LOGINหลังจากที่ถูกปลดปล่อยจากความสิ้นหวัง เถียนสวี่หลันก็รู้สึกว่าวิญญาณของตนได้ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งได้ยินเสียงที่แสนคุ้นเคยและคิดถึงดังอยู่ไม่ไกล
“หลันเอ๋อ เปิดประตูให้ย่าหน่อย ย่ามีเรื่องจะคุยด้วย”
เถียนสวี่หลันลืมตาขึ้นด้วยท่าทางมึนงง ท่านย่าเรียกนางอย่างนั้นหรือ หรือว่าท่านย่าเองก็ตายแล้วเช่นกัน ไม่อย่างนั้นนางจะได้ยินเสียงของท่านย่าได้อย่างไร
เถียนสวี่หลันเดินตามเสียงเรียกไปที่ประตูห้องด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตมองสำรวจไปรอบๆ เหตุใดที่นี่ถึงได้ดูคุ้นตานัก หากมิใช่เรือนของนางที่หมู่บ้านหนานซานแล้วจะเป็นที่ใดได้
หัวใจของเถียนสวี่หลันกระตุกเบาๆ นางอยู่ที่บ้านของนางอย่างนั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไร สถานที่ที่นางอยากจะกลับมาที่สุดหลังจากที่ถูกจับขังเอาไว้ก็คือที่นี่
หัวใจที่แสนเย็นเยียบของเถียนสวี่หลันรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาทันที นางรีบเปิดประตูห้องเพื่อยืนยันความคิดตน
“ท่านย่า!!”
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก เถียนสวี่หลันก็พุ่งเข้าไปกอดหญิงชราผมสีดอกเลาที่ยืนทำหน้างงที่หน้าห้องของนางทันที ร่างบางในวัยสิบห้าร้องไห้สะอึกสะอื้นแทบจะขาดใจ จางสวีฮวาหรือแม่เฒ่าจางที่ใครๆ ในหมู่บ้านเรียก ตบแผ่นหลังบอบบางเบาๆ อย่างปลอบโยน นางทั้งตกใจและแปลกใจที่หลานสาวคนดีมีอาการเช่นนี้
นางไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ เหตุใดหลานสาวถึงได้ร้องห่มร้องไห้ด้วยท่าทางเศร้าโศกเช่นนี้ สองย่าหลานยืนกอดกันที่หน้าประตูห้องของเถียนสวี่หลันจนสมาชิกในเรือนต้องออกมาดู
“เกิดสิ่งใดขึ้นหรือ ใครทำอะไรหลันเอ๋อของเรากัน”
ท่านปู่เถียนตงชางอารองเถียนหลิวไห่รีบเดินเข้ามาดู บิดาและมารดาของเถียนสวี่หลันเปิดร้านขายของอยู่ไปในอำเภอ ทำให้ทั้งสองไม่ได้อยู่ที่เรือน
“พี่ใหญ่ใครกล้ารังแกท่านบอกข้ามา ข้าจะไปจัดการกับมันเอง”
เถียนห่าวซวนเจ้าอันธพาลน้อย น้องชายของเถียนสวี่หลันอายุเจ็ดขวบทำท่ายกกำปั้นขึ้น ใบหน้ากลมมนเหมือนซาลาเปาของเขาขยับไปมาทำให้มองดูแล้วน่าขันยิ่งนัก
เมื่อเถียนสวี่หลันเห็นหน้าน้องชายนางก็หัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ทุกคนในเรือนเห็นนางหัวเราะได้พวกเขาต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นางอารมณ์ดีขึ้นแล้ว
สำหรับคนตระกูลเถียน เถียนสวี่หลันถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของครอบครัว เพราะนางเกิดมาเป็นหลานคนโต แถมนางยังฉลาดเฉลียว ตอนที่นางคลอดท่านย่าของนางได้พานางไปทำบุญที่วัดประจำอำเภอ
ท่านเจ้าอาวาสได้ทักว่าเด็กทารกหญิงผู้นี้ ในอนาคตนางจะมีวาสนาที่ยิ่งใหญ่ แต่ก่อนหน้านั้นนางจะต้องพบกับชะตากรรมที่ยากลำบากแสนสาหัสเสียก่อน
