LOGINเมื่อได้ยินเถียนสวี่หลันเอ่ยเช่นนั้น ชาวบ้านหนานซานทั้งหมดต่างก็มองไปที่หัวหน้าหมู่บ้านเป็นตาเดียว สวีไคมีท่าทีลังเลเล็กน้อย หากวันนี้เขาไม่ยอมรับผิดชอบคำพูดของตน ต่อไปคงจะไม่มีใครเชื่อถือในคำพูดของเขาอีกต่อไปแล้ว
“ได้ เถียนสวี่หลันหากว่าเจ้ามิได้ถูกผีเข้า ข้าจะยอมจ่ายให้เจ้ายี่สิบตำลึงเป็นค่าทำขวัญ”
เถียนสวี่หลันยกยิ้มมุมปาก ยี่สิบตำลึงอย่างนั้นหรือ เงินเพียงแค่นั้นยังไม่พอค่าจ้างและค่าเสียเวลาของข้าเลยสักนิด นางส่ายหน้าปฏิเสธ
“หนึ่งร้อยตำลึง ไม่อย่างนั้นข้าจะไปแจ้งกับทางการว่าพวกเจ้าชาวบ้านหนานซานใส่ร้ายข้าและคิดจะบีบคั้นให้คนตระกูลเถียนของข้าออกไปจากหมู่บ้าน”
“พวกเจ้าลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือ ว่าหลายคนที่นี่ต่างก็เช่าที่ดินของบ้านข้าทำนาอยู่ หากไม่อยากอดตายก็จงทำตามที่ข้าเรียกร้องซะ ไม่อย่างนั้น....ข้าจะให้ท่านปู่ขายที่ดินในหมู่บ้านหนานซานคืนให้ทางการ เมื่อถึงเวลานั้นค่าเช่าก็คงจะเป็นหกต่อสี่ อีกทั้งยังต้องจ่ายภาษีให้กับทางการอีก พวกเจ้าจงเลือกเอาว่าจะเลือกหนทางไหน”
เถียนสวี่หลันยิ้มเยาะเย้ยสวีไค หากเขาไม่ทำตามความต้องการของนาง คนที่ถูกกดดันก็จะเป็นตัวเขาเอง ใครบ้างไม่รู้ว่าคนตระกูลเถียนต่างก็เชื่อในคำพูดของเถียนสวี่หลัน หากนางบอกว่าให้ขายที่ดินมีหรือที่ปู่ของนางจะไม่ทำตาม
“หัวหน้าหมู่บ้านสวี....”
ชาวบ้านต่างก็เอ่ยขึ้นเพื่อกดดันสวีไคอย่างที่เถียนสวี่หลันคิด ถึงพวกเขาจะกลัวเรื่องที่หลานสาวตระกูลเถียนถูกผีเข้า แต่พวกเขากลัวว่าตนเองจะอดตายเสียมากกว่า ทุกคนที่นี่ต่างก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะมาที่นี่เพราะเหตุใด
“เจ้า!!”
สวีไคชี้หน้าเถียนสวี่หลันอย่างหมดหนทาง เขาไม่เคยรู้เลยว่าเด็กสาวอายุเพียงสิบห้าปีจะมีความคิดที่แสนเจ้าเล่ห์เพียงนี้ หากวันนี้เขาไม่ทำตามที่นางต้องการ ชีวิตของเขาในฐานะหัวหน้าหมู่บ้านที่ผู้คนนับถือคงจะจบลงในวันนี้ แต่หากว่าเขาทำตามข้อเรียกร้องของนาง เขาก็จะสูญเสียเงินหนึ่งร้อยตำลึงไป ไม่ว่าทางใดเขาก็ต้องเสียเปรียบให้นางอยู่ดี
“ท่านพ่อ”
สวีม่านนีดึงชายเสื้อของบิดาตนท่าทางร้อนรน นางกลัวว่าสวีไคจะล้มเลิกเรื่องที่จะให้ซินแสไล่วิญญาณร้ายออกไปจากเถียนสวี่หลัน นางอุตส่าห์ยอมควักเงินเก็บห้าตำลึงออกมาเพื่อการนี้ นางจะไม่ยอมขาดทุนเด็ดขาด จะอย่างไรวันนี้นางจะต้องจัดการเถียนสวี่หลันให้ได้
“ดี..วันนี้ข้าสวีไคจะทำให้ชาวบ้านหนานซานได้เห็นธาตุแท้ของพวกเจ้าคนตระกูลเถียนให้ได้”
เถียนสวี่หลันยิ้มหวานอย่างอารมณ์ดี
“ได้ เจ้ารับปากแล้วนะ เช่นนั้นก็นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงออกมาสิ หากในตัวข้ามีวิญญาณร้ายสิงอยู่จริงๆ พวกเราคนตระกูลเถียนจะย้ายออกไปจากอำเภอเหออันทันที จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่จนกว่าจะตาย”
