LOGIN“เราไปกันเถอะไปดูว่าวันนี้จะมีงิ้วอันใดให้ดูกัน”
สองอาหลานเดินมาถึงหน้าเรือน ที่นั่นมีครอบครัวของนางรวมตัวอยู่กันครบนอกจากเถียนห่าวซวนที่ไปสำนักศึกษา เถียนสวี่หลันมองชาวบ้านที่มาชุมนุมที่หน้าเรือของนางทีละคน ก่อนที่จะไปหยุดที่สวีม่านนีที่ยืนอยู่หลบอยู่ด้านหลังบิดาของนาง
“ท่านย่า ชาวบ้านเหล่านี้มาที่เรือนของเราด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ”
เถียนสวี่หลันถามแม่เฒ่าจางด้วยใบหน้าใสซื่อ เหมือนนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
“จะอะไรเสียอีก ก็คนพวกนี้หาว่าหลันเอ๋อของย่าถูกผีเข้าน่ะสิ จึงได้พาซินแสมาที่นี่”
หลังจากแม่เฒ่าจางเอ่ยจบคนตระกูลเถียนก็มายืนขวางระหว่างนางและชาวบ้านเอาไว้ เถียนสวี่หลันเห็นเช่นนั้นนางก็รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจทันที
เหตุใดชีวิตก่อนนางถึงมองไม่เห็นความรักความหวังดีที่พวกเขามีให้นางบ้างเลยนะ หลังจากที่ซ่งหยางเฉิงเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง นางก็รีบตามเขาไปไม่แม้แต่จะคิดติดต่อกลับมาที่ตระกูลเถียนอีกเลย
นางนี่ช่างเป็นคนเลวที่ลืมแม้แต่บุญคุณของคนในครอบครัวที่รักและปกป้องนางมาทั้งชีวิต หรือว่าเรื่องที่เกิดกับนางทั้งหมดจะเป็นเวรกรรมที่นางสมควรได้รับกัน
“แม่เฒ่าจาง ท่านอย่าปกป้องนางอีกเลย หากปล่อยเอาไว้เช่นนี้คนในหมู่บ้านจะอยู่อย่างไร พวกเขาทุกคนต่างก็หวาดกลัวนาง หากท่านไม่ให้ความร่วมมือเห็นทีว่าคนตระกูล เถียนคงจะอยู่ที่หมู่บ้านหนานซานไม่ได้อีกต่อไป”
สวีไค มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านและเป็นบิดาของสวีม่านนี เอ่ยออกมาอย่างไม่รักษาน้ำใจ ปกติเขาก็ไม่ค่อยชอบคนตระกูลเถียนอยู่แล้ว เพราะคิดว่าพวกเขาเย่อหยิ่งและไม่เคยเห็นหัวหน้าหมู่บ้านอย่างตนอยู่ในสายตา
“เจ้ากล้าหรือ”
บิดาของเถียนสวี่หลันเอ่ยขึ้น ในอดีตเขาเคยเป็นคู่แข่งในสำนักศึกษากับสวีไค ทั้งสองไม่เคยพูดจาดีๆ ต่อกันสักครั้งเมื่อยามที่พบหน้า ยามนี้เถียนห่าวหยางแทบจะยั้งตนเองไม่ให้ทำร้ายสวีไคเอาไว้ไม่ได้ เพราะเขาถึงกับกล้ามาแตะต้องบุตรสาวสุดที่รักของตน
“เถียนห่าวหยาง เจ้าคิดจะทำอันใด ตระกูลเถียนของเจ้าไม่คิดที่จะอยู่ในหมู่บ้านนี้แล้วอย่างนั้นหรือ เจ้าก็เห็นแล้วนี่ มิใช่ข้าที่กล่าวหาบุตรสาวของเจ้า แต่เป็นคนทั้งหมู่บ้าน”
สวีไคผายมือให้เถียนห่าวหยางดู เขาไม่อยากจะเชื่อบางคนเป็นคนที่เคยมายืมเงินเขา บางคนยังไม่ได้ชดใช้เงินที่ยืมด้วยซ้ำ แม้แต่สหายที่เคยมีมิตรภาพที่ดีต่อกันก็ยังมาที่นี่เพื่อขับไล่บุตรสาวของเขา เถียนห่าวหยางโมโหจนใบหน้าแดงก่ำ พวกหมาป่าตาขาวเลี้ยงไม่เชื่อง
