แชร์

บทที่ 562

ผู้เขียน: หลันซานอวี่
ขนส่งสินค้าผิดกฎหมายแน่นอน!

หลังจากเซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนหารือกัน ก็ตัดสินใจอยู่บนเรือต่อ เพื่อฉวยโอกาสตรวจสอบภูมิหลังของคนญี่ปุ่นคนนั้น

เดิมทีทั้งสองคนยังกังวลว่าจะถูกคนจับได้ระหว่างทาง

คาดไม่ถึงว่าเมื่อออกเรือ กลับพบว่าชาวบ้านแรงงานเหล่านั้นที่ขนของกับพวกเขาก็ต่างขึ้นเรือมาด้วยเช่นกัน

เขาสอบถาม จึงได้ทราบว่าคนงานบนเรือไม่พอ ดังนั้นชาวบ้านแรงงานเหล่านั้นจึงได้ขึ้นมาช่วยงานบนเรือ หลังเสร็จงานก็จะได้เงินตอบแทนเป็นจำนวนมาก

ในยามนั้นเซียวจิ่งอี้ยังไม่ทันสังเกตว่ามีสิ่งใดผิดปกติ กลับยังโล่งใจที่พวกเขาสามารถอยู่บนเรือต่อได้อย่างเปิดเผย จึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเจอตัวหรือต้องคอยหลบซ่อน

คาดไม่ถึงว่าหลังจากเดินทางมาห้าวัน พวกเขากลับถูกส่งมายังเกาะหมัวกุ่ย และได้เริ่มถูกใช้แรงงานอย่างหนัก

เซียวจิ่งอี้จึงเพิ่งตระหนักได้ว่า ชาวบ้านแรงงานเหล่านั้นทั้งหมดล้วนถูกหลอกขึ้นเรือ เพื่อเอาพวกเขาส่งมาเป็นแรงงานบนเกาะหมัวกุ่ย

ค่าตอบแทนสูงลิ่วที่สัญญาไว้ก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นเพียงคำพูดหลอกลวงของพวกเขา

คนงานบนเกาะหมัวกุ่ย แทบจะทั้งหมดล้วนถูกลักพาตัวหรือถูกหลอก เพื่อส่งมาที่นี่
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
บทที่ถูกล็อก

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 563

    “เจ้ากล้าขวางข้า คิดจะก่อกบฏหรือ?”ดวงตาคนคุมงาน จ้องมองมาที่เซียวจิ่งอี้อย่างโกรธเกรี้ยวเซียวจิ่งอี้ได้ยินคำว่า ‘กบฏ’ สองพยางค์นี้ แววตาก็เย็นชาขึ้นมาโดยพลันคิดว่าเป็นใครกัน เขาถึงได้กล้าพูดสองพยางค์นี้ออกมา!คนคุมงานเห็นเซียวจิ่งอี้ไม่ขยับ อารมณ์ที่แสดงออกบนใบหน้าก็โหดเหี้ยมมากขึ้นเขาคิดจะดึงมือออก และฟาดแส้ใส่เซียวจิ่งอี้สักสองครั้ง คาดไม่ถึงว่ามือของเซียวจิ่งอี้ราวกับคีมเหล็ก ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจหลุดออกมาได้คนคุมงานตื่นตระหนกขึ้นมาโดยพลัน และรู้สึกหวาดกลัวอย่างยากจะอธิบายแต่ภายใต้สายตาของทุกคน เขาจะแสดงความหวาดกลัวได้อย่างไร แม้จิตใจจะขี้ขลาดแต่ก็พูดออกมาอย่างดุร้ายว่า “ข้าขอเตือนเจ้า ปล่อยข้าเสีย ไม่อย่างนั้นข้า...”เขายังพูดไม่ทันจบ เซียวจิ่งอี้ก็ปล่อยมืออย่างกะทันหันคนคุมงานไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเซไปข้างหลังเพราะแรงเฉื่อยทันทีเดิมทีเขาคิดว่าจะล้มหัวทิ่ม คาดไม่ถึงว่าล้มไปได้ครึ่งทาง ก็ถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อไว้อย่างกะทันหัน และออกแรงดึงเขาขึ้นมาคนคุมงานเงยหน้ามอง ก็พบว่าคนที่ดึงเขาไว้คือเซียวจิ่งอี้เซียวจิ่งอี้เลิกคิ้วยิ้มให้เขา “นายท่าน ท่า