เถียนสวี่หลันเอ่ยออกมาเสียงดังและเด็ดขาด ท่าทางของนางดูมั่นใจมากว่าตนเองมิได้ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ที่สวีไคยอมแตกหักกับคนตระกูลเถียนเช่นนี้เพราะเชื่อในคำพูดของบุตรสาว แต่ตอนนี้การแสดงออกของถียนสวี่หลันทำให้เขารู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“ข้าจะไปหาเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาจากที่ใดได้ในตอนนี้”
เถียนสวี่หลันหันไปทางอาเล็กของตน ก่อนจะกระซิบบอกกับนางบางอย่าง เถียนซู่เจิงวิ่งกลับไปที่ห้องของเถียนสวี่หลันเพียงไม่นานนางก็กลับมาพร้อมกับกระดาษและพู่กัน
“ของที่เจ้าต้องการอยู่ตรงนี้แล้ว”
เถียนสวี่หลันรับมาจากนางก่อนที่จะเขียนบางอย่างลงไปในกระดาษแผ่นนั้น เถียนสวี่หลันเป่าน้ำหมึกที่อยู่ในกระดาษให้แห้งก่อนที่จะยื่นให้สวีไค
ชาวบ้านที่พอจะอ่านหนังสือออกต่างก็มองเถียนสวี่หลันด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ นางสามารถเขียนให้ตัวหนังสืองดงามและอ่อนช้อยเช่นนี้ได้อย่างไร มิใช่ว่าเถียนสวี่หลันเขียนอ่านมิได้ไม่ใช่หรือ
แม้แต่ครอบครัวของนางเองก็ตกใจไม่แพ้กัน มีเพียงอาเล็กที่อยู่ข้างกายของนางตลอดเวลาเท่านั้นที่รู้ว่าหลานสาวของนางมุ่งมั่นอยู่กับการเรียนมากเพียงใด เถียนซู่เจิงมีท่าทางภูมิใจที่เห็นทุกคนมองมายังเถียนเสี่ยวหลันด้วยอาการตกตะลึง
“อ่านเสร็จแล้วก็จงลงลายมือชื่อซะสวีไค จะได้ให้นักพรตเริ่มทำพิธีเสียที วันนี้ข้ายังมีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก ไม่มีเวลามาเล่นงิ้วเข้าทรงเป็นเพื่อนพวกเจ้าพ่อลูกหรอกนะ”
เถียนสวี่หลันเอ่ยตรงไปตรงมาอย่างไร้ความเคารพชายวัยกลางคนตรงหน้า ในกระดาษที่นางยื่นให้เขาคือหนังสือสัญญากู้ยืมโดยเอาที่นาทั้งหมดของตระกูลสวีเข้าเป็นหลักประกัน หากเขาบิดพลิ้วไม่ยอมจ่ายเงินหนึ่งร้อยตำลึงภายในห้าวัน ที่นาทั้งหมดของเขาจะต้องตกเป็นของตระกูลเถียนทันที
สวีไคที่อ่านเนื้อหาในกระดาษจนจบก็มีท่าทีโมโหเป็นอย่างมาก เขาต้องการจัดการคนตระกูลเถียนก็จริง แต่เขาไม่ได้ต้องการนำทรัพย์สินทั้งหมดของตนมาเป็นหลักประกันเช่นนี้
“สิ่งที่เจ้าเขียนขึ้นมา ข้ามิอาจยอมรับได้”
“ไม่ยอมรับแล้วอย่างไร วันนี้เจ้าคนตระกูลสวีคิดว่าตนเองเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแล้วคิดจะทำสิ่งใดก็ได้อย่านั้นหรือ หรือว่าเจ้าไม่เห็นกฎหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตากันแน่ สวีไค หากวันนี้เจ้าไม่ยอมลงชื่อในกระดาษแผ่นนั้น ข้าจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องร้องต่อศาลให้ถอดถอนเจ้าออกจากการเป็นหัวหน้าหมู่บ้านซะ ข้อหาของเจ้าคือประพฤติมิชอบและลำเอียงในการปฏิบัติหน้าที่”
เมื่อได้ยินข้อกล่าวหาที่เถียนเสี่ยวหลันเอ่ยออกมา สวีไคถึงกับเข่าทรุด เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าการใส่ร้ายผู้อื่นว่าถูกผีสิงมันมีโทษหนักแค่ไหน ยิ่งเขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่ควรทำตัวเป็นกลาง แต่กลับปลุกระดมชาวบ้านให้มาบุกรุกเรือนตระกูลเถียน ถือว่ามีความผิดเพิ่มอีกหนึ่งกระทง ทำอย่างไรดี!! ตอนนี้เขาควรจะทำอย่างไรดี!!
