“อย่าว่าแต่ข้าไม่มีโอสถวิเศษรักษาแผลไม่ทิ้งร่องรอยเลย ต่อให้มี ข้าก็ไม่มีวันให้นางใช้!”“ไม่เพียงแค่โอสถวิเศษ แม้แต่สมุนไพรธรรมดาสักต้น ข้าก็ไม่มีวันให้เจ้าเอาไปใช้รักษานาง!”“ส่วนเรื่องขอโทษชดเชย ข้าไม่ได้เห็นว่าสลักสำคัญอะไร!”“พวกเจ้าควรดีใจที่ตอนนี้ข้ายุ่งอยู่กับการรักษาคน จึงไม่มีเวลาจัดการกับนางเสียมากกว่า มิเช่นนั้นข้าคงเอาชีวิตนางไปแล้ว!”บาดแผลบนใบหน้าของอวิ๋นซานหู หากต้องการรักษาหายโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น มีเพียงหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณในมิติของนางเท่านั้นที่ให้ผลเช่นนั้นได้แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ก่อนนี้อวิ๋นซานหูเจตนาจะฆ่านาง อวิ๋นฝูหลิงก็ยิ่งโกรธเสียจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะนำหยดน้ำแห่งจิตวิญญาณแสนล้ำค่านั้น มาใช้กับคนที่คิดจะฆ่าตนเองดิงหมิงรุ่ยรู้อยู่แก่ใจว่าตนผิด เห็นอวิ๋นฝูหลิงโกรธจัด แน่วแน่ไม่ยอมให้ยาใดๆ จึงเบนสายตาไปยังนายท่านหางแทนนายท่านหางรีบโบกมือทันที “สมุนไพรที่ข้าเตรียมมาล้วนให้แม่นางอวิ๋นยืมไปแล้ว ชาวบ้านบาดเจ็บกันไม่น้อย สมุนไพรแค่นี้ก็แทบไม่พอใช้แล้ว!”“แม้จะมียา แต่จากแผลญาติผู้น้องเจ้า หากไม่อยากให้มีแผลเป็น เกรงว่าจะไร้หนทางแล้ว”ดิงห
ติงหมิงรุ่ยมองตามอวิ๋นซานหูที่วิ่งออกไป เขาอดทอดถอนใจอย่างหนักภายในใจไม่ได้หากรู้แต่เนิ่นจะเป็นเช่นนี้ ไม่ไปเมืองหลวงเสียตั้งแต่แรกยังจะดีกว่าและถึงจะไป ก็ไม่ควรร่วมทางกับอวิ๋นซานหูแม้ว่าเขาจะได้ทายาให้บาดแผลของอวิ๋นซานหูแล้ว แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงแผลเป็นที่จะยังคงอยู่เมื่อถึงเมืองหลวงแล้ว เขากลัวว่าจวนจี้ชุนโหวจะนำเรื่องที่อวิ๋นซานหูเสียโฉมมากล่าวโทษเขาเขาควรทำอย่างไรดี?ติงหมิงรุ่ยพลันรู้สึกปวดหัวอย่างหนักเขาเงยหน้ามองเทือกเขาเรียงรายสลับซับซ้อนอยู่แต่ไกล พึมพัมเงียบงันว่าต้องรีบออกจากภูเขาเฟิ่งลั่วจึงจะดีที่สุดบัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบาดแผลบนใบหน้าของอวิ๋นซานหูในมือเขามียาสมุนไพรไม่เพียงพอ ที่พอมีอยู่ก็เป็นเพียงยารักษาบาดแผลธรรมดา มีแต่ต้องออกจากเขาเฟิ่งลั่วไปยังเมืองใหญ่ จึงจะพอหาโรงโอสถได้เมื่อมีโรงโอสถก็สามารถซื้อยาสมุนไพรดีๆ อีกทั้งยังส่งข่าวไปทางจวนจี้ชุนโหวให้พวกเขาช่วยคิดหาหนทางได้อีกด้วย บาดแผลของอวิ๋นซานหูไม่อาจรอช้าได้ ยิ่งทิ้งระยะห่าง รอยแผลเป็นก็มีแต่จะลึกยิ่งขึ้นติงหมิงรุ่ยรีบไปหาหัวหน้าหมู่บ้านโจวในทันที ก่อนเอ่ยถามอย่างตรงเข้าประเด็น “หัวหน้าห
