Mag-log inเถียนซู่เจิงพยักหน้าตอบรับคำพูดของหลานสาว นางเหลือบตามองใบหน้าด้านข้างของสหายตนที่กำลังขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่เถียนสวีหลันเอ่ยทะลุกลางปล้องขึ้นมา เถียนสวี่หลันที่นั่งอยู่จนสุดม้านั่ง ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะมองออกไปด้านนอกเกวียนวัว
อาเล็กเองก็อยู่ที่นี่เขาคงไม่กล้าทำอันใดรุนแรงกับนางหรอกกระมัง เถียนสวี่หลันเอ่ยปลอบตนเองในใจ เว่ยเจ๋อหมิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเถียนสวี่หลันเอาแต่จ้องหน้านางอยู่เช่นเดิม
เขารู้สึกแปลกใจในพฤติกรรมของนางไม่น้อย หากในเวลาปกตินางคงจะเข้ามาประชิดตัวเขาแล้ว ยิ่งในสถานที่จำกัดพื้นที่เช่นเกวียนวัวนางยิ่งจะต้องฉวยโอกาสเพื่อเข้าหาเขาให้ได้
แต่นี่เกิดอันใดขึ้นกัน นางไม่เพียงไม่เข้าหาตน แต่นางถึงกับถอยออกไปจนสุดปลายม้านั่งเพื่ออยู่ให้ห่างจากเขาเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการมาตลอด แต่เหตุใดเขาจะต้องรู้สึกหงุดหงิดมากมายเพียงนี้
เถียนสวี่หลันไม่รู้ความคิดในใจของเว่ยเจ๋อหมิง เมื่อเกวียนวัวมาถึงทางเข้าอำเภอเหออัน นางก็รีบจ่ายเงินค่าโดยสารสำหรับสามคนจากนั้นจึงรีบพาน้องชายเดินตัวปลิวไปที่ร้านขายบะหมี่ทันที ในใจของนางตอนนี้หวังแค่ว่าคนผู้นั้นจะไม่ตามมาที่นี่อีก
เถียนซู่เจิงที่เห็นหลานสาวและหลานชายเดินจากไป นางจึงเอ่ยลาเว่ยเจ๋อหมิงแล้วรีบตามทั้งสองไปทันที
“อาเล็กทางนี้ ข้าสั่งบะหมี่ให้ท่านแล้ว”
เถียนสวี่หลันกวักมือเรียกอาเล็กของตน หลังจากที่ทั้งสามทานบะหมี่เสร็จพวกนางก็เดินไปที่ร้านขายของของบิดามารดาที่เปิดในอำเภอเหออัน
“ท่านพ่อท่านแม่พวกเรามาแล้ว”
เถียนห่าวซวนเป็นคนแรกที่ส่งเสียงออกไปก่อน เขารีบวิ่งตรงไปยังบิดาที่กำลังยืนคุยกับลูกค้าอยู่หน้าร้าน บิดาของเถียนสวี่หลันคือเถียนห่าวหยาง ลูกค้าที่มาซื้อของที่ร้านนี้มักจะเรียกเขาว่าเถ้าแก่เถียน ส่วนมารดาของนางคือหลี่ม่านหลีนางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของพ่อค้าหลี่
หลังจากที่พบรักกับบัณฑิตเถียนเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน ท่านตาท่านยายของเถียนสวี่หลันได้ยกร้านขายของแห่งนี้ให้เป็นสินเดิมแก่มารดาของนาง พวกท่านมีเงินเก็บอยู่ไม่น้อยจึงเกษียณตนเองกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมของตนในตำบลที่ไม่ห่างจากอำเภอเหออันเท่าใดนัก
“พวกเจ้ามาได้อย่างไร”
แม่นางหลี่ท่านแม่ของเถียนสวี่หลันเดินออกมาต้อนรับทั้งสามคนที่ยืนอยู่หน้าร้าน ถึงแม้นางจะอายุสามสิบกว่าปีแล้วแต่ใบหน้าของนางยังคงงดงาม บนใบหน้ามีริ้วรอยให้เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