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 564

    ชายชราผู้นั้นกล่าวขอบคุณเซียวจิ่งอี้วันนี้หากไม่ใช่เพราะเซียวจิ่งอี้ขวางไว้ เกรงว่าชายชราผู้นั้นคงถูกตีจนตายไปแล้วหลังจากพูดคุยกันไม่กี่ประโยค เซียวจิ่งอี้จึงเพิ่งรู้ว่าชายชราผู้นี้ชื่อว่าโจวไห่เซิง ซึ่งเดิมทีเป็นชาวประมงแม้จะเรียกว่าชายชรา ทว่าความจริงปีนี้เขายังอายุไม่ถึงสี่สิบปีเสียด้วยซ้ำเพียงแต่เพราะเผชิญลมแดดบนทะเล กอปรกับหลังมาถึงเกาะหมัวกุ่ยก็ทำงานอย่างหนักตลอดทั้งปี ทั้งยังถูกคนทุบตีด่าทอเสมอ จึงทำให้ดูแก่กว่าวัยมากขึ้นเรื่อย ๆหลังจากเซียวจิ่งอี้ได้ยินเรื่องที่ชายชราต้องเผชิญ ในใจก็รู้สึกไม่สบอารมณ์คนเหล่านี้เดิมทีล้วนเป็นประชาชนของแคว้นต้าฉี ซึ่งอยู่ในแผ่นดินต้าฉีอย่างสงบสุขและมีความสุขทว่ากลับถูกคนลักพาตัวหรือหลอกมาที่เกาะแห่งนี้ ไม่เพียงแต่ต้องทำงานหนักโดยไม่ได้ค่าตอบแทน อีกทั้งยังกินอาหารไม่อิ่มท้อง และถูกทุบตีด่าทอเสมอเกาะที่ปลูกดอกอิงซู่แห่งนี้ เกรงว่าเป็นเพียงห่วงโซ่หนึ่งที่เชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของขี้ผึ้งทองเท่านั้นเซียวจิ่งอี้แอบกัดฟัน เขาตั้งมั่นว่าจะต้องถอนรากถอนโคนกองกำลังทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หลังจากนั้นจะต้องช่วยประชาชนทุกคนออกไปจา

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 565

    เซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนหลบเลี่ยงป้อมยามชั้นแรกไปได้อย่างง่ายดาย และตรงไปยังใจกลางเกาะยิ่งเข้าใกล้ใจกลางเกาะ แสงเทียนก็ยิ่งสว่าง ของประดับตกแต่งก็ยิ่งหรูหรา การเฝ้ายามก็ยิ่งเข้มงวดเซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนต่างมีวรยุทธ์แกร่งกล้า การหลบเลี่ยงทหารยามเข้าไปเงียบ ๆ จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใดโดยเฉพาะจั่วเยี่ยน เขาสามารถรักษาตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยเงากระบี่ไว้ได้อย่างมั่นคง วรยุทธ์ของตัวเขายอดเยี่ยมเป็นที่สุด บนโลกนี้คนที่สามารถเอาชนะเขาได้ก็มีไม่มากหลังจากมาถึงเกาะหมัวกุ่ย เขาป่วยหนักอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุบนเกาะหมัวกุ่ยไม่เลี้ยงดูคนที่ทำงานไม่ได้ หากป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ จนไม่อาจทำงานได้ ก็จะถูกโยนลงทะเลไปเป็นอาการปลา เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองอาหารยามนั้นจั่วเยี่ยนคิดว่าตัวเองกำลังจะตายเสียแล้วหากไม่ป่วยตาย ก็คงถูกโยนลงทะเลไปตามยถากรรมโชคดีที่ได้เซียวจิ่งอี้ปกป้องไว้ต่อมาเซียวจิ่งอี้ป้อนน้ำยาหยดหนึ่งให้เขาน้ำยาหยดนั้นไม่เพียงแต่รักษาอาการป่วยของเขา อีกทั้งเขายังพบว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของตัวเองเฉียบคมยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ แม้แต่กำลังภายในก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกันของศ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 566

