยืนอยู่หน้าร้าน ถึงแม้นางจะอายุสามสิบกว่าปีแล้วแต่ใบหน้าของนางยังคงงดงาม บนใบหน้ามีริ้วรอยให้เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
สมัยก่อนนางเคยเป็นหญิงงามของอำเภอเหออัน ฐานะของนางสามารถแต่งให้กับคหบดีหรือแต่งเข้าจวนขุนนางได้เลย แต่นางกลับเลือกเถียนห่าวหยางเพียงเพราะแค่นางชอบพอในตัวเขาเท่านั้น
“ท่านแม่เราแค่มาเที่ยวเล่นเย็นๆ หน่อยเราก็จะกลับแล้ว จากที่นี่ไปถึงหมู่บ้านนั่งเกวียนวัวก็แค่ครึ่งชั่วยาม (1ชม.) ท่านอย่าได้เป็นห่วงเลย”
เถียนสวี่หลันตอบมารดาด้วยท่าทางออดอ้อน แม่นางหลี่พยักหน้ารับบุตรสาว ปกตินางกับสามีจะอาศัยห้องด้านหลังร้านป็นที่หลับนอน ในหนึ่งเดือนพวกเขาถึงจะปิดร้านสักสองสามวันเพื่อกลับไปเยี่ยมบ้านสักครั้ง
“อย่าเถลไถลไปที่อื่นเล่า รีบกลับบ้านรู้หรือไม่ ซู่เจิงข้าฝากพวกเขาด้วยนะ”
นางหันมาเอ่ยกับน้องสามีที่ยืนประหม่าอยู่ด้านข้าง นางไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านหนานซานเพียงแค่หนึ่งเดือนดูเหมือนน้องสามีผู้นี้จะดูเปลี่ยนไปไม่น้อย อีกทั้งความสัมพันธ์ของนางกับบุตรสาวคนโตก็ดูจะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย
“ไม่ต้องห่วงพี่สะใภ้ใหญ่ข้าจะดูแลพวกเขาเอง”
แม่นางหลี่พยักหน้า ทั้งสามคนหลังจากทักทายบิดามารดาเสร็จแล้ว ก็มุ่งหน้าเข้าสู่ถนนใจกลางอำเภอเหออันทันที
“อาเล็กท่านอยากได้อะไรหรือไม่ นานๆ ทีเราจะมีโอกาสเข้ามาเที่ยวเล่นในอำเภอสักครั้ง วันนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง”
เถียนสวี่หลันนำเงินติดตัวมาไม่น้อย เพราะท่านย่าเป็นคนให้นางเอาไว้เอง ถึงแม้ตระกูลเถียนจะไม่ได้ร่ำรวยเทียบเท่าคหบดีใหญ่ แต่พวกเขาก็ถือว่ารวยที่สุดในหมู่บ้านหนานซาน
“ไม่รู้สิ หลันเอ๋อข้าไม่มีอะไรที่อยากได้หรอก”
นางไม่มีเงินติดตัวแม้สักเหวิน นางจะสามารถซื้อสิ่งใดได้ ค่าโดยสารยังเป็นหลานสาวที่เป็นคนออกให้เลย
“ไม่มีหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าเลือกให้ท่านก็แล้วกัน”
เถียนสวี่หลันลากน้องชายและอาเล็กของนางเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ จนกระทั่งมาถึงถนนที่มีร้านขายตำราและเครื่องเขียนตั้งอยู่
“พวกท่านรออยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวข้ามา”
เถียนสวี่หลันเอ่ยกับทั้งสองอย่างอารมณ์ดี ทันทีที่นางก้าวเข้าไปในร้านเครื่องเขียน กลิ่นน้ำหมึกที่โชยมาทำให้นางรู้สึกว่าที่นี่ช่างเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้โดยแท้จริง
ผู้ดูแลร้านที่กำลังพูดคุยอยู่กับกลุ่มบัณฑิต เมื่อเขาเห็นสาวงามเดินเข้ามาในร้าน เขาก็รีบปรี่เข้าไปต้อนรับด้วยท่าทางเป็นกันเอง
“สวัสดีขอรับ ข้าเป็นผู้ดูแลร้านขายตำราแห่งนี้ ไม่ทราบว่าแม่นางกำลังมองหาสิ่งใดอยู่หรือ”
