Mag-log inหลังจากที่ถูกปลดปล่อยจากความสิ้นหวัง เถียนสวี่หลันก็รู้สึกว่าวิญญาณของตนได้ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งได้ยินเสียงที่แสนคุ้นเคยและคิดถึงดังอยู่ไม่ไกล
“หลันเอ๋อ เปิดประตูให้ย่าหน่อย ย่ามีเรื่องจะคุยด้วย”
เถียนสวี่หลันลืมตาขึ้นด้วยท่าทางมึนงง ท่านย่าเรียกนางอย่างนั้นหรือ หรือว่าท่านย่าเองก็ตายแล้วเช่นกัน ไม่อย่างนั้นนางจะได้ยินเสียงของท่านย่าได้อย่างไร
เถียนสวี่หลันเดินตามเสียงเรียกไปที่ประตูห้องด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตมองสำรวจไปรอบๆ เหตุใดที่นี่ถึงได้ดูคุ้นตานัก หากมิใช่เรือนของนางที่หมู่บ้านหนานซานแล้วจะเป็นที่ใดได้
หัวใจของเถียนสวี่หลันกระตุกเบาๆ นางอยู่ที่บ้านของนางอย่างนั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไร สถานที่ที่นางอยากจะกลับมาที่สุดหลังจากที่ถูกจับขังเอาไว้ก็คือที่นี่
หัวใจที่แสนเย็นเยียบของเถียนสวี่หลันรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาทันที นางรีบเปิดประตูห้องเพื่อยืนยันความคิดตน
“ท่านย่า!!”
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก เถียนสวี่หลันก็พุ่งเข้าไปกอดหญิงชราผมสีดอกเลาที่ยืนทำหน้างงที่หน้าห้องของนางทันที ร่างบางในวัยสิบห้าร้องไห้สะอึกสะอื้นแทบจะขาดใจ จางสวีฮวาหรือแม่เฒ่าจางที่ใครๆ ในหมู่บ้านเรียก ตบแผ่นหลังบอบบางเบาๆ อย่างปลอบโยน นางทั้งตกใจและแปลกใจที่หลานสาวคนดีมีอาการเช่นนี้
นางไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ เหตุใดหลานสาวถึงได้ร้องห่มร้องไห้ด้วยท่าทางเศร้าโศกเช่นนี้ สองย่าหลานยืนกอดกันที่หน้าประตูห้องของเถียนสวี่หลันจนสมาชิกในเรือนต้องออกมาดู
“เกิดสิ่งใดขึ้นหรือ ใครทำอะไรหลันเอ๋อของเรากัน”
ท่านปู่เถียนตงชางอารองเถียนหลิวไห่รีบเดินเข้ามาดู บิดาและมารดาของเถียนสวี่หลันเปิดร้านขายของอยู่ไปในอำเภอ ทำให้ทั้งสองไม่ได้อยู่ที่เรือน
“พี่ใหญ่ใครกล้ารังแกท่านบอกข้ามา ข้าจะไปจัดการกับมันเอง”
เถียนห่าวซวนเจ้าอันธพาลน้อย น้องชายของเถียนสวี่หลันอายุเจ็ดขวบทำท่ายกกำปั้นขึ้น ใบหน้ากลมมนเหมือนซาลาเปาของเขาขยับไปมาทำให้มองดูแล้วน่าขันยิ่งนัก
เมื่อเถียนสวี่หลันเห็นหน้าน้องชายนางก็หัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ทุกคนในเรือนเห็นนางหัวเราะได้พวกเขาต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นางอารมณ์ดีขึ้นแล้ว
สำหรับคนตระกูลเถียน เถียนสวี่หลันถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของครอบครัว เพราะนางเกิดมาเป็นหลานคนโต แถมนางยังฉลาดเฉลียว ตอนที่นางคลอดท่านย่าของนางได้พานางไปทำบุญที่วัดประจำอำเภอ
ท่านเจ้าอาวาสได้ทักว่าเด็กทารกหญิงผู้นี้ ในอนาคตนางจะมีวาสนาที่ยิ่งใหญ่ แต่ก่อนหน้านั้นนางจะต้องพบกับชะตากรรมที่ยากลำบากแสนสาหัสเสียก่อน