“ท่านพ่อไม่ต้องห่วง นักพรตผู้นี้เป็นคนที่ข้าพามา”
สวีม่านนีแสร้งเข้าไปช่วยพยุงบิดา ก่อนที่นางจะกระซิบที่ข้างหูเขาเสียงเบา สวีไคที่ท่าทางสิ้นหวังก็ดวงตาลุกวาวขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินคำพูดของบุตรสาวของตน สองพ่อลูกพยักหน้าให้แก่กันเล็กน้อย ก่อนที่สวีไคจะยอมลงลายมือชื่อในกระดาษแผ่นนั้น เถียนสวี่หลันที่เห็นพ่อลูกส่งสัญญาณให้แก่กันนางก็แอบยกยิ้มอย่างพอใจ
“พวกเจ้าทุกคน ก็ประทับลายนิ้วมือเป็นพยานซะ”
เถียนสวี่หลันหันไปเอ่ยกับชาวบ้านที่มาชุมนุม เมื่อเห็นว่าแผนการที่ตนยั่วยุสวีไคกำลังไปได้ดี นางก็ได้แต่หัวเราะอยู่ภายในใจ คนโง่เขลาเหล่านี้ต้องได้รับการลงโทษ
แม่นางหลี่กอดบุตรสาวเอาไว้ เถียนสวี่หลันเองก็วางมือจากพู่กันหันมากอดมารดาของตน“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ข้าสัญญา”หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป กลายเป็นตระกูลสวีที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ภายในเรือน แม้แต่สวีไคที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่กล้าออกมาสู้หน้าชาวบ้านอีกแล้ว เหตุเพราะบุตรสาวของตนทำเรื่องงามหน้าเอาไว้มากมายเช่นนั้นครบกำหนดห้าวันสวีไคได้นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาส่งให้เถียนสวี่หลันด้วยตนเอง ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่สวีไคก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะตอนนี้เขาไม่มีชาวบ้านหนานซานคอยหนุนหลังอีกแล้ว หากต้องการจะเล่นงานตระกูลเถียนถือว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขา“อาเล็กอาสะใภ้รอง พวกท่านกำลังจะไปที่ใดอย่างนั้นหรือ”เถียนสวี่หลันที่พึ่งออกมาจากห้อง เห็นสมาชิกทั้งสองของตระกูลเถียนกำลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินออกจากเรือนไป“หลายวันมานี้ฝนตกทุกวัน เรากำลังจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่ามีผักป่าขึ้นบ้างหรือไม่ เผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาทำอาหารเย็นบ้าง”เถียนสวี่หลันได้ยินเช่นนั้นนางก็นึกสนุกขึ้นมา นางเกิดมามีชีวิตถึงสองครั้งแต่กลับไม่เคยขึ้นไปบนเขาด้านหลังหมู
ท่าทางยืนก้มหน้าเท้าเขี่ยพื้นของนางตอนนี้ในสายตาของเว่ยเจ๋อหมิงมันช่างดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้สองสามเดือนเขาได้ยินจากเถียนซู่เจิงว่าอาการของนางไม่ค่อยดี ความรู้สึกเป็นห่วงนางแปลกๆ ก็เกิดขึ้นภายในใจของเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุเขาเองก็ไม่อยากยอมรับว่าตั้งแต่ที่นางแสดงอาการหวาดกลัวซ่งหยางเฉิงออกมาที่ร้านขายตำรา ในหัวของเขาก็มีแต่ภาพของนางและไม่สามารถสลัดมันให้หลุดออกไปได้ยิ่งได้ยินว่านางกำลังป่วยเขายิ่งรู้สึกเป็นห่วงและร้อนรน เขาอยากไปพบนางที่เรือนตระกูลเถียน แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ระหว่างเขาและนางเราสองคนมิได้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน