“เพราะธรรมเนียมชายหญิง หมอหลวงตรวจโรคให้สนมในวังหลัง มักจะมีจุดที่ไม่สะดวก ด้วยเหตุนี้สำนักหมอหลวง จึงได้คัดเลือกหมอหญิงบางส่วนเข้ามา”“บอกว่าเป็นหมอหญิง แต่ที่จริงมีความรู้เพียงเล็กน้อย จะคอยช่วยดูอาการตอนหมอหลวงวินิจฉัยโรคให้เหล่าสนม”“อวิ๋นหลิงจือเรียนแพทย์กับอวิ๋นกานซงตั้งแต่เด็ก ฝีมือการแพทย์ย่อมดีกว่าหมอหญิงในวังไม่น้อย ดังนั้นเวลาที่ไทเฮาประชวร อวิ๋นกานซงก็จะพาอวิ๋นหลิงจือเข้าวัง สองพ่อลูกร่วมกันถวายการรักษาไทเฮา”“มีครั้งหนึ่งอวิ๋นหลิงจือเข้าวัง บังเอิญเจอนางกำนัลคนนั้นป่วย ก็เลยถือโอกาสรักษานางกำนัลคนนั้นด้วยเลย จึงผูกสายสัมพันธ์ส่วนหนึ่งร่วมกัน”“นางกำนัลคนนั้นตื้นตันใจ จดจำบุญคุณส่วนนี้ไว้ในใจมาโดยตลอด ดังนั้นคืนนี้จึงพยายามช่วยอย่างเต็มที่”อวิ๋นฝูหลิงฟังจนเบิกตากว้าง คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นหลิงจือก็มีวันที่ทำความดีด้วยแต่ว่านางให้ความสนใจหมอหญิงของสำนักหมอหลวงมากกว่าโลกนี้มีหมอผู้หญิงน้อยมาก นอกจากตนแล้ว จนถึงปัจจุบัน อวิ๋นฝูหลิงเพิ่งเคยเจอแม่นางหลี่ของเขตปกครองจินโจวที่เป็นหมอผู้หญิงแต่ใต้ฟ้ามีผู้หญิงที่เจ็บป่วยมากมาย และเพราะต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมชายหญิง ดังนั้นเ
อวิ๋นฝูหลิงแฝงตัวอยู่ในฝูงชน มองดูท่าทางที่สิ้นหวังของอวิ๋นหลิงจือ รู้สึกสาแก่ใจนัก!อวี้อ๋องเป็นคนนิสัยไม่สนใจคำพูดคนอื่น แม้ถูกผู้คนพบเห็นสมสู่กับผู้หญิงหลังจากดื่มจนเมา ก็ไม่ใส่ใจเลยสักนิดขอแค่ไม่ได้นอนกับนางสนมในวังหลัง ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรอย่างมากรับเข้าจวนอ๋องก็สิ้นเรื่องมองดูอวิ๋นหลิงจือที่ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเสียมารดา แม้อยู่ต่อหน้าหญิงงาม ก้นบึ้งหัวใจของอวี้อ๋องก็เกิดความรำคาญเสี้ยวหนึ่งร้องอะไรนักหนา?ก็แค่ลูกสาวของหมอหลวงคนหนึ่ง ได้นอนกับเขาคือวาสนาของนาง!ขณะที่เขากำลังจะพูดว่าตนจะรับผิดชอบ ทันใดนั้นได้ยินเสียงสายหนึ่งดังออกมาจากฝูงชน “เอ๋ กลิ่นในห้องนี้แปลกๆ เหมือนเป็นกลิ่นของธูปสะกดอารมณ์”เมื่ออวี้อ๋องได้ยิน ก็รู้สึกถึงความผิดปกติเล็กน้อยแม้เขาดื่มเหล้า แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ไม่มีสติ ก่อนหน้านี้ทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง ก็รู้สึกร้อนรุ่มเหมือนเลือดในร่างกายพลุ่งพล่านเมื่อเห็นผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียง ก็กระโจนเข้าไปอย่างแทบไม่สามารถควบคุมแม้อวี้อ๋องชอบหญิงงาม แต่ผู้หญิงที่ตนโปรดปรานเพราะอารมณ์ชั่ววูบ กับถูกคนออกอุบายใช้ธูปสะกดอารมณ์ สองอย่างนี้แตกต่างกั