ได้ยินดังนั้นคนตระกูลเถียนต่างก็ดีใจ จนลืมไปว่าสิ่งที่ท่านเจ้าอาวาสทำนายมิใช่เพียงแค่นางจะมีวาสนาที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่นางยังมีเคราะห์กรรมที่ที่แสนสาหัสที่ต้องผ่านมันไปให้ได้อีกด้วย
เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านหนานซาน แม่เฒ่าจางก็ออกไปป่าวประกาศเรื่องที่หลานสาวคนโตของตนถูกท่านเจ้าอาวาสวัดประจำอำเภอทำนายว่านางเป็นผู้มีบุญวาสนา
ผู้คนในหมู่บ้านบางคนก็เข้ามาแสดงความยินดีกับนางบางคนก็แสดงความอิจฉาฉายชัดออกมาทางสีหน้า แต่แม่เฒ่าจางไม่ได้สนใจเพราะนางกำลังฝันหวานถึงอนาคตที่มั่งคั่ง ที่หลานสาวสุดที่รักกำลังจะนำมาสู่ตระกูลเถียน
ตั้งแต่นั้นมาคนตระกูลเถียนก็เลี้ยงดูเถียนสวี่หลันไม่ต่างจากคุณหนูในจวนเศรษฐี พวกเขาไม่ปล่อยให้นางหยิบจับหรือทำงานที่อยู่ภายในเรือนแม้แต่นิดเดียว หน้าที่หลักของนางมีเพียงแต่งตัวงดงามไปวันๆ เท่านั้น
และคนที่ทำหน้าที่ดูแลรับใช้นางที่อยู่ในเรือนก็คืออาเล็กเถียนซู่เจิง บุตรสาวคนสุดท้องของแม่เฒ่าจางที่มีใบหน้าแสนธรรมดา เพราะเป็นอย่างนั้นจึงทำให้แม่เฒ่าจางไม่ค่อยชอบนางเท่าใดนัก
หากเทียบกับเถียนสวี่หลั่นที่มีผิวขาวผุดผ่องใบหน้าเรียวเล็ก คิ้ว ตา จมูก ปาก ที่รับกันเป็นอย่างดีทำให้นางแลดูงดงามตั้งแต่เด็กนั้น เมื่อเทียบกันแล้วเถียนซู่เจิงถือว่าเป็นสตรีที่มีใบหน้าธรรมดาที่เห็นได้ทั่วไป
ยิ่งเถียนสวี่หลันโตขึ้นมากเท่าไหร่ ความงามของนางก็ยิ่งฉายชัดออกมาให้เห็น เรื่องที่ท่านจ้าวอาวาสเคยทำนายก็เริ่มที่เข้าเค้าขึ้นไปทุกที เพราะถูกเอาอกเอาใจมาตั้งแต่ยังเล็กทำให้นางกลายเป็นคนเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัว
ทุกครั้งที่ไม่ได้ดั่งใจหรือมีใครมาทำให้เกิดโทสะ นางก็มักจะมาลงที่อาเล็กที่อายุมากกว่านางสองปี เพราะต้องดูแลเถียนสวี่หลันทำให้เถียนซู่เจิงไม่ได้แต่งงานออกเรือนเสียที ทั้งที่อายุของนางจะสิบแปดแล้ว
ไม่มีใครในเรือนสนใจเรื่องการแต่งงานของนาง เพราะทุกคนต่างก็พุ่งความสนใจไปที่เถียนสวี่หลันเพียงคนเดียว
“อาเล็ก”
เถียนสวี่หลันสงบสติอารมณ์ของตนได้แล้ว ดวงตาแดงก่ำมองไปยังสตรีใบหน้าธรรมดาที่ยืนอยู่ไม่ไกล สตรีที่ดูแลนางมาหลายปีผู้นี้นางไม่เปลี่ยนไปเลย แม้แต่ชุดของนางที่ใส่ก็มีแต่รอยปะชุน เถียนซู่เจิงที่อาศัยอยู่ในตระกูลเถียนเป็นคนที่มีฐานะต่ำต้อยที่สุดในบ้าน แม้แต่แม่เฒ่าจางผู้เป็นมารดาก็ไม่เคยเหลือบแลนางเลยสักครั้ง
“อาเล็ก...ข้าขอโทษ ขอโทษที่หลายปีมานี้ข้าเอาแต่ใจตัวเอง ขอโทษที่ข้ารังแกท่านมาตลอด ข้าขอโทษจริงๆ”
เถียนสวี่หลันกอดเถียนซู่เจิงอย่างไม่นึกรังเกียจ ปากก็พร่ำบ่นว่าขอโทษไม่หยุด เถียนซู่เจิงที่ถูกกระทำเช่นนั้นอย่างกะทันหันนางก็ทำสิ่งใดไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อปล่อยให้เถียนสวี่หลันกอด
