บนใบหน้าของอวิ๋นฝูหลิงปรากฏเส้นขีดสีดำนางตัดสินใจว่าเมื่อกลับไปจะตีพวกลูกพี่อู๋เสียหน่อยต้องเป็นพวกเขาที่พูดเรื่องไร้สาระเป็นแน่ เด็กถึงได้ฟังจนเรียนรู้ไปเช่นนี้อวิ๋นฝูหลิงคุกเข่าลง ก่อนจะดึงอวิ๋นจิงมั่วมาถาม “เหตุเจ้าจึงวิ่งมาที่นี่ได้? แล้วมาตั้งแต่เมื่อใด?”อวิ๋นจิงมั่วจิ้มนิ้ว ก่อนจะพูดอย่างรู้สึกผิด “ข้าอยากมาเจอท่านลุง ก็เลยให้พี่เหยากวงพาข้ามาขอรับ”“ข้าได้ยินพวกท่านทะเลาะกัน”“ทะเลาะกันไม่ดีนะขอรับ พวกท่านไม่ทะเลาะกันได้หรือไม่?”“ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ท่านลุงได้รับบาดเจ็บ ท่านแม่ยอมให้ท่านลุงหน่อยเถอะขอรับ...”เหยากวงยืนอยู่นอกประตู เพราะได้ยินเสียงโต้เถียงกันด้านใน จึงจงใจอยู่ห่าง ๆ และไม่กล้าเข้ามาอวิ๋นฝูหลิงได้ยิน ก็รู้สึกอึดอัดอย่างอธิบายไม่ถูกเจ้าเด็กหน้าเหม็นนี่ช่างลำเอียงไปทางเซียวจิ่งอี้เสียจริง!รู้หรือไม่ว่าผู้ใดเก็บอึเก็บปัสสาวะและเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่?นางแอบต่อว่า ขณะที่มองอวิ๋นจิงมั่วเอามือเล็กเท้าเอว พลางดุเซียวจิ่งอี้“ท่านลุง ท่านอย่ารังแกท่านแม่ของข้านะขอรับ!”“ไม่อย่างนั้นมั่วมั่วจะไม่ชอบท่านแล้ว!”เซียวจิ่งอี้พยักหน้าโดยพลัน และอธิบายว่า “
อวิ๋นฝูหลิงยืนเงียบอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้รบกวนการทำความรู้จักกันของสองพ่อลูกอวิ๋นจิงมั่วร้องไห้สะอึกสะอื้นระบายความรู้สึกออกมากระทั่งอวิ๋นจิงมั่วเงยหน้าขึ้นจากอ้อมกอดของเซียวจิ่งอี้ ดวงตาของเขาแดงก่ำจากการร้องไห้ ทว่าดวงหน้าเล็ก ๆ กลับเผยความเขินอายออกมาเล็ก ๆเขามิใช่เด็กเล็ก ๆ แล้ว แต่กลับกอดท่านพ่อร้องไห้จนเสียงขึ้นจมูกเสียอย่างนั้นขืนเหล่าสหายรู้เข้า ต้องล้อจนเขาอับอายขายขี้หน้าเป็นแน่กลางวัน สามคนหนึ่งครอบครัวกินข้าวด้วยกันเป็นครั้งแรกที่อวิ๋นจิงมั่วได้รู้ซึ้งถึงความหมายของการกินข้าวพร้อมกับท่านพ่อท่านแม่อย่างแท้จริง จึงตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุดเขามองเซียวจิ่งอี้ที่นั่งอยู่ทางขวามือของเขา แล้วก็หันไปมองอวิ๋นฝูหลิงที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือ รับรู้ได้เพียงแค่ว่าตนเองนั้นเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในใต้หล้าเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงเห็นท่าทางดีอกดีใจของบุตรชายแล้ว ทั้งคู่จึงเข้าใจตรงกันทันทีโดยที่ไม่ต้องพูดว่าไม่ควรพูดเรื่องอันใดก็ตามที่ฟังแล้วไม่เสนาะหูขึ้นมาพวกเขาให้ความร่วมมือกับบุตรชายสุดความสามารถ สวมบทบาทเป็นบิดามารดาที่ดีกระทั่งยามค่ำ อวิ๋นจิงมั่วดึงดันจะนอนกับเซียวจิ่งอี้
