Mag-log inเว่ยเจ๋อหมิงตอบออกไปด้วยน้ำเสียงดุดัน เถียนห่าวซวนมองเขาอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าเจ้าคนเย็นชานี่ไปกินรังแตนที่ใดมา ถึงได้มีท่าทีเกรี้ยวกราดเช่นนี้ ช่างเถอะ เขามาที่นี่ก็ดีแล้วพี่สาวของเขาคงจะดีใจมากแน่เพราะบุรุษที่นางพึงใจมาหาถึงเรือน
“พี่ใหญ่ มีคนมาหาท่าน”
เถียนห่าวเซวนเคาะประตูห้องเบาๆ เถียนสวี่หลันที่กำลังพยายามคัดตัวอักษรที่โต๊ะลุกขึ้นมาเปิดประตู
“ซวนเอ๋อใครมาหาข้าหรือ”
นางไม่ค่อยสนิทกับคนในหมู่บ้านแล้วจะมีใครมาหานางกัน อาเล็กก็อยู่ข้างนอกยังไม่กลับมา หรือว่าแผนการสำเร็จแล้วมีคนมาขออาเล็กแต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ
“ได้ข้าจะรีบไป”
เถียนสวี่หลันรีบเก็บของก่อนจะวิ่งออกจากห้องไปด้วยท่าทางตื่นเต้น เมื่อนางมาถึงหน้าประตูเรือนกลับพบว่าที่นั่นมีร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวของสำนักศึกษาจื้อกั๋วยืนอยู่ เว่ยเจ๋อหมิงหัน กลับมามองสตรีที่มีส่วนสูงเพียงแค่หัวไหล่ของตน
เขายอมรับจากใจเลยว่า เถียนสวี่หลันเป็นสตรีที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยได้พบมา แต่นิสัยที่แสนชั่วร้ายของนางนั้นเป็นเรื่องที่ยากที่จิตใจของเขาจะยอมรับ เขารู้มานานแล้วว่านางมีจุดประสงค์บางอย่างจึงได้พยายามเข้าหาตนเช่นนี้
นั่นหาใช่เพราะนางพึงใจในตัวเขาจริงๆ แต่เป็นเพราะนางคิดว่าเขาจะสามารถประสบความสำเร็จได้ในอนาคต ถ้านางแต่งงานกับเขานางก็จะได้ดื่มด่ำกับความสำเร็จเหล่านั้นไปด้วย
เว่ยเจ๋อหมิงเมื่อนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาเขาก็รู้สึกโมโหมากกว่าเดิม นางอายุเท่าใดกันถึงได้คิดเรื่องที่แสนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจได้ขนาดนี้
“เถียนสวี่หลัน ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ข้าเพียงมาบอกกับเจ้าว่า ต่อให้ต้องตายข้าก็จะไม่มีวันแต่งงานกับสตรีร้ายกาจเช่นเจ้า”
เอ่ยจบเว่ยเจ๋อหมิงก็ทำท่าจะผละจากไป แต่เขาหยุดตนเองไว้และเขาหันกลับมาเอ่ยบางอย่างกับนางอีกครั้ง
“หากเจ้ากล้าทำร้ายเถียนซู่เจิงล่ะก็ ข้าสาบานว่าข้าจะทำให้เจ้าและคนตระกูลเถียนต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
ตั้งแต่ที่นางเดินมาที่หน้าประตูจนกระทั่งเว่ยเจ๋อหมิงเดินจากไป นางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ เถียนสวี่หลันขมวดคิ้วมองตามแผ่นหลังตั้งตรงของเขาไปจนลับสายตา ไม่แปลกที่เขาคิดว่านางจะหาเรื่องทำร้ายอาเล็ก ก็ตลอดมาคนตระกูลเถียนไม่เคยทำดีกับอาเล็กเลย เห็นนางปฏิบัติเช่นนี้กับอาเล็กเขาจะสงสัยก็ไม่แปลก