สมัยก่อนนางเคยเป็นหญิงงามของอำเภอเหออัน ฐานะของนางสามารถแต่งให้กับคหบดีหรือแต่งเข้าจวนขุนนางได้เลย แต่นางกลับเลือกเถียนห่าวหยางเพียงเพราะแค่นางชอบพอในตัวเขาเท่านั้น
“ท่านแม่เราแค่มาเที่ยวเล่นเย็นๆ หน่อยเราก็จะกลับแล้ว จากที่นี่ไปถึงหมู่บ้านนั่งเกวียนวัวก็แค่ครึ่งชั่วยาม (1ชม.) ท่านอย่าได้เป็นห่วงเลย”
เถียนสวี่หลันตอบมารดาด้วยท่าทางออดอ้อน แม่นางหลี่พยักหน้ารับบุตรสาว ปกตินางกับสามีจะอาศัยห้องด้านหลังร้านป็นที่หลับนอน ในหนึ่งเดือนพวกเขาถึงจะปิดร้านสักสองสามวันเพื่อกลับไปเยี่ยมบ้านสักครั้ง
“อย่าเถลไถลไปที่อื่นเล่า รีบกลับบ้านรู้หรือไม่ ซู่เจิงข้าฝากพวกเขาด้วยนะ”
นางหันมาเอ่ยกับน้องสามีที่ยืนประหม่าอยู่ด้านข้าง นางไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านหนานซานเพียงแค่หนึ่งเดือนดูเหมือนน้องสามีผู้นี้จะดูเปลี่ยนไปไม่น้อย อีกทั้งความสัมพันธ์ของนางกับบุตรสาวคนโตก็ดูจะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย
“ไม่ต้องห่วงพี่สะใภ้ใหญ่ข้าจะดูแลพวกเขาเอง”
แม่นางหลี่พยักหน้า ทั้งสามคนหลังจากทักทายบิดามารดาเสร็จแล้ว ก็มุ่งหน้าเข้าสู่ถนนใจกลางอำเภอเหออันทันที
“อาเล็กท่านอยากได้อะไรหรือไม่ นานๆ ทีเราจะมีโอกาสเข้ามาเที่ยวเล่นในอำเภอสักครั้ง วันนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง”
เถียนสวี่หลันนำเงินติดตัวมาไม่น้อย เพราะท่านย่าเป็นคนให้นางเอาไว้เอง ถึงแม้ตระกูลเถียนจะไม่ได้ร่ำรวยเทียบเท่าคหบดีใหญ่ แต่พวกเขาก็ถือว่ารวยที่สุดในหมู่บ้านหนานซาน
“ไม่รู้สิ หลันเอ๋อข้าไม่มีอะไรที่อยากได้หรอก”
นางไม่มีเงินติดตัวแม้สักเหวิน นางจะสามารถซื้อสิ่งใดได้ ค่าโดยสารยังเป็นหลานสาวที่เป็นคนออกให้เลย
“ไม่มีหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าเลือกให้ท่านก็แล้วกัน”
เถียนสวี่หลันลากน้องชายและอาเล็กของนางเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ จนกระทั่งมาถึงถนนที่มีร้านขายตำราและเครื่องเขียนตั้งอยู่
“พวกท่านรออยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวข้ามา”
เถียนสวี่หลันเอ่ยกับทั้งสองอย่างอารมณ์ดี ทันทีที่นางก้าวเข้าไปในร้านเครื่องเขียน กลิ่นน้ำหมึกที่โชยมาทำให้นางรู้สึกว่าที่นี่ช่างเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้โดยแท้จริง
ผู้ดูแลร้านที่กำลังพูดคุยอยู่กับกลุ่มบัณฑิต เมื่อเขาเห็นสาวงามเดินเข้ามาในร้าน เขาก็รีบปรี่เข้าไปต้อนรับด้วยท่าทางเป็นกันเอง
“สวัสดีขอรับ ข้าเป็นผู้ดูแลร้านขายตำราแห่งนี้ ไม่ทราบว่าแม่นางกำลังมองหาสิ่งใดอยู่หรือ”
เถียนสวี่หลันพยักหน้าพร้อมทั้งส่งยิ้มให้กับผู้ดูแล ใบหน้าที่แสนงดงามของนางนั้นดูโดดเด่น จนทำให้เหล่าบัณฑิตที่อยู่ในร้านถึงกับหันมองนางเป็นตาเดียว อาจเป็นเพราะเถียนสวี่หลันไม่ค่อยได้มาที่อำเภอเหออัน จึงไม่มีผู้ใดรู้ว่านางเป็นใคร