ปกติแล้วหลานสาวผู้นี้ของนางมักจะเป็นคนที่เย่อหยิ่งและโมโหร้าย นางชอบดูถูกตนเองเรื่องหน้าตาและการแต่งตัว บางครั้งนางก็จะดุด่าเถียนซู่เจิงว่านางนั้นดูสกปรกจนทำให้นางไม่อยากเข้าใกล้
แต่วันนี้มันเกิดสิ่งใดขึ้นกับนางกันแน่ หญิงสาวผู้ที่ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตากลับกล่าวคำขอโทษตนออกมาทั้งน้ำตา เถียนซู่เจิงสัมผัสได้ว่าเถียนสวี่หลันมิได้เสแสร้งแกล้งทำ คำขอโทษของนางมันออกมาจากใจของนางจริงๆ
“หลันเอ๋อ ข้าไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้ากันแน่ แต่ที่ผ่านมาข้าไม่ถือโทษหรือโกรธเคืองเจ้าเลย อาจจะเคยมีน้อยใจบ้าง แต่ข้าก็ไม่ได้ถือสาในสิ่งที่เจ้าเคยทำกับข้าก่อนหน้านี้”
เถียนซู่เจิงตบแผ่นหลังบอบบางของนางเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบโยน แต่เถียนสวี่หลันปล่อยวางจากเรื่องนี้มิได้ ถึงแม้อาเล็กของนางจะยอมให้อภัยก็ตาม
เมื่อชาติก่อนนางเคยผลักอาเล็กคนนี้เข้าสู่กองไฟ ทำให้นางต้องตายไปอย่างเดียวดาย แม้แต่คนตระกูลเถียนก็ไม่มีใครสนใจนาง ทุกอย่างเป็นเพราะคำพูดของเถียนสวี่หลันคนเดียว
ตอนอายุสิบหก หลังจากที่นางแต่งให้เว่ยเจ๋อหมิงได้สำเร็จ นางจึงย้ายไปอยู่ที่เรือนตระกูลเว่ย แต่เว่ยเจ๋อหมิงกลับไม่ยอมนอนห้องเดียวกับนาง เขาย้ายไปนอนกับเว่ยหลี่หนานน้องชายของเขา เรื่องนั้นทำให้เถียนสวี่หลันโมโหเป็นอย่างมาก นางจึงกลับบ้านเดิมไปฟ้องครอบครัวของตน
ระหว่างทางนางเห็นสามีที่ไม่ยินยอมนอนห้องเดียวกับตน แต่เขากลับไปพูดคุยกับเถียนซู่เจิงสตรีที่นางเคยดูถูกและต่อว่าว่าเป็นหญิงอัปลักษณ์ เรื่องนั้นทำให้เถียนสวี่หลันรู้สึกเสียหน้านางจึงปรี่เข้าไปทำร้ายเถียนซู่เจิงทันที เว่ยเจ๋อหมิงที่เป็นคนกลางเข้ามาขวางนางและเผลอผลักนางจนล้ม นั่นยิ่งทำให้เถียนสวี่หลันโมโหมากกว่าเดิม
นางกลับไปฟ้องครอบครัวบ้านเดิมเรื่องที่เถียนซู่เจิงยั่วยวนเว่ยเจ๋อหมิง ทุกคนต่างก็เข้าข้างเถียนสวี่หลันและเชื่อในสิ่งที่นางพูด โดยที่ไม่ฟังคำอธิบายของเถียนซู่เจิงเลยสักคน
แม้แต่เว่ยเจ๋อหมิงที่ออกตัวยืนยันความบริสุทธิ์ให้นางก็ไม่มีใครสนใจ นั่นยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเว่ยเจ๋อหมิงและเถียนสวี่หลันเกิดรอยแยกที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
วันต่อมาเถียนซู่เจิงก็ถูกขายให้พ่อหม้ายขาเป๋ต่างหมู่บ้านที่อายุสี่สิบ ชายผู้นั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือในเรื่องชอบทำร้ายตบตีภรรยา ที่ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ก็เพราะคำยุยงของเถียนสวี่หลัน นางต้องการแก้แค้นอาเล็กของตนจนทำผิดพลาดอย่างมหันต์