เขากำลังนั่งอยู่ข้างหน้าเตียง คอยเฝ้าอวิ๋นจิงมั่วไปพลาง หยิบตำราขึ้นมาอ่านไปพลางอวิ๋นฝูหลิงเห็นภาพตรงหน้านี้แล้ว ถึงกับเหม่อลอยไปชั่วขณะโฉมหน้าด้านข้างของบุรุษโฉมงามช่างเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้างจริง ๆนี่มันความงามระดับไหนกันนะ เป็นความงดงามที่นางไม่ต้องเสียเงินก็เชยชมได้แน่หรือ?ส่วนเจ้าก้อนซาลาเปาก้อนน้อย ๆ บนเตียงก็ช่างนุ่มนิ่มน่ารักน่าชังไม่มีใครเทียบอวิ๋นฝูหลิงอดยกมือกุมหน้าอกไว้ไม่ได้ นางรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นระรัวจนแทบจะกระเด็นกระดอนออกมาบุรุษที่หน้าตาตรงตามรสนิยมของนางขนาดนี้ เหตุใดถึงต้องเป็นองค์ชายด้วยนะ?หากเป็นเพียงคุณชายจากครอบครัวขุนนางธรรมดา ๆ ละก็ ไม่แน่ว่าเมื่อวานนี้นางอาจจะหักห้ามใจตัวเองไว้ไม่อยู่ก็ได้ทว่ากับราชวงศ์นั้นไม่เหมือนกัน จะต้องมีกฎเกณฑ์มากมายรออยู่แน่นอนหากน้องตกลงยอมเป็นพระชายาอี้อ๋อง เกรงว่าวันข้างหน้าคงจะไม่ต่างอะไรกับวิหคปีกหัก ถูกขังไว้ในกรงทองเป็นแน่จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด!นางตั้งมั่นไว้แล้วว่าจะเป็นหมอเทวดาที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วล้าให้ได้ระหว่างหน้าที่การงานกับบุรุษนั้น แต่ไหนแต่ไรมานางก็เลือกหน้าที่การงานมาเป็นอันดับแ
อวิ๋นฝูหลิงได้ให้คนนำความไปแจ้งแก่นายท่านหางแล้วดังนั้นเหล่าคนไข้ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาต่อหลังจากวันประลองวิชาแพทย์ ล้วนได้รับการแจ้งให้มารับการตรวจโรคอีกครั้งที่สำนักผิงอันอวิ๋นฝูหลิงเป็นคนที่หากได้เริ่มทำอะไรแล้วต้องทำต่อจนเสร็จโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนไข้ของนาง นางต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุดกระทั่งอวิ๋นฝูหลิงตรวจอาการให้เหล่าคนไข้ที่มารับการตรวจอีกครั้งเสร็จแล้ว นายท่านหางก็มาถึงได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ เขาประสานมือให้อวิ๋นฝูหลิงพลางกล่าว “แม่นางอวิ๋น ท่านปู่ของข้าอยากพบเจ้าสักครั้ง ไม่รู้ว่าเจ้าจะสะดวกหรือไม่?”ตั้งแต่ครั้งที่ประลองวิชาแพทย์แล้วได้พบกับนายท่านผู้เฒ่าหางในวันนั้น อวิ๋นฝูหลิงก็เดาได้ว่าจะต้องเจอกับเรื่องเช่นนี้นางเองก็อยากพบหน้านายท่านผู้เฒ่าหางอยู่พอดีอวิ๋นฝูหลิงได้พบนายท่านผู้เฒ่าหางในเรือนหลังหนึ่งที่นายท่านหางซื้อไว้ในหัวเมืองเดิมทีนายท่านผู้เฒ่าหางอยากจะมาพบอวิ๋นฝูหลิงตามลำพังสักครั้งหลังจากจบการประลองวิชาแพทย์ในวันนั้นใครจะไปรู้ว่าอยู่ดี ๆ ก็มีมือลอบสังหารโผล่เข้ามาเสียอย่างนั้นและอี้อ๋องก็มาออกราชการที่เจียงโจวโดยปิดบังสถานะ ทั้งยังต้องธนูของมื