    เมื่อนึกถึงอวิ๋นฝูหลิง ก้นบึ้งในดวงตาของเซียวจิ่งอี้ก็เผยประกายอ่อนโยนขึ้นมาสายหนึ่งเขาแตะที่หน้าอกโดยไม่รู้ตัว ตรงหน้าอกกลับว่างเปล่า ไร้ซึ่งร่องรอยของน้ำเต้าหยกนานแล้วเซียวจิ่งอี้นึกถึงน้ำเต้าหยกที่เขาทำหายไป ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่งตอนแรกที่เพิ่งมาถึงเกาะหมัวกุ่ย จั่วเยี่ยนป่วยหนักกะทันหันบนเกาะหมัวกุ่ยไม่มีหมอ คนบนเกาะก็ไม่เอาสมุนไพรมาให้แรงงานที่ถูกจับมาอย่างพวกเขาเมื่อเห็นชีวิตจั่วเยี่ยนกำลังตกอยู่ในอันตราย เซียวจิ่งอี้ก็ทำได้เพียงป้อนน้ำยาในน้ำเต้าหยกนั้นให้เขาน้ำยาที่อวิ๋นฝูหลิงให้มาประสิทธิภาพยอดเยี่ยม หลังจากจั่วเยี่ยนดื่มไปไม่นาน ทั้งร่างก็กลับมามีชีวิตชีวา วันรุ่งขึ้นก็มีเรี่ยวแรงแล้วน้ำเต้าหยกเปล่านั้นเดิมทีเซียวจิ่งอี้เก็บไว้อย่างดี ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นของที่อวิ๋นฝูหลิงให้ เขาจึงหวงแหนมากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากนั้นหนึ่งวันมันก็หายไปเซียวจิ่งอี้หาอยู่นานมาก ก็หาไม่เจอคิดมาถึงตรงนี้ เซียวจิ่งอี้ก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าใจเล็กน้อยน้ำเต้าหยดนั้นเป็นสิ่งที่อวิ๋นฝูหลิงมอบให้ เขาจะทำหายได้อย่างไร?ช่างเถิด รอให้เขาควบคุมเกาะหมัวกุ่ยได้แล้ว และค้นหา

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 567

    เซียวจิ่งอี้ไม่รู้ว่าราชครูในจดหมายคือผู้ใดแต่จดหมายฉบับนี้ค้นเจอจากตัวของผู้นำคนนั้น คิดว่า ‘แม่ทัพใหญ่เฉา’ ที่กล่าวถึงบนจดหมาย น่าจะเป็นผู้นำของเกาะหมัวกุ่ยแห่งนี้หลังจากเซียวจิ่งอี้มาถึงเกาะแห่งนี้ ก็รู้สึกว่าคนเหล่านั้นบนเกาะ ไม่ว่าจะอิริยาบถใด ก็ล้วนเหมือนคนในกองทัพที่แท้ความรู้สึกของเขาก็ถูกต้อง คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนในกองทัพจริง ๆคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าผู้นำกลุ่มโจรสลัดชื่อเสียงฉาวโฉ่ผู้หนึ่ง จะเป็นแม่ทัพใหญ่แคว้นเยว่ทว่าแคว้นเยว่ล่มสลายไปหลายปีแล้ว แม่ทัพใหญ่ที่เคยองอาจสง่างาม ยามนี้กลับกลายเป็นโจรสลัดยิ่งไปกว่านั้นยังยึดครองเกาะหมัวกุ่ย แอบปลูกดอกอิงซู่บนเกาะ และผลิตขี้ผึ้งทองมาทำร้ายคน!ดูท่าผู้ที่ยังภักดีต่อแคว้นเยว่เหล่านั้นจะมีความทะเยอทะยานไม่น้อยเกรงว่าพวกเขาคงไม่ได้วางแผนแค่จะฟื้นฟูแคว้น!เซียวจิ่งอี้เชื่อมโยงเรื่องราวก่อนหลังทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก็คาดเดาได้ว่าราชครูผู้นั้น เกรงว่าคงคิดจะใช้ขี้ผึ้งทองพิชิตทั้งแคว้นต้าฉีสร้างแคว้นเยว่ขึ้นมาใหม่ บนแผ่นดินแคว้นต้าฉีถึงครานั้นแคว้นต้าฉีจะล่มสลาย และแคว้นเยว่จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง!ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ยังภักดีต

