LOGIN
คงไม่มีอะไรงดงามและหวานล้ำยิ่งกว่า การได้ยืนกอบกุมมือหญิงงามท่ามกลางมวลดอกไม้ป่าภายใต้แสงสีเงินยวงของจันทราในคืนเพ็ญ แต่มิใช่กับ โซ่วอ๋อง ฉู่ชิงเฟิง ที่ลงความเห็นว่าภาพเบื้องหน้าช่างบาดตาบาดใจเหลือเกิน เพราะมือของสตรีในดวงใจ ที่เขาเพิ่งจะส่งแม่สื่อไปสู่ขอได้ไม่นานอย่าง หลินผู่ซิน บัดนี้กำลังถูกบุรุษน่าตายผู้หนึ่งกอบกุมเอาไว้
แม้ทางตระกูลหลินจะยังมิได้ให้คำตอบ แต่เขามีบรรดาศักดิ์เป็นถึงโซ่วอ๋อง ไหนเลยอัครเสนาบดีจะกล้าปฏิเสธ พอคิดว่าคู่หมายในอนาคตกำลังถูกชายอื่นล่วงเกินอยู่ เขาก็เกือบจะพุ่งเข้าไปจัดการกับไอ้คนไม่เจียมตัวพรรค์นั้นอยู่แล้ว ทว่าชายผู้นั้นกลับถามคำถามที่เขาเองก็อยากรู้อยู่พอดีขึ้นมาเสียก่อน
“เจ้าจะแต่งงานกับโซ่วอ๋องจริงรึ”
‘ถามโง่ๆ มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว ใครจะปฏิเสธบุรุษเพียบพร้อมอย่างข้าได้’ ฉู่ชิงเฟิงตอบโต้บุรุษที่ยืนหันหลังอยู่ในใจ แต่ทันใดนั้นหลินผู่ซินก็หัวเราะออกมา
“จริงอยู่ที่โซ่วอ๋องส่งแม่สื่อมาที่จวน แต่ว่าบิดาข้าไม่มีทางตอบตกลงเป็นแน่เพคะ”
“เจ้าแน่ใจได้อย่างไร บางทีบิดาเจ้าอาจจะยังใคร่ครวญอะไรบางอย่างไม่เสร็จก็ได้”
“ใคร่ครวญอย่างนั้นรึ อย่าว่าแต่ท่านพ่อเลย แม้แต่ข้ายังโมโหแทบตาย ไม่รู้ว่าคนอ้วนอัปลักษณ์อย่างฉู่ชิงเฟิงเอาความมั่นใจมากมายมาจากที่ใด ถึงได้กล้าส่งแม่สื่อมาสู่ขอข้า เขาจะรู้หรือไม่ว่า แค่นึกถึงใบหน้าอวบอ้วนกับกลิ่นกายเหม็นสาบของเขา ข้าก็แทบจะสำรอกออกมาแล้ว”
ชายผู้นั้นแกล้งดุกลบเกลื่อนน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเยาะหยัน “ประเดี๋ยวเถอะ นี่เจ้ากำลังพูดถึงท่านอ๋องอยู่เชียวนะ ไม่กลัวถูกลงโทษบ้างหรือไร”
“เขาเป็นอ๋อง แล้วท่านมิใช่อ๋องหรือไร อย่าบอกนะว่าท่านจะลงโทษข้าแทนพี่ชายตัวเอง” หลินผู่ซินเอียงศีรษะ หัวเราะเสียงใสน่ารักราวกับกำลังพูดเรื่องน่ารื่นรมย์อยู่ ไม่ใช่กำลังวิพากษ์วิจารณ์เชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งอย่างไม่เกรงอาญา
ฉู่ชิงเฟิงกำหมัดแน่น ที่แท้ผู้ชายคนนั้นคือหนึ่งในน้องชายของเขานี่เอง มิน่าน้ำเสียงถึงได้ฟังดูคุ้นหูนัก
“เปล่าเสียหน่อย เปิ่นหวางแค่เป็นห่วงเจ้าก็เท่านั้น”
“ขอบคุณท่านอ๋องที่เป็นห่วง แต่ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย และคงไม่ได้มีเพียงผู่ซินที่คิดเช่นนี้ มีสตรีคนใดบ้างอยากตกนรกทั้งเป็น เพราะต้องอยู่กับบุรุษอัปลักษณ์ ไร้ความสามารถอย่างโซ่วอ๋องไปตลอดชีวิตบ้าง” กล่าวจบพลันได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วแว่วมา ชวนให้คู่สนทนาหัวใจปวดหนึบยิ่ง