เถียนสวี่หลันถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ที่นางได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งไม่ใช่เพื่อที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวังวนเดิมๆ เสียเมื่อไหร่ เขาอยากจะเข้าใจอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของเขา ขอเพียงท่านอาเล็กเข้าใจนางก็พอ
เถียนสวี่หลันย้อนกลับไปที่ห้องของตน นางหยิบเอากระดาษที่ขอมาจากน้องชายออกมาคัดลายมืออีกครั้ง เมื่อก่อนเป็นเพราะนางไม่รู้หนังสือจึงได้ถูกช่งหยางเฉิงและจ้าวจื่ออิงหลอกให้ประทับลายนิ้วมือในหนังสือหย่าและเปลี่ยนมาเป็นสัญญาทาสแทน
หากว่านางอ่านหนังสือออกสักนิดเรื่องคงไม่เลยเถิดไปไกลถึงเพียงนั้น เถียนสวี่หลันสลัดเรื่องราวในอดีตทิ้งไป นางให้น้องชายช่วยสอนให้นางอ่านทีละตัวอักษรและนั่งคัดลายมือเมื่อมีเวลาว่าง
เว่ยเจ๋อหมิงที่พึ่งกลับมาถึงเรือน เขาเก็บของในห้องเรียบร้อยแล้ว จึงหยิบตำราออกมาอ่านเพื่อคั่นเวลาระหว่างที่รอมารดาและน้องชายกลับมาจากข้างนอก แต่ยิ่งเขาอ่านไปนานเท่าใดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าความรู้ในตำรามิได้เข้ามาในหัวของเขาเลย
มีเพียงใบหน้าของสตรีร้ายกาจผู้นั้นที่ยังคงวนเวียนไปมา ทำอย่างไรเขาก็สลัดนางออกจากหัวไม่ได้เสียที เว่ยเจ๋อหมิงวางตำราลงแล้วเดินไปหลังเรือน เพื่ออาบน้ำให้ตนเองได้ผ่อนคลาย
หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วเว่ยเจ๋อหมิงก็กลับมานั่งอ่านตำราอีกครั้ง ผ่านไปนานหน้าแรกก็ยังไม่ถูกพลิกไปเสียที จนเขาต้องกระแทกตำราในมือลงที่โต๊ะ เพื่อระบายอารมณ์
“บ้าจริง!!!”
ท่าทางของนางตอนนั้นก็ยังคงติดอยู่ในหัวเขา เหตุใดตอนนั้นที่เขาต่อว่านาง นางถึงไม่โวยวายเหมือนดั่งเช่นที่ผ่านมา หรือว่าสตรีผู้นั้นมีแผนร้ายอย่างอื่นอีก
ร่างสูงเดินวนไปวนมาภายในห้องด้วยท่าทางหงุดหงิด เพราะไม่สามารถหาเหตุผลเรื่องที่เถียนสวี่หลันดูเปลี่ยนไปได้ จนกระทั่งมารดาของเขาเรียกให้เขาออกไปทานข้าว แต่เว่ยเจ๋อ หมิงกลับไม่ได้ยิน
“หมิงเอ๋อแม่เรียกตั้งหลายครั้งเหตุใดถึงไม่ได้ยิน จะเหม่อลอยไปถึงเมื่อใดกัน ลูกหักโหมอ่านตำรามากไปแล้วนะ พักผ่อนเสียบ้างแม่เป็นห่วง”
เซี่ยหรงเหยามารดาของเว่ยเจ๋อหมิงเอ่ยเตือนเขาอย่างอ่อนโยน เว่ยเจ๋อหมิงรีบกระแอมไอกลบเกลื่อนท่าทางของตนเอง จากนั้นจึงพยักหน้ารับคำ ครอบครัวเล็กๆ แต่อบอุ่นทั้งสามคนนั่งลงพร้อมหน้า บนโต๊ะมีอาหารสองสามอย่างที่ทำจากผักป่าและไข่
ถึงแม้พวกเขาจะค่อนข้างยากจนและต้องอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่อยู่ใจกลางหุบเขา แต่ทุกคนก็มีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าเช่นนี้