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 568

    หน้าผาสูงชันแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างไกล จึงมีคนผ่านมาน้อยมากมีเพียงหน่วยลาดตระเวนบนเกาะ ที่จะมาเป็นระยะ เพื่อลาดตระเวนแถวนี้สักคราดังนั้นที่นี่จึงเป็นสถานที่พูดคุยอันยอดเยี่ยมหลังเซียวจิ่งอี้กับจั่วเยี่ยนมาถึงตรงหน้าผา ทั้งสองคนก็เริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลจั่วเยี่ยนพูดก่อนว่า “หลังจากท่านไป กลุ่มคนในห้องก็ดื่มเหล้ากัน จู่ ๆ สองคนในบรรดานั้นมีปากเสียงกันเรื่องผู้หญิง จากนั้นก็ตัดสินใจจะสู้กัน ใครชนะ คืนนี้จะได้พาผู้หญิงคนนั้นกลับไป”เมื่อเห็นเซียวจิ่งอี้ขมวดคิ้ว จั่วเยี่ยนก็เร่งความเร็วในการพูดทันที“ท่านโปรดทนฟังข้าพูดต่อไปก่อน คำพูดนี้ของข้ามิได้เหลวไหล”“ระหว่างที่สองคนนั้นต่อสู้กันก็กระชากเสื้อของอีกฝ่าย ซึ่งข้าเห็นสัญลักษณ์รูปพระจันทร์สักอยู่บนร่างของพวกเขา”“ข้าสงสัยว่าคนเหล่านี้บนเกาะ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนของแคว้นเยว่!”เซียวจิ่งอี้พยักหน้า “ไม่ใช่มีความเป็นไปได้ แต่พวกเขาเป็นคนของแคว้นเยว่!”พูดจบ เซียวจิ่งอี้ก็หยิบจดหมายที่ซ่อนไว้กับตัวออกมา“นี่คือสิ่งที่ข้าค้นเจอบนตัวของผู้นำคนนั้น ทั้งยังมีของเหล่านี้ที่หาเจอในช่องลับในห้องของเขาด้วย”“จดหมายนี้เขียนโดยราชครูขอ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 569