“สวัสดีเจ้าค่ะท่านผู้ดูแล ข้ากำลังต้องการกระดาษสำหรับฝึกคัดตัวอักษรและตำราสำหรับผู้ที่เริ่มเรียนเขียนอ่าน ท่านสามารถแนะนำข้าได้หรือไม่”
เสียงหวานถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากสีดอกอิงเถา บัณฑิตที่อยู่ในร้านเครื่องเขียนต่างก็พร้อมใจกันสูดลมหายใจเข้าเสียงดัง นอกจากใบหน้าอันแสนงดงามแล้ว นางยังมีน้ำเสียงที่ไพเราะชวนฟังอีกด้วย ไม่คิดว่าในโลกใบนี้ยังจะมีสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมเช่นนี้อยู่อีก
ร่างสูงโปร่งของใครบางคน เดินเยื้องย่างลงมาจากบันไดชั้นสองของร้านขายตำรา ในมือของเขาถือพัดสีขาวโบกไปมาท่าทางดูเป็นบุรุษเจ้าสำราญ แต่เมื่อชายผู้นั้นได้เห็นใบหน้าของเถียนสวี่หลันเขาถึงกับชะงักไป
เถียนสวี่หลันเองก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้กำลังมีคนมากมายให้ความสนใจในตัวนาง เมื่อได้รับสิ่งของที่นางสั่งกับผู้ดูแลร้านแล้วนางจึงคิดที่จะจ่ายเงินแล้วรีบออกไปจากที่นี่
“ของที่นางซื้อทั้งหมดให้มาเก็บเงินกับข้า”
เสียงที่เถียนสวี่หลันจำได้ดีต่อให้นางเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งนางก็ไม่มีวันลืมได้ ซ่งหยางเฉิงเจ้าสารเลวที่หลอกให้นางต้องทรยศต่อเว่ยเจ๋อหมิง เขามาทำอันใดที่นี่ ร่างกายของนางแข็งทื่อไม่สามารถขยับไปไหนได้
ความรู้สึกเจ็บปวดจากการถูกทรมานอยู่นานหลายปีกำลังค่อยๆ กลับคืนมาอีกครั้ง ตอนนี้นางรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก ทุกครั้งที่เสียงย่ำเท้าของเขาใกล้เข้ามา ใบหน้างามเริ่มซีดเผือดแผ่นหลังของนางตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่างบางสั่นเทาขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ความหวาดกลัวที่มีต่อเขามันได้หยั่งรากลึกลงไปในจิตใจของนางแล้ว
ภาพเหตุการณ์ในอดีตกำลังผุดขึ้นมาในหัวราวกับตัวนางกำลังถูกทรมานอยู่จริงๆ ก่อนที่ซ่งหยางเฉิงจะทันถึงตัวของเถียนสวี่หลัน ร่างสูงของใครบางคนก็เข้ามาขวางเอาไว้ก่อน
“เหตุใดเจ้าถึงใช้เวลานานเพียงนี้ มิใช่บอกว่าแค่มาซื้อกระดาษเท่านั้นหรือ อาเล็กกับน้องชายของเจ้ารออยู่ด้านนอก ออกไปก่อน ข้าจัดการทางนี้เอง”
เว่ยเจ๋อหมิงแตะที่หัวไหล่ของนางทำให้เถียนสวี่หลันได้สติกลับมา ร่างกายที่เคยสั่นเทาของนางหยุดลงเพียงแค่นางถูกเขาสัมผัสเบาๆ เท่านั้น เถียนสวี่หลันไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองหน้าเขา นางรีบเดินออกไปจากร้านขายตำราเหมือนกลัวว่าจะมีผู้ใดไล่ตามมา