ได้ยินดังนั้นคนตระกูลเถียนต่างก็ดีใจ จนลืมไปว่าสิ่งที่ท่านเจ้าอาวาสทำนายมิใช่เพียงแค่นางจะมีวาสนาที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่นางยังมีเคราะห์กรรมที่ที่แสนสาหัสที่ต้องผ่านมันไปให้ได้อีกด้วย
เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านหนานซาน แม่เฒ่าจางก็ออกไปป่าวประกาศเรื่องที่หลานสาวคนโตของตนถูกท่านเจ้าอาวาสวัดประจำอำเภอทำนายว่านางเป็นผู้มีบุญวาสนา
ผู้คนในหมู่บ้านบางคนก็เข้ามาแสดงความยินดีกับนางบางคนก็แสดงความอิจฉาฉายชัดออกมาทางสีหน้า แต่แม่เฒ่าจางไม่ได้สนใจเพราะนางกำลังฝันหวานถึงอนาคตที่มั่งคั่ง ที่หลานสาวสุดที่รักกำลังจะนำมาสู่ตระกูลเถียน
ตั้งแต่นั้นมาคนตระกูลเถียนก็เลี้ยงดูเถียนสวี่หลันไม่ต่างจากคุณหนูในจวนเศรษฐี พวกเขาไม่ปล่อยให้นางหยิบจับหรือทำงานที่อยู่ภายในเรือนแม้แต่นิดเดียว หน้าที่หลักของนางมีเพียงแต่งตัวงดงามไปวันๆ เท่านั้น
และคนที่ทำหน้าที่ดูแลรับใช้นางที่อยู่ในเรือนก็คืออาเล็กเถียนซู่เจิง บุตรสาวคนสุดท้องของแม่เฒ่าจางที่มีใบหน้าแสนธรรมดา เพราะเป็นอย่างนั้นจึงทำให้แม่เฒ่าจางไม่ค่อยชอบนางเท่าใดนัก
หากเทียบกับเถียนสวี่หลั่นที่มีผิวขาวผุดผ่องใบหน้าเรียวเล็ก คิ้ว ตา จมูก ปาก ที่รับกันเป็นอย่างดีทำให้นางแลดูงดงามตั้งแต่เด็กนั้น เมื่อเทียบกันแล้วเถียนซู่เจิงถือว่าเป็นสตรีที่มีใบหน้าธรรมดาที่เห็นได้ทั่วไป
ยิ่งเถียนสวี่หลันโตขึ้นมากเท่าไหร่ ความงามของนางก็ยิ่งฉายชัดออกมาให้เห็น เรื่องที่ท่านจ้าวอาวาสเคยทำนายก็เริ่มที่เข้าเค้าขึ้นไปทุกที เพราะถูกเอาอกเอาใจมาตั้งแต่ยังเล็กทำให้นางกลายเป็นคนเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัว
ทุกครั้งที่ไม่ได้ดั่งใจหรือมีใครมาทำให้เกิดโทสะ นางก็มักจะมาลงที่อาเล็กที่อายุมากกว่านางสองปี เพราะต้องดูแลเถียนสวี่หลันทำให้เถียนซู่เจิงไม่ได้แต่งงานออกเรือนเสียที ทั้งที่อายุของนางจะสิบแปดแล้ว
ไม่มีใครในเรือนสนใจเรื่องการแต่งงานของนาง เพราะทุกคนต่างก็พุ่งความสนใจไปที่เถียนสวี่หลันเพียงคนเดียว
“อาเล็ก”
เถียนสวี่หลันสงบสติอารมณ์ของตนได้แล้ว ดวงตาแดงก่ำมองไปยังสตรีใบหน้าธรรมดาที่ยืนอยู่ไม่ไกล สตรีที่ดูแลนางมาหลายปีผู้นี้นางไม่เปลี่ยนไปเลย แม้แต่ชุดของนางที่ใส่ก็มีแต่รอยปะชุน เถียนซู่เจิงที่อาศัยอยู่ในตระกูลเถียนเป็นคนที่มีฐานะต่ำต้อยที่สุดในบ้าน แม้แต่แม่เฒ่าจางผู้เป็นมารดาก็ไม่เคยเหลือบแลนางเลยสักครั้ง
“อาเล็ก...ข้าขอโทษ ขอโทษที่หลายปีมานี้ข้าเอาแต่ใจตัวเอง ขอโทษที่ข้ารังแกท่านมาตลอด ข้าขอโทษจริงๆ”
เถียนสวี่หลันกอดเถียนซู่เจิงอย่างไม่นึกรังเกียจ ปากก็พร่ำบ่นว่าขอโทษไม่หยุด เถียนซู่เจิงที่ถูกกระทำเช่นนั้นอย่างกะทันหันนางก็ทำสิ่งใดไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อปล่อยให้เถียนสวี่หลันกอด
