LOGIN“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!!”
เถียนสวี่หลันพยายามแกะมือใหญ่ที่กำลังลากตนด้วยท่าทางทุลักทุเล เพราะเว่ยเจ๋อหมิงที่ตัวสูงกว่าจึงทำให้ภาพออกมาเหมือนเขากำลังหิ้วเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งในมือ
“เถียนสวี่หลันบอกมาซิว่าเจ้าเข้าไปทำอันใดในเรือนตระกูลสวี ข้านึกว่าหลายเดือนมานี้ที่เจ้าอยู่เงียบๆ เป็นเพราะว่าเจ้าคิดได้แล้ว แม้แต่อาเล็กของเจ้าก็ยังเอ่ยปากแทนว่านิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่การแสดงสินะ สุนัขที่เคยกินอาจมมันย่อมไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยได้ง่ายๆ”
เถียนสวี่หลันหยุดดิ้นทันที ดวงตาแดงก่ำจ้องไปยังร่างสูงอย่างแข็งกร้าว คำพูดที่แสนดูถูกของเขาทำให้นางนึกถึงเรื่องราวในชีวิตก่อน ตอนที่นางยังไม่ได้ถูกตัดแขนขานางเคยถูกบ่าวรับใช้ในเรือนของซ่งหยางเฉิงรังแก พวกเขาทุกคนต่างประชดประชันนางว่าเป็นหมูบ้างล่ะ เป็นสุนัขที่กินอาจมบ้างล่ะ
คำพูดดูแคลนสารพัดต่างก็ถูกซัดสาดมาที่นาง หลังจากที่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเถียนสวี่หลันไม่คิดว่าตนจะมาได้ยินคำพูดดูถูกเหล่านั้นอีกครั้ง
ดวงตากลมโตไหวระริก ความเจ็บปวดทั้งหลายปรากฏขึ้นในดวงตางาม เถียนสวี่หลันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ นางไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเขา
“ข้าจะเข้าไปทำอันใดมันก็เรื่องของข้า หากเจ้าคิดจะจับข้าส่งทางการก็จงตะโกนให้ชาวบ้านมาจับตัวข้าไปเสียเลยตอนนี้ แต่อย่าได้เอ่ยคำดูถูกเช่นนั้นออกมา ที่ข้าเป็นเช่นนี้ทั้งหมดเจ้าเองก็มีส่วนผิด หากเจ้าเคยใส่ใจข้าบ้างเลิกผลักใส่ข้าให้ออกห่าง ข้าก็คงไม่ต้องประสบชะตากรรมเช่นนั้น เจ้านั่นแหละที่ผิด!! เจ้าผิด!!”
เถียนสวี่หลันตะโกนใส่เว่ยเจ๋อหมิงเสียงดัง น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ก็พังทลายลงมาเหมือนกับหัวใจของนางที่ตอนนี้มันแสนจะเจ็บช้ำเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของเขา
“เว่ยเจ๋อหมิง จากนี้ไปเจ้าและข้าต่างคนต่างอยู่ ต่อให้พบเจอกันโดยบังเอิญก็ทำเหมือนข้าไร้ตัวตนซะ!!หัวใจของข้าที่เคยมอบให้เจ้าต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้ว”
เถียนสวี่หลันผลักร่างสูงให้ออกห่าง จากนั้นนางจึงวิ่งหนีไป ทิ้งเว่ยเจ๋อหมิงที่กำลังสับสนเอาไว้เบื้องหลัง หลังจากที่เถียนสวี่หลันจากไปแล้ว ร่างสูงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นนาน กว่าเขาจะได้สติกลับมา
ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนเขาก็เคยดุด่าเอ่ยคำพูดเช่นนี้กับนางมิใช่หรือ ตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรเถียนสวี่หลันก็ทำเหมือนไม่รู้สึกอันใด แต่ครั้งนี้เกิดสิ่งใดขึ้นกับนางกันแน่ ถึงได้ดูอ่อนไหวเช่นนี้
