LOGINเว่ยเจ๋อหมิงตอบออกไปด้วยน้ำเสียงดุดัน เถียนห่าวซวนมองเขาอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าเจ้าคนเย็นชานี่ไปกินรังแตนที่ใดมา ถึงได้มีท่าทีเกรี้ยวกราดเช่นนี้ ช่างเถอะ เขามาที่นี่ก็ดีแล้วพี่สาวของเขาคงจะดีใจมากแน่เพราะบุรุษที่นางพึงใจมาหาถึงเรือน
“พี่ใหญ่ มีคนมาหาท่าน”
เถียนห่าวเซวนเคาะประตูห้องเบาๆ เถียนสวี่หลันที่กำลังพยายามคัดตัวอักษรที่โต๊ะลุกขึ้นมาเปิดประตู
“ซวนเอ๋อใครมาหาข้าหรือ”
นางไม่ค่อยสนิทกับคนในหมู่บ้านแล้วจะมีใครมาหานางกัน อาเล็กก็อยู่ข้างนอกยังไม่กลับมา หรือว่าแผนการสำเร็จแล้วมีคนมาขออาเล็กแต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ
“ได้ข้าจะรีบไป”
เถียนสวี่หลันรีบเก็บของก่อนจะวิ่งออกจากห้องไปด้วยท่าทางตื่นเต้น เมื่อนางมาถึงหน้าประตูเรือนกลับพบว่าที่นั่นมีร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวของสำนักศึกษาจื้อกั๋วยืนอยู่ เว่ยเจ๋อหมิงหัน กลับมามองสตรีที่มีส่วนสูงเพียงแค่หัวไหล่ของตน
เขายอมรับจากใจเลยว่า เถียนสวี่หลันเป็นสตรีที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยได้พบมา แต่นิสัยที่แสนชั่วร้ายของนางนั้นเป็นเรื่องที่ยากที่จิตใจของเขาจะยอมรับ เขารู้มานานแล้วว่านางมีจุดประสงค์บางอย่างจึงได้พยายามเข้าหาตนเช่นนี้
นั่นหาใช่เพราะนางพึงใจในตัวเขาจริงๆ แต่เป็นเพราะนางคิดว่าเขาจะสามารถประสบความสำเร็จได้ในอนาคต ถ้านางแต่งงานกับเขานางก็จะได้ดื่มด่ำกับความสำเร็จเหล่านั้นไปด้วย
เว่ยเจ๋อหมิงเมื่อนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาเขาก็รู้สึกโมโหมากกว่าเดิม นางอายุเท่าใดกันถึงได้คิดเรื่องที่แสนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจได้ขนาดนี้
“เถียนสวี่หลัน ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ข้าเพียงมาบอกกับเจ้าว่า ต่อให้ต้องตายข้าก็จะไม่มีวันแต่งงานกับสตรีร้ายกาจเช่นเจ้า”
เอ่ยจบเว่ยเจ๋อหมิงก็ทำท่าจะผละจากไป แต่เขาหยุดตนเองไว้และเขาหันกลับมาเอ่ยบางอย่างกับนางอีกครั้ง
“หากเจ้ากล้าทำร้ายเถียนซู่เจิงล่ะก็ ข้าสาบานว่าข้าจะทำให้เจ้าและคนตระกูลเถียนต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
ตั้งแต่ที่นางเดินมาที่หน้าประตูจนกระทั่งเว่ยเจ๋อหมิงเดินจากไป นางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาแม้เพียงครึ่งคำ เถียนสวี่หลันขมวดคิ้วมองตามแผ่นหลังตั้งตรงของเขาไปจนลับสายตา ไม่แปลกที่เขาคิดว่านางจะหาเรื่องทำร้ายอาเล็ก ก็ตลอดมาคนตระกูลเถียนไม่เคยทำดีกับอาเล็กเลย เห็นนางปฏิบัติเช่นนี้กับอาเล็กเขาจะสงสัยก็ไม่แปลก