ปกติแล้วหลานสาวผู้นี้ของนางมักจะเป็นคนที่เย่อหยิ่งและโมโหร้าย นางชอบดูถูกตนเองเรื่องหน้าตาและการแต่งตัว บางครั้งนางก็จะดุด่าเถียนซู่เจิงว่านางนั้นดูสกปรกจนทำให้นางไม่อยากเข้าใกล้
แต่วันนี้มันเกิดสิ่งใดขึ้นกับนางกันแน่ หญิงสาวผู้ที่ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตากลับกล่าวคำขอโทษตนออกมาทั้งน้ำตา เถียนซู่เจิงสัมผัสได้ว่าเถียนสวี่หลันมิได้เสแสร้งแกล้งทำ คำขอโทษของนางมันออกมาจากใจของนางจริงๆ
“หลันเอ๋อ ข้าไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้ากันแน่ แต่ที่ผ่านมาข้าไม่ถือโทษหรือโกรธเคืองเจ้าเลย อาจจะเคยมีน้อยใจบ้าง แต่ข้าก็ไม่ได้ถือสาในสิ่งที่เจ้าเคยทำกับข้าก่อนหน้านี้”
เถียนซู่เจิงตบแผ่นหลังบอบบางของนางเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบโยน แต่เถียนสวี่หลันปล่อยวางจากเรื่องนี้มิได้ ถึงแม้อาเล็กของนางจะยอมให้อภัยก็ตาม
เมื่อชาติก่อนนางเคยผลักอาเล็กคนนี้เข้าสู่กองไฟ ทำให้นางต้องตายไปอย่างเดียวดาย แม้แต่คนตระกูลเถียนก็ไม่มีใครสนใจนาง ทุกอย่างเป็นเพราะคำพูดของเถียนสวี่หลันคนเดียว
ตอนอายุสิบหก หลังจากที่นางแต่งให้เว่ยเจ๋อหมิงได้สำเร็จ นางจึงย้ายไปอยู่ที่เรือนตระกูลเว่ย แต่เว่ยเจ๋อหมิงกลับไม่ยอมนอนห้องเดียวกับนาง เขาย้ายไปนอนกับเว่ยหลี่หนานน้องชายของเขา เรื่องนั้นทำให้เถียนสวี่หลันโมโหเป็นอย่างมาก นางจึงกลับบ้านเดิมไปฟ้องครอบครัวของตน
ระหว่างทางนางเห็นสามีที่ไม่ยินยอมนอนห้องเดียวกับตน แต่เขากลับไปพูดคุยกับเถียนซู่เจิงสตรีที่นางเคยดูถูกและต่อว่าว่าเป็นหญิงอัปลักษณ์ เรื่องนั้นทำให้เถียนสวี่หลันรู้สึกเสียหน้านางจึงปรี่เข้าไปทำร้ายเถียนซู่เจิงทันที เว่ยเจ๋อหมิงที่เป็นคนกลางเข้ามาขวางนางและเผลอผลักนางจนล้ม นั่นยิ่งทำให้เถียนสวี่หลันโมโหมากกว่าเดิม
นางกลับไปฟ้องครอบครัวบ้านเดิมเรื่องที่เถียนซู่เจิงยั่วยวนเว่ยเจ๋อหมิง ทุกคนต่างก็เข้าข้างเถียนสวี่หลันและเชื่อในสิ่งที่นางพูด โดยที่ไม่ฟังคำอธิบายของเถียนซู่เจิงเลยสักคน
แม้แต่เว่ยเจ๋อหมิงที่ออกตัวยืนยันความบริสุทธิ์ให้นางก็ไม่มีใครสนใจ นั่นยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยเจ๋อหมิงและเถียนสวี่หลันเกิดรอยแยกที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
วันต่อมาเถียนซู่เจิงก็ถูกขายให้พ่อหม้ายขาเป๋ต่างหมู่บ้านที่อายุสี่สิบ ชายผู้นั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือในเรื่องชอบทำร้ายตบตีภรรยา ที่ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ก็เพราะคำยุยงของเถียนสวี่หลัน นางต้องการแก้แค้นอาเล็กของตนจนทำผิดพลาดอย่างมหันต์
ผ่านไปเพียงแค่ไม่นานนางก็ได้ข่าวว่าเถียนซู่เจิงถูกพ่อหม้ายขาเป๋ทำร้ายจนเสียชีวิต แต่เพราะความโกรธที่ยังคงเหลืออยู่ในใจ ทำให้นางบอกท่านย่าว่าบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดทิ้ง นางได้ตายไปแล้วอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวจนนำสิ่งอัปมงคลกลับมาที่เรือนตระกูลเถียน