เถียนสวี่หลันพยักหน้าพร้อมทั้งส่งยิ้มให้กับผู้ดูแล ใบหน้าที่แสนงดงามของนางนั้นดูโดดเด่น จนทำให้เหล่าบัณฑิตที่อยู่ในร้านถึงกับหันมองนางเป็นตาเดียว อาจเป็นเพราะเถียนสวี่หลันไม่ค่อยได้มาที่อำเภอเหออัน จึงไม่มีผู้ใดรู้ว่านางเป็นใคร
“สวัสดีเจ้าค่ะท่านผู้ดูแล ข้ากำลังต้องการกระดาษสำหรับฝึกคัดตัวอักษรและตำราสำหรับผู้ที่เริ่มเรียนเขียนอ่าน ท่านสามารถแนะนำข้าได้หรือไม่”
เสียงหวานถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากสีดอกอิงเถา บัณฑิตที่อยู่ในร้านเครื่องเขียนต่างก็พร้อมใจกันสูดลมหายใจเข้าเสียงดัง นอกจากใบหน้าอันแสนงดงามแล้ว นางยังมีน้ำเสียงที่ไพเราะชวนฟังอีกด้วย ไม่คิดว่าในโลกใบนี้ยังจะมีสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมเช่นนี้อยู่อีก
ร่างสูงโปร่งของใครบางคน เดินเยื้องย่างลงมาจากบันไดชั้นสองของร้านขายตำรา ในมือของเขาถือพัดสีขาวโบกไปมาท่าทางดูเป็นบุรุษเจ้าสำราญ แต่เมื่อชายผู้นั้นได้เห็นใบหน้าของเถียนสวี่หลันเขาถึงกับชะงักไป
เถียนสวี่หลันเองก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้กำลังมีคนมากมายให้ความสนใจในตัวนาง เมื่อได้รับสิ่งของที่นางสั่งกับผู้ดูแลร้านแล้วนางจึงคิดที่จะจ่ายเงินแล้วรีบออกไปจากที่นี่
“ของที่นางซื้อทั้งหมดให้มาเก็บเงินกับข้า”
เสียงที่เถียนสวี่หลันจำได้ดีต่อให้นางเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งนางก็ไม่มีวันลืมได้ ซ่งหยางเฉิงเจ้าสารเลวที่หลอกให้นางต้องทรยศต่อเว่ยเจ๋อหมิง เขามาทำอันใดที่นี่ ร่างกายของนางแข็งทื่อไม่สามารถขยับไปไหนได้
ความรู้สึกเจ็บปวดจากการถูกทรมานอยู่นานหลายปีกำลังค่อยๆ กลับคืนมาอีกครั้ง ตอนนี้นางรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ทุกครั้งที่เสียงย่ำเท้าของเขาใกล้เข้ามา ใบหน้างามเริ่มซีดเผือดแผ่นหลังของนางตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่างบางสั่นเทาขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ความหวาดกลัวที่มีต่อเขามันได้หยั่งรากลึกลงไปในจิตใจของนางแล้ว
ภาพเหตุการณ์ในอดีตกำลังผุดขึ้นมาในหัวราวกับตัวนางกำลังถูกทรมานอยู่จริงๆ ก่อนที่ซ่งหยางเฉิงจะทันถึงตัวของเถียนสวี่หลัน ร่างสูงของใครบางคนก็เข้ามาขวางเอาไว้ก่อน
“เหตุใดเจ้าถึงใช้เวลานานเพียงนี้ มิใช่บอกว่าแค่มาซื้อกระดาษเท่านั้นหรือ อาเล็กกับน้องชายของเจ้ารออยู่ด้านนอก ออกไปก่อน ข้าจัดการทางนี้เอง”
เว่ยเจ๋อหมิงแตะที่หัวไหล่ของนางทำให้เถียนสวี่หลันได้สติกลับมา ร่างกายที่เคยสั่นเทาของนางหยุดลงเพียงแค่นางถูกเขาสัมผัสเบาๆ เท่านั้น เถียนสวี่หลันไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองหน้าเขา นางรีบเดินออกไปจากร้านขายตำราเหมือนกลัวว่าจะมีผู้ใดไล่ตามมา