“โถ ผู่ซินของเปิ่นหวางช่างน่าสงสารจริงๆ”
“ถ้าท่านอ๋องสงสารข้าอย่างที่พูด ก็รีบจัดการเรื่องหมั้นหมายของเราให้เรียบร้อยเถิด พอถึงตอนนั้นโซ่วอ๋องคงเข้าใจได้เองว่า ข้ากับเขามิได้คู่ควรกัน”
“เปิ่นหวางสัญญาว่าจะรีบจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด แต่ว่าก็ยังไม่อยากมีปัญหากับเขา เพราะอาจจะเสียการใหญ่ได้ ผู่ซิน เจ้าอดทนอีกนิดได้หรือไม่”
“เพื่อเป้าหมายของท่านอ๋อง ผู่ซินอดทนได้เพคะ”
ทุกการกระทำ ทุกคำพูดของหลินผู่ซินกลายเป็นศรอาบยาพิษพุ่งตรงเข้ากลางใจฉู่ชิงเฟิง ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางเป็นคนเดียวที่เวลาเจอเขาก็ส่งยิ้มงดงามให้ ไม่เคยแสดงท่าทีว่ารังเกียจเขาเหมือนกับคุณหนูคนอื่นๆ ด้วยเหตุนี้นางจึงเหมือนเทพธิดาในใจเขาเสมอมา ทว่าวันนี้เขาได้รู้ซึ้งแล้วว่าสิ่งที่เห็นทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา จริงๆ แล้วนางแค่อยากทำตัวเป็นสตรีจิตใจสูงส่งต่อหน้าผู้อื่นเท่านั้น แต่ที่แท้นางมองเขาเป็นเพียงชายอ้วนอัปลักษณ์ ทั้งยังรังเกียจเสียจนแทบจะอาเจียนออกมาเลยทีเดียว
ฉู่ชิงเฟิงเสียใจจนไม่อยากรู้อีกต่อไปแล้วว่า บุรุษที่อยู่กับหลินผู่ซินเป็นพี่น้องของเขาคนไหน รู้แต่เพียงว่าตอนนี้ตนอยากจะหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ให้มากที่สุด
ร่างตุ้มตุ้ยพลันหันหลังกลับ แล้ววิ่งเตลิดไปในป่าอย่างไร้จุดหมาย พลางนึกโต้แย้งคำหยามเหยียดของหลินผู่ซินทั้งน้ำตาไปด้วย
‘ถึงข้าจะรูปร่างไม่ดีเท่าพี่น้อง แต่เรื่องความสามารถ มีสิ่งใดที่ข้าด้อยกว่าพวกเขา ทั้งโคลงกลอน เขียนอักษร หลักการบริหารบ้านเมือง ไหนจะผีมือยิงธนู อาจารย์ล้วนชมว่าข้านั้นเก่งกาจยิ่ง หลินผู่ซินเจ้าน่ะสบประมาทข้าเกินไปแล้ว’
ด้วยปกติฉู่ชิงเฟิงเป็นคนพิสมัยการกิน ทั้งยังชอบอ่านตำรา ฝึกเขียนพู่กันอยู่ในห้องหนังสือมากกว่าฝึกฝนร่างกาย เลยทำให้เขามีรูปร่างอ้วนท้วน ดังนั้นการที่ต้องวิ่งแบกน้ำหนักเกือบหนึ่งร้อยชั่ง[1] เป็นเรื่องยากลำบาก เขาวิ่งไปได้สักพักก็สะดุดขาตัวเองล้มลงข้างธารน้ำตก ชายหนุ่มที่บอบช้ำทั้งกายใจพยายามกลั้นเสียงร้อง แต่ยิ่งกลั้นก็ยิ่งสะอึกสะอื้น น้ำหูน้ำตาไหลย้อยปะปนกับน้ำมูกจนใบหน้าอ้วนกลมเลอะเทอะดูไม่ได้
“ฮือๆ เง็กเซียนฮ่องเต้ แม้แต่เทพธิดาผู่ซินที่ท่านส่งมาก็รังเกียจข้า ในเมื่อไม่มีใครรักและจริงใจ แล้วแบบนี้ข้าจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไรกันเล่า” ฉู่ชิงเฟิงฟุบหน้าลงกับพื้นดิน พลางร่ำร้องตัดพ้อสวรรค์อยู่เป็นนาน และดูเหมือนเง็กเซียนฮ่องเต้อาจจะเห็นแก่คำขอของเขา เลยบันดาลให้เป็นไปตามคำพูด...