เถียนสวี่หลันถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ที่นางได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งไม่ใช่เพื่อที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวังวนเดิมๆ เสียเมื่อไหร่ เขาอยากจะเข้าใจอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของเขา ขอเพียงท่านอาเล็กเข้าใจนางก็พอ
เถียนสวี่หลันย้อนกลับไปที่ห้องของตน นางหยิบเอากระดาษที่ขอมาจากน้องชายออกมาคัดลายมืออีกครั้ง เมื่อก่อนเป็นเพราะนางไม่รู้หนังสือจึงได้ถูกช่งหยางเฉิงและจ้าวจื่ออิงหลอกให้ประทับลายนิ้วมือในหนังสือหย่าและเปลี่ยนมาเป็นสัญญาทาสแทน
หากว่านางอ่านหนังสือออกสักนิดเรื่องคงไม่เลยเถิดไปไกลถึงเพียงนั้น เถียนสวี่หลันสลัดเรื่องราวในอดีตทิ้งไป นางให้น้องชายช่วยสอนให้นางอ่านทีละตัวอักษรและนั่งคัดลายมือเมื่อมีเวลาว่าง
เว่ยเจ๋อหมิงที่พึ่งกลับมาถึงเรือน เขาเก็บของในห้องเรียบร้อยแล้ว จึงหยิบตำราออกมาอ่านเพื่อคั่นเวลาระหว่างที่รอมารดาและน้องชายกลับมาจากข้างนอก แต่ยิ่งเขาอ่านไปนานเท่าใดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าความรู้ในตำรามิได้เข้ามาในหัวของเขาเลย
มีเพียงใบหน้าของสตรีร้ายกาจผู้นั้นที่ยังคงวนเวียนไปมา ทำอย่างไรเขาก็สลัดนางออกจากหัวไม่ได้เสียที เว่ยเจ๋อหมิงวางตำราลงแล้วเดินไปหลังเรือน เพื่ออาบน้ำให้ตนเองได้ผ่อนคลาย
หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วเว่ยเจ๋อหมิงก็กลับมานั่งอ่านตำราอีกครั้ง ผ่านไปนานหน้าแรกก็ยังไม่ถูกพลิกไปเสียที จนเขาต้องกระแทกตำราในมือลงที่โต๊ะ เพื่อระบายอารมณ์
“บ้าจริง!!!”
ท่าทางของนางตอนนั้นก็ยังคงติดอยู่ในหัวเขา เหตุใดตอนนั้นที่เขาต่อว่านาง นางถึงไม่โวยวายเหมือนดั่งเช่นที่ผ่านมา หรือว่าสตรีผู้นั้นมีแผนร้ายอย่างอื่นอีก
ร่างสูงเดินวนไปวนมาภายในห้องด้วยท่าทางหงุดหงิด เพราะไม่สามารถหาเหตุผลเรื่องที่เถียนสวี่หลันดูเปลี่ยนไปได้ จนกระทั่งมารดาของเขาเรียกให้เขาออกไปทานข้าว แต่เว่ยเจ๋อ หมิงกลับไม่ได้ยิน
“หมิงเอ๋อแม่เรียกตั้งหลายครั้งเหตุใดถึงไม่ได้ยิน จะเหม่อลอยไปถึงเมื่อใดกัน ลูกหักโหมอ่านตำรามากไปแล้วนะ พักผ่อนเสียบ้างแม่เป็นห่วง”
เซี่ยหรงเหยามารดาของเว่ยเจ๋อหมิงเอ่ยเตือนเขาอย่างอ่อนโยน เว่ยเจ๋อหมิงรีบกระแอมไอกลบเกลื่อนท่าทางของตนเอง จากนั้นจึงพยักหน้ารับคำ ครอบครัวเล็กๆ แต่อบอุ่นทั้งสามคนนั่งลงพร้อมหน้า บนโต๊ะมีอาหารสองสามอย่างที่ทำจากผักป่าและไข่
ถึงแม้พวกเขาจะค่อนข้างยากจนและต้องอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่อยู่ใจกลางหุบเขา แต่ทุกคนก็มีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าเช่นนี้