เขาไม่น่าเห็นใจคนพวกนี้เพราะคิดว่าเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันเลย น่าจะปล่อยให้พวกเขาอดตายไปเสียให้หมด ทุกคนที่เคยพึ่งพาคนตระกูลเถียนต่างก็ยืนก้มหน้าไม่กล้าสบตาเพราะรู้สึกละอายใจ
เถียนสวีหลันที่เห็นบิดาโกรธแค้นแทนตน นางก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ ท่านพ่อของข้าช่างเก่งกาจสมกับใบหน้าที่หล่อเหลายิ่งนัก นางเดินออกมาจากด้านหลังคนตระกูลเถียนมายืนเคียงข้างบิดาตน ก่อนจะดึงแขนเสื้อของเขาให้ใจเย็นลง
“ท่านพ่อ เรื่องนี้ให้ข้าจัดการได้หรือไม่”
เถียนสวี่หลันส่งสายตาออดอ้อนเหมือนเด็กน้อยให้ผู้เป็นบิดา เถียนห่าวหยางมีหรือจะทนสายตาเช่นนั้นของบุตรสาวได้ เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะถอยออกไปยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลังกับภรรยา
“หัวหน้าหมู่บ้านสวีและชาวบ้านหนานซานทั้งหลาย พวกเจ้ามีหลักฐานหรือไม่ที่บอกว่าข้าถูกผีเข้า”
เถียนสวี่หลันไล่มองหน้าชาวบ้านทีละคน ที่มารวมตัวกันเพื่อกล่าวหานาง คนเหล่านั้นเอาแต่ก้มหน้าไม่มีใครกล้าสบตากับเถียนสวี่หลันแม่แต่คนเดียว
“ข้าขอถามพวกเจ้าสักหน่อยเถิด ว่าใครกันเป็นคนต้นคิดเชิญให้ซินแสมาที่นี่ หากว่าข้ามิได้ถูกผีเข้าอย่างในข่าวลือ พวกเจ้าคนใดจะออกมารับรับผิดชอบที่ทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง ข้าเป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรื่องหากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป พวกเจ้าไม่คิดหรือว่าอนาคตของข้าจะพังลงเพียงเพราะคำพูดพล่อยๆ ที่ออกมาจากปากของคนหมู่บ้านเดียวกันอย่างพวกเจ้า”
หลังจากที่เถียนสวี่หลันเอ่ยออกมาเช่นนั้น ชาวบ้านหนานซานบางส่วนต่างก็มีท่าทีลังเล พวกเขาหันไปพูดคุยกันว่าสิ่งที่เถียนสวี่หลันเอ่ยออกมานั้นก็ฟังดูมีเหตุผล สวีม่านนีเห็นชาวบ้านเริ่มคลอยตามคำพูดของเถียนสวี่หลันนางก็รู้สึกไม่ยินยอม
“พวกท่านทุกคนอย่าได้ถูกนางหลอกเอานะเจ้าคะ คนที่ยืนพูดอยู่กับพวกเราตรงนี้จะต้องมิใช่เถียนสวี่หลันแน่นอน นางจะต้องถูกวิญญาณร้ายสั่งให้พูดเพื่อที่พวกเราจะสามารถไล่นางไปไม่ได้”
สวีม่านนีเอ่ยออกมาอย่างร้อนใจ สิ่งที่นางพูดทำให้ชาวบ้านที่กำลังลังเลกลับมาเห็นด้วยอีกครั้ง เถียนสวี่หลันถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย เมื่อก่อนนางเคยเป็นอย่างไร ครั้งนี้นางก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
สวีม่านนี ความจริงข้าไม่คิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับเจ้าเลยในชีวิตนี้หากว่าเจ้าไม่มาหาเรื่องข้าก่อน ครั้งนี้แม้แต่พ่อของเจ้าเจ้าก็ดึงเขาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ได้!!ข้าจะเป็นผู้ให้บทเรียนที่ยากจะลืมเลือนแก่เจ้าเอง เถียนสวี่หลันเหลือบมองใบหน้าที่ค่อนข้างกลมของสวีม่านนีด้วยสายตาสมเพช ก่อนจะเอ่ยกับนาง