แม่นางหลี่กอดบุตรสาวเอาไว้ เถียนสวี่หลันเองก็วางมือจากพู่กันหันมากอดมารดาของตน“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ข้าสัญญา”หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป กลายเป็นตระกูลสวีที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ภายในเรือน แม้แต่สวีไคที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่กล้าออกมาสู้หน้าชาวบ้านอีกแล้ว เหตุเพราะบุตรสาวของตนทำเรื่องงามหน้าเอาไว้มากมายเช่นนั้นครบกำหนดห้าวันสวีไคได้นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาส่งให้เถียนสวี่หลันด้วยตนเอง ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่สวีไคก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะตอนนี้เขาไม่มีชาวบ้านหนานซานคอยหนุนหลังอีกแล้ว หากต้องการจะเล่นงานตระกูลเถียนถือว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขา“อาเล็กอาสะใภ้รอง พวกท่านกำลังจะไปที่ใดอย่างนั้นหรือ”เถียนสวี่หลันที่พึ่งออกมาจากห้อง เห็นสมาชิกทั้งสองของตระกูลเถียนกำลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินออกจากเรือนไป“หลายวันมานี้ฝนตกทุกวัน เรากำลังจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่ามีผักป่าขึ้นบ้างหรือไม่ เผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาทำอาหารเย็นบ้าง”เถียนสวี่หลันได้ยินเช่นนั้นนางก็นึกสนุกขึ้นมา นางเกิดมามีชีวิตถึงสองครั้งแต่กลับไม่เคยขึ้นไปบนเขาด้านหลังหมู
ท่าทางยืนก้มหน้าเท้าเขี่ยพื้นของนางตอนนี้ในสายตาของเว่ยเจ๋อหมิงมันช่างดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้สองสามเดือนเขาได้ยินจากเถียนซู่เจิงว่าอาการของนางไม่ค่อยดี ความรู้สึกเป็นห่วงนางแปลกๆ ก็เกิดขึ้นภายในใจของเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุเขาเองก็ไม่อยากยอมรับว่าตั้งแต่ที่นางแสดงอาการหวาดกลัวซ่งหยางเฉิงออกมาที่ร้านขายตำรา ในหัวของเขาก็มีแต่ภาพของนางและไม่สามารถสลัดมันให้หลุดออกไปได้ยิ่งได้ยินว่านางกำลังป่วยเขายิ่งรู้สึกเป็นห่วงและร้อนรน เขาอยากไปพบนางที่เรือนตระกูลเถียน แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ระหว่างเขาและนางเราสองคนมิได้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน แล้วเขาจะใช้เหตุผลใดเข้าไปเยี่ยมนางเล่า“หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ปล่อยแขนของข้าเสียที มิใช่ว่าเมื่อคืนข้าพูดกับเจ้าชัดเจนแล้วหรือ ต่อไปนี้ระหว่างเราไม่จำเป็นจะต้องพูดคุย เมื่อเจ้าพบข้าโดยบังเอิญเจ้าก็ทำเหมือนข้าเป็นอากาศเสีย”เถียนสวี่หลันดึงแขนของตนออกจากมือของเว่ยเจ๋อ หมิง ก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน เว่ยเจ๋อ หมิงมองมือที่ว่างเปล่าของตนไม่ต่างจากหัวใจของเขาที่เหมือนถูกฉีกกระชากเขาไม่รู้ว่าเหตุใดทุกครั้งที่เขาพยายามจะพูดคุยดีๆ กับนา