หัวใจของเว่ยเจ๋อหมิงรู้สึกวูบโหวงเหมือนเขากำลังจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญไป ความรู้สึกหงุดหงิดบางอย่างเกิดขึ้นภายในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของนาง
เถียนสวี่หลัน นางบอกว่านางจะเก็บหัวใจกลับคืนไปอย่างนั้นหรือ สุดท้ายแล้วก็ยังคิดที่จะเสแสร้งอยู่อีก ใครจะไปเชื่อเรื่องที่นางพูดกัน ไม่ใช่ว่าตลอดมานางต้องการแต่งงานให้เขาหรือ หากนางปล่อยมือเขาตอนนี้นางจะสามารถทำใจได้อย่างไร เขาไม่มีทางเชื่อคำพูดนั้นอยู่แล้ว สตรีร้ายกาจอย่างนางรู้จักแต่เพียงทำเรื่องที่น่าละอายเท่านั้น น่ารังเกียจนัก!! เว่ยเจ๋อหมิงสบถในใจอย่างหัวเสีย
หลังจากที่วิ่งหนีกลับมาที่เรือน เถียนสวี่หลันก็ยังไม่สามารถบังคับให้ตนเองหยุดร้องไห้ได้ นางรู้สึกชาหนึบที่หัวใจ หากไม่ต้องพบเจอกับเขานางก็ยังพอจะทำใจให้ไม่รู้สึกอันใดได้
แต่เมื่อได้พบเว่ยเจ๋อหมิงอีกครั้ง ภาพสุดท้ายที่เขาใช้เสื้อคลุมของเขาห่มให้ความอบอุ่นแก่นางและอุ้มนางเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนที่นางจะตาย มันยังคงวนเวียนติดอยู่ภายในใจ
“คนเลว จริงๆ แล้วเจ้าเป็นคนเช่นไรกันแน่ หากรู้ว่าข้ากำลังจะตายแล้วเจ้าทำเช่นไปเพื่ออันใด หรือเป็นความเวทนาสงสารครั้งสุดท้ายที่เจ้าหยิบยื่นให้อดีตภรรยาอย่างข้าเช่นนั้นหรือ ถ้าหากเป็นอย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องการ”
เถียนสวี่หลันมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยอารมณ์อ่อนไหว อาจเป็นเพราะนางได้พบเขาอีกครั้ง จึงทำให้นางไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้
เว่ยเจ๋อหมิงเองก็ไม่ต่างกัน เขากลับไปที่เรือนของตนด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจ แม่นางเซี่ยท่านแม่ของเขาที่นั่งคอยบุตรชายจนกระทั่งดึก รีบเดินมาเปิดประตูให้เขา
“หมิงเอ๋อเหตุใดกลับมาเสียมืดค่ำเพียงนี้เล่า แม่เป็นห่วงมากนะเห็นลูกกลับบ้านผิดเวลา ไม่มีเรื่องอันใดขึ้นกับลูกใช่หรือไม่”
แม่นางเซี่ยถามบุตรชายด้วยความห่วงใย เว่ยเจ่อหมิงส่ายหน้า ท่าทางของเขาดูเหม่อลอยก่อนจะเดินกลับเข้าห้องของตน แม่นางเซี่ยมองตามหลังบุตรชายไปด้วยสายตาเป็นห่วง หรือว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเขาจริงๆ
“หมิงเอ๋อก่อนนอนลูกออกมาทานอะไรสักหน่อยเถอะ แม่อุ่นอาหารเอาไว้ในครัวให้ลูกแล้ว”