ซ่งหยางเฉิงเห็นดังนั้นเขาก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจที่หญิงงามผู้นั้นหลุดมือตน เขาหันมาเล่นงานเว่ยเจ๋อหมิงทันทีที่ร่างบางหายลับไปจากสายตา
เถียนสวี่หลันเอ่ยชื่อบุตรชายคนโตเสียงดังออกมาอย่างอ่อนใจ นางไม่รู้ว่าเด็กคนนี้หัวแข็งได้ใครกันแน่ ทั้งยังมีนิสัยชอบกลั่นแกล้งผู้อื่น ทั้งที่นางและพ่อของเขาไม่ได้มีนิสัยเช่นนี้เลยสักนิดเพียงแค่หนึ่งปีอาจารย์จั๋วก็เป็นอาจารย์คนที่ห้าของเขาแล้วที่ทำหน้าที่สอนหนังสือให้เว่ยซืออวิ๋น เพราะไม่มีอาจารย์คนไหนทนอยู่ได้เกินสามเดือนเลยสักคน“เอาล่ะๆ เจ้ากำลังท้องกำลังไส้ โมโหให้มันน้อยๆ หน่อย เรื่องอวิ๋นเอ๋อเดี๋ยวย่าจะช่วยพูดให้เอง”แม่เฒ่าจางเอ่ยออกมาด้วยท่าทางเอาอกเอาใจหลานสาว ห้าปีแล้วตั้งแต่ที่เถียนสวี่หลันและเว่ยเจ๋อหมิงย้ายกลับมาอยู่ที่ชิงโจว ครอบครัวของนางรวมทั้งองค์หญิงใหญ่ต่างก็อาศัยอยู่ร่วมกัน มีเพียงโสวฝู่ผู้เฒ่าเท่านั้นที่แยกตัวออกไปอยู่ข้างนอกแต่หลังจากที่เถียนสวี่หลันแต่งงานกับเว่ยเจ๋อหมิง นางก็ตั้งท้องอย่างรวดเร็วและคลอดเว่ยซืออวิ๋นออกมา เหล่าผู้อาวุโสก็กลับมารวมตัวกันเพื่อดูแลลูกให้นาง เพราะได้รับการตามใจมาตั้งแต่ยังเล็ก ลูกของนางเลยไม่เคยรู้จักเกรงกลัวผู้ใด“หลันเอ่อ เดือนหน้าเจ้าก็จะคลอดแล้ว เรื่องการเรียนของอวิ๋นเอ๋อก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ มีตาเฒ่าซ่างกวนอยู่ด้วยทั
“นี่สำหรับขาทั้งสองข้างของข้าที่เจ้าเคยเอาไป”เอ่ยจบนางก็ไม่คิดรอดูผลงานของตน แต่เดินหันหลังให้ภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แม้ว่าร่างกายนั้นจะไม่มีความผิด แต่ดวงวิญญาณที่อยู่ภายในมิใช่จ้าวจื่ออิงหากเจ้ากำลังดูอยู่ข้าจะไม่ขอโทษหรอกนะ เพราะที่ข้าเคยโดนกระทำมานั้นมันก็หนักหนาไม่ต่างกัน ลมเย็นสายหนึ่งพัดโชยมาที่ใบหน้าของนางเหมือนตั้งใจจะตอบรับคำพูดของเถียนสวี่หลัน จากนั้นไม่นานทุกอย่างภายในหุบเขาแห่งนั้นก็เงียบสงบลงเถียนสวี่หลันได้รับการช่วยเหลือและกลับมายังเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ทางด้านกองทัพของฮ่องเต้ที่ถูกส่งออกไปนั้น เข้าตียึดพื้นที่คืนได้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งฤดูเหมันต์ผ่านไป เดือนสองกองทัพทั้งหมดเดินทางกลับมายังเมืองหลวงพร้อมกับชัยชนะและตัวจวิ้นอ๋องที่เป็นหัวหน้าผู้คิดก่อการกบฏจวิ้นอ๋องถูกตัดสินให้ประหารชีวิตในข้อหาก่อกบฏอย่างไม่รอการไต่สวน เว่ยเจ๋อหมิง เถียนสวี่หลัน และชายชราที่ใครๆ ต่างก็คิดว่าเขาได้ถูกสังหารไปแล้วนั้น ยืนอยู่ตรงหน้าของชายวัยกลางคน ที่ไม่หลงเหลือความองอาจห้าวหาญเหมือนดั่งที่ผ่านมา“จงไปขอโทษท่านแม่ของข้าที่ท่านเคยกระทำผิดต่อนางในปรโลกเถอะ”เว่ยเจ๋อหมิงเอ่