“แล้วนี่เจ้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ ข้าไม่ยักรู้ว่าเจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของคนในหมู่บ้านหนานซาน ใบหน้าอัปลักษณ์ยิ่งนักมิน่าเล่าข้าถึงได้จดจำเจ้ามิได้”
เถียนสวี่หลันกอดอกมองสวีม่านนีด้วยสายตาเย็นชา ทั้งยังเอ่ยคำพูดแทงใจดำในสิ่งที่นางไม่อยากได้ยินที่สุด สวีม่านนีโมโหคำพูดของเถียนสวี่หลันจนแทบกระอักเลือดออกมา
ข้าเป็นใครอย่างนั้นหรือ ข้าก็คือคนที่เจ้าเคยดูถูกมาตั้งแต่เด็กอย่างไรเล่า สวีม่านนีอยากจะกระโจนเข้าไปฉีกใบหน้าที่แสนเย่อหยิ่งนั่นทิ้งซะ เกิดมาหน้าตาดีกว่าผู้อื่นหน่อยเจ้าก็สามารถพูดดูถูกผู้อื่นได้อย่างนั้นหรือ นางกำหมัดใต้แขนเสื้อจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อเพื่อระงับโทสะของตน
ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรวันนี้เถียนสวี่หลันจะต้องจบเห่แน่ สวีม่านนีเอ่ยปลอบใจตนเองภายในใจ
“เอาล่ะ พูดคุยเรื่องไร้สาระมามากเกินพอแล้ว สวีไคเจ้าบอกมาว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบหากเรื่องที่พวกเจ้าพ่อลูกใส่ร้ายข้าไม่เป็นความจริง”
เถียนสวี่หลันไม่แม้แต่จะเอ่ยแสดงความเคารพแก่ชายวัยกลางคนที่อายุเท่าบิดาของตน แถมยังเอ่ยชื่อเขาออกมาตรงๆ ให้ชาวบ้านได้ยินอย่างไม่สะทกสะท้าน คนที่กล้ามาดูถูกบิดาของนางก็เหมือนตั้งตัวเป็นศัตรูกับนางด้วย
สวีไคที่ได้ยินดังนั้นเขาก็โมโหจนใบหน้าแดงก่ำ ติดที่ว่าที่นี่มีชาวบ้านอยู่มากเกินไป เขาจำเป็นต้องรักษาหน้าตาของตนเองเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงจัดการกับเด็กสาวที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงผู้นี้ไปแล้ว
เมื่อก่อนชาวบ้านในหมู่บ้านหนานซานต่างก็ให้ความเคารพเขา เพราะเขาเคยร่ำเรียนในสำนักศึกษาแห่งเดียวกันกับ เถียนห่าวหยาง ถึงแม้เขาจะสอบระดับถงเซิงไม่ผ่านก็ตามที แต่เขาก็ยังถือว่าเป็นผู้มีความรู้ในหมู่บ้านหนานซาน
“อย่าได้เฉไฉไปเรื่องอื่น ท่านซินแสมาอยู่ที่นี่แล้ว ต่อให้วันนี้เจ้ามีคนตระกูลเถียนคอยปกป้องก็ไม่มีทางรอดไปได้แน่ เถียนสวี่หลัน”
เถียนสวี่หลันเลิกคิวมองนักพรตผู้นั้นด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะหันกลับไปพูดกับสวีไคอีกครั้ง
“เจ้าจะเป็นผู้รับผิดชอบอย่างนั้นหรือ”