ทุกคนรีบโค้งคำนับทันทีฮ่องเต้จิ่งผิงมองอวี้อ๋องแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะปวดศีรษะน้องชายคนนี้ของเขาดีทุกอย่าง จะเสียก็แต่หื่นกามไปหน่อยนอนกับผู้หญิงคนหนึ่งไม่นับอะไร แต่ดันอยู่ในงานเลี้ยงพระราชวังเทศกาลไหว้พระจันทร์ และยังทำให้เรื่องมันบานปลายเสียหน้าราชวงศ์จริงๆชุยกุ้ยเฟยกับซูกุ้ยเฟยก็ไม่พอใจเป็นอย่างมากพวกนั้นทุ่มทั้งแรงกายแรงใจจัดงานเลี้ยงพระราชวังเทศกาลไหว้พระจันทร์ครั้งนี้ เดิมทีทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น ไทเฮากับฝ่าบาทพึงพอใจมาก เหล่าขุนนางก็สุขสันต์สำราญใครจะรู้ว่างานเลี้ยงพระราชวังดีๆ จะมาถูกขัดจังหวะเพราะเรื่องเช่นนี้ชั่วขณะ สายตาของชุยกุ้ยเฟยกับซูกุ้ยเฟยคมเหมือนกับมีด มองตรงไปที่อวิ๋นหลิงจือเวลานี้อวี้อ๋องสวมเสื้อชั้นนอกแล้ว เขาคุกเข่าก้มลงกล่าวขอโทษ “เสด็จพี่ กระหม่อมเมาสุรา ประพฤติตนไม่เหมาะสม จึงทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ลงไป”“กระหม่อมยินดีรับโทษ!”ฮ่องเต้จิ่งผิงพ่นลมออกจากจม “วังหลวงเป็นสถานที่สำคัญ มาทำเรื่องเช่นนี้ สมควรลงโทษ!”“ทำลายความบริสุทธิ์ของเด็กผู้หญิง ยิ่งสมควรลงโทษสถานหนัก!”อวี้อ๋องรีบกล่าวทันที “กระหม่อมยินดีรับนางเข้าจวนอ๋อง มอบตำแหน่งซู่เ
ในมุมของอวิ๋นหลิงจือ อย่างไรก็ตามจวนอ๋องมั่งคั่งกว่าจวนอันกั๋วกงมากแม้เป็นแค่ซู่เฟย แต่ถ้านางสามารถให้กำเนิดลูกชาย ก็คือสายเลือดราชวงศ์ วันข้างหน้าจะได้รับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งอันไร้ที่สิ้นสุดยิ่งกว่านั้นนางเสียตัวให้อวี้อ๋องแล้ว ทางจวนอันกั๋วกงไม่มีทางให้อันอวี้หลินแต่งงานกับนางแน่นอน เกรงว่าแม้แต่อนุภรรยาก็เป็นไม่ได้ในเมื่อล้วนเป็นอนุภรรยา เป็นอนุภรรยาของราชวงศ์ย่อมดีกว่าแต่ทั้งหมดนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่มีใครรู้ว่านางเคยทำอะไรเมื่อไรที่มีการตรวจสอบอย่างละเอียด เช่นนั้นเรื่องที่นางวางยาและล่อคนมา เกรงว่าจะปิดไม่อยู่แล้วถึงเวลา มีแต่จะนำภัยมาสู่ตัวอวิ๋นหลิงจือร้อนใจจนไม่รู้จะทำอย่างไรเวลานี้เอง ฉงอวี้จวิ้นจู่ขยิบตาให้สาวใช้ข้างกายตัวเองสาวใช้คนนั้นลากนางกำนัลคนหนึ่งออกมาจากฝูงชนทันที“ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้นางกำนัลคนนี้แหละเพคะที่มารายงานจวิ้นจู่ บอกว่าจวิ้นหม่าอยู่ที่หลังตำหนัก คิดไม่ถึงว่าไม่เจอจวิ้นหม่า กลับเจออวี้อ๋องอยู่ที่นี่แทนเพคะ”สาวใช้ของฉงอวี้จวิ้นจู่ผลักนางกำนัลน้อยคนนั้นออกไปชั่วขณะนางกำนัลน้อยคนนั้นยืนไม่มั่นคง กระโจนล้มลงไปที่พื้น กลัวจน