แล้วเขาจะใช้เหตุผลใดเข้าไปเยี่ยมนางเล่า“หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ปล่อยแขนของข้าเสียที มิใช่ว่าเมื่อคืนข้าพูดกับเจ้าชัดเจนแล้วหรือ ต่อไปนี้ระหว่างเราไม่จำเป็นจะต้องพูดคุย เมื่อเจ้าพบข้าโดยบังเอิญเจ้าก็ทำเหมือนข้าเป็นอากาศเสีย”เถียนสวี่หลันดึงแขนของตนออกจากมือของเว่ยเจ๋อ หมิง ก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน เว่ยเจ๋อ หมิงมองมือที่ว่างเปล่าของตนไม่ต่างจากหัวใจของเขาที่เหมือนถูกฉีกกระชากเขาไม่รู้ว่าเหตุใดทุกครั้งที่เขาพยายามจะพูดคุยดีๆ กับนา
นักพรตหนุ่มที่สวีม่านนีเชิญมา จัดตั้งโต๊ะประกอบพิธีกรรมขับไล่ดวงวิญญาณทันที หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยุติการโต้เถียงกัน ชาวบ้านในอำเภอเหออันต่างก็รู้ดีเรื่องชื่อเสียงของนักพรตผู้นี้ ทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นพนมหลังจากที่เขาเริ่มบทสวดเสียงสวดภาวนาของเขาดังก้องไปทั่วหมู่บ้าน ทุกคนต่างเงียบเพื่อรอดูเหตุการณ์ต่อไป เถียนสวี่หลันที่เป็นตัวเอกยืนมองชาวบ้านที่มามุงดูด้วยสายตาเรียบเฉยแม้จะมีโอกาสได้มีชีวิตถึงสองครั้ง แต่เรื่องวุ่นวายทำนองนี้ก็ไม่ยอมหายไปจากชีวิตของนางเสียที นางจะต้องทำอย่างไรที่จะให้พวกเขายอมเลิกราไปแต่โดยดี เถียนสวี่หลันถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายผู้ช่วยที่ติดตามนักพรตมาด้วยเชือดไก่สองตัวเพื่อรีดเอาเลือดของมัน ทุกคนเห็นกับตาว่าไก่สองตัวนั้นดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดจนกระทั่งมันหยุดดิ้นเพราะถูกรีดเอาเลือดไปจนหมดตัวผู้ช่วยนำเลือดมาวางด้านหน้านักพรตหนุ่มที่ยืนกวัดแกว่งกระบี่ไม้ของตนที่หน้าปะรำพิธี นักพรตหนุ่มผู้นั้นยังคงหลับตาปากก็ไม่ยอมหยุดสวดภาวนา จนกระทั่งเขาใช้ยันต์แผนสี่เหลืองโยนขึ้นไปด้านบนพร้อมกัน สวีม่านนีที่ยืนมองอยู่ข้างสวีไคมองไปยังเถียนสวี่หลันที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อม ใบหน
เมื่อได้ยินเถียนสวี่หลันเอ่ยเช่นนั้น ชาวบ้านหนานซานทั้งหมดต่างก็มองไปที่หัวหน้าหมู่บ้านเป็นตาเดียว สวีไคมีท่าทีลังเลเล็กน้อย หากวันนี้เขาไม่ยอมรับผิดชอบคำพูดของตน ต่อไปคงจะไม่มีใครเชื่อถือในคำพูดของเขาอีกต่อไปแล้ว“ได้ เถียนสวี่หลันหากว่าเจ้ามิได้ถูกผีเข้า ข้าจะยอมจ่ายให้เจ้ายี่สิบตำลึงเป็นค่าทำขวัญ”เถียนสวี่หลันยกยิ้มมุมปาก ยี่สิบตำลึงอย่างนั้นหรือ เงินเพียงแค่นั้นยังไม่พอค่าจ้างและค่าเสียเวลาของข้าเลยสักนิด นางส่ายหน้าปฏิเสธ“หนึ่งร้อยตำลึง ไม่อย่างนั้นข้าจะไปแจ้งกับทางการว่าพวกเจ้าชาวบ้านหนานซานใส่ร้ายข้าและคิดจะบีบคั้นให้คนตระกูลเถียนของข้าออกไปจากหมู่บ้าน”“พวกเจ้าลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือ ว่าหลายคนที่นี่ต่างก็เช่าที่ดินของบ้านข้าทำนาอยู่ หากไม่อยากอดตายก็จงทำตามที่ข้าเรียกร้องซะ ไม่อย่างนั้น....ข้าจะให้ท่านปู่ขายที่ดินในหมู่บ้านหนานซานคืนให้ทางการ เมื่อถึงเวลานั้นค่าเช่าก็คงจะเป็นหกต่อสี่ อีกทั้งยังต้องจ่ายภาษีให้กับทางการอีก พวกเจ้าจงเลือกเอาว่าจะเลือกหนทางไหน”เถียนสวี่หลันยิ้มเยาะเย้ยสวีไค หากเขาไม่ทำตามความต้องการของนาง คนที่ถูกกดดันก็จะเป็นตัวเขาเอง ใครบ้างไม่รู้ว่าคนตระกูลเถ