แม่นางหลี่กอดบุตรสาวเอาไว้ เถียนสวี่หลันเองก็วางมือจากพู่กันหันมากอดมารดาของตน“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ข้าสัญญา”หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป กลายเป็นตระกูลสวีที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ภายในเรือน แม้แต่สวีไคที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่กล้าออกมาสู้หน้าชาวบ้านอีกแล้ว เหตุเพราะบุตรสาวของตนทำเรื่องงามหน้าเอาไว้มากมายเช่นนั้นครบกำหนดห้าวันสวีไคได้นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาส่งให้เถียนสวี่หลันด้วยตนเอง ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่สวีไคก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะตอนนี้เขาไม่มีชาวบ้านหนานซานคอยหนุนหลังอีกแล้ว หากต้องการจะเล่นงานตระกูลเถียนถือว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขา“อาเล็กอาสะใภ้รอง พวกท่านกำลังจะไปที่ใดอย่างนั้นหรือ”เถียนสวี่หลันที่พึ่งออกมาจากห้อง เห็นสมาชิกทั้งสองของตระกูลเถียนกำลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินออกจากเรือนไป“หลายวันมานี้ฝนตกทุกวัน เรากำลังจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่ามีผักป่าขึ้นบ้างหรือไม่ เผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาทำอาหารเย็นบ้าง”เถียนสวี่หลันได้ยินเช่นนั้นนางก็นึกสนุกขึ้นมา นางเกิดมามีชีวิตถึงสองครั้งแต่กลับไม่เคยขึ้นไปบนเขาด้านหลังหมู
ท่าทางยืนก้มหน้าเท้าเขี่ยพื้นของนางตอนนี้ในสายตาของเว่ยเจ๋อหมิงมันช่างดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้สองสามเดือนเขาได้ยินจากเถียนซู่เจิงว่าอาการของนางไม่ค่อยดี ความรู้สึกเป็นห่วงนางแปลกๆ ก็เกิดขึ้นภายในใจของเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุเขาเองก็ไม่อยากยอมรับว่าตั้งแต่ที่นางแสดงอาการหวาดกลัวซ่งหยางเฉิงออกมาที่ร้านขายตำรา ในหัวของเขาก็มีแต่ภาพของนางและไม่สามารถสลัดมันให้หลุดออกไปได้ยิ่งได้ยินว่านางกำลังป่วยเขายิ่งรู้สึกเป็นห่วงและร้อนรน เขาอยากไปพบนางที่เรือนตระกูลเถียน แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ระหว่างเขาและนางเราสองคนมิได้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน แล้วเขาจะใช้เหตุผลใดเข้าไปเยี่ยมนางเล่า“หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ปล่อยแขนของข้าเสียที มิใช่ว่าเมื่อคืนข้าพูดกับเจ้าชัดเจนแล้วหรือ ต่อไปนี้ระหว่างเราไม่จำเป็นจะต้องพูดคุย เมื่อเจ้าพบข้าโดยบังเอิญเจ้าก็ทำเหมือนข้าเป็นอากาศเสีย”เถียนสวี่หลันดึงแขนของตนออกจากมือของเว่ยเจ๋อ หมิง ก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน เว่ยเจ๋อ หมิงมองมือที่ว่างเปล่าของตนไม่ต่างจากหัวใจของเขาที่เหมือนถูกฉีกกระชากเขาไม่รู้ว่าเหตุใดทุกครั้งที่เขาพยายามจะพูดคุยดีๆ กับนา