เนื่องจากตลิ่งตรงนี้ถูกน้ำกัดเซาะจนดินอ่อน ประกอบกับน้ำหนักมหาศาลของฉู่ชิงเฟิง ฉับพลันพื้นดินบริเวณที่ร่างอวบอ้วนฟุบอยู่ทรุดลงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ตูม!
แม้เสียงดินและคนตัวหนักกว่าร้อยชั่งตกลงไปในน้ำดังสนั่นปานใด ทว่าสุดท้ายกลับเลือนหายไปพร้อมกับเงาร่างของโซ่วอ๋องโดยไม่มีผู้ใดสังเกตหรือได้ยิน
[1] หนึ่งชั่ง มีค่าเท่ากับ 1.2 กิโลกรัม ดังนั้น 100 ชั่ง จึงมีค่าเท่ากับ 120 กิโลกรัม
เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย “เพราะอย่างนั้น ข้าเลยไม่เห็นจำเป็นต้องโอ้อวดความสามารถอะไรเลย หลายครั้งที่ข้าช่วยเสนอความคิดต่างๆ กับเสด็จพ่อ และช่วยให้จิ้นอ๋องทำผลงาน ให้เขาได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ข้าแค่เห็นว่าได้ช่วยให้คนสองคนที่ข้ารักและเคารพได้สมปรารถนา ได้เติบโตในเส้นทางของพวกเขาก็ถือเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ข้ามีความสุขมากนะเมื่อได้เห็นพวกเขามีความสุข โดยไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศอะไรให้ใครรู้เลย”หลินเสี่ยวหรานฟังแล้วใจอ่อนยวบ ความคิดของฉู่ชิงเฟิงนั้นสูงส่งและบริสุทธิ์ยิ่งกว่าที่นางคิดไว้มากนัก นางรู้สึกละอายใจที่เคยมองเขาเพียงผิวเผิน“เข้าใจแล้วเพคะ” นางพึมพำ ก่อนจะถามคำถามต่อไป “แล้ววรยุทธ์เล่าเพคะ หม่อมฉันรู้ว่าท่านอ๋องมีวรยุทธ์ แต่หม่อมฉันคิดว่าแค่พอป้องกันตัวได้เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าท่านจะเก่งกาจราวเทพสงคราม จนสามารถปราบโจรป่าได้ราบคาบในพริบตา”“เทพสงครามอะไรกันเล่าหรานเอ๋อร์” ฉู่ชิงเฟิงส่ายหน้า เขาปฏิเสธคำชมนั้นอย่างรวดเร็ว “ที่ต้องฝึกวรยุทธ์ก็เพราะถูกบังคับให้ฝึกน่ะสิ ข้าไม่ชอบด้วยซ้ำ เพราะมันเหนื่อยจะตายไป”เขาบ่นอุบอิบ “ที่พอจะดีหน่อยก็คือเรื่องยิงธนูนั่นแหละ เพราะแค่ยื
หลังจากเหตุการณ์ปราบโจรป่าครั้งใหญ่ที่จบลงไปอย่างน่าตื่นตะลึง หลินเสี่ยวหรานยังคงรู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆ ถ่วงอยู่ในอก ภาพของฉู่ชิงเฟิงที่พลิ้วไหวกระบี่ดุจเทพสงคราม และเงาร่างของหลานเหมยที่ปลิดชีพศัตรูอย่างเลือดเย็นวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของนางตลอดเวลา มันเป็นภาพที่แตกต่างจาก ‘ท่านอ๋องว่างงานผู้ใจดี’ ที่นางรู้จักมาโดยสิ้นเชิงความรู้สึกเหมือนถูกปิดบัง คล้ายเขายังคงเป็นคนแปลกหน้าเกาะกินใจนาง ทำให้นางไม่สามารถร่าเริงได้เหมือนเคยบรรยากาศในจวนดูเหมือนจะปกติ แต่ความอึดอัดบางอย่างลอยอบอวลอยู่ระหว่างโซ่วอ๋องกับพระชายา หลินเสี่ยวหรานพยายามทำตัวปกติ ทว่าความเงียบที่เข้าปกคลุมระหว่างพวกเขามักจะหนักอึ้งอยู่เสมอฉู่ชิงเฟิงสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของพระชายาของเขามาตลอดหลายวัน ดวงตาคมกริบของเขาฉายแววกังวล“หรานเอ๋อร์ วันนี้อากาศดีนัก ข้าเห็นว่าเจ้าดูไม่ค่อยสบายใจ ไยเราไม่ออกไปเดินเล่นในตลาดสักหน่อยเล่า เผื่อจะช่วยให้ใจเจ้าผ่อนคลายขึ้นบ้าง”หลินเสี่ยวหรานวางผ้าปักในมือลงช้าๆ พลางเงยหน้ามองเขา “เพคะท่านอ๋อง” นางตอบรับเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงเจือความห่างเหิน แม้ในใจจะรู้สึกว่าการไปเดินตลาดอาจไม่ได้ช