“ใช่แล้ว ซื่อจื่ออันกั๋วกงไปไหนแล้ว?”ใบหน้าของอวี้อ๋องบูดบึ้ง สีหน้าดูน่าเกลียดมากตอนนี้เขาจึงจะเข้าใจ คนที่เป็นเป้าหมายของอวิ๋นหลิงจือคืออันอวี้หลินซื่อจื่ออันกั๋วกงแต่ตนพลั้งเผลอบุกเข้ามา จึงเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้โดยที่ไม่รู้อะไรเลยสายตาของอวี้อ๋องที่มองอวิ๋นฝูหลิงคมราวกับมีด อยากแทงใส่นางครั้งแล้วครั้งเล่าอวี้อ๋องชอบหญิงงามเป็นเรื่องจริง กลับรังเกียจผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์มากอุบายที่สุด ผู้หญิงเช่นนี้ แม้เป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติบนเตียง เขาก็ไม่ต้องการเวลานี้เอง ขันทีน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ กระซิบข้างหูเกากงกงสองสามคำหลังจากเกากงกงได้ยิน ก็รีบเดินเข้าไปรายงานฮ่องเต้จิ่งผิง “ฝ่าบาท คนของอันกั๋วกงเจอซื่อจื่ออันกั๋วกงที่ศาลาริมน้ำ ซื่อจื่ออันกั๋วกงดูผิดปกติ หมอหลวงที่เข้าเวรไปดูแล้ว บอกว่าซื่อจื่ออันกั๋วกงโดนวางยาปลุกอารมณ์ที่มีฤทธิ์รุนแรง”เมื่อข่าวของซื่อจื่ออันกั๋วกงมาถึง ก็เหมือนกับในที่สุดก็เจอชิ้นส่วนที่ขาดหายไปของภาพวาดนำทุกอย่างมาเชื่อมโยงกัน ทุกอย่างก็สมเหตุสมผลแล้วมีความรังเกียจสายหนึ่งแลบผ่านแววตาฮ่องเต้จิ่งผิง“อวิ๋นหลิงจือใช้ยาเสน่ห์ในวัง วิธีการ
ณ ห้องรับรองในจวนอี้อ๋องอวิ๋นฝูหลิงคิดไม่ถึงว่าพระชายาองค์ชายห้ากับซื่อจื่อน้อยเซียวลี่จะมาเยือนพระชายาองค์ชายห้ากล่าวอย่างรู้สึกผิด “เดิมทีควรจะส่งเทียบเชิญมาก่อนล่วงหน้า แต่อาลี่งอแงอยากจะมาเล่นกับจิงมั่ว...”อวิ๋นฝูหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ห้ากล่าวเช่นนี้จะดูห่างเหินเกินไปกระมัง ครอบครัวเดียวกันย่อมมิจำเป็นต้องใส่ใจเรื่องเหล่านั้น”“เมื่อคืนจิงมั่วบอกข้าแล้วเช่นกัน ว่าเขาชอบอาลี่ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขามาก จึงชวนอาลี่ให้มาเล่นด้วย”พระชายาองค์ชายห้าเห็นความสนิทสนมผ่านคำพูดของอวิ๋นฝูหลิง รอยยิ้มในแววตาก็จริงใจขึ้นหลายส่วนองค์ชายห้ามิได้มีพรสวรรค์มากนัก ทั้งยังไม่มีความทะเยอทะยาน พระชายาองค์ชายห้าก็มิได้มีพื้นเพครอบครัวโดดเด่นในหมู่พระชายาเช่นกัน สองสามีภรรยาเพียงแค่ต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่ต้องการเข้าไปพัวพันเรื่องการต่อสู้แย่งชิงอำนาจทว่าพระชายาองค์ชายห้ามีความเข้าใจในสถานการณ์เป็นอย่างดี ด้วยสถานะของพวกเขา ต่อให้พวกเขาไม่ต่อสู้แย่งชิง แต่หากไร้ผู้สนับสนุน ผู้อื่นย่อมไม่ปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆมารดาขององค์ชายห้าเสียชีวิตจากภาวะคลอดยาก ฮ่องเต้จิ่งผิงยุ่งอยู่กับราชกิจ