ผ่านไปเพียงแค่ไม่นานนางก็ได้ข่าวว่าเถียนซู่เจิงถูกพ่อหม้ายขาเป๋ทำร้ายจนเสียชีวิต แต่เพราะความโกรธที่ยังคงเหลืออยู่ในใจ ทำให้นางบอกท่านย่าว่าบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดทิ้ง นางได้ตายไปแล้วอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวจนนำสิ่งอัปมงคลกลับมาที่เรือนตระกูลเถียน
เถียนสวี่หลันเอ่ยชื่อบุตรชายคนโตเสียงดังออกมาอย่างอ่อนใจ นางไม่รู้ว่าเด็กคนนี้หัวแข็งได้ใครกันแน่ ทั้งยังมีนิสัยชอบกลั่นแกล้งผู้อื่น ทั้งที่นางและพ่อของเขาไม่ได้มีนิสัยเช่นนี้เลยสักนิดเพียงแค่หนึ่งปีอาจารย์จั๋วก็เป็นอาจารย์คนที่ห้าของเขาแล้วที่ทำหน้าที่สอนหนังสือให้เว่ยซืออวิ๋น เพราะไม่มีอาจารย์คนไหนทนอยู่ได้เกินสามเดือนเลยสักคน“เอาล่ะๆ เจ้ากำลังท้องกำลังไส้ โมโหให้มันน้อยๆ หน่อย เรื่องอวิ๋นเอ๋อเดี๋ยวย่าจะช่วยพูดให้เอง”แม่เฒ่าจางเอ่ยออกมาด้วยท่าทางเอาอกเอาใจหลานสาว ห้าปีแล้วตั้งแต่ที่เถียนสวี่หลันและเว่ยเจ๋อหมิงย้ายกลับมาอยู่ที่ชิงโจว ครอบครัวของนางรวมทั้งองค์หญิงใหญ่ต่างก็อาศัยอยู่ร่วมกัน มีเพียงโสวฝู่ผู้เฒ่าเท่านั้นที่แยกตัวออกไปอยู่ข้างนอกแต่หลังจากที่เถียนสวี่หลันแต่งงานกับเว่ยเจ๋อหมิง นางก็ตั้งท้องอย่างรวดเร็วและคลอดเว่ยซืออวิ๋นออกมา เหล่าผู้อาวุโสก็กลับมารวมตัวกันเพื่อดูแลลูกให้นาง เพราะได้รับการตามใจมาตั้งแต่ยังเล็ก ลูกของนางเลยไม่เคยรู้จักเกรงกลัวผู้ใด“หลันเอ่อ เดือนหน้าเจ้าก็จะคลอดแล้ว เรื่องการเรียนของอวิ๋นเอ๋อก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ มีตาเฒ่าซ่างกวนอยู่ด้วยทั
“นี่สำหรับขาทั้งสองข้างของข้าที่เจ้าเคยเอาไป”เอ่ยจบนางก็ไม่คิดรอดูผลงานของตน แต่เดินหันหลังให้ภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แม้ว่าร่างกายนั้นจะไม่มีความผิด แต่ดวงวิญญาณที่อยู่ภายในมิใช่จ้าวจื่ออิงหากเจ้ากำลังดูอยู่ข้าจะไม่ขอโทษหรอกนะ เพราะที่ข้าเคยโดนกระทำมานั้นมันก็หนักหนาไม่ต่างกัน ลมเย็นสายหนึ่งพัดโชยมาที่ใบหน้าของนางเหมือนตั้งใจจะตอบรับคำพูดของเถียนสวี่หลัน จากนั้นไม่นานทุกอย่างภายในหุบเขาแห่งนั้นก็เงียบสงบลงเถียนสวี่หลันได้รับการช่วยเหลือและกลับมายังเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ทางด้านกองทัพของฮ่องเต้ที่ถูกส่งออกไปนั้น เข้าตียึดพื้นที่คืนได้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งฤดูเหมันต์ผ่านไป เดือนสองกองทัพทั้งหมดเดินทางกลับมายังเมืองหลวงพร้อมกับชัยชนะและตัวจวิ้นอ๋องที่เป็นหัวหน้าผู้คิดก่อการกบฏจวิ้นอ๋องถูกตัดสินให้ประหารชีวิตในข้อหาก่อกบฏอย่างไม่รอการไต่สวน เว่ยเจ๋อหมิง เถียนสวี่หลัน และชายชราที่ใครๆ ต่างก็คิดว่าเขาได้ถูกสังหารไปแล้วนั้น ยืนอยู่ตรงหน้าของชายวัยกลางคน ที่ไม่หลงเหลือความองอาจห้าวหาญเหมือนดั่งที่ผ่านมา“จงไปขอโทษท่านแม่ของข้าที่ท่านเคยกระทำผิดต่อนางในปรโลกเถอะ”เว่ยเจ๋อหมิงเอ่