นักพรตหนุ่มที่สวีม่านนีเชิญมา จัดตั้งโต๊ะประกอบพิธีกรรมขับไล่ดวงวิญญาณทันที หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยุติการโต้เถียงกัน ชาวบ้านในอำเภอเหออันต่างก็รู้ดีเรื่องชื่อเสียงของนักพรตผู้นี้ ทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นพนมหลังจากที่เขาเริ่มบทสวดเสียงสวดภาวนาของเขาดังก้องไปทั่วหมู่บ้าน ทุกคนต่างเงียบเพื่อรอดูเหตุการณ์ต่อไป เถียนสวี่หลันที่เป็นตัวเอกยืนมองชาวบ้านที่มามุงดูด้วยสายตาเรียบเฉยแม้จะมีโอกาสได้มีชีวิตถึงสองครั้ง แต่เรื่องวุ่นวายทำนองนี้ก็ไม่ยอมหายไปจากชีวิตของนางเสียที นางจะต้องทำอย่างไรที่จะให้พวกเขายอมเลิกราไปแต่โดยดี เถียนสวี่หลันถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายผู้ช่วยที่ติดตามนักพรตมาด้วยเชือดไก่สองตัวเพื่อรีดเอาเลือดของมัน ทุกคนเห็นกับตาว่าไก่สองตัวนั้นดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดจนกระทั่งมันหยุดดิ้นเพราะถูกรีดเอาเลือดไปจนหมดตัวผู้ช่วยนำเลือดมาวางด้านหน้านักพรตหนุ่มที่ยืนกวัดแกว่งกระบี่ไม้ของตนที่หน้าปะรำพิธี นักพรตหนุ่มผู้นั้นยังคงหลับตาปากก็ไม่ยอมหยุดสวดภาวนา จนกระทั่งเขาใช้ยันต์แผนสี่เหลืองโยนขึ้นไปด้านบนพร้อมกัน สวีม่านนีที่ยืนมองอยู่ข้างสวีไคมองไปยังเถียนสวี่หลันที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อม ใบหน
เมื่อได้ยินเถียนสวี่หลันเอ่ยเช่นนั้น ชาวบ้านหนานซานทั้งหมดต่างก็มองไปที่หัวหน้าหมู่บ้านเป็นตาเดียว สวีไคมีท่าทีลังเลเล็กน้อย หากวันนี้เขาไม่ยอมรับผิดชอบคำพูดของตน ต่อไปคงจะไม่มีใครเชื่อถือในคำพูดของเขาอีกต่อไปแล้ว“ได้ เถียนสวี่หลันหากว่าเจ้ามิได้ถูกผีเข้า ข้าจะยอมจ่ายให้เจ้ายี่สิบตำลึงเป็นค่าทำขวัญ”เถียนสวี่หลันยกยิ้มมุมปาก ยี่สิบตำลึงอย่างนั้นหรือ เงินเพียงแค่นั้นยังไม่พอค่าจ้างและค่าเสียเวลาของข้าเลยสักนิด นางส่ายหน้าปฏิเสธ“หนึ่งร้อยตำลึง ไม่อย่างนั้นข้าจะไปแจ้งกับทางการว่าพวกเจ้าชาวบ้านหนานซานใส่ร้ายข้าและคิดจะบีบคั้นให้คนตระกูลเถียนของข้าออกไปจากหมู่บ้าน”“พวกเจ้าลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือ ว่าหลายคนที่นี่ต่างก็เช่าที่ดินของบ้านข้าทำนาอยู่ หากไม่อยากอดตายก็จงทำตามที่ข้าเรียกร้องซะ ไม่อย่างนั้น....ข้าจะให้ท่านปู่ขายที่ดินในหมู่บ้านหนานซานคืนให้ทางการ เมื่อถึงเวลานั้นค่าเช่าก็คงจะเป็นหกต่อสี่ อีกทั้งยังต้องจ่ายภาษีให้กับทางการอีก พวกเจ้าจงเลือกเอาว่าจะเลือกหนทางไหน”เถียนสวี่หลันยิ้มเยาะเย้ยสวีไค หากเขาไม่ทำตามความต้องการของนาง คนที่ถูกกดดันก็จะเป็นตัวเขาเอง ใครบ้างไม่รู้ว่าคนตระกูลเถ