ตั้งแต่วันนั้นที่เถียนซู่เจิงแต่งตัวออกไปพบปะผู้คนในหมู่บ้าน ภาพจำของสตรีอัปลักษณ์ของนางก็หายไป แม้แต่แม่เฒ่าจางที่ไม่ค่อยพอใจในตัวบุตรสาวผู้นี้นักก็หันมาพูดคุยกับนางมากขึ้น ทุกคนในครอบครัวเริ่มให้ความใส่ใจนางและพูดคุยเรื่องการออกเรือนของเถียนซู่เจิงอย่างจริงจัง
“ท่านย่า อาเล็กเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้านเรา ถ้าจะให้นางแต่งออกไปตระกูลอื่น ท่านต้องดูว่าพวกเขาเป็นอย่างไร ข้าหมายถึงหลังบ้านบุรุษที่จะมาขอท่านอาเล็กแต่งงาน”
แม่เฒ่าจางพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกับหลันเอ๋อ หากนางแต่งออกไปแล้วถูกครอบครัวสามีรังแก ตระกูลเถียนได้เสียหน้าแย่”
เถียนสวี่หลันหันมาขยิบตาให้อาเล็กที่นั่งเงียบมาตลอดโดยมิได้ออกความคิดเห็นใด หลายวันมานี้มีแม่สื่อเข้าออกเรือนตระกูลเถียนย้ำจนธรณีแทบสึก แต่ก็ยังไม่สามารถเลือกคนที่จะมาแต่งงานกับเถียนซู่เจิงได้
“ช่วงนี้ท่านย่ากำลังยุ่งอยู่กับการพิจารณาคนที่กำลังจะมาเป็นอาเขยเล็กของข้า เช่นนั้นเราเข้าไปในอำเภอเพื่อเที่ยวเล่นสักหน่อยดีหรือไม่ ข้าอยากได้กระดาษมาเพื่อคัดตัวอักษรและจะได้ซื้อชุดใหม่ให้ท่านด้วย”
เถียนสวี่หลันเอ่ยกับอาเล็กระหว่างที่กำลังพับเสื้อผ้าเก็บ ตั้งแต่ที่นางกลับมามีชีวิตอีกครั้งเถียนสวี่หลันก็ทำทุกอย่างด้วยตนเอง เช่นการทำความสะอาดห้องหรือซักชุดของนาง
บางครั้งนางยังช่วยเถียนซู่เจิงตักน้ำทำอาหารหรือแม้แต่ให้อาหารไก่ในเล้า ทั้งที่เมื่อก่อนนางเคยดูถูกว่างานพวกนี้เป็นงานชั้นต่ำ และตัวนางเองก็ไม่ชอบกลิ่นของมูลไก่จึงไม่เคยไปเหยียบหลังเรือนเลยสักครั้ง
ในคราแรกแม่เฒ่าจางเองก็คัดค้านไม่ให้นางทำงานพวกนี้ เพราะกลัวว่าหลานสาวคนดีจะเหน็ดเหนื่อย แต่มีหรือที่นางจะสามารถห้ามคนหัวรั้นเช่นเถียนสวี่หลันได้
สิ่งที่นางทำในตอนนี้ถือว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ในชีวิตก่อนตอนที่นางถูกหลอกให้ประทับลายนิ้วมือในหนังสือสัญญาทาส นางถูกบังคับให้ทำงานทุกอย่างในจวนที่นางเคยดูถูก แม้กระทั่งงานที่ต่ำที่สุดอย่างการทิ้งอาจมนางก็เคยทำมาแล้ว เพื่อแลกกับอาหารเล็กน้อยเพื่อประทังชีวิต
“หลันเอ๋อหากออกไปตอนนี้ เราสองคนอาจจะคลาดกันกับซวนเอ๋อก็ได้นะ ข้าคิดว่าใกล้ถึงเวลาที่เขาจะเลิกจากสำนักศึกษาที่หมู่บ้านข้างๆ แล้ว”
เถียนสวี่หลันครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเสนอความคิด
เถียนสวี่หลันเอ่ยชื่อบุตรชายคนโตเสียงดังออกมาอย่างอ่อนใจ นางไม่รู้ว่าเด็กคนนี้หัวแข็งได้ใครกันแน่ ทั้งยังมีนิสัยชอบกลั่นแกล้งผู้อื่น ทั้งที่นางและพ่อของเขาไม่ได้มีนิสัยเช่นนี้เลยสักนิดเพียงแค่หนึ่งปีอาจารย์จั๋วก็เป็นอาจารย์คนที่ห้าของเขาแล้วที่ทำหน้าที่สอนหนังสือให้เว่ยซืออวิ๋น เพราะไม่มีอาจารย์คนไหนทนอยู่ได้เกินสามเดือนเลยสักคน“เอาล่ะๆ เจ้ากำลังท้องกำลังไส้ โมโหให้มันน้อยๆ หน่อย เรื่องอวิ๋นเอ๋อเดี๋ยวย่าจะช่วยพูดให้เอง”แม่เฒ่าจางเอ่ยออกมาด้วยท่าทางเอาอกเอาใจหลานสาว ห้าปีแล้วตั้งแต่ที่เถียนสวี่หลันและเว่ยเจ๋อหมิงย้ายกลับมาอยู่ที่ชิงโจว ครอบครัวของนางรวมทั้งองค์หญิงใหญ่ต่างก็อาศัยอยู่ร่วมกัน มีเพียงโสวฝู่ผู้เฒ่าเท่านั้นที่แยกตัวออกไปอยู่ข้างนอกแต่หลังจากที่เถียนสวี่หลันแต่งงานกับเว่ยเจ๋อหมิง นางก็ตั้งท้องอย่างรวดเร็วและคลอดเว่ยซืออวิ๋นออกมา เหล่าผู้อาวุโสก็กลับมารวมตัวกันเพื่อดูแลลูกให้นาง เพราะได้รับการตามใจมาตั้งแต่ยังเล็ก ลูกของนางเลยไม่เคยรู้จักเกรงกลัวผู้ใด“หลันเอ่อ เดือนหน้าเจ้าก็จะคลอดแล้ว เรื่องการเรียนของอวิ๋นเอ๋อก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ มีตาเฒ่าซ่างกวนอยู่ด้วยทั
“นี่สำหรับขาทั้งสองข้างของข้าที่เจ้าเคยเอาไป”เอ่ยจบนางก็ไม่คิดรอดูผลงานของตน แต่เดินหันหลังให้ภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แม้ว่าร่างกายนั้นจะไม่มีความผิด แต่ดวงวิญญาณที่อยู่ภายในมิใช่จ้าวจื่ออิงหากเจ้ากำลังดูอยู่ข้าจะไม่ขอโทษหรอกนะ เพราะที่ข้าเคยโดนกระทำมานั้นมันก็หนักหนาไม่ต่างกัน ลมเย็นสายหนึ่งพัดโชยมาที่ใบหน้าของนางเหมือนตั้งใจจะตอบรับคำพูดของเถียนสวี่หลัน จากนั้นไม่นานทุกอย่างภายในหุบเขาแห่งนั้นก็เงียบสงบลงเถียนสวี่หลันได้รับการช่วยเหลือและกลับมายังเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ทางด้านกองทัพของฮ่องเต้ที่ถูกส่งออกไปนั้น เข้าตียึดพื้นที่คืนได้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งฤดูเหมันต์ผ่านไป เดือนสองกองทัพทั้งหมดเดินทางกลับมายังเมืองหลวงพร้อมกับชัยชนะและตัวจวิ้นอ๋องที่เป็นหัวหน้าผู้คิดก่อการกบฏจวิ้นอ๋องถูกตัดสินให้ประหารชีวิตในข้อหาก่อกบฏอย่างไม่รอการไต่สวน เว่ยเจ๋อหมิง เถียนสวี่หลัน และชายชราที่ใครๆ ต่างก็คิดว่าเขาได้ถูกสังหารไปแล้วนั้น ยืนอยู่ตรงหน้าของชายวัยกลางคน ที่ไม่หลงเหลือความองอาจห้าวหาญเหมือนดั่งที่ผ่านมา“จงไปขอโทษท่านแม่ของข้าที่ท่านเคยกระทำผิดต่อนางในปรโลกเถอะ”เว่ยเจ๋อหมิงเอ่