ข่าวลือที่จวิ้นอ๋องซ่องสุมกำลังพลเพื่อก่อกบฏถูกปล่อยออกไปทั่วเมืองหลวง จากนั้นก็มีข่าวใหญ่เข้ามาอีกเรื่องคือ โสวฝู่ผู้เฒ่าถูกจวิ้นอ๋องสังหารจนเสียชีวิตแล้วในช่วงนี้มีแต่เหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นมากมายภายในแคว้นเยี่ยน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เจ้ากรมโยธายักยอกเงินงบประมาณการสร้างเขื่อนจนทำให้เขื่อนแตกน้ำท่วมปิ่งโจว รวมทั้งตระกูลจ้าวที่ลักลอบค้าเกลือและสมคบคิดกับโจรป่าเพื่อขัดขวางการช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมตอนนี้ยังมีเรื่องของจวิ้นอ๋องก่อการกบฏและโสวฝู่ผู้เฒ่าถูกลอบสังหารอีก ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็สามารถสั่นคลอนความมั่นคงของแคว้นเยี่ยนที่สืบทอดมานานหลายร้อยปีได้ ในบันทึกของราชวงศ์ไม่เคยเกิดเหตุการณ์มากมายเช่นนี้ขึ้นมาก่อนสงครามภายในที่กำลังจะปะทุครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างเห็นได้ชัดเจน เหล่าขุนนางที่เคยให้การสนับสนุนจวิ้นอ๋องต่างก็ปิดปากเงียบ ไม่ยอมออกมาว่าราชการที่ท้องพระโรงราวกับต้องการแสดงการต่อต้านให้อีกฝ่ายได้เห็นแม่ทัพที่ทำหน้าที่ปกป้องเมืองหลวงในครั้งนี้คือ แม่ทัพที่มาจากตระกูลเซียว ที่ผ่านมาพวกเขาทำตัวเป็นกลางมาตลอด ไม่เคยสนใจเข้ายุ่งเกี่ยวการเมืองของเหล่าขุนนาง ที่คอยแก่งแย
เถียนสวี่หลันที่ได้ยินเรื่องนี้นางก็ได้แต่อึ้งไป เรื่องทั้งหมดนี้น่าจะต้องเกิดขึ้นในอีกห้าปีข้างหน้ามิใช่หรือ แล้วเหตุใดทุกอย่างถึงได้เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ หรือว่าเป็นเพราะนางเปลี่ยนแปลงอนาคตที่จะเกิดขึ้น เถียนสวี่หลันรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ที่เรื่องราวทุกอย่างเริ่มไม่อยู่ในการควบคุมของนางการตัดสินโทษได้เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนตระกูลจ้าวกว่าร้อยชีวิตถูกคุมตัวไปที่ลานประหารพร้อมกันในยามซื่อ (9.00-11.00) แม้ตนเองและครอบครัวจะต้องตายในอีกไม่ช้า แต่เสนาบดีจ้าวกลับยังคงปิดปากเงียบไม่ยอมให้การซัดทอดผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเถียนสวี่หลันและเว่ยเจ่อหมิงพร้อมทั้งองครักษ์ผู้ติดตามยืนอยู่ในฝูงชน มองดูคนตระกูลจ้าวหัวหลุดออกจากบ่าทีละคน เถียนสวี่หลันมิได้แสดงสีหน้าใดใดออกมาแม้ว่านางจะเห็นฉากนองเลือดตรงหน้าก็ตามที สายตาของนางเหลือบมองไปรอบๆ เพื่อหาร่างที่คุ้นตาของใครบางคนจ้าวจื่ออิง!! นางอยู่ที่นั่นเอง ใบหน้าด้านข้างที่ยกยิ้มมุมปากบางๆ ทำให้เถียนสวี่หลันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย นางเห็นคนในครอบครัวของตนเองถูกประหารแต่กลับยิ้มออกมาอย่างนั้นหรือ นางใช่จ้าวจื่ออิงตัวจริงหรือไม่ แล้วเช่นนั้น