นักพรตหนุ่มที่สวีม่านนีเชิญมา จัดตั้งโต๊ะประกอบพิธีกรรมขับไล่ดวงวิญญาณทันที หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยุติการโต้เถียงกัน ชาวบ้านในอำเภอเหออันต่างก็รู้ดีเรื่องชื่อเสียงของนักพรตผู้นี้ ทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นพนมหลังจากที่เขาเริ่มบทสวดเสียงสวดภาวนาของเขาดังก้องไปทั่วหมู่บ้าน ทุกคนต่างเงียบเพื่อรอดูเหตุการณ์ต่อไป เถียนสวี่หลันที่เป็นตัวเอกยืนมองชาวบ้านที่มามุงดูด้วยสายตาเรียบเฉยแม้จะมีโอกาสได้มีชีวิตถึงสองครั้ง แต่เรื่องวุ่นวายทำนองนี้ก็ไม่ยอมหายไปจากชีวิตของนางเสียที นางจะต้องทำอย่างไรที่จะให้พวกเขายอมเลิกราไปแต่โดยดี เถียนสวี่หลันถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายผู้ช่วยที่ติดตามนักพรตมาด้วยเชือดไก่สองตัวเพื่อรีดเอาเลือดของมัน ทุกคนเห็นกับตาว่าไก่สองตัวนั้นดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดจนกระทั่งมันหยุดดิ้นเพราะถูกรีดเอาเลือดไปจนหมดตัวผู้ช่วยนำเลือดมาวางด้านหน้านักพรตหนุ่มที่ยืนกวัดแกว่งกระบี่ไม้ของตนที่หน้าปะรำพิธี นักพรตหนุ่มผู้นั้นยังคงหลับตาปากก็ไม่ยอมหยุดสวดภาวนา จนกระทั่งเขาใช้ยันต์แผนสี่เหลืองโยนขึ้นไปด้านบนพร้อมกัน สวีม่านนีที่ยืนมองอยู่ข้างสวีไคมองไปยังเถียนสวี่หลันที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อม ใบหน
เมื่อได้ยินเถียนสวี่หลันเอ่ยเช่นนั้น ชาวบ้านหนานซานทั้งหมดต่างก็มองไปที่หัวหน้าหมู่บ้านเป็นตาเดียว สวีไคมีท่าทีลังเลเล็กน้อย หากวันนี้เขาไม่ยอมรับผิดชอบคำพูดของตน ต่อไปคงจะไม่มีใครเชื่อถือในคำพูดของเขาอีกต่อไปแล้ว“ได้ เถียนสวี่หลันหากว่าเจ้ามิได้ถูกผีเข้า ข้าจะยอมจ่ายให้เจ้ายี่สิบตำลึงเป็นค่าทำขวัญ”เถียนสวี่หลันยกยิ้มมุมปาก ยี่สิบตำลึงอย่างนั้นหรือ เงินเพียงแค่นั้นยังไม่พอค่าจ้างและค่าเสียเวลาของข้าเลยสักนิด นางส่ายหน้าปฏิเสธ“หนึ่งร้อยตำลึง ไม่อย่างนั้นข้าจะไปแจ้งกับทางการว่าพวกเจ้าชาวบ้านหนานซานใส่ร้ายข้าและคิดจะบีบคั้นให้คนตระกูลเถียนของข้าออกไปจากหมู่บ้าน”“พวกเจ้าลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือ ว่าหลายคนที่นี่ต่างก็เช่าที่ดินของบ้านข้าทำนาอยู่ หากไม่อยากอดตายก็จงทำตามที่ข้าเรียกร้องซะ ไม่อย่างนั้น....ข้าจะให้ท่านปู่ขายที่ดินในหมู่บ้านหนานซานคืนให้ทางการ เมื่อถึงเวลานั้นค่าเช่าก็คงจะเป็นหกต่อสี่ อีกทั้งยังต้องจ่ายภาษีให้กับทางการอีก พวกเจ้าจงเลือกเอาว่าจะเลือกหนทางไหน”เถียนสวี่หลันยิ้มเยาะเย้ยสวีไค หากเขาไม่ทำตามความต้องการของนาง คนที่ถูกกดดันก็จะเป็นตัวเขาเอง ใครบ้างไม่รู้ว่าคนตระกูลเถ