แม่นางเซี่ยเคาะประตูเบาๆ เอ่ยกับบุตรชายคนโตก่อนที่จะกลับเข้าห้องของนางไป เว่ยเจ๋อหมิงเปลี่ยนชุดของสำนักศึกษาออกก่อนที่จะเข้าไปในครัว น้ำร้อนถูกต้มเอาไว้แล้วทั้งที่มารดาของเขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นก็ได้ แต่เขาก็รู้สึกขอบคุณที่นางดูแลเอาใจใส่เขามาตลอด แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตามที
เว่ยเจ๋อหมิงอาบน้ำที่หลังเรือนจากนั้นจึงทานข้าว วันนี้ลื้นของเขาแทบจะไม่รู้รสเลยว่าตนกินสิ่งใดเข้าไป ในหัวมีเพียงคำพูดของเถียนสวี่หลันวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา
“นางร้องไห้เพราะคำพูดของข้าอย่างนั้นหรือ สตรีที่แสนร้ายกาจผู้นั้นเนี่ยนะ”
เว่ยเจ๋อหมิงเข้านอนทั้งที่ภายในใจยังคงรู้สึกค้างคา บนเตียงเล็กเขาพลิกตัวไปมาทั้งคืนเพราะนอนไม่หลับ จนกระทั่งรุ่งสางได้ยินเสียงไก่ป่าขันดังแว่วอยู่ไกลๆ ร่างสูงจึงลุกขึ้นแต่งตัวโดยที่ยังไม่ได้หลับตานอนแม้สักนิด
เว่ยเจ๋อหมิงออกจากเรือนไปตั้งแต่ที่ดวงตะวันยังไม่ขึ้น ในระหว่างที่เขาเดินผ่านตระกูลเถียน สายตาก็อดชำเลืองมองไปยังห้องนอนของเถียนสวี่หลันมิได้ ตอนนี้นางคงยังไม่ตื่นสินะ
ในระหว่างที่สายตาคมมองอยู่นั้น หน้าต่างห้องของนางก็ถูกเปิดออก เว่ยเจ๋อหมิงที่ยืนอยู่หน้าเรือนตระกูลเถียนต้องรีบไปยืนแอบอยู่ด้านหลังต้นอู๋ถง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนมิได้ทำสิ่งใดผิด เขาก็รู้สึกเก้อเขินขึ้นมาทันที
“ข้ากำลังทำบ้าอันใดอยู่กันแน่เนี่ย”
เว่ยเจ๋อหมิงรีบออกมาจากด้านหลังต้นอู๋ถง ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปที่ทางเข้าหมู่บ้านเพื่อเดินทางไปยังสำนักศึกษา
หลังจากที่ได้พักผ่อนมาทั้งคืน เถียนสวี่หลันก็รู้สึกว่าอารมณ์ของตนกลับมามั่นคงอีกครั้ง นางไม่จำเป็นจะต้องไปใส่ใจเว่ยเจ๋อหมิงอีกต่อไป ในเมื่อชีวิตนี้นางไม่คิดที่จะข้องเกี่ยวกับเขาอีกแล้ว สิ่งที่นางควรใส่ใจในตอนนี้คือข่าวลือที่ถูกแพร่ออกไปในหมู่บ้านต่างหาก
ช่วงสายทุกคนในตระกูลเถียนต่างก็ทำภารกิจของตนดั่งเช่นทุกวันที่ผ่านมา เถียนห่าวซวนก็ไปสำนักศึกษาแล้ว วันนี้ท่านพ่อท่านแม่ก็จะกลับมาที่หมู่บ้านหนานซานเพราะถึงวันปิดร้านของทั้งสองคน
เถียนสวี่หลันนั่งคัดตัวอักษรอยู่ภายในห้อง ที่เตียงของนางก็มีอาเล็กที่กำลังปักผ้าเช็ดหน้าอยู่ เสียงโหวกเหวกดังขึ้นที่หน้าเรือนทำให้เถียนสวี่หลันวางมือจากพู่กัน
“ใครกันที่กล้ามาส่งเสียงดังอยู่ที่หน้าเรือนของเรา”
เถียนซู่เจิงเอ่ยกับหลานสาวที่กำลังนั่งอมยิ้มด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์ เถียนสวี่หลันลุกขึ้นยืนจัดชุดของตนเองที่ยับย่นให้เรียบร้อย ก่อนที่จะดึงอาเล็กของตนให้ไปดูเรื่องสนุก