ปีนั้นอวิ๋นกานซงอยากครอบครองสินทรัพย์ของจวนโหวและสำนักช่วยชีพใจจะขาด ทั้งครอบครัวสมรู้ร่วมคิดกันวางแผนร้าย วางยาอวิ๋นฝูหลิงด้วยอยากจะทำให้ชื่อเสียงของนางต้องเสื่อมเสีย ใครจะรู้เล่าว่าจะเกิดเหตุการณ์จับพลัดจับผลูไปมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับองค์ชายเจ็ดเข้าอวิ๋นกานซงกลัวว่าอวิ๋นฝูหลิงจะใช้เรื่องนี้ปีนป่ายเข้าไปอยู่ในราชวงศ์ แล้วพอตรวจสอบหาความจริงได้ก็จะมาแก้แค้นพวกเขา จึงคิดเผานางให้ตายอยู่ในกองเพลิงเสียเลยเคราะห์ดีที่แม่นมของนางเป็นคนฉลาดเฉียบแหลม หลังรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ก็พานางหนีออกมาทันทีครั้นนายท่านผู้เฒ่าหางได้ฟังจนจบก็เดือดพล่านขึ้นมาทันทีทันใด เขากัดฟันกรอดด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอ้เด็กนั่นมันกล้าดีอย่างไร!”นายท่านหางและท่านหมอหางเองก็มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวนายท่านผู้เฒ่าหางตำหนิตนเองว่า “ต้องโทษข้า ตอนนั้นหลังจากที่ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าตายจากไป ไม่ควรปล่อยให้เจ้าอยู่ที่จวนโหว แล้วให้คนเจ้าคนสับปลับจิตใจโหดเหี้ยมนั่นเลี้ยงดูเลย”“หากมีศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างพวกเราหลายครอบครัวคอยเลี้ยงดูเจ้า คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้แน่!”“ตอนนั้นเขาสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะ พวกเราเองก็เห็นว่าเข
นายท่านผู้เฒ่าหางพูดจบ ก็หันไปมองอวิ๋นฝูหลิง “ทางเจ้าเองคงมีแผนการอะไรอยู่แล้วกระมัง?”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า “ข้าต้องทวงคืนจวนจี้ชุนโหวกับสำนักช่วยชีพกลับมาให้ได้ รวมถึงของพวกนั้นที่ท่านพ่อท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้าด้วย!”นายท่านผู้เฒ่าหางว่า “ควรทำแล้วละ เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของท่านอาจารย์ ทั้งสำนักช่วยชีพและจวนจี้ชุนโหวล้วนเป็นของเจ้าอยู่แต่เดิมอยู่แล้ว!”เดิมทีนายท่านหางและท่านหมอหางยังไม่รู้เรื่องราวนักครั้นยามนี้ได้ยินนายท่านผู้เฒ่าหางพูดออกมาเช่นนี้แล้ว จึงได้รู้ว่าอวิ๋นกานซงนั้นมิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริงของสกุลอวิ๋น แต่เป็นบุตรที่เกิดจากสตรีนอกจวนกับท่านปู่ที่แต่งเข้าสกุลอวิ๋นของอวิ๋นฝูหลิงภายหลังจากที่เข้ามาในจวนจี้ชุนโหวแล้ว ท่านย่าของอวิ๋นฝูหลิงไม่ได้ทำให้เรื่องราวใหญ่โตด้วยเห็นแก่ความรักความผูกพันฉันสามีภรรยาจะอย่างไรจวนโหวก็มีทายาทสืบสกุลแล้ว ถือว่าทำกุศลด้วยการเลี้ยงดูคนนอกเพิ่มอีกสักคน ให้เขาได้มีข้าวกินก็เท่านั้นเรื่องนี้มีเพียงคนที่ใกล้ชิดกับสกุลอวิ๋นเท่านั้นที่ล่วงรู้ฉะนั้นในสายตาของคนนอกแล้ว ล้วนเข้าใจว่าอวิ๋นกานซงเป็นบุตรชายคนที่สองของสกุลอ