ข่าวลือที่จวิ้นอ๋องซ่องสุมกำลังพลเพื่อก่อกบฏถูกปล่อยออกไปทั่วเมืองหลวง จากนั้นก็มีข่าวใหญ่เข้ามาอีกเรื่องคือ โสวฝู่ผู้เฒ่าถูกจวิ้นอ๋องสังหารจนเสียชีวิตแล้วในช่วงนี้มีแต่เหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นมากมายภายในแคว้นเยี่ยน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เจ้ากรมโยธายักยอกเงินงบประมาณการสร้างเขื่อนจนทำให้เขื่อนแตกน้ำท่วมปิ่งโจว รวมทั้งตระกูลจ้าวที่ลักลอบค้าเกลือและสมคบคิดกับโจรป่าเพื่อขัดขวางการช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมตอนนี้ยังมีเรื่องของจวิ้นอ๋องก่อการกบฏและโสวฝู่ผู้เฒ่าถูกลอบสังหารอีก ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็สามารถสั่นคลอนความมั่นคงของแคว้นเยี่ยนที่สืบทอดมานานหลายร้อยปีได้ ในบันทึกของราชวงศ์ไม่เคยเกิดเหตุการณ์มากมายเช่นนี้ขึ้นมาก่อนสงครามภายในที่กำลังจะปะทุครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างเห็นได้ชัดเจน เหล่าขุนนางที่เคยให้การสนับสนุนจวิ้นอ๋องต่างก็ปิดปากเงียบ ไม่ยอมออกมาว่าราชการที่ท้องพระโรงราวกับต้องการแสดงการต่อต้านให้อีกฝ่ายได้เห็นแม่ทัพที่ทำหน้าที่ปกป้องเมืองหลวงในครั้งนี้คือ แม่ทัพที่มาจากตระกูลเซียว ที่ผ่านมาพวกเขาทำตัวเป็นกลางมาตลอด ไม่เคยสนใจเข้ายุ่งเกี่ยวการเมืองของเหล่าขุนนาง ที่คอยแก่งแย
เถียนสวี่หลันที่ได้ยินเรื่องนี้นางก็ได้แต่อึ้งไป เรื่องทั้งหมดนี้น่าจะต้องเกิดขึ้นในอีกห้าปีข้างหน้ามิใช่หรือ แล้วเหตุใดทุกอย่างถึงได้เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ หรือว่าเป็นเพราะนางเปลี่ยนแปลงอนาคตที่จะเกิดขึ้น เถียนสวี่หลันรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ที่เรื่องราวทุกอย่างเริ่มไม่อยู่ในการควบคุมของนางการตัดสินโทษได้เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนตระกูลจ้าวกว่าร้อยชีวิตถูกคุมตัวไปที่ลานประหารพร้อมกันในยามซื่อ (9.00-11.00) แม้ตนเองและครอบครัวจะต้องตายในอีกไม่ช้า แต่เสนาบดีจ้าวกลับยังคงปิดปากเงียบไม่ยอมให้การซัดทอดผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเถียนสวี่หลันและเว่ยเจ่อหมิงพร้อมทั้งองครักษ์ผู้ติดตามยืนอยู่ในฝูงชน มองดูคนตระกูลจ้าวหัวหลุดออกจากบ่าทีละคน เถียนสวี่หลันมิได้แสดงสีหน้าใดใดออกมาแม้ว่านางจะเห็นฉากนองเลือดตรงหน้าก็ตามที สายตาของนางเหลือบมองไปรอบๆ เพื่อหาร่างที่คุ้นตาของใครบางคนจ้าวจื่ออิง!! นางอยู่ที่นั่นเอง ใบหน้าด้านข้างที่ยกยิ้มมุมปากบางๆ ทำให้เถียนสวี่หลันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย นางเห็นคนในครอบครัวของตนเองถูกประหารแต่กลับยิ้มออกมาอย่างนั้นหรือ นางใช่จ้าวจื่ออิงตัวจริงหรือไม่ แล้วเช่นนั้น