ตั้งแต่วันนั้นที่เถียนซู่เจิงแต่งตัวออกไปพบปะผู้คนในหมู่บ้าน ภาพจำของสตรีอัปลักษณ์ของนางก็หายไป แม้แต่แม่เฒ่าจางที่ไม่ค่อยพอใจในตัวบุตรสาวผู้นี้นักก็หันมาพูดคุยกับนางมากขึ้น ทุกคนในครอบครัวเริ่มให้ความใส่ใจนางและพูดคุยเรื่องการออกเรือนของเถียนซู่เจิงอย่างจริงจัง
“ท่านย่า อาเล็กเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้านเรา ถ้าจะให้นางแต่งออกไปตระกูลอื่น ท่านต้องดูว่าพวกเขาเป็นอย่างไร ข้าหมายถึงหลังบ้านบุรุษที่จะมาขอท่านอาเล็กแต่งงาน”
แม่เฒ่าจางพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกับหลันเอ๋อ หากนางแต่งออกไปแล้วถูกครอบครัวสามีรังแก ตระกูลเถียนได้เสียหน้าแย่”
เถียนสวี่หลันหันมาขยิบตาให้อาเล็กที่นั่งเงียบมาตลอดโดยมิได้ออกความคิดเห็นใด หลายวันมานี้มีแม่สื่อเข้าออกเรือนตระกูลเถียนย้ำจนธรณีแทบสึก แต่ก็ยังไม่สามารถเลือกคนที่จะมาแต่งงานกับเถียนซู่เจิงได้
“ช่วงนี้ท่านย่ากำลังยุ่งอยู่กับการพิจารณาคนที่กำลังจะมาเป็นอาเขยเล็กของข้า เช่นนั้นเราเข้าไปในอำเภอเพื่อเที่ยวเล่นสักหน่อยดีหรือไม่ ข้าอยากได้กระดาษมาเพื่อคัดตัวอักษรและจะได้ซื้อชุดใหม่ให้ท่านด้วย”
เถียนสวี่หลันเอ่ยกับอาเล็กระหว่างที่กำลังพับเสื้อผ้าเก็บ ตั้งแต่ที่นางกลับมามีชีวิตอีกครั้งเถียนสวี่หลันก็ทำทุกอย่างด้วยตนเอง เช่นการทำความสะอาดห้องหรือซักชุดของนาง
บางครั้งนางยังช่วยเถียนซู่เจิงตักน้ำทำอาหารหรือแม้แต่ให้อาหารไก่ในเล้า ทั้งที่เมื่อก่อนนางเคยดูถูกว่างานพวกนี้เป็นงานชั้นต่ำ และตัวนางเองก็ไม่ชอบกลิ่นของมูลไก่จึงไม่เคยไปเหยียบหลังเรือนเลยสักครั้ง
ในคราแรกแม่เฒ่าจางเองก็คัดค้านไม่ให้นางทำงานพวกนี้ เพราะกลัวว่าหลานสาวคนดีจะเหน็ดเหนื่อย แต่มีหรือที่นางจะสามารถห้ามคนหัวรั้นเช่นเถียนสวี่หลันได้
สิ่งที่นางทำในตอนนี้ถือว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ในชีวิตก่อนตอนที่นางถูกหลอกให้ประทับลายนิ้วมือในหนังสือสัญญาทาส นางถูกบังคับให้ทำงานทุกอย่างในจวนที่นางเคยดูถูก แม้กระทั่งงานที่ต่ำที่สุดอย่างการทิ้งอาจมนางก็เคยทำมาแล้ว เพื่อแลกกับอาหารเล็กน้อยเพื่อประทังชีวิต
“หลันเอ๋อหากออกไปตอนนี้ เราสองคนอาจจะคลาดกันกับซวนเอ๋อก็ได้นะ ข้าคิดว่าใกล้ถึงเวลาที่เขาจะเลิกจากสำนักศึกษาที่หมู่บ้านข้างๆ แล้ว”
เถียนสวี่หลันครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเสนอความคิด
แม่นางหลี่กอดบุตรสาวเอาไว้ เถียนสวี่หลันเองก็วางมือจากพู่กันหันมากอดมารดาของตน“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ข้าสัญญา”หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป กลายเป็นตระกูลสวีที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ภายในเรือน แม้แต่สวีไคที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่กล้าออกมาสู้หน้าชาวบ้านอีกแล้ว เหตุเพราะบุตรสาวของตนทำเรื่องงามหน้าเอาไว้มากมายเช่นนั้นครบกำหนดห้าวันสวีไคได้นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาส่งให้เถียนสวี่หลันด้วยตนเอง ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่สวีไคก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะตอนนี้เขาไม่มีชาวบ้านหนานซานคอยหนุนหลังอีกแล้ว หากต้องการจะเล่นงานตระกูลเถียนถือว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขา“อาเล็กอาสะใภ้รอง พวกท่านกำลังจะไปที่ใดอย่างนั้นหรือ”เถียนสวี่หลันที่พึ่งออกมาจากห้อง เห็นสมาชิกทั้งสองของตระกูลเถียนกำลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินออกจากเรือนไป“หลายวันมานี้ฝนตกทุกวัน เรากำลังจะขึ้นเขาไปดูสักหน่อยว่ามีผักป่าขึ้นบ้างหรือไม่ เผื่อว่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาทำอาหารเย็นบ้าง”เถียนสวี่หลันได้ยินเช่นนั้นนางก็นึกสนุกขึ้นมา นางเกิดมามีชีวิตถึงสองครั้งแต่กลับไม่เคยขึ้นไปบนเขาด้านหลังหมู
ท่าทางยืนก้มหน้าเท้าเขี่ยพื้นของนางตอนนี้ในสายตาของเว่ยเจ๋อหมิงมันช่างดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้สองสามเดือนเขาได้ยินจากเถียนซู่เจิงว่าอาการของนางไม่ค่อยดี ความรู้สึกเป็นห่วงนางแปลกๆ ก็เกิดขึ้นภายในใจของเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุเขาเองก็ไม่อยากยอมรับว่าตั้งแต่ที่นางแสดงอาการหวาดกลัวซ่งหยางเฉิงออกมาที่ร้านขายตำรา ในหัวของเขาก็มีแต่ภาพของนางและไม่สามารถสลัดมันให้หลุดออกไปได้ยิ่งได้ยินว่านางกำลังป่วยเขายิ่งรู้สึกเป็นห่วงและร้อนรน เขาอยากไปพบนางที่เรือนตระกูลเถียน แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ระหว่างเขาและนางเราสองคนมิได้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน แล้วเขาจะใช้เหตุผลใดเข้าไปเยี่ยมนางเล่า“หากเจ้าไม่มีอะไรแล้วก็ปล่อยแขนของข้าเสียที มิใช่ว่าเมื่อคืนข้าพูดกับเจ้าชัดเจนแล้วหรือ ต่อไปนี้ระหว่างเราไม่จำเป็นจะต้องพูดคุย เมื่อเจ้าพบข้าโดยบังเอิญเจ้าก็ทำเหมือนข้าเป็นอากาศเสีย”เถียนสวี่หลันดึงแขนของตนออกจากมือของเว่ยเจ๋อ หมิง ก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนของหัวหน้าหมู่บ้าน เว่ยเจ๋อ หมิงมองมือที่ว่างเปล่าของตนไม่ต่างจากหัวใจของเขาที่เหมือนถูกฉีกกระชากเขาไม่รู้ว่าเหตุใดทุกครั้งที่เขาพยายามจะพูดคุยดีๆ กับนา