ข่าวลือที่จวิ้นอ๋องซ่องสุมกำลังพลเพื่อก่อกบฏถูกปล่อยออกไปทั่วเมืองหลวง จากนั้นก็มีข่าวใหญ่เข้ามาอีกเรื่องคือ โสวฝู่ผู้เฒ่าถูกจวิ้นอ๋องสังหารจนเสียชีวิตแล้วในช่วงนี้มีแต่เหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นมากมายภายในแคว้นเยี่ยน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เจ้ากรมโยธายักยอกเงินงบประมาณการสร้างเขื่อนจนทำให้เขื่อนแตกน้ำท่วมปิ่งโจว รวมทั้งตระกูลจ้าวที่ลักลอบค้าเกลือและสมคบคิดกับโจรป่าเพื่อขัดขวางการช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมตอนนี้ยังมีเรื่องของจวิ้นอ๋องก่อการกบฏและโสวฝู่ผู้เฒ่าถูกลอบสังหารอีก ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็สามารถสั่นคลอนความมั่นคงของแคว้นเยี่ยนที่สืบทอดมานานหลายร้อยปีได้ ในบันทึกของราชวงศ์ไม่เคยเกิดเหตุการณ์มากมายเช่นนี้ขึ้นมาก่อนสงครามภายในที่กำลังจะปะทุครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างเห็นได้ชัดเจน เหล่าขุนนางที่เคยให้การสนับสนุนจวิ้นอ๋องต่างก็ปิดปากเงียบ ไม่ยอมออกมาว่าราชการที่ท้องพระโรงราวกับต้องการแสดงการต่อต้านให้อีกฝ่ายได้เห็นแม่ทัพที่ทำหน้าที่ปกป้องเมืองหลวงในครั้งนี้คือ แม่ทัพที่มาจากตระกูลเซียว ที่ผ่านมาพวกเขาทำตัวเป็นกลางมาตลอด ไม่เคยสนใจเข้ายุ่งเกี่ยวการเมืองของเหล่าขุนนาง ที่คอยแก่งแย
เถียนสวี่หลันที่ได้ยินเรื่องนี้นางก็ได้แต่อึ้งไป เรื่องทั้งหมดนี้น่าจะต้องเกิดขึ้นในอีกห้าปีข้างหน้ามิใช่หรือ แล้วเหตุใดทุกอย่างถึงได้เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ หรือว่าเป็นเพราะนางเปลี่ยนแปลงอนาคตที่จะเกิดขึ้น เถียนสวี่หลันรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ที่เรื่องราวทุกอย่างเริ่มไม่อยู่ในการควบคุมของนางการตัดสินโทษได้เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนตระกูลจ้าวกว่าร้อยชีวิตถูกคุมตัวไปที่ลานประหารพร้อมกันในยามซื่อ (9.00-11.00) แม้ตนเองและครอบครัวจะต้องตายในอีกไม่ช้า แต่เสนาบดีจ้าวกลับยังคงปิดปากเงียบไม่ยอมให้การซัดทอดผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเถียนสวี่หลันและเว่ยเจ่อหมิงพร้อมทั้งองครักษ์ผู้ติดตามยืนอยู่ในฝูงชน มองดูคนตระกูลจ้าวหัวหลุดออกจากบ่าทีละคน เถียนสวี่หลันมิได้แสดงสีหน้าใดใดออกมาแม้ว่านางจะเห็นฉากนองเลือดตรงหน้าก็ตามที สายตาของนางเหลือบมองไปรอบๆ เพื่อหาร่างที่คุ้นตาของใครบางคนจ้าวจื่ออิง!! นางอยู่ที่นั่นเอง ใบหน้าด้านข้างที่ยกยิ้มมุมปากบางๆ ทำให้เถียนสวี่หลันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย นางเห็นคนในครอบครัวของตนเองถูกประหารแต่กลับยิ้มออกมาอย่างนั้นหรือ นางใช่จ้าวจื่ออิงตัวจริงหรือไม่ แล้วเช่นนั้น