“เราไปกันเถอะไปดูว่าวันนี้จะมีงิ้วอันใดให้ดูกัน”สองอาหลานเดินมาถึงหน้าเรือน ที่นั่นมีครอบครัวของนางรวมตัวอยู่กันครบนอกจากเถียนห่าวซวนที่ไปสำนักศึกษา เถียนสวี่หลันมองชาวบ้านที่มาชุมนุมที่หน้าเรือของนางทีละคน ก่อนที่จะไปหยุดที่สวีม่านนีที่ยืนอยู่หลบอยู่ด้านหลังบิดาของนาง“ท่านย่า ชาวบ้านเหล่านี้มาที่เรือนของเราด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ”เถียนสวี่หลันถามแม่เฒ่าจางด้วยใบหน้าใสซื่อ เหมือนนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้“จะอะไรเสียอีก ก็คนพวกนี้หาว่าหลันเอ๋อของย่าถูกผีเข้าน่ะสิ จึงได้พาซินแสมาที่นี่”หลังจากแม่เฒ่าจางเอ่ยจบคนตระกูลเถียนก็มายืนขวางระหว่างนางและชาวบ้านเอาไว้ เถียนสวี่หลันเห็นเช่นนั้นนางก็รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจทันทีเหตุใดชีวิตก่อนนางถึงมองไม่เห็นความรักความหวังดีที่พวกเขามีให้นางบ้างเลยนะ หลังจากที่ซ่งหยางเฉิงเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง นางก็รีบตามเขาไปไม่แม้แต่จะคิดติดต่อกลับมาที่ตระกูลเถียนอีกเลยนางนี่ช่างเป็นคนเลวที่ลืมแม้แต่บุญคุณของคนในครอบครัวที่รักและปกป้องนางมาทั้งชีวิต หรือว่าเรื่องที่เกิดกับนางทั้งหมดจะเป็นเวรกรรมที่นางสมควรได้รับกัน“แม่เฒ่าจาง ท่านอย่าปกป้องนา
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!!”เถียนสวี่หลันพยายามแกะมือใหญ่ที่กำลังลากตนด้วยท่าทางทุลักทุเล เพราะเว่ยเจ๋อหมิงที่ตัวสูงกว่าจึงทำให้ภาพออกมาเหมือนเขากำลังหิ้วเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งในมือ“เถียนสวี่หลันบอกมาซิว่าเจ้าเข้าไปทำอันใดในเรือนตระกูลสวี ข้านึกว่าหลายเดือนมานี้ที่เจ้าอยู่เงียบๆ เป็นเพราะว่าเจ้าคิดได้แล้ว แม้แต่อาเล็กของเจ้าก็ยังเอ่ยปากแทนว่านิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่การแสดงสินะ สุนัขที่เคยกินอาจมมันย่อมไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยได้ง่ายๆ”เถียนสวี่หลันหยุดดิ้นทันที ดวงตาแดงก่ำจ้องไปยังร่างสูงอย่างแข็งกร้าว คำพูดที่แสนดูถูกของเขาทำให้นางนึกถึงเรื่องราวในชีวิตก่อน ตอนที่นางยังไม่ได้ถูกตัดแขนขานางเคยถูกบ่าวรับใช้ในเรือนของซ่งหยางเฉิงรังแก พวกเขาทุกคนต่างประชดประชันนางว่าเป็นหมูบ้างล่ะ เป็นสุนัขที่กินอาจมบ้างล่ะคำพูดดูแคลนสารพัดต่างก็ถูกซัดสาดมาที่นาง หลังจากที่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเถียนสวี่หลันไม่คิดว่าตนจะมาได้ยินคำพูดดูถูกเหล่านั้นอีกครั้งดวงตากลมโตไหวระริก ความเจ็บปวดทั้งหลายปรากฏขึ้นในดวงตางาม เถียนสวี่หลันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ นางไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอต่