ครึ่งเดือนต่อมา เมื่อไม่มีอุปสรรคใดใดที่คอยขัดขวาง การเดินทางมายังปิ่งโจวเพื่อช่วยเหลือน้ำท่วมก็ผ่านไปได้ด้วยดี เถียนสวี่หลันได้พบหน้าคนรักของตนอีกครั้ง แต่ทั้งสองที่มัวแต่ยุ่งเรื่องที่ตนได้รับมอบหมายกลับไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังก่อนหน้านี้ ระหว่างทางที่เว่ยเจ๋อหมิงเดินทางมายังปิ่งโจวก็ได้มีมือสังหารติดตามมาก่อกวนเป็นระยะ แต่เขาก็สามารถเดินทางมาถึงจุดหมายได้อย่างราบรื่น เมื่ออพยพชาวเมืองขึ้นสู่ที่สูงและหลังจากเหตุการณ์เขื่อนแตก เว่ยเจ๋อหมิงที่ได้รับมอบอำนาจมาจากฮ่องเต้ก็ได้เปิดยุ้งฉางของเมืองปิ่งโจวเพื่อช่วยเหลือชาวเมืองระยะเวลาที่รอคอยความช่วยเหลือจากทางราชสำนักนั้น พอดีกับที่เสบียงในยุ้งฉางหมดไป ทุกคนต่างทำงานของตนอย่างขะมักเขม้นไม่มีใครกล้าเกี่ยงงานของตน เพราะผู้ที่ร่วมเดินทางมาช่วยเหลือในครั้งนี้ด้วยคือว่าที่ฮ่องเต้ในอนาคต เมื่อชาวเมืองได้รู้ว่าองค์รัชทายาทเดินทางมาด้วยตนเอง พวกเขาต่างก็สรรเสริญฮ่องเต้และราชวงศ์ด้วยความซาบซึ้งใจ“โอย!!! ข้าจะตายแล้ว เหนื่อยเหลือเกิน”เถียนสวี่หลันทิ้งตัวลงบนตั่งตัวยาวด้วยใบหน้าอิดโรย ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นทุกขณะ สายฝนก็ยังกระหน่ำตกล
“ปากดีไปเถอะ ใกล้ตายเมื่อใดอย่าได้มาคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องข้าให้ไว้ชีวิตพวกเจ้าแล้วกัน”เถียนสวี่หลันเอ่ยออกมาเสียงดังด้วยท่าทางมั่นใจ หัวหน้าโจรมองใบหน้างามด้วยความสงสัย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกตนมีคนมากกว่า แต่สิ่งใดกันที่ทำให้สตรีร่างบางผู้นี้มีความมั่นใจว่าตนเองจะรอดพ้นไปได้“หุบปากของเจ้าซะ!! เช่นนั้นก็มาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะต้องคุกเข่าร้องขอชีวิต”หัวหน้าโจรตะโกนออกมาด้วยท่าทีเดือดดาล ก่อนจะโบกมือสั่งให้ลูกน้องทั้งหมดเข้าจัดการทหารองครักษ์ที่ติดตามเถียนสวี่หลันมาแต่ก่อนที่คนสองกลุ่มจะได้ทันเข้าโรมรัน เสียงควบม้ามาจากทางด้านหลังก็ดังกระหึ่มขึ้น เยี่ยนหลงเฟิงองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเยี่ยนผู้สง่างาม พาทหารอีกห้าร้อยนายควบม้าตรงมายังกองคาราวานเกวียนของราชสำนักนี่เป็นความลับที่แม้แต่ทางขุนนางก็ยังไม่ทราบ มีเพียงเถียนสวี่หลันเท่านั้นที่ได้รู้แผนการของฮ่องเต้ เพราะอย่างนั้นจึงทำให้นางมั่นใจเป็นอย่างมากว่าตนเองจะต้องชนะในศึกครั้งนี้“เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะส่งสตรีตัวเล็กๆ เช่นข้า มาทำงานใหญ่ให้กับราชสำนักอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนว่ากุนซือของพวกเจ้านี่ก็ไม่เท่าไหร่นะ ลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้ก็ยังมองไม่ออก”