ครึ่งเดือนต่อมา เมื่อไม่มีอุปสรรคใดใดที่คอยขัดขวาง การเดินทางมายังปิ่งโจวเพื่อช่วยเหลือน้ำท่วมก็ผ่านไปได้ด้วยดี เถียนสวี่หลันได้พบหน้าคนรักของตนอีกครั้ง แต่ทั้งสองที่มัวแต่ยุ่งเรื่องที่ตนได้รับมอบหมายกลับไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังก่อนหน้านี้ ระหว่างทางที่เว่ยเจ๋อหมิงเดินทางมายังปิ่งโจวก็ได้มีมือสังหารติดตามมาก่อกวนเป็นระยะ แต่เขาก็สามารถเดินทางมาถึงจุดหมายได้อย่างราบรื่น เมื่ออพยพชาวเมืองขึ้นสู่ที่สูงและหลังจากเหตุการณ์เขื่อนแตก เว่ยเจ๋อหมิงที่ได้รับมอบอำนาจมาจากฮ่องเต้ก็ได้เปิดยุ้งฉางของเมืองปิ่งโจวเพื่อช่วยเหลือชาวเมืองระยะเวลาที่รอคอยความช่วยเหลือจากทางราชสำนักนั้น พอดีกับที่เสบียงในยุ้งฉางหมดไป ทุกคนต่างทำงานของตนอย่างขะมักเขม้นไม่มีใครกล้าเกี่ยงงานของตน เพราะผู้ที่ร่วมเดินทางมาช่วยเหลือในครั้งนี้ด้วยคือว่าที่ฮ่องเต้ในอนาคต เมื่อชาวเมืองได้รู้ว่าองค์รัชทายาทเดินทางมาด้วยตนเอง พวกเขาต่างก็สรรเสริญฮ่องเต้และราชวงศ์ด้วยความซาบซึ้งใจ“โอย!!! ข้าจะตายแล้ว เหนื่อยเหลือเกิน”เถียนสวี่หลันทิ้งตัวลงบนตั่งตัวยาวด้วยใบหน้าอิดโรย ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นทุกขณะ สายฝนก็ยังกระหน่ำตกล
“ปากดีไปเถอะ ใกล้ตายเมื่อใดอย่าได้มาคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องข้าให้ไว้ชีวิตพวกเจ้าแล้วกัน”เถียนสวี่หลันเอ่ยออกมาเสียงดังด้วยท่าทางมั่นใจ หัวหน้าโจรมองใบหน้างามด้วยความสงสัย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกตนมีคนมากกว่า แต่สิ่งใดกันที่ทำให้สตรีร่างบางผู้นี้มีความมั่นใจว่าตนเองจะรอดพ้นไปได้“หุบปากของเจ้าซะ!! เช่นนั้นก็มาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะต้องคุกเข่าร้องขอชีวิต”หัวหน้าโจรตะโกนออกมาด้วยท่าทีเดือดดาล ก่อนจะโบกมือสั่งให้ลูกน้องทั้งหมดเข้าจัดการทหารองครักษ์ที่ติดตามเถียนสวี่หลันมาแต่ก่อนที่คนสองกลุ่มจะได้ทันเข้าโรมรัน เสียงควบม้ามาจากทางด้านหลังก็ดังกระหึ่มขึ้น เยี่ยนหลงเฟิงองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเยี่ยนผู้สง่างาม พาทหารอีกห้าร้อยนายควบม้าตรงมายังกองคาราวานเกวียนของราชสำนักนี่เป็นความลับที่แม้แต่ทางขุนนางก็ยังไม่ทราบ มีเพียงเถียนสวี่หลันเท่านั้นที่ได้รู้แผนการของฮ่องเต้ เพราะอย่างนั้นจึงทำให้นางมั่นใจเป็นอย่างมากว่าตนเองจะต้องชนะในศึกครั้งนี้“เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะส่งสตรีตัวเล็กๆ เช่นข้า มาทำงานใหญ่ให้กับราชสำนักอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนว่ากุนซือของพวกเจ้านี่ก็ไม่เท่าไหร่นะ ลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้ก็ยังมองไม่ออก”