    ขณะที่เซียวจิ่งอี้กำลังกังวลว่าจะกวาดล้างคนแคว้นเยว่บนเกาะหมัวกุ่ยอย่างไร เรือที่นำโดยอวิ๋นฝูหลิงก็กำลังมุ่งตรงมายังทิศทางของเกาะหมัวกุ่ยมีฟางอวี่นำทาง เกาเทียนหย่วนคอยคุมหางเสือ ทั้งสองคนร่วมมือกัน ใช้เวลาไม่ถึงสองวัน ก็มาถึงอาณาเขตทะเลของเกาะหมัวกุ่ยที่นี่อยู่ห่างจากเกาะหมัวกุ่ยประมาณสิบกว่าไมล์ทะเลฟางอวี่กล่าวเตือน “บนเกาะหมัวกุ่ยมีคนคอยลาดตระเวน หากเรือใหญ่ขนาดนี้ของพวกเราแล่นผ่านไป ไม่ทันได้เข้าใกล้เกาะหมัวกุ่ย ก็คงถูกเจอตัวก่อน”อวิ๋นฝูหลิงได้ยินก็พยักหน้า คิดว่าฟางอวี่พูดมีเหตุผลเรือของพวกเขาใหญ่ขนาดนี้ เป็นเป้าสายตาที่ใหญ่เกินไปอวิ๋นฝูหลิงใคร่ครวญครู่หนึ่ง ไม่นานก็นึกถึงเรือลำเล็กสองสามลำบนเรือหากไปด้วยเรือลำเล็ก เป้าสายตาก็จะเล็กลงมากยามที่เคลื่อนไหวก็ระมัดระวังเสียหน่อย โอกาสที่จะถูกเจอตัวก็จะลดลงมากตอนนี้อวิ๋นฝูหลิงไม่ได้ตัดสินใจลงมืออย่างบุ่มบ่าม แต่ถามความคิดเห็นของฟางอวี่ก่อนถึงอย่างไรเขาก็เคยอยู่ที่เกาะหมัวกุ่ยมาสองปี จึงคุ้นเคยกับเกาะหมัวกุ่ยมากครั้งนี้ยังหนีออกจากเกาะหมัวกุ่ยได้สำเร็จ ย่อมมีประสบการณ์อยู่บ้าง รู้ว่าไปตรงไหนสามารถหลบเลี่ยงสายตาของทห

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 570

    “หากเดินไปเส้นทางอื่น จะถูกคนของหน่วยลาดตระเวนเหล่านั้นพบตัวได้ง่ายมาก”หลังฟางอวี่คิดว่าจะถูกพบตัว และถูกจับไปใช้แรงงานบนเกาะหมัวกุ่ยอีกครั้งถึงขั้นที่อาจมีคนจำได้ว่าเขาคือคนที่หนีออกไปจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้ สิ่งที่รอเขาอยู่ ก็ยิ่งเป็นจุดจบที่น่าอนาถคิดมาถึงตรงนี้ ฟางอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทาด้วยความกลัวอวิ๋นฝูหลิงเก็บสายตากลับมาแม้ว่าแนวปะการังแห่งนี้จะสูงชัน จนคนทั่วไปปีนได้ยากอยู่บ้าง ทว่าสำหรับนางไม่นับว่าเป็นอันใดเลยยิ่งไปกว่านั้นแนวปะการังแห่งนี้ยังถูกน้ำทะเลกัดเซาะมานานหลายปี พื้นผิวจึงขรุขระ นี่ทำให้ระหว่างทางที่ปีนมีจุดที่สามารถใช้เหยียบเท้าได้เยอะมาก ความยากในการปีนขึ้นไปจึงลดระดับลงบ้างสายตาของอวิ๋นฝูหลิงกวาดมองร่างของพวกเทียนเฉวียนทั้งสามคนเทียนเฉวียนมีวรยุทธ์สูงส่ง การปีนแนวปะการังระเกะระกะแห่งนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาแม้แต่น้อยก่อนหน้านี้ฟางอวี่หลบหนีไปจากตรงนี้ คิดว่าเขาคงคุ้นเคยกับแนวปะการังระเกะระกะแห่งนี้เป็นอย่างดี การปีนขึ้นไปย่อมไม่ใช่เรื่องยากเช่นกันยามที่สายตาของอวิ๋นฝูหลิงตกมาอยู่ที่ร่างของลูกพี่อู๋เป็นคนสุดท้าย ก็ชะงักอยู่นานล