บาดแผลบนใบหน้าของนาง ล้วนเป็นเพราะแม่นางอวิ๋นผู้นี้ทั้งนั้น!บัดนี้นางเร่งจะรักษาแผลตน ไม่อาจนำเวลามาเสียกับเรื่องแม่นางอวิ๋นได้รอบาดแผลหายดีแล้ว ค่อยกลับมาชำระบัญชีแค้นกับแม่นางอวิ๋นก็ไม่นับว่าสายความแค้นนี้ นางจดลงบัญชีไว้เสียก่อนอวิ๋นซานหูพะวงแต่เพียงเรื่องบาดแผลของตนเอง ไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บของเหล่าองครักษ์เลยแม้แต่น้อย ยืนกรานจะออกเดินทางทันทีแต่เมื่อชาวบ้านได้ยินว่านางจะไป ต่างก็ไม่ยินยอม พากันปิดทางขวางกั้นไม่ให้นางไปหากไม่ใช่เพราะนางแอบขโมยลูกเสือน้อยมา จนทำให้เสือขาวไล่ตามมาได้และโจมตีเหล่าชาวบ้าน มีหรือทุกคนจะบาดเจ็บล้มตายเช่นนี้?นางก่อเรื่องร้ายแรงเช่นนี้แล้ว บัดนี้ยังคิดจะสะบัดก้นหนีไป มีหรือจะง่ายเช่นนั้นได้? โดยเฉพาะเครือญาติของสามคนที่เสียชีวิตไป ไหนจะเครือญาติของอีกห้าคนที่บาดเจ็บสาหัสปางตาย ต่างก็เกลียดชังอวิ๋นซานหูอย่างถึงที่สุดแม้ว่าทั้งห้าคนที่อาการสาหัสปางตายจะยังมีชีวิตอยู่ แต่บาดแผลหนักหนาเช่นนั้น ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะรอดหรือไม่?ชาวบ้านพากันลุกฮือขึ้น ขวางอวิ๋นซานหูเอาไว้เรียกร้องให้นางรับผิดชอบอวิ๋นซานหูเห็นดังนั้นก็หัวเราะเยาะอย่างเยือกเย็น
สมุนไพรที่อวิ๋นฝูหลิงใช้อย่างเปิดเผย ตลอดมาล้วนมีคังหมิงหย่วนเป็นผู้เก็บรักษา ดังนั้นเขาจึงรู้สรรพคุณการใช้งานของสมุนไพรเป็นอย่างดีในใจอวิ๋นฝูหลิงรู้ดีว่าชาวบ้านที่บาดเจ็บไม่อาจขาดยาได้ คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “สมุนไพรในภูเขานี้มีอยู่ไม่น้อย ข้าจะออกไปเก็บสมุนไพรเดี๋ยวนี้”เซียวจิ่งอี้ได้ยินเช่นนั้นก็รีบกล่าว “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”เมื่อได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะไปเก็บสมุนไพร ชาวบ้านหลายคนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บต่างก็อาสาจะตามไปช่วยอวิ๋นฝูหลิงไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของพวกเขา ทั้งยังให้คังหมิงหย่วนร่วมทางไปด้วยในบรรดาพวกลูกพี่อู๋ แต่ไหนก็มีเพียงคังหมิงหย่วนที่สนอกสนใจในสมุนไพร เขามักตามอวิ๋นฝูหลิงไปจัดการเกี่ยวกับสมุนไพรอยู่เนืองๆดังนั้นอวิ๋นฝูหลิงจึงไม่ได้หวงวิชาคอยชี้แนะให้เขาอยู่บ้างก่อนออกเดินทาง อวิ๋นฝูหลิงลูบหัวของอวิ๋นจิงมั่วเบาๆ ฝากฝังลูกพี่อู๋ให้ดูแลเขาให้ดียังไม่ทันที่ลูกพี่อู๋จะพยักหน้ารับ หัวหน้าหมู่บ้านโจวก็ชิงตอบขึ้นก่อนแล้ว “แม่นางอวิ๋นวางใจเถิด จิงมั่วมีพวกเราทุกคนคอยดูแล หมดห่วงเรื่องปัญหาไปได้เลย!”ชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้ารับโดยพร้อมเพรียงเหตุการณ์เสือขาวบุกโจมตี