ครึ่งเดือนต่อมา เมื่อไม่มีอุปสรรคใดใดที่คอยขัดขวาง การเดินทางมายังปิ่งโจวเพื่อช่วยเหลือน้ำท่วมก็ผ่านไปได้ด้วยดี เถียนสวี่หลันได้พบหน้าคนรักของตนอีกครั้ง แต่ทั้งสองที่มัวแต่ยุ่งเรื่องที่ตนได้รับมอบหมายกลับไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังก่อนหน้านี้ ระหว่างทางที่เว่ยเจ๋อหมิงเดินทางมายังปิ่งโจวก็ได้มีมือสังหารติดตามมาก่อกวนเป็นระยะ แต่เขาก็สามารถเดินทางมาถึงจุดหมายได้อย่างราบรื่น เมื่ออพยพชาวเมืองขึ้นสู่ที่สูงและหลังจากเหตุการณ์เขื่อนแตก เว่ยเจ๋อหมิงที่ได้รับมอบอำนาจมาจากฮ่องเต้ก็ได้เปิดยุ้งฉางของเมืองปิ่งโจวเพื่อช่วยเหลือชาวเมืองระยะเวลาที่รอคอยความช่วยเหลือจากทางราชสำนักนั้น พอดีกับที่เสบียงในยุ้งฉางหมดไป ทุกคนต่างทำงานของตนอย่างขะมักเขม้นไม่มีใครกล้าเกี่ยงงานของตน เพราะผู้ที่ร่วมเดินทางมาช่วยเหลือในครั้งนี้ด้วยคือว่าที่ฮ่องเต้ในอนาคต เมื่อชาวเมืองได้รู้ว่าองค์รัชทายาทเดินทางมาด้วยตนเอง พวกเขาต่างก็สรรเสริญฮ่องเต้และราชวงศ์ด้วยความซาบซึ้งใจ“โอย!!! ข้าจะตายแล้ว เหนื่อยเหลือเกิน”เถียนสวี่หลันทิ้งตัวลงบนตั่งตัวยาวด้วยใบหน้าอิดโรย ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นทุกขณะ สายฝนก็ยังกระหน่ำตกล
“ปากดีไปเถอะ ใกล้ตายเมื่อใดอย่าได้มาคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องข้าให้ไว้ชีวิตพวกเจ้าแล้วกัน”เถียนสวี่หลันเอ่ยออกมาเสียงดังด้วยท่าทางมั่นใจ หัวหน้าโจรมองใบหน้างามด้วยความสงสัย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกตนมีคนมากกว่า แต่สิ่งใดกันที่ทำให้สตรีร่างบางผู้นี้มีความมั่นใจว่าตนเองจะรอดพ้นไปได้“หุบปากของเจ้าซะ!! เช่นนั้นก็มาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะต้องคุกเข่าร้องขอชีวิต”หัวหน้าโจรตะโกนออกมาด้วยท่าทีเดือดดาล ก่อนจะโบกมือสั่งให้ลูกน้องทั้งหมดเข้าจัดการทหารองครักษ์ที่ติดตามเถียนสวี่หลันมาแต่ก่อนที่คนสองกลุ่มจะได้ทันเข้าโรมรัน เสียงควบม้ามาจากทางด้านหลังก็ดังกระหึ่มขึ้น เยี่ยนหลงเฟิงองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเยี่ยนผู้สง่างาม พาทหารอีกห้าร้อยนายควบม้าตรงมายังกองคาราวานเกวียนของราชสำนักนี่เป็นความลับที่แม้แต่ทางขุนนางก็ยังไม่ทราบ มีเพียงเถียนสวี่หลันเท่านั้นที่ได้รู้แผนการของฮ่องเต้ เพราะอย่างนั้นจึงทำให้นางมั่นใจเป็นอย่างมากว่าตนเองจะต้องชนะในศึกครั้งนี้“เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะส่งสตรีตัวเล็กๆ เช่นข้า มาทำงานใหญ่ให้กับราชสำนักอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนว่ากุนซือของพวกเจ้านี่ก็ไม่เท่าไหร่นะ ลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้ก็ยังมองไม่ออก”