แม่นางหลี่กอดบุตรสาวเอาไว้ เถียนสวี่หลันเองก็วางมือจากพู่กันหันมากอดมารดาของตน“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ข้าสัญญา”หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป กลายเป็นตระกูลสวีที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ภายในเรือน แม้แต่สวีไคที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่กล้าออกมาสู้หน้าชาวบ้านอีกแล้ว เหตุเพราะบุตรสาวของตนทำเรื่องงามหน้าเอาไว้มากมายเช่นนั้นครบกำหนดห้าวันสวีไคได้นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาส่งให้เถียนสวี่หลันด้วยตนเอง ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่สวีไคก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะตอนนี้เขาไม่มีชาวบ้านหนานซานคอยหนุนหลังอีกแล้ว หากต้องการจะเล่นงานตระกูลเถียนถือว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขา“อาเล็กอาสะใภ้รอง พวกท่านกำลังจะไปที่ใดอย่างนั้นหรือ”เถียนสวี่หลันที่พึ่งออกมาจากห้อง เห็นสมาชิกทั้งสองของตระกูลเถียนกำลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินออกจากเรือนไป“หลายวันมานี้ฝนตกทุกวัน เรากำลังจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่ามีผักป่าขึ้นบ้างหรือไม่ เผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาทำอาหารเย็นบ้าง”เถียนสวี่หลันได้ยินเช่นนั้นนางก็นึกสนุกขึ้นมา นางเกิดมามีชีวิตถึงสองครั้งแต่กลับไม่เคยขึ้นไปบนเขาด้านหลังหมู
ท่าทางยืนก้มหน้าเท้าเขี่ยพื้นของนางตอนนี้ในสายตาของเว่ยเจ๋อหมิงมันช่างดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้สองสามเดือนเขาได้ยินจากเถียนซู่เจิงว่าอาการของนางไม่ค่อยดี ความรู้สึกเป็นห่วงนางแปลกๆ ก็เกิดขึ้นภายในใจของเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุเขาเองก็ไม่อยากยอมรับว่าตั้งแต่ที่นางแสดงอาการหวาดกลัวซ่งหยางเฉิงออกมาที่ร้านขายตำรา ในหัวของเขาก็มีแต่ภาพของนางและไม่สามารถสลัดมันให้หลุดออกไปได้ยิ่งได้ยินว่านางกำลังป่วยเขายิ่งรู้สึกเป็นห่วงและร้อนรน เขาอยากไปพบนางที่เรือนตระกูลเถียน แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ระหว่างเขาและนางเราสองคนมิได้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน แล้วเขาจะใช้เหตุผลใดเข้าไปเยี่ยมนางเล่า“หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ปล่อยแขนของข้าเสียที มิใช่ว่าเมื่อคืนข้าพูดกับเจ้าชัดเจนแล้วหรือ ต่อไปนี้ระหว่างเราไม่จำเป็นจะต้องพูดคุย เมื่อเจ้าพบข้าโดยบังเอิญเจ้าก็ทำเหมือนข้าเป็นอากาศเสีย”เถียนสวี่หลันดึงแขนของตนออกจากมือของเว่ยเจ๋อ หมิง ก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน เว่ยเจ๋อ หมิงมองมือที่ว่างเปล่าของตนไม่ต่างจากหัวใจของเขาที่เหมือนถูกฉีกกระชากเขาไม่รู้ว่าเหตุใดทุกครั้งที่เขาพยายามจะพูดคุยดีๆ กับนา