“อาจารย์ของข้าบอกเสมอว่าไม่ว่าจะเป็นหมอซางหรือหมอจี๋ เพียงรักษาผู้คนได้ก็นับเป็นหมอดี ดังนั้นข้าติดตามท่านจึงได้เรียนรู้ไปเสียทุกอย่าง”นายท่านหางแสดงสีหน้าเข้าอกเข้าใจออกมา“ท่านอาจารย์เป็นปรมาจารย์โดยแท้ ความรู้และปัญญาเช่นนี้ หาใช่สิ่งที่มนุษย์ปุถุชนทั่วไปจะเข้าใจได้”นายท่านหางไม่ได้ดูถูกหมอซาง เพราะบรรพบุรุษตระกูลหางของพวกเขาก็เป็นหมอซางมาก่อนเช่นกัน ต่อมาได้รับโอกาสจึงได้ปลูกร่างสร้างฐานะขึ้นได้เช่นนี้หากเขาดูแคลนหมอซาง ก็เท่ากับดูแคลนบรรพบุรุษของตนทว่าผู้คนในสังคมกลับตามยกย่องหมอจี๋เสียมากกว่า และมองหมอซางด้วยสายตาดูแคลนเซียวจิ่งอี้หูผึ่งฟังบทสนทนาระหว่างอวิ๋นฝูหลิงและนายท่านหางอยู่ข้างๆเขาอยู่ในกองทัพ จึงย่อมได้ข้องแวะกับหมอซางอยู่บ่อยๆ ทว่าหมอทหารเหล่านั้นในกองทัพ เมื่อเทียบกับอวิ๋นฝูหลิงแล้ว ฝีมือเรียกได้ว่าห่างชั้นไปลิบลับเพียงฝีมือเย็บสมานแผลของอวิ๋นฝูหลิงที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ ก็ทำให้เซียวจิ่งอี้ตกตะลึงได้แล้วนายทหารในชายแดนทุกครั้งที่เกิดการปะทะสู้รบ ก็จะมีพลทหารจำนวนไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต้องสิ้นชีพเพราะบาดแผลภายนอกหากฝีมือการแพทย์ของแพทย์ทหารเทียบกับฝีมือ
คนทั้งกลุ่มใช้เวลาก่อนฟ้ามืดลง ในที่สุดก็มาจนถึงหมู่บ้านได้สำเร็จทันทีที่เข้าใกล้ ก็ถูกคนเฝ้าปากทางเข้าหมู่บ้านขวางเอาไว้ “พวกเจ้าเป็นใคร?”หัวหน้าหมู่บ้านโจวรีบเดินขึ้นนำเพื่ออธิบาย “พวกเราเป็นชาวหมู่บ้านหลินซาน ฝายเจียงหลิงแตกทลายน้ำจึงทะลักท่วมหมู่บ้านของพวกเราจนหมดสิ้น พวกเราไร้ทางเลือก จึงจำต้องปีนสันข้ามเขามา หาหนทางจะออกไปจากภูเขาเฟิงลั่ว”“ระหว่างทางพวกเราเจอเสือขาว บาดเจ็บกันไปไม่น้อย พอเห็นว่าที่นี่มีหมู่บ้าน จึงอยากมาถามไถ่ว่าพอจะให้เราพักด้วยสักระยะเพื่อรักษาอาการได้หรือไม่?”คนเฝ้าปากทางสองคนมองหน้ากัน ในแววตาดูคลายความหวาดระแวงลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นเป็นชายหนวดเคราเฟิ้มหันมายิ้มให้ “มิน่าเล่า ก่อนนี้พวกเราจึงได้ยินเสียงเสือคำรามร้อง”“หมู่บ้านของเรามีบ้านว่างอยู่หลายหลังพอดีเชียว ให้พวกเจ้าใช้พักรักษาตัวกันได้”เขาหันไปส่งสายตาให้ชายหนุ่มข้างกาย “ซานจื่อ เจ้ารีบไปบอกหัวหน้าหมู่บ้าน”ชายนามว่าซานจื่อพยักหน้ารับ หุนหันวิ่งออกไปทันทีชายหนวดเคราเฟิ้มเอ่ย “ข้ามีนามว่าหลิวเฟิง พวกเจ้าตามข้ามาเถิด”สีหน้าหัวหน้าหมู่บ้านโจวเต็มด้วยซาบซึ้งขอบคุณ หลังกล่าวขอบคุณแล้ว ก็เร