“การประชุมใหญ่แวดวงแพทย์จะจัดขึ้นทุก ๆ ยี่สิบปี และทุกครั้งจะจัดขึ้นในวันที่สิบเดือนสิบ ซึ่งกินระยะเวลาหนึ่งเดือน”“ปีนี้ก็ตรงกับปีที่ต้องจัดการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์พอดิบพอดี”“แพทย์ทั่วหล้าล้วนเคารพนับถือสกุลอวิ๋น ท่านหมอมีชื่อมีแซ่ทุกคนล้วนรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งเมื่อได้รับเทียบเชิญการประชุมของสกุลอวิ๋น”“จะว่าไป การประชุมใหญ่แวดวงแพทย์คราวก่อนก็ได้บิดาเจ้าเป็นผู้จัด เพียงแค่ชั่วพริบตาก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว”“ข้าว่า การประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ในครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดี ที่เจ้าจะใช้ฐานะผู้นำตระกูลสกุลอวิ๋นมาเปิดเผยตัวตนของเจ้าต่อหน้าผู้คนในแวดวงแพทย์อย่างเป็นทางการ”“เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ตัวเอง ทั้งยังได้เปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของอวิ๋นกานซงต่อหน้าเหล่าแพทย์ทั่วหล้า ห้ามมิให้เขาได้อ้างชื่อสกุลอวิ๋นได้อีก!”อวิ๋นฝูหลิงขบคิด นางคิดว่าบางที่การประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ในครานี้อาจจะเป็นโอกาสที่นางตามหามาตลอดก็เป็นได้จู่ ๆ นายท่านหางก็โพล่งขึ้นมาว่า “ข้าได้ฟังข่าวลือมา ว่ากันว่าการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ครานี้ อวิ๋นกานซงจะเป็นคนออกหน้าจัดด้วยตัวเอง”นายท่านผู้เฒ่าหางเผยสีหน้าหยามเหยียด“เข
ทันทีที่อวิ๋นจิงมั่วเห็นอวิ๋นฝูหลิง ก็รีบพุ่งเข้าไปหาราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ลูกน้อย ๆ ทันที“ท่านแม่ ทำไมท่านถึงกลับมาดึกเช่นนี้?”เซียวจิ่งอี้กล่าวขึ้นมาข้าง ๆ ว่า “เขารอเจ้าอยู่ตลอด รอให้เจ้ากลับมากินมื้อเย็นด้วยกัน”อวิ๋นฝูหลิงลูบแก้มอวิ๋นจิงมั่ว “ขอโทษนะ วันนี้แม่มีกิจนิดหน่อย เลยกลับมาดึก”อวิ๋นจิงมั่วกอดขาอวิ๋นฝูหลิงไว้ ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไรขอรับ ท่านแม่มีกิจต้องทำ มั่วมั่วรอท่านแม่ได้”เซียวจิ่งอี้สั่งให้บ่าวรับใช้ตั้งสำรับกระทั่งอวิ๋นฝูหลิงกลับมาจากล้างหน้าล้างตาและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า อาหารทั้งหลายก็ตั้งอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้วหลังกินข้าว อวิ๋นฝูหลิงไปเดินย่อยอาหารกับอวิ๋นจิงมั่วที่ลานเรือนไม่รู้ว่าเซียวจิ่งอี้ตามมาตอนไหน เขากล่าวกับอวิ๋นฝูหลิงว่า “สกุลหางมีชื่อเสียงไม่เลว นายท่านผู้เฒ่าหางเองก็เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับน้ำใจไมตรียิ่งผู้หนึ่ง”“หากเจ้าอยากร่วมมือกับสกุลหางทวงคืนของของสกุลอวิ๋นกลับมา สกุลหางก็นับว่าเป็นกำลังที่มีประโยชน์จริง ๆ ”“แต่ก็ไม่อาจเชื่อใจคนสกุลหางได้ทั้งหมด ให้เชื่อแค่เจ็ดส่วน แล้วเผื่อใจไว้อีกสามส่วนพอ หากวันข้างหน้าเกิดการเปลี่ยนแป
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