ซ่งหยางเฉิงเห็นดังนั้นเขาก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจที่หญิงงามผู้นั้นหลุดมือตน เขาหันมาเล่นงานเว่ยเจ๋อหมิงทันทีที่ร่างบางหายลับไปจากสายตา
แม่นางหลี่กอดบุตรสาวเอาไว้ เถียนสวี่หลันเองก็วางมือจากพู่กันหันมากอดมารดาของตน“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ข้าสัญญา”หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป กลายเป็นตระกูลสวีที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ภายในเรือน แม้แต่สวีไคที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่กล้าออกมาสู้หน้าชาวบ้านอีกแล้ว เหตุเพราะบุตรสาวของตนทำเรื่องงามหน้าเอาไว้มากมายเช่นนั้นครบกำหนดห้าวันสวีไคได้นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาส่งให้เถียนสวี่หลันด้วยตนเอง ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่สวีไคก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะตอนนี้เขาไม่มีชาวบ้านหนานซานคอยหนุนหลังอีกแล้ว หากต้องการจะเล่นงานตระกูลเถียนถือว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขา“อาเล็กอาสะใภ้รอง พวกท่านกำลังจะไปที่ใดอย่างนั้นหรือ”เถียนสวี่หลันที่พึ่งออกมาจากห้อง เห็นสมาชิกทั้งสองของตระกูลเถียนกำลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินออกจากเรือนไป“หลายวันมานี้ฝนตกทุกวัน เรากำลังจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่ามีผักป่าขึ้นบ้างหรือไม่ เผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาทำอาหารเย็นบ้าง”เถียนสวี่หลันได้ยินเช่นนั้นนางก็นึกสนุกขึ้นมา นางเกิดมามีชีวิตถึงสองครั้งแต่กลับไม่เคยขึ้นไปบนเขาด้านหลังหมู
ท่าทางยืนก้มหน้าเท้าเขี่ยพื้นของนางตอนนี้ในสายตาของเว่ยเจ๋อหมิงมันช่างดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้สองสามเดือนเขาได้ยินจากเถียนซู่เจิงว่าอาการของนางไม่ค่อยดี ความรู้สึกเป็นห่วงนางแปลกๆ ก็เกิดขึ้นภายในใจของเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุเขาเองก็ไม่อยากยอมรับว่าตั้งแต่ที่นางแสดงอาการหวาดกลัวซ่งหยางเฉิงออกมาที่ร้านขายตำรา ในหัวของเขาก็มีแต่ภาพของนางและไม่สามารถสลัดมันให้หลุดออกไปได้ยิ่งได้ยินว่านางกำลังป่วยเขายิ่งรู้สึกเป็นห่วงและร้อนรน เขาอยากไปพบนางที่เรือนตระกูลเถียน แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ระหว่างเขาและนางเราสองคนมิได้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน แล้วเขาจะใช้เหตุผลใดเข้าไปเยี่ยมนางเล่า“หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ปล่อยแขนของข้าเสียที มิใช่ว่าเมื่อคืนข้าพูดกับเจ้าชัดเจนแล้วหรือ ต่อไปนี้ระหว่างเราไม่จำเป็นจะต้องพูดคุย เมื่อเจ้าพบข้าโดยบังเอิญเจ้าก็ทำเหมือนข้าเป็นอากาศเสีย”เถียนสวี่หลันดึงแขนของตนออกจากมือของเว่ยเจ๋อ หมิง ก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน เว่ยเจ๋อ หมิงมองมือที่ว่างเปล่าของตนไม่ต่างจากหัวใจของเขาที่เหมือนถูกฉีกกระชากเขาไม่รู้ว่าเหตุใดทุกครั้งที่เขาพยายามจะพูดคุยดีๆ กับนา