อวิ๋นฝูหลิงรีบร้องห้าม “วางลง!”ลูกพี่อู๋เงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจเซียวจิ่งอี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ถ้าไม่อยากตาย ก็อย่าแตะต้องของพวกนี้จะดีกว่า!”มือของลูกพี่อู๋สั่นเทา ช้อนในมือพลันหล่นลงไปในหม้อ“น้ำ...น้ำแกงนี่มีพิษงั้นหรือ?” เขาพูดตะกุกตะกักขึ้นโดยไม่รู้ตัวอวิ๋นฝูหลิงตรวจสอบน้ำแกงเนื้อและขนมเปี๊ยะโดยละเอียดก่อนจะกล่าว “ในน้ำแกงเนื้อและขนมเปี๊ยะล้วนมียาใส่เข้าไป ทว่าเป็นเพียงยาที่ทำให้ร่างกายอ่อนแรงเท่านั้น ปริมาณไม่มาก หาได้มีพิษร้าย” จางซานมู่ตีสีหน้าเคร่ง “หรือว่าหมู่บ้านนี้จะเป็นหมู่บ้านโจร? พวกเขาวางยาเพราะอยากปล้นทรัพย์สินพวกเรา?”อวิ๋นฝูหลิงและเซียวจิ่งอี้สบตากัน ต่างรู้กันว่าสองคนระแวงสงสัยในสิ่งเดียวกันอยู่ก่อนแล้วอวิ๋นฝูหลิงกล่าว “พวกเจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่าหมู่บ้านนี้มีแต่ชายหนุ่มกำยำแข็งแรง ไม่มีผู้หญิงหรือเด็กเลย”“หากเป็นหมู่บ้านทั่วไปก็ควรจะประกอบด้วยผู้เฒ่าผู้แก่และแม่ลูกมิใช่หรือ?”“อีกทั้งท่าทีของพวกเขายังต้อนรับขับสู้มากจนเกินไป!”เซียวจิ่งอี้ต่อว่าต่อ “รวมถึงสายตาของพวกเขาด้วย พวกเขามองพวกเราด้วยสายตาแปลกพิกล ราวกับว่าเลือกเฟ้นสิ่งของอ
หลิวเฟิงตอบรับคำสั่งทันที “หัวหน้าวางใจได้เลย พวกเราทำงานรอบคอบอยู่แล้ว พวกมันไม่มีทางสงสัยแน่”“อีกอย่างต่อให้สงสัย ก้าวมาหาเราแล้วก็อย่าหวังจะได้ออกไปอีก!"หัวหน้าหมู่บ้านหม่าหัวเราะลั่น “เจ้าพูดถูก!”“ได้ยินมาว่าท่านอ๋องเร่งให้ส่งของออกไป ทว่าคนของผู้ดูแลเฉียนไม่เพียงพอ ข้าได้ยินเขาพร่ำบ่นหลายต่อหลายครั้งแล้ว” “พวกเราส่งคนพวกนี้ไป ผู้ดูแลเฉียนจะต้องดีใจเป็นแน่ หากเขาช่วยพูดกับท่านจอมปราชญ์เรื่องพวกเราสักหน่อยแล้วล่ะก็ ต่อไปเราก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มกันอีกแล้ว”“ท่านจอมปราชญ์เป็นคนโปรดของท่านอ๋อง เพียงประโยคเดียวที่เขาพูดก็มีผลเทียบเท่าสิบคำพูดของผู้อื่นแล้ว”“ทุกคืนทุกวันซุกหัวอยู่ในที่ที่แม้แต่นกยังไม่ถ่ายมูลแบบนี้ ข้าเบื่อจนเต็มทนแล้ว!"หลิวเฟิงไม่รอช้ารีบประจบประแจง“พวกเราดูแลรอบนอก ไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ เลี่ยงไม่ให้เรื่องเหมืองแร่แพร่งพรายออกไป ก็นับว่าทำงานหนักสร้างประโยชน์ไม่น้อยเช่นกัน”“วันข้างหน้าเมื่อถึงยามให้บำเหน็จตามความชอบย่อมไม่อาจขาดส่วนของพวกเราไปได้!”เรือนคิ้วเซียวจิ่งอี้ขมวดมุ่น ในใจกลับปั่นป่วนราวคลื่นพายุโถมเข้าใส่เหมืองแร่งั้นหรือ? เหมืองแร่อะไรกัน?