เขาเดินโซซัดโซเซเข้าไปหาฉู่ชิงเฟิง ทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าทันที “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉัน... หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉัน... หม่อมฉันไม่เคยคิดเลยว่าท่านอ๋องจะ... ทรงเก่งกาจถึงเพียงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารบ้านเมือง หรือวรยุทธ์ ท่านคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกระหม่อมเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอสารภาพว่าตลอดมากระหม่อมอิจฉาท่าน ไม่ยอมรับในความสามารถของท่าน แต่บัดนี้... กระหม่อมยอมรับแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ท่านคือผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้อย่างแท้จริง หลี่เจิ้นขอถวายชีวิตรับใช้ท่านอ๋องตลอดไป และจะเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของท่านอ๋องแต่เพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ”น้ำเสียงของหลี่เจิ้นสั่นเครือด้วยความรู้สึกผิดและสำนึกอย่างแท้จริง แววตาที่มองฉู่ชิงเฟิงเปี่ยมไปด้วยความเคารพอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับเขาได้พบกับเทพเจ้าที่พร้อมจะยอมอุทิศตนเองให้ฉู่ชิงเฟิงมองหลี่เจิ้นนิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจ และยื่นมือไปประคองเขาให้ลุกขึ้น “ลุกขึ้นเถิดท่านรองเจ้าเมือง เพียงท่านเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เปิ่นหวางทำเพื่อแคว้นก็พอแล้ว เรื่องที่ผ่านมาเปิ่นหวางไม่เคยติดใจ” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ภายในใจของฉู่ชิงเฟิงก็รับรู้ได้ถึงชัยช
ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ฉู่ชิงเฟิงพลันสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ซ่านออกมาจากเงามืดอีกครั้ง คราวนี้มันรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า ราวกับพายุที่พร้อมจะพัดทำลายทุกสิ่ง เขาเหลือบมองไปยังทิศทางนั้นโดยไม่ละสายตาจากศัตรูเบื้องหน้า“หลานเหมย...” เสียงของฉู่ชิงเฟิงต่ำลง แต่หนักแน่นเด็ดขาด “ไประบายโทสะของเจ้าได้”สิ้นคำสั่งนั้นเอง ร่างหนึ่งก็พลันปรากฏกายขึ้นจากเงามืด ราวกับภูตผีที่โผล่พ้นจากนรกานต์ นางสวมชุดองค์รักษ์สีดำสนิท ปกปิดทุกส่วนของร่างกาย แม้กระทั่งใบหน้าก็ถูกผ้าคลุมสีดำทมึนบดบังไว้จนมิดชิด เห็นเพียงประกายเย็นเยียบและดุดันที่ลอดผ่านช่องแคบของผ้าคลุมเท่านั้น รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างของนางเข้มข้นจนบรรยากาศโดยรอบพลันเย็นยะเยือก เสียงกรีดร้องของโจรที่ดังระงมอยู่แล้ว กลับทวีความน่าหวาดกลัวขึ้นเมื่อเงาร่างสีดำนั้นเริ่มเคลื่อนไหว การโจมตีของนางรวดเร็ว ไร้ความปรานี และเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว ราวกับยมทูตที่มาทวงวิญญาณทันใดนั้นเอง นางก็เริ่มเคลื่อนไหว ร่างกายที่เคยสงบนิ่งบัดนี้กลับบ้าคลั่งราวกับสัตว์ร้ายที่หลุดออกจากกรงขัง นางพุ่งเข้าใส่กลุ่มโจรที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ เสียง