บทล่าสุด

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 632

    อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 631

    รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 630

    เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 629

    ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 628

    จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 627

    อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 626

    อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 625

    ท่านหมอในสำนักผิงอันต่างมองไปที่ตำราแพทย์ในมือหางซานสุ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายนั่นเป็นถึงตำราแพทย์ที่บันทึกศาสตร์ฝังเข็มและเทียบยาสำหรับการรักษาผู้ป่วยเสพติดขี้ผึ้งทองเชียวนะโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นผู้เขียนตำราเล่มนี้ด้วยตัวเองในช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกันมานี้ ท่านหมอในเมืองจินโจวถือว่าได้เปิดหูเปิดตารับรู้ถึงฝีมือการแพทย์อันสูงส่งของอวิ๋นฝูหลิงแล้วยามหารือเรื่องการรักษาผู้ป่วยติดขี้ผึ้งทอง นางก็มักจะหาแนวทางสำหรับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดออกมาเสมอทักษะฝังเข็มล้ำเลิศ เทียบยาก็ล้ำลึกพิสดาร แม้จะเป็นท่านหมออาวุโสที่สั่งสมประสบการณ์มานานก็ยังมีบ้างที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะเมื่ออวิ๋นฝูหลิงเป็นหมอหญิงอ่อนวัยที่อายุเพิ่งยี่สิบปีมีท่านหมอในเมืองจินโจวบางคนที่รู้สึกว่า การที่อวิ๋นฝูหลิงมีชื่อเสียงเลื่องลือนั้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะรัศมีอันมีติดตัวมาแต่กำเนิดด้วยนางถือกำเนิดในสกุลอวิ๋นเท่านั้น นางถึงได้มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพอยู่บ้างในแวดวงแพทย์เช่นนี้ทว่าใครจะไปรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงกลับใช้ฝีมือการแพทย์ของตัวเองมาตบหน้า สอนเป็นบทเรียนให้พวกเขาอย่างดีหลังได้รู้ซึ้งถึงฝีมือการแพทย์ของ

  • ท่านอ๋องกับพระชายาพาลูกหนีภัยธรรมชาติ   บทที่ 624

    ขุนนางที่ถูกส่งมาใหม่เหล่านี้ ต่างทยอยเดินทางมาถึงจินโจวกันแล้วในช่วงไม่กี่วันมานี้ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง งานบริหารราชการและบริหารกองทัพของจินโจวล้วนมีเซียวจิ่งอี้รับผิดชอบชั่วคราวบัดนี้ขุนนางชุดใหม่มาถึงแล้ว แน่นอนว่าเซียวจิ่งอี้ย่อมเริ่มมอบหมายงานแก่พวกเขา คืนอำนาจบริหารราชการและกองทัพของจินโจวให้ขุนนางที่เหมาะสมจากความหมั่นเพียรและการจัดระเบียบของเซียวจิ่งอี้ งานบริหารราชการในเมืองจินโจวจึงได้รับการจัดระเบียบเป็นที่เรียบร้อยนานแล้ว ขอแค่เหล่าขุนนางที่มารับหน้าที่นี้ต่อไปมัวแต่กินดื่ม ไม่ทำการงาน ก็สามารถบริหารปกครองเมืองจินโจวได้ และฟื้นฟูให้จินโจวรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้สิ่งเดียวที่ทำให้เซียวจิ่งอี้ไม่สบอารมณ์และปวดหัวก็คือ จวบจนบัดนี้ยังไม่อาจจับกุมตัวราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นได้ไม่ว่าจะค้นหาไปทั่วเมือง หรือใช้เวินเจาเป็นเหยื่อล่อ ล้วนไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของราชครูเผ่าเยว่ผู้นั้นอีกทั้งประตูเมืองจินโจวก็ไม่อาจปิด ไม่อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าออกได้เป็นเวลานานได้แม้ว่าประชาชนจะไม่กล้ามีปากเสียง แต่การชดเชยเรื่องอาหารการกินในชีวิตประจำวันก็นับว่าเป็นปัญหานอกจากนี้ประ

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status