“เราไปกันเถอะไปดูว่าวันนี้จะมีงิ้วอันใดให้ดูกัน”สองอาหลานเดินมาถึงหน้าเรือน ที่นั่นมีครอบครัวของนางรวมตัวอยู่กันครบนอกจากเถียนห่าวซวนที่ไปสำนักศึกษา เถียนสวี่หลันมองชาวบ้านที่มาชุมนุมที่หน้าเรือของนางทีละคน ก่อนที่จะไปหยุดที่สวีม่านนีที่ยืนอยู่หลบอยู่ด้านหลังบิดาของนาง“ท่านย่า ชาวบ้านเหล่านี้มาที่เรือนของเราด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ”เถียนสวี่หลันถามแม่เฒ่าจางด้วยใบหน้าใสซื่อ เหมือนนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้“จะอะไรเสียอีก ก็คนพวกนี้หาว่าหลันเอ๋อของย่าถูกผีเข้าน่ะสิ จึงได้พาซินแสมาที่นี่”หลังจากแม่เฒ่าจางเอ่ยจบคนตระกูลเถียนก็มายืนขวางระหว่างนางและชาวบ้านเอาไว้ เถียนสวี่หลันเห็นเช่นนั้นนางก็รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจทันทีเหตุใดชีวิตก่อนนางถึงมองไม่เห็นความรักความหวังดีที่พวกเขามีให้นางบ้างเลยนะ หลังจากที่ซ่งหยางเฉิงเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง นางก็รีบตามเขาไปไม่แม้แต่จะคิดติดต่อกลับมาที่ตระกูลเถียนอีกเลยนางนี่ช่างเป็นคนเลวที่ลืมแม้แต่บุญคุณของคนในครอบครัวที่รักและปกป้องนางมาทั้งชีวิต หรือว่าเรื่องที่เกิดกับนางทั้งหมดจะเป็นเวรกรรมที่นางสมควรได้รับกัน“แม่เฒ่าจาง ท่านอย่าปกป้องนา
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!!”เถียนสวี่หลันพยายามแกะมือใหญ่ที่กำลังลากตนด้วยท่าทางทุลักทุเล เพราะเว่ยเจ๋อหมิงที่ตัวสูงกว่าจึงทำให้ภาพออกมาเหมือนเขากำลังหิ้วเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งในมือ“เถียนสวี่หลันบอกมาซิว่าเจ้าเข้าไปทำอันใดในเรือนตระกูลสวี ข้านึกว่าหลายเดือนมานี้ที่เจ้าอยู่เงียบๆ เป็นเพราะว่าเจ้าคิดได้แล้ว แม้แต่อาเล็กของเจ้าก็ยังเอ่ยปากแทนว่านิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่การแสดงสินะ สุนัขที่เคยกินอาจมมันย่อมไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยได้ง่ายๆ”เถียนสวี่หลันหยุดดิ้นทันที ดวงตาแดงก่ำจ้องไปยังร่างสูงอย่างแข็งกร้าว คำพูดที่แสนดูถูกของเขาทำให้นางนึกถึงเรื่องราวในชีวิตก่อน ตอนที่นางยังไม่ได้ถูกตัดแขนขานางเคยถูกบ่าวรับใช้ในเรือนของซ่งหยางเฉิงรังแก พวกเขาทุกคนต่างประชดประชันนางว่าเป็นหมูบ้างล่ะ เป็นสุนัขที่กินอาจมบ้างล่ะคำพูดดูแคลนสารพัดต่างก็ถูกซัดสาดมาที่นาง หลังจากที่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเถียนสวี่หลันไม่คิดว่าตนจะมาได้ยินคำพูดดูถูกเหล่านั้นอีกครั้งดวงตากลมโตไหวระริก ความเจ็บปวดทั้งหลายปรากฏขึ้นในดวงตางาม เถียนสวี่หลันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ นางไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอต่