ยามที่กินบะหมี่ เมื่อตะเกียบสัมผัสกับน้ำบะหมี่ ก็ถูกพิษในตะเกียบ แทรกซึมเข้าไปในน้ำน้ำบะหมี่ที่เดิมทีไม่มีพิษ ก็กลายเป็นมีพิษโดยพลันหลังจากอวิ๋นฝูหลิงอธิบาย ทุกคนก็เข้าใจทันทีว่าน้ำบะหมี่ชามนั้นมีพิษได้อย่างไรเซียวจิ่งอี้หัวเราะเยาะคราหนึ่ง และกล่าวว่า “ช่างความคิดดีเสียจริง!”เขามองเวินเจา ในแววตาราวกับกำลังรู้สึกสงสารเห็นใจยามนี้เวินเจาก็เข้าใจโดยสมบูรณ์แล้วเช่นกันไม่ใช่เซียวจิ่งอี้ที่วางแผนร้ายต่อเขา แต่เป็นคนของพวกตนเองที่หมายจะฆ่าเขา!เมื่อได้เห็นความเวทนาในแววตาของเซียวจิ่งอี้อีกครั้ง หัวใจของเวินเจาก็ราวกับถูกลูกศรนับหมื่นทิ่มแทง ความเชื่อที่ยึดมั่นมานานพังทลายลงโดยพลันทั้งร่างของเขาก็พังทลายลงทันที ทันใดนั้นก็พุ่งพรวดกระโจนเข้าไปหาทั้งสองคนนั้นที่วางยาพิษ“เพราะเหตุใด?”“ข้าคือนายน้อยของพวกเจ้า!”“พวกเจ้ากล้าทรยศ หมายจะลอบสังหารกษัตริย์ได้อย่างไร!”“พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร?”เหล่าองครักษ์ด้านข้างลงมือว่องไว ควบคุมตัวเวินเจาได้ทันเวลาเวินเจาแม้จะถูกคนกดไว้ แต่กลับยังดิ้นรนคำรามอย่างห้ามไม่ได้เรื่องเช่นนี้ เกรงว่าไม่ว่าเปลี่ยนไปเป็นผู้ใด ก็ล้วนไม่อาจยอมรับได้ทั
เซียวจิ่งอี้มองร่างไร้วิญญาณทั้งสองร่าง ก็เข้าใจทันทีเขาชี้ไปทางเทียนเฉวียนเทียนเฉวียนเข้าใจความนัย และเดินไปทางสตรีผู้ช่วยคนนั้นโดยพลันหลังจากตรวจสอบใบหน้าของนางครู่หนึ่ง ก็ลอกหน้ากากหนังมนุษย์แผ่นหนึ่งออกมาเทียนเฉวียนทำแบบเดิม ไม่นานก็ลอกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าของผู้ช่วยอีกคนออกมาผู้ดูแลมองไปที่ใบหน้าไม่คุ้นเคยของทั้งสองคนภายใต้หน้ากากหนังมนุษย์ ก่อนจะมองไปยังร่างไร้วิญญาณของเพื่อนบ้านด้านข้างซึ่งเย็นเฉียบแล้ว ในใจไหนเลยจะยังมีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจอีกเจ้าคนชั่วสมควรตายนี่ สังหารผู้ช่วยที่เขาเชิญมา และปลอมตัวเป็นพวกเขาเข้ามาในจุดพักแรมทางการโชคดีที่เป้าหมายของพวกเขาเป็นเพียงนักโทษหากวันนี้ผู้ที่ถูกวางยาพิษคืออี้อ๋อง...แผ่นหลังของผู้ดูแลจุดพักแรมทางการเย็นวาบขึ้นมา ไม่กล้าคิดต่อในขณะนั้นเอง เวินเจาก็ค่อย ๆ ได้สติขึ้นมาสายตาของเขาพร่ามัว ราวกับไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใดไปขณะหนึ่งไม่นานเขาก็จำได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองหมดสติไป เพราะปวดท้องน้อยมากจนทนไม่ไหว อีกทั้งยังมีเลือดสีดำไหลออกมาจากปากและจมูกของเขาไม่หยุดเช่นนั้นเขาตายแล้วหรือ?ถูกคนวางยาพิษจนตายหรือ?ผู้ใดหมาย
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากจุดพักแรมของทางการนี้ยามนี้คนผู้นั้นซึ่งคิดจะหลบหนีออกจากจุดพักแรมถูกจับตัวอยู่ และถูกทหารลาดตระเวนโยนมาไว้ตรงหน้าเซียวจิ่งอี้แล้ว เหล่าทหารองครักษ์ที่คอยเฝ้าอยู่ข้างเวินเจา จำคนผู้นั้นได้ทันทีว่าเป็นสตรีผู้นั้นซึ่งมาส่งอาหารก่อนหน้านี้เมื่อเอาเรื่องราวมารวมเข้าด้วยกัน ก็รู้ได้ว่านางจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษเวินเจาเป็นแน่เซียวจิ่งอี้ลูบแหวนหยกบนมือ สายตามองไปที่นางอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าต้องวางยาพิษด้วย?”“ในจุดพักแรมยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดของเจ้าอีกหรือไม่?”สตรีผู้นั้นเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะ โดยไม่ได้ตอบคำถามเซียวจิ่งอี้เห็นเช่นนั้นก็มิได้โกรธ และออกคำสั่งว่า “ไปพาตัวทุกคนในจุดพักแรมแห่งนี้มา ตรวจสอบพื้นเพของสตรีผู้นี้ให้ละเอียด จับตัวทั้งครอบครัวของนางมาให้หมด!”มีผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามคำสั่งทันทีเซียวจิ่งอี้สังเกตการแสดงออกของสตรีผู้นั้น ทว่ากลับเห็นว่าการแสดงออกของนางไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ยามที่ได้ยินเซียวจิ่งอี้บอกว่าจะจับทั้งครอบครัวของนางมา ก็ยังไม่แม้แต่จะขยับคิ้วแววตาของเซียวจิ่งอ
รอบด้านรถคุมตัวนักโทษมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่สิบกว่าคน ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าเข้มงวดมากทันทีที่มีคนเข้ามาใกล้ พวกทหารองครักษ์ก็ตะโกนออกไปอย่างระแวดระวัง “ใคร?”หญิงที่มาส่งอาหารราวกับถูกเสียงตะโกนทำให้ตกใจ และพูดอย่างสั่นเทาทันที “ใต้...ใต้เท้า ข้าน้อยเป็น...เป็นคนที่มาส่งอาหารเจ้าค่ะ...”เหล่าทหารองครักษ์มองบะหมี่บนถาดในมือนาง สีหน้าจึงเพิ่งอ่อนลงหลายส่วนหนึ่งในนั้นโบกมือ “เข้ามา”หญิงส่งอาหารผู้นั้นจึงเพิ่งก้าวไปด้านหน้า ถือบะหมี่ไปยังรถคุมตัวนักโทษคาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว ยังมิทันได้ไปตรงหน้ารถคุมตัวนักโทษ ก็ถูกคนขวางทางไว้ทหารองครักษ์ผู้หนึ่งถือเข็มเงินไว้ในมือ แสดงท่าทีว่าจะทดสอบพิษในบะหมี่เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นเช่นนี้ แววตาก็เกิดประกายวาบผ่านเล็กน้อยผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ลดสายตาลงอย่างรวดเร็ว และปกปิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไว้ทหารองครักษ์ใช้เข็มเงินทดสอบในบะหมี่ เมื่อเห็นว่าเข็มเงินไม่ได้เปลี่ยนสี จึงเพิ่งพยักหน้าให้คนด้านข้างเล็กน้อยคนผู้นั้นก้าวมาด้านหน้ารับบะหมี่ไปทันที และกล่าวกับหญิงผู้นั้นว่า “เจ้าไปได้แล้ว”หญิงผู้นั้นสะดุ้งก่อนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
เซียวจิ่งอี้นั่งอยู่บนรถม้า สายตามองทะลุผ่านหน้าต่างรถม้า เห็นพวกลุงหลี่ในฝูงชนเมื่อเห็นพวกเขาน้ำตาคลอเบ้า คุกเข่าขอบคุณด้วยสีหน้าซาบซึ้ง ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เทียนเฉวียนรายงานว่าพลเรือนจากเกาะหมัวกุ่ยเหล่านั้นได้รับการจัดหาที่อยู่อย่างเหมาะสมแล้ว ดูท่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำหน้าที่ได้ไม่เลวทีเดียวมุมปากของเซียวจิ่งอี้โค้งเล็กน้อย ในอกรู้สึกอุ่น ๆ ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้กำลังพรั่งพรูขึ้นมาขบวนรถม้าเดินทางมาหนึ่งวันแล้ว และแวะค้างแรมในจุดพักแรมของทางการหลังจากเซียวจิ่งอี้ลงมาจากรถม้า ก็มองไปทางรถคุมตัวนักโทษคันหนึ่งในกลุ่มเป็นพิเศษคนที่นั่งอยู่ในรถคุมตัวนักโทษมิใช่ใครอื่น แต่เป็นเวินเจานั่นเองสาเหตุที่เซียวจิ่งอี้จัดขบวนใหญ่โต ก็เพื่อดึงดูดสายตาของท่านจอมปราชญ์เหวินและพวกคนแคว้นเยว่ ให้มาช่วยเหลือเวินเจาระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วหากพวกเขายังไม่ลงมือ รอจนให้เวินเจาถูกคุมตัวกลับเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสสูงที่จะถูกลงโทษประหารชีวิตหลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว หากพวกท่านจอมปราชญ์เหวินคิดจะเข้าไปช่วยคนในคุกหลวง นั่นก็นับว่าเพ้อฝันแล้วส่วนการบุกไปชิงตัว