นักพรตหนุ่มที่สวีม่านนีเชิญมา จัดตั้งโต๊ะประกอบพิธีกรรมขับไล่ดวงวิญญาณทันที หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายยุติการโต้เถียงกัน ชาวบ้านในอำเภอเหออันต่างก็รู้ดีเรื่องชื่อเสียงของนักพรตผู้นี้ ทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นพนมหลังจากที่เขาเริ่มบทสวดเสียงสวดภาวนาของเขาดังก้องไปทั่วหมู่บ้าน ทุกคนต่างเงียบเพื่อรอดูเหตุการณ์ต่อไป เถียนสวี่หลันที่เป็นตัวเอกยืนมองชาวบ้านที่มามุงดูด้วยสายตาเรียบเฉยแม้จะมีโอกาสได้มีชีวิตถึงสองครั้ง แต่เรื่องวุ่นวายทำนองนี้ก็ไม่ยอมหายไปจากชีวิตของนางเสียที นางจะต้องทำอย่างไรที่จะให้พวกเขายอมเลิกราไปแต่โดยดี เถียนสวี่หลันถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายผู้ช่วยที่ติดตามนักพรตมาด้วยเชือดไก่สองตัวเพื่อรีดเอาเลือดของมัน ทุกคนเห็นกับตาว่าไก่สองตัวนั้นดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดจนกระทั่งมันหยุดดิ้นเพราะถูกรีดเอาเลือดไปจนหมดตัวผู้ช่วยนำเลือดมาวางด้านหน้านักพรตหนุ่มที่ยืนกวัดแกว่งกระบี่ไม้ของตนที่หน้าปะรำพิธี นักพรตหนุ่มผู้นั้นยังคงหลับตาปากก็ไม่ยอมหยุดสวดภาวนา จนกระทั่งเขาใช้ยันต์แผนสี่เหลืองโยนขึ้นไปด้านบนพร้อมกัน สวีม่านนีที่ยืนมองอยู่ข้างสวีไคมองไปยังเถียนสวี่หลันที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อม ใบหน
เมื่อได้ยินเถียนสวี่หลันเอ่ยเช่นนั้น ชาวบ้านหนานซานทั้งหมดต่างก็มองไปที่หัวหน้าหมู่บ้านเป็นตาเดียว สวีไคมีท่าทีลังเลเล็กน้อย หากวันนี้เขาไม่ยอมรับผิดชอบคำพูดของตน ต่อไปคงจะไม่มีใครเชื่อถือในคำพูดของเขาอีกต่อไปแล้ว“ได้ เถียนสวี่หลันหากว่าเจ้ามิได้ถูกผีเข้า ข้าจะยอมจ่ายให้เจ้ายี่สิบตำลึงเป็นค่าทำขวัญ”เถียนสวี่หลันยกยิ้มมุมปาก ยี่สิบตำลึงอย่างนั้นหรือ เงินเพียงแค่นั้นยังไม่พอค่าจ้างและค่าเสียเวลาของข้าเลยสักนิด นางส่ายหน้าปฏิเสธ“หนึ่งร้อยตำลึง ไม่อย่างนั้นข้าจะไปแจ้งกับทางการว่าพวกเจ้าชาวบ้านหนานซานใส่ร้ายข้าและคิดจะบีบคั้นให้คนตระกูลเถียนของข้าออกไปจากหมู่บ้าน”“พวกเจ้าลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือ ว่าหลายคนที่นี่ต่างก็เช่าที่ดินของบ้านข้าทำนาอยู่ หากไม่อยากอดตายก็จงทำตามที่ข้าเรียกร้องซะ ไม่อย่างนั้น....ข้าจะให้ท่านปู่ขายที่ดินในหมู่บ้านหนานซานคืนให้ทางการ เมื่อถึงเวลานั้นค่าเช่าก็คงจะเป็นหกต่อสี่ อีกทั้งยังต้องจ่ายภาษีให้กับทางการอีก พวกเจ้าจงเลือกเอาว่าจะเลือกหนทางไหน”เถียนสวี่หลันยิ้มเยาะเย้ยสวีไค หากเขาไม่ทำตามความต้องการของนาง คนที่ถูกกดดันก็จะเป็นตัวเขาเอง ใครบ้างไม่รู้ว่าคนตระกูลเถ