นักพรตหนุ่มที่สวีม่านนีเชิญมา จัดตั้งโต๊ะประกอบพิธีกรรมขับไล่ดวงวิญญาณทันที หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยุติการโต้เถียงกัน ชาวบ้านในอำเภอเหออันต่างก็รู้ดีเรื่องชื่อเสียงของนักพรตผู้นี้ ทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นพนมหลังจากที่เขาเริ่มบทสวดเสียงสวดภาวนาของเขาดังก้องไปทั่วหมู่บ้าน ทุกคนต่างเงียบเพื่อรอดูเหตุการณ์ต่อไป เถียนสวี่หลันที่เป็นตัวเอกยืนมองชาวบ้านที่มามุงดูด้วยสายตาเรียบเฉยแม้จะมีโอกาสได้มีชีวิตถึงสองครั้ง แต่เรื่องวุ่นวายทำนองนี้ก็ไม่ยอมหายไปจากชีวิตของนางเสียที นางจะต้องทำอย่างไรที่จะให้พวกเขายอมเลิกราไปแต่โดยดี เถียนสวี่หลันถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายผู้ช่วยที่ติดตามนักพรตมาด้วยเชือดไก่สองตัวเพื่อรีดเอาเลือดของมัน ทุกคนเห็นกับตาว่าไก่สองตัวนั้นดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดจนกระทั่งมันหยุดดิ้นเพราะถูกรีดเอาเลือดไปจนหมดตัวผู้ช่วยนำเลือดมาวางด้านหน้านักพรตหนุ่มที่ยืนกวัดแกว่งกระบี่ไม้ของตนที่หน้าปะรำพิธี นักพรตหนุ่มผู้นั้นยังคงหลับตาปากก็ไม่ยอมหยุดสวดภาวนา จนกระทั่งเขาใช้ยันต์แผนสี่เหลืองโยนขึ้นไปด้านบนพร้อมกัน สวีม่านนีที่ยืนมองอยู่ข้างสวีไคมองไปยังเถียนสวี่หลันที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อม ใบหน
เมื่อได้ยินเถียนสวี่หลันเอ่ยเช่นนั้น ชาวบ้านหนานซานทั้งหมดต่างก็มองไปที่หัวหน้าหมู่บ้านเป็นตาเดียว สวีไคมีท่าทีลังเลเล็กน้อย หากวันนี้เขาไม่ยอมรับผิดชอบคำพูดของตน ต่อไปคงจะไม่มีใครเชื่อถือในคำพูดของเขาอีกต่อไปแล้ว“ได้ เถียนสวี่หลันหากว่าเจ้ามิได้ถูกผีเข้า ข้าจะยอมจ่ายให้เจ้ายี่สิบตำลึงเป็นค่าทำขวัญ”เถียนสวี่หลันยกยิ้มมุมปาก ยี่สิบตำลึงอย่างนั้นหรือ เงินเพียงแค่นั้นยังไม่พอค่าจ้างและค่าเสียเวลาของข้าเลยสักนิด นางส่ายหน้าปฏิเสธ“หนึ่งร้อยตำลึง ไม่อย่างนั้นข้าจะไปแจ้งกับทางการว่าพวกเจ้าชาวบ้านหนานซานใส่ร้ายข้าและคิดจะบีบคั้นให้คนตระกูลเถียนของข้าออกไปจากหมู่บ้าน”“พวกเจ้าลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือ ว่าหลายคนที่นี่ต่างก็เช่าที่ดินของบ้านข้าทำนาอยู่ หากไม่อยากอดตายก็จงทำตามที่ข้าเรียกร้องซะ ไม่อย่างนั้น....ข้าจะให้ท่านปู่ขายที่ดินในหมู่บ้านหนานซานคืนให้ทางการ เมื่อถึงเวลานั้นค่าเช่าก็คงจะเป็นหกต่อสี่ อีกทั้งยังต้องจ่ายภาษีให้กับทางการอีก พวกเจ้าจงเลือกเอาว่าจะเลือกหนทางไหน”เถียนสวี่หลันยิ้มเยาะเย้ยสวีไค หากเขาไม่ทำตามความต้องการของนาง คนที่ถูกกดดันก็จะเป็นตัวเขาเอง ใครบ้างไม่รู้ว่าคนตระกูลเถ