“เรียนท่านอ๋อง... พระชายาและท่านรองเจ้าเมือง... ถูกจับตัวไปพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงของเขาขาดห้วง ร่างของเฉาเหมยในอ้อมแขนซีดเผือดไร้ชีวิตชีวา พิษกำลังแล่นเข้าสู่หัวใจทันทีที่เห็นสภาพของเฉาเหมยที่ถูกนำกลับมาในสภาพปางตาย ฉู่ชิงเฟิงพลันสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาเห็นธนูพิษที่ปักอยู่บนแขนของนาง ดวงตาคมกริบฉายแววเป็นห่วงปนโทสะ“ใครก็ได้! ไปตามหมอหลวงมาดูอาการเฉาเหมยเดี๋ยวนี้” ฉู่ชิงเฟิงตะโกนเสียงดังลั่น ในขณะที่หมอหลวงกำลังเดินทางมาอย่างเร่งด่วนในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ฉู่ชิงเฟิงก็รับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงจนน่าสะพรึง มันแผ่ออกมาจากเงามืดในมุมหนึ่งของห้องโถง แม้จะไร้ซึ่งเสียงและตัวตนที่มองเห็น แต่จิตสังหารนั้นก็เข้มข้นจนทำให้เส้นผมบนแขนของเขาลุกชัน เขารู้ดีว่าความรู้สึกนี้มาจากใคร หลานเหมยคงเดือดดาลอย่างถึงที่สุดที่ได้เห็นสภาพปางตายของผู้เป็นน้องสาว จิตสังหารที่แผ่ออกมานั้นไม่ใช่แค่ความโกรธแค้น แต่มันคือคำประกาศกร้าวว่า ‘จะไม่มีใครรอด’ และผู้ที่บังอาจทำร้ายน้องสาวของนางจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตอย่างสาสมจากนั้นองครักษ์ผู้รอดชีวิตก็ยื่นจดหมายที่กำแน่นในมือให้ฉู่ชิงเฟิง เขาหยิบมาคลี่ออกอ่าน แววตา
หนึ่งปีแห่งความรุ่งเรืองของแคว้นหลิงหลงได้ผ่านไป ภายใต้การบริหารของฉู่ชิงเฟิงและเหล่าขุนนางผู้จงรักภักดี เมืองชิงหลิวและหัวเมืองน้อยใหญ่ต่างเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง ผู้คนใช้ชีวิตอย่างผาสุกแต่เหรียญย่อมมีสองด้าน...ความร่ำรวยดึงดูดสายตาของเหล่าโจรป่าผู้หิวโหย ภัยร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ตามป่าเขาเริ่มคุกคามเส้นทางการค้าและการสัญจรของชาวบ้าน สร้างความปั่นป่วนไปทั่วแคว้นภายในจวนเจ้าเมือง “กราบทูลท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ! แม้แคว้นเราจะมั่งคั่งขึ้น แต่ปัญหาโจรป่ากลับหนักหนาสาหัสขึ้นพ่ะย่ะค่ะ พวกมันกล้าดียิ่งขึ้น ดักปล้นขบวนสินค้าและชาวบ้านตามเส้นทางสำคัญๆ ทำให้การค้าชะงักงันพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพซ่งยืนกรานสีหน้าเคร่งเครียดฉู่ชิงเฟิงขมวดคิ้ว “แล้วกองทัพเล่า ท่านแม่ทัพมีกำลังไม่เพียงพอหรืออย่างไร”แม่ทัพซ่งถอนหายใจหนัก “กำลังพลมีจำกัดพ่ะย่ะค่ะ ทหารหลวงหนึ่งพันนายต้องกระจายกำลังดูแลสี่หัวเมือง อีกทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์หลายอย่างก็เริ่มชำรุดทรุดโทรม เพราะสงบศึกมานานหลายปี ทหารเองก็ขาดการฝึกฝนอย่างเข้มข้น ทำให้ความแข็งแกร่งลดลงพ่ะย่ะค่ะ”“ปัญหาใหญ่จริงๆ นั่นแหละท่านแม่ทัพ เปิ่นหวางเข้าใจดี” ฉู่ชิงเฟิงหันไปมองเหวินจ