ยามที่กลุ่มของเซียวจิ่งอี้ออกจากจินโจว กองทหารเกียรติยศของอี้อ๋องคุ้มกันโดยตรง จึงมีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ออกจากเจียงโจว พาอวิ๋นฝูหลิงกับลูกชายกลับเมืองหลวงโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจนับว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างทางมีขุนนางและประชาชนมารอส่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เซียวจิ่งอี้ได้จัดระเบียบเหล่าขุนนางในจินโจว ลงโทษข้าราชการทุจริต คืนความยุติธรรมให้ประชาชนอวิ๋นฝูหลิงใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คน เมื่อเจอผู้ป่วยที่ครอบครัวยากจน ก็ยังยกเว้นค่ารักษาของพวกเขาด้วยสิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดน้ำหนักในใจของประชาชนเซียวจิ่งอี้กับอวิ๋นฝูหลิงมีจิตใจเมตตา ประชาชนย่อมจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจท่ามกลางฝูงชนที่คับคั่ง ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำผู้หนึ่งยืดคอยาว มองไปทางรถม้าของเซียวจิ่งอี้ด้านข้างของเขามีเด็กหนุ่มยืนเขย่งปลายเท้า พลางดึงแขนเสื้อถามเขาว่า “ลุงหลี่ ท่านเห็นท่านอ๋องกับพระชายาหรือไม่?”ชายร่างสูงผอมผิวคล้ำกับเด็กหนุ่ม ก็คือลุงหลี่กับฟางอวี่ที่เซียวจิ่งอี้และอวิ๋นฝูหลิงช่วยออกมาจากเกาะหมัวกุ่ยก่อนหน้านี้หากเซียวจิ่งอี้อยู่ที่นี่ด้วยในยามนี้ จะต้องจำได้เป็นแน่ว่านอกจากลุงหลี่กั
จนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว หัวใจที่ตื่นตระหนกอยู่นานของเขาจึงสงบลงขณะนั้นเองจู่ ๆ ก็ได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงจะถอนพิษให้ตามที่รับปากเขาไว้ เมื่อหวนนึกถึงทุกสิ่งก่อนหน้านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกหลังจากเขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก็เพิ่งก้าวไปข้างหน้าอวิ๋นฝูหลิงหยิบหมอนหนุนจับชีพจรออกมาจากกล่องยา และส่งสัญญาณให้เวินจือเหิงวางมือลงไปหลังตรวจชีพจรของเวินจือเหิงแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงมือกลับมา และกล่าวว่า “พิษในร่างถูกถอนออกกว่าครึ่งแล้ว พูดตามหลักร่างกายของเจ้าควรจะฟื้นตัวได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว”“แต่ช่วงนี้จิตใจเจ้ากระสับกระส่าย และวิตกกังวลมากเกินไป ทั้งยังได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”“โชคดีที่ตอนยังเด็กเจ้าได้รับการเลี้ยงดูไม่เลว พื้นฐานร่างกายจึงแข็งแรง ตอนนี้จึงมีต้นทุนให้ใช้จ่ายได้”“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังโชคดี ได้พบหมอเทวดาคนหนึ่งเช่นข้า!”เวินจือเหิงได้ยิน สีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขมขื่นสายหนึ่งสกุลเวินเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน เขาในฐานะผู้นำสกุลย่อมต้องค้ำจุนทั้งสกุลไว้ช่วงนี้ เขากินไม่อิ่มนอนไม่หลับ