“เราไปกันเถอะไปดูว่าวันนี้จะมีงิ้วอันใดให้ดูกัน”สองอาหลานเดินมาถึงหน้าเรือน ที่นั่นมีครอบครัวของนางรวมตัวอยู่กันครบนอกจากเถียนห่าวซวนที่ไปสำนักศึกษา เถียนสวี่หลันมองชาวบ้านที่มาชุมนุมที่หน้าเรือของนางทีละคน ก่อนที่จะไปหยุดที่สวีม่านนีที่ยืนอยู่หลบอยู่ด้านหลังบิดาของนาง“ท่านย่า ชาวบ้านเหล่านี้มาที่เรือนของเราด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ”เถียนสวี่หลันถามแม่เฒ่าจางด้วยใบหน้าใสซื่อ เหมือนนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้“จะอะไรเสียอีก ก็คนพวกนี้หาว่าหลันเอ๋อของย่าถูกผีเข้าน่ะสิ จึงได้พาซินแสมาที่นี่”หลังจากแม่เฒ่าจางเอ่ยจบคนตระกูลเถียนก็มายืนขวางระหว่างนางและชาวบ้านเอาไว้ เถียนสวี่หลันเห็นเช่นนั้นนางก็รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจทันทีเหตุใดชีวิตก่อนนางถึงมองไม่เห็นความรักความหวังดีที่พวกเขามีให้นางบ้างเลยนะ หลังจากที่ซ่งหยางเฉิงเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง นางก็รีบตามเขาไปไม่แม้แต่จะคิดติดต่อกลับมาที่ตระกูลเถียนอีกเลยนางนี่ช่างเป็นคนเลวที่ลืมแม้แต่บุญคุณของคนในครอบครัวที่รักและปกป้องนางมาทั้งชีวิต หรือว่าเรื่องที่เกิดกับนางทั้งหมดจะเป็นเวรกรรมที่นางสมควรได้รับกัน“แม่เฒ่าจาง ท่านอย่าปกป้องนา
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!!”เถียนสวี่หลันพยายามแกะมือใหญ่ที่กำลังลากตนด้วยท่าทางทุลักทุเล เพราะเว่ยเจ๋อหมิงที่ตัวสูงกว่าจึงทำให้ภาพออกมาเหมือนเขากำลังหิ้วเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งในมือ“เถียนสวี่หลันบอกมาซิว่าเจ้าเข้าไปทำอันใดในเรือนตระกูลสวี ข้านึกว่าหลายเดือนมานี้ที่เจ้าอยู่เงียบๆ เป็นเพราะว่าเจ้าคิดได้แล้ว แม้แต่อาเล็กของเจ้าก็ยังเอ่ยปากแทนว่านิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่การแสดงสินะ สุนัขที่เคยกินอาจมมันย่อมไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยได้ง่ายๆ”เถียนสวี่หลันหยุดดิ้นทันที ดวงตาแดงก่ำจ้องไปยังร่างสูงอย่างแข็งกร้าว คำพูดที่แสนดูถูกของเขาทำให้นางนึกถึงเรื่องราวในชีวิตก่อน ตอนที่นางยังไม่ได้ถูกตัดแขนขานางเคยถูกบ่าวรับใช้ในเรือนของซ่งหยางเฉิงรังแก พวกเขาทุกคนต่างประชดประชันนางว่าเป็นหมูบ้างล่ะ เป็นสุนัขที่กินอาจมบ้างล่ะคำพูดดูแคลนสารพัดต่างก็ถูกซัดสาดมาที่นาง หลังจากที่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเถียนสวี่หลันไม่คิดว่าตนจะมาได้ยินคำพูดดูถูกเหล่านั้นอีกครั้งดวงตากลมโตไหวระริก ความเจ็บปวดทั้งหลายปรากฏขึ้นในดวงตางาม เถียนสวี่หลันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ นางไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอต่