นักพรตหนุ่มที่สวีม่านนีเชิญมา จัดตั้งโต๊ะประกอบพิธีกรรมขับไล่ดวงวิญญาณทันที หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยุติการโต้เถียงกัน ชาวบ้านในอำเภอเหออันต่างก็รู้ดีเรื่องชื่อเสียงของนักพรตผู้นี้ ทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นพนมหลังจากที่เขาเริ่มบทสวดเสียงสวดภาวนาของเขาดังก้องไปทั่วหมู่บ้าน ทุกคนต่างเงียบเพื่อรอดูเหตุการณ์ต่อไป เถียนสวี่หลันที่เป็นตัวเอกยืนมองชาวบ้านที่มามุงดูด้วยสายตาเรียบเฉยแม้จะมีโอกาสได้มีชีวิตถึงสองครั้ง แต่เรื่องวุ่นวายทำนองนี้ก็ไม่ยอมหายไปจากชีวิตของนางเสียที นางจะต้องทำอย่างไรที่จะให้พวกเขายอมเลิกราไปแต่โดยดี เถียนสวี่หลันถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายผู้ช่วยที่ติดตามนักพรตมาด้วยเชือดไก่สองตัวเพื่อรีดเอาเลือดของมัน ทุกคนเห็นกับตาว่าไก่สองตัวนั้นดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดจนกระทั่งมันหยุดดิ้นเพราะถูกรีดเอาเลือดไปจนหมดตัวผู้ช่วยนำเลือดมาวางด้านหน้านักพรตหนุ่มที่ยืนกวัดแกว่งกระบี่ไม้ของตนที่หน้าปะรำพิธี นักพรตหนุ่มผู้นั้นยังคงหลับตาปากก็ไม่ยอมหยุดสวดภาวนา จนกระทั่งเขาใช้ยันต์แผนสี่เหลืองโยนขึ้นไปด้านบนพร้อมกัน สวีม่านนีที่ยืนมองอยู่ข้างสวีไคมองไปยังเถียนสวี่หลันที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อม ใบหน
เมื่อได้ยินเถียนสวี่หลันเอ่ยเช่นนั้น ชาวบ้านหนานซานทั้งหมดต่างก็มองไปที่หัวหน้าหมู่บ้านเป็นตาเดียว สวีไคมีท่าทีลังเลเล็กน้อย หากวันนี้เขาไม่ยอมรับผิดชอบคำพูดของตน ต่อไปคงจะไม่มีใครเชื่อถือในคำพูดของเขาอีกต่อไปแล้ว“ได้ เถียนสวี่หลันหากว่าเจ้ามิได้ถูกผีเข้า ข้าจะยอมจ่ายให้เจ้ายี่สิบตำลึงเป็นค่าทำขวัญ”เถียนสวี่หลันยกยิ้มมุมปาก ยี่สิบตำลึงอย่างนั้นหรือ เงินเพียงแค่นั้นยังไม่พอค่าจ้างและค่าเสียเวลาของข้าเลยสักนิด นางส่ายหน้าปฏิเสธ“หนึ่งร้อยตำลึง ไม่อย่างนั้นข้าจะไปแจ้งกับทางการว่าพวกเจ้าชาวบ้านหนานซานใส่ร้ายข้าและคิดจะบีบคั้นให้คนตระกูลเถียนของข้าออกไปจากหมู่บ้าน”“พวกเจ้าลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือ ว่าหลายคนที่นี่ต่างก็เช่าที่ดินของบ้านข้าทำนาอยู่ หากไม่อยากอดตายก็จงทำตามที่ข้าเรียกร้องซะ ไม่อย่างนั้น....ข้าจะให้ท่านปู่ขายที่ดินในหมู่บ้านหนานซานคืนให้ทางการ เมื่อถึงเวลานั้นค่าเช่าก็คงจะเป็นหกต่อสี่ อีกทั้งยังต้องจ่ายภาษีให้กับทางการอีก พวกเจ้าจงเลือกเอาว่าจะเลือกหนทางไหน”เถียนสวี่หลันยิ้มเยาะเย้ยสวีไค หากเขาไม่ทำตามความต้องการของนาง คนที่ถูกกดดันก็จะเป็นตัวเขาเอง ใครบ้างไม่รู้ว่าคนตระกูลเถ