อวิ๋นฝูหลิงเหลือบมองเวินจือเหิง เห็นว่าแม้เขาจะร่างกายอ่อนแอ แต่กลับมีแรงใจไม่เลว ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาดีขึ้นสกุลเวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีขี้ผึ้งทองและการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย กอปรกับเวินเจาจากบ้านรองสกุลเวินยังถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์แคว้นเยว่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกร่องรอยยังแสดงให้เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของแคว้นเยว่ ซึ่งตั้งใจโค่นล้มราชสำนัก ถือเป็นกบฏอย่างแท้จริงหากคนของบ้านรองเข้าไปพัวพันกับคดีใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าทั้งสกุลย่อมถูกทำลายลงตรงหน้าสกุลเวินยังสามารถยืนหยัดอยู่ในจินโจวได้ ต้องขอบคุณเวินจือเหิงซึ่งเป็นผู้นำตระกูลจริง ๆหากมิใช่เพราะเขามีไหวพริบมองการณ์ไกล ชิงยอมจำนนต่อเซียวจิ่งอี้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง และเป็นฝ่ายลงทัณฑ์ญาติเพื่อผดุงธรรม นำหลักฐานที่เกี่ยวข้องซึ่งตัวเองตรวจสอบพบไปส่งมอบ ช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้เซียวจิ่งอี้ เกรงว่าทุกคนในสกุลเวินคงจะติดคุกกันหมดแล้วหลังจากนั้น เวินจือเหิงก็เป็นฝ่ายขอรับโทษ บริจาคทรัพย์สมบัติเก้าส่วนของสกุลเวินให้ราชสำนักตระกูลที่มั่งคั่งเช่นสกุลเวิน ทรัพย์สมบัติที่สั่งสมมาหลายร้อยปีย่อมไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ทรัพย์สมบัติ
อาศัยแค่เทียบยานั้นใบเดียว ด้วยการรักษาโรคชนิดหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงพอที่จะตั้งตัวได้ ถึงขั้นมีชื่อเสียงโด่งดังทว่ายามนี้อวิ๋นฝูหลิงกลับหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งออกมาให้ทุกคนเวียนกันอ่านและคัดลอกอย่างใจกว้างช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียนี่กระไร!ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออกโดยเฉพาะหมอผู้ดูหมิ่นอวิ๋นฝูหลิงในคราแรก ยามนี้สัมผัสได้เพียงความร้อนผ่านที่แก้ม รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเพิ่งมีคนตั้งสติได้ โค้งคำนับอวิ๋นฝูหลิงด้วยความเคารพ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “การกระทำของแม่นางอวิ๋น เป็นแบบอย่างให้พวกข้าแล้วจริง ๆ พวกข้ายังเทียบแม่นางอวิ๋นไม่ติดเลย!”เมื่อมีคนเริ่มกล่าว คนอื่นก็เริ่มตอบสนองออกมาเช่นกัน พากันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณอวิ๋นฝูหลิงอย่างจริงจังมีบางคนถึงกับเรียกอวิ๋นฝูหลิงว่าท่านอาจารย์ ขอบคุณที่ครั้งนี้นางช่วยรักษาอาการโรคที่เกิดจากขี้ผึ้งทองในจินโจว ทั้งยังถ่ายทอดคำสอนและไขข้อสงสัยอวิ๋นฝูหลิงก็มิได้อวดภูมิ รับคำคนเหล่านั้นอย่างนอบน้อมประการแรก ช่วงที่นางรักษาคนไข้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองในจินโจว ก็ได้สอนวิธีการรักษาของตัวเองให้เหล่าหมอท่า