นางเอนกายมาด้านหน้าเล็กน้อย เข้าไปใกล้อวิ๋นฝูหลิง ก่อนจะใช้มือป้องปาก พลางถามเสียงเบาว่า “อาการป่วยหลังคลอดก็สามารถรักษาได้เช่นกันหรือ?”อวิ๋นฝูหลิงยิ่งคิดว่าการคาดเดาของตัวเองถูกต้องมากขึ้นเรื่อย ๆ พระชายาองค์ชายห้ามาหาในวันนี้เพราะอยากรับการรักษานางยิ้มให้พระชายาองค์ชายห้า “พี่สะใภ้ห้า ไม่สู้ท่านตามข้าไปตรวจอาการด้านในจะดีกว่า”พระชายาองค์ชายห้ารู้ได้โดยพลันว่าอวิ๋นฝูหลิงคาดเดาเจตนาของนางออกแล้ว สีหน้าจึงอดแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้อวิ๋นฝูหลิงจับมือนาง ก่อนจะเลียนแบบท่าทางของนาง และพูดเสียงเบาเหมือนกันว่า “เมื่อป่วยก็ไปหาหมอ เป็นเรื่องธรรมดาเช่นเดียวกับการที่ต้องกินข้าวเมื่อหิวและดื่มน้ำเมื่อกระหาย ไม่มีสิ่งใดต้องอาย”กล่าวจบ ก็พาพระชายาองค์ชายห้าไปที่หลังเรือนเจตนาดั้งเดิมของพระชายาองค์ชายห้าคืออยากมาให้อวิ๋นฝูหลิงตรวจอาการให้ เมื่อเห็นเช่นนี้จึงตามอวิ๋นฝูหลิงไปหลังจากมาถึงเรือนหลัก อวิ๋นฝูหลิงก็ห้ามคนใช้ไว้ “ข้ากับพระชายาองค์ชายห้ามีเรื่องต้องพูดคุยกัน พวกเจ้าทุกคนคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก หากข้าไม่ได้สั่ง ห้ามใครเข้ามาเด็ดขาด”พวกเหยากวงตอบรับโดยพลัน “เพคะ”สาวใช้ของพระชาย
จุดบกพร่องของพระชายาองค์ชายห้ามิได้เป็นมาเพียงวันสองวันนางให้หมอหลวงมาตรวจแล้วเช่นกัน แต่อาการป่วยที่เกิดหลังคลอดเช่นนี้ของสตรีย่อมน่าอายเกินกว่าจะพูดได้ยิ่งไปกว่านั้นหมอหลวงก็มิได้เหมือนอวิ๋นฝูหลิง ที่จะสามารถตรวจอาการหลังเปลื้องผ้า ซักถามอย่างละเอียดได้พระชายาองค์ชายห้าก็เคยได้ยินเรื่องทักษะแพทย์ของอวิ๋นฝูหลิงเช่นกัน หลังจากใคร่ครวญอยู่นาน ก็ตัดสินใจมาขอให้นางรักษายามนี้เมื่อได้ยินอวิ๋นฝูหลิงบอกว่า ‘รักษาได้’ พระชายาองค์ชายห้าก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกต้องอย่างยิ่ง“น้องสะใภ้เจ็ด...”นางจับมืออวิ๋นฝูหลิง ชั่วขณะรู้สึกตื่นเต้นจนพูดไม่จบประโยคอวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอมาหลายปีอย่างนี้ ย่อมเข้าใจความรู้สึกตื่นเต้นเพราะความหวังที่จะรักษาโรคที่ทรมานมานานได้นางตบมือของพระชายาองค์ชายห้าเบา ๆ พลางกล่าวว่า “ข้าจะสอนท่าบริหารบางอย่างให้ ท่านทำตามข้าเถิด”อาการปัสสาวะเล็ดหลังคลอดมักเกิดจากการคลายตัวของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานสามารถออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อหูรูด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้พระชายาองค์ชาย
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า
ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ
ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