“เราไปกันเถอะไปดูว่าวันนี้จะมีงิ้วอันใดให้ดูกัน”สองอาหลานเดินมาถึงหน้าเรือน ที่นั่นมีครอบครัวของนางรวมตัวอยู่กันครบนอกจากเถียนห่าวซวนที่ไปสำนักศึกษา เถียนสวี่หลันมองชาวบ้านที่มาชุมนุมที่หน้าเรือของนางทีละคน ก่อนที่จะไปหยุดที่สวีม่านนีที่ยืนอยู่หลบอยู่ด้านหลังบิดาของนาง“ท่านย่า ชาวบ้านเหล่านี้มาที่เรือนของเราด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ”เถียนสวี่หลันถามแม่เฒ่าจางด้วยใบหน้าใสซื่อ เหมือนนางไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้“จะอะไรเสียอีก ก็คนพวกนี้หาว่าหลันเอ๋อของย่าถูกผีเข้าน่ะสิ จึงได้พาซินแสมาที่นี่”หลังจากแม่เฒ่าจางเอ่ยจบคนตระกูลเถียนก็มายืนขวางระหว่างนางและชาวบ้านเอาไว้ เถียนสวี่หลันเห็นเช่นนั้นนางก็รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจทันทีเหตุใดชีวิตก่อนนางถึงมองไม่เห็นความรักความหวังดีที่พวกเขามีให้นางบ้างเลยนะ หลังจากที่ซ่งหยางเฉิงเดินทางเข้าไปในเมืองหลวง นางก็รีบตามเขาไปไม่แม้แต่จะคิดติดต่อกลับมาที่ตระกูลเถียนอีกเลยนางนี่ช่างเป็นคนเลวที่ลืมแม้แต่บุญคุณของคนในครอบครัวที่รักและปกป้องนางมาทั้งชีวิต หรือว่าเรื่องที่เกิดกับนางทั้งหมดจะเป็นเวรกรรมที่นางสมควรได้รับกัน“แม่เฒ่าจาง ท่านอย่าปกป้องนา
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!!”เถียนสวี่หลันพยายามแกะมือใหญ่ที่กำลังลากตนด้วยท่าทางทุลักทุเล เพราะเว่ยเจ๋อหมิงที่ตัวสูงกว่าจึงทำให้ภาพออกมาเหมือนเขากำลังหิ้วเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งในมือ“เถียนสวี่หลันบอกมาซิว่าเจ้าเข้าไปทำอันใดในเรือนตระกูลสวี ข้านึกว่าหลายเดือนมานี้ที่เจ้าอยู่เงียบๆ เป็นเพราะว่าเจ้าคิดได้แล้ว แม้แต่อาเล็กของเจ้าก็ยังเอ่ยปากแทนว่านิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่การแสดงสินะ สุนัขที่เคยกินอาจมมันย่อมไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยได้ง่ายๆ”เถียนสวี่หลันหยุดดิ้นทันที ดวงตาแดงก่ำจ้องไปยังร่างสูงอย่างแข็งกร้าว คำพูดที่แสนดูถูกของเขาทำให้นางนึกถึงเรื่องราวในชีวิตก่อน ตอนที่นางยังไม่ได้ถูกตัดแขนขานางเคยถูกบ่าวรับใช้ในเรือนของซ่งหยางเฉิงรังแก พวกเขาทุกคนต่างประชดประชันนางว่าเป็นหมูบ้างล่ะ เป็นสุนัขที่กินอาจมบ้างล่ะคำพูดดูแคลนสารพัดต่างก็ถูกซัดสาดมาที่นาง หลังจากที่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งเถียนสวี่หลันไม่คิดว่าตนจะมาได้ยินคำพูดดูถูกเหล่านั้นอีกครั้งดวงตากลมโตไหวระริก ความเจ็บปวดทั้งหลายปรากฏขึ้นในดวงตางาม เถียนสวี่หลันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ นางไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอต่