“เราไปกันเถอะไปดูว่าวันนี้จะมีงิ้วอันใดให้ดูกัน”สองอาหลานเดินมาถึงหน้าเรือน ที่นั่นมีครอบครัวของนางรวมตัวอยู่กันครบนอกจากเถียนห่าวซวนที่ไปสำนักศึกษา เถียนสวี่หลันมองชาวบ้านที่มาชุมนุมที่หน้าเรือของนางทีละคน ก่อนที่จะไปหยุดที่สวีม่านนีที่ยืนอยู่หลบอยู่ด้านหลังบิดาของนาง“ท่านย่า ชาวบ้านเหล่านี้มาที่เรือนของเราด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ”เถียนสวี่หลันถามแม่เฒ่าจางด้วยใบหน้าใสซื่อ เหมือนนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้“จะอะไรเสียอีก ก็คนพวกนี้หาว่าหลันเอ๋อของย่าถูกผีเข้าน่ะสิ จึงได้พาซินแสมาที่นี่”หลังจากแม่เฒ่าจางเอ่ยจบคนตระกูลเถียนก็มายืนขวางระหว่างนางและชาวบ้านเอาไว้ เถียนสวี่หลันเห็นเช่นนั้นนางก็รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจทันทีเหตุใดชีวิตก่อนนางถึงมองไม่เห็นความรักความหวังดีที่พวกเขามีให้นางบ้างเลยนะ หลังจากที่ซ่งหยางเฉิงเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง นางก็รีบตามเขาไปไม่แม้แต่จะคิดติดต่อกลับมาที่ตระกูลเถียนอีกเลยนางนี่ช่างเป็นคนเลวที่ลืมแม้แต่บุญคุณของคนในครอบครัวที่รักและปกป้องนางมาทั้งชีวิต หรือว่าเรื่องที่เกิดกับนางทั้งหมดจะเป็นเวรกรรมที่นางสมควรได้รับกัน“แม่เฒ่าจาง ท่านอย่าปกป้องนา
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!!”เถียนสวี่หลันพยายามแกะมือใหญ่ที่กำลังลากตนด้วยท่าทางทุลักทุเล เพราะเว่ยเจ๋อหมิงที่ตัวสูงกว่าจึงทำให้ภาพออกมาเหมือนเขากำลังหิ้วเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งในมือ“เถียนสวี่หลันบอกมาซิว่าเจ้าเข้าไปทำอันใดในเรือนตระกูลสวี ข้านึกว่าหลายเดือนมานี้ที่เจ้าอยู่เงียบๆ เป็นเพราะว่าเจ้าคิดได้แล้ว แม้แต่อาเล็กของเจ้าก็ยังเอ่ยปากแทนว่านิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่การแสดงสินะ สุนัขที่เคยกินอาจมมันย่อมไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยได้ง่ายๆ”เถียนสวี่หลันหยุดดิ้นทันที ดวงตาแดงก่ำจ้องไปยังร่างสูงอย่างแข็งกร้าว คำพูดที่แสนดูถูกของเขาทำให้นางนึกถึงเรื่องราวในชีวิตก่อน ตอนที่นางยังไม่ได้ถูกตัดแขนขานางเคยถูกบ่าวรับใช้ในเรือนของซ่งหยางเฉิงรังแก พวกเขาทุกคนต่างประชดประชันนางว่าเป็นหมูบ้างล่ะ เป็นสุนัขที่กินอาจมบ้างล่ะคำพูดดูแคลนสารพัดต่างก็ถูกซัดสาดมาที่นาง หลังจากที่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเถียนสวี่หลันไม่คิดว่าตนจะมาได้ยินคำพูดดูถูกเหล่านั้นอีกครั้งดวงตากลมโตไหวระริก ความเจ็บปวดทั้งหลายปรากฏขึ้นในดวงตางาม เถียนสวี่หลันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ นางไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอต่