“เราไปกันเถอะไปดูว่าวันนี้จะมีงิ้วอันใดให้ดูกัน”สองอาหลานเดินมาถึงหน้าเรือน ที่นั่นมีครอบครัวของนางรวมตัวอยู่กันครบนอกจากเถียนห่าวซวนที่ไปสำนักศึกษา เถียนสวี่หลันมองชาวบ้านที่มาชุมนุมที่หน้าเรือของนางทีละคน ก่อนที่จะไปหยุดที่สวีม่านนีที่ยืนอยู่หลบอยู่ด้านหลังบิดาของนาง“ท่านย่า ชาวบ้านเหล่านี้มาที่เรือนของเราด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ”เถียนสวี่หลันถามแม่เฒ่าจางด้วยใบหน้าใสซื่อ เหมือนนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้“จะอะไรเสียอีก ก็คนพวกนี้หาว่าหลันเอ๋อของย่าถูกผีเข้าน่ะสิ จึงได้พาซินแสมาที่นี่”หลังจากแม่เฒ่าจางเอ่ยจบคนตระกูลเถียนก็มายืนขวางระหว่างนางและชาวบ้านเอาไว้ เถียนสวี่หลันเห็นเช่นนั้นนางก็รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจทันทีเหตุใดชีวิตก่อนนางถึงมองไม่เห็นความรักความหวังดีที่พวกเขามีให้นางบ้างเลยนะ หลังจากที่ซ่งหยางเฉิงเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง นางก็รีบตามเขาไปไม่แม้แต่จะคิดติดต่อกลับมาที่ตระกูลเถียนอีกเลยนางนี่ช่างเป็นคนเลวที่ลืมแม้แต่บุญคุณของคนในครอบครัวที่รักและปกป้องนางมาทั้งชีวิต หรือว่าเรื่องที่เกิดกับนางทั้งหมดจะเป็นเวรกรรมที่นางสมควรได้รับกัน“แม่เฒ่าจาง ท่านอย่าปกป้องนา
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!!”เถียนสวี่หลันพยายามแกะมือใหญ่ที่กำลังลากตนด้วยท่าทางทุลักทุเล เพราะเว่ยเจ๋อหมิงที่ตัวสูงกว่าจึงทำให้ภาพออกมาเหมือนเขากำลังหิ้วเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งในมือ“เถียนสวี่หลันบอกมาซิว่าเจ้าเข้าไปทำอันใดในเรือนตระกูลสวี ข้านึกว่าหลายเดือนมานี้ที่เจ้าอยู่เงียบๆ เป็นเพราะว่าเจ้าคิดได้แล้ว แม้แต่อาเล็กของเจ้าก็ยังเอ่ยปากแทนว่านิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่การแสดงสินะ สุนัขที่เคยกินอาจมมันย่อมไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยได้ง่ายๆ”เถียนสวี่หลันหยุดดิ้นทันที ดวงตาแดงก่ำจ้องไปยังร่างสูงอย่างแข็งกร้าว คำพูดที่แสนดูถูกของเขาทำให้นางนึกถึงเรื่องราวในชีวิตก่อน ตอนที่นางยังไม่ได้ถูกตัดแขนขานางเคยถูกบ่าวรับใช้ในเรือนของซ่งหยางเฉิงรังแก พวกเขาทุกคนต่างประชดประชันนางว่าเป็นหมูบ้างล่ะ เป็นสุนัขที่กินอาจมบ้างล่ะคำพูดดูแคลนสารพัดต่างก็ถูกซัดสาดมาที่นาง หลังจากที่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเถียนสวี่หลันไม่คิดว่าตนจะมาได้ยินคำพูดดูถูกเหล่านั้นอีกครั้งดวงตากลมโตไหวระริก ความเจ็บปวดทั้งหลายปรากฏขึ้นในดวงตางาม เถียนสวี่หลันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ นางไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอต่







