ครั้นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของแสงแดดที่กระทบใบหน้า ฉู่ชิงเฟิงจึงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น เขามองขื่อคานไล่ลงมาจนถึงผนังห้อง พยายามตั้งสติ ไล่เรียงความจำว่าเกิดอะไรขึ้น และตอนนี้เขาอยู่ที่ใดกันแน่
‘จริงสิ ข้าพลัดตกน้ำไป’
ฉู่ชิงเฟิงยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้น เพราะพอถึงคราวที่ต้องตกอยู่ในอันตรายเข้าจริงๆ เขาถึงได้ตระหนักว่าตนเองรักชีวิตมากเพียงใด เลยพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ แต่สายธารไหลเชี่ยว ทั้งยังมีแก่งหินสลับซับซ้อน ยามนั้นร่างเขากระแทกกับโขดหินจนเจ็บร้าวไปหมด และสุดท้ายผ้าไหมที่อุ้มน้ำกับน้ำหนักตัวมหาศาลก็ทำให้แรงฮึดเฮือกสุดท้ายนั้นไร้ประโยชน์
ขณะที่กำลังจมดิ่งลงใต้พื้นน้ำอันหนาวเหน็บ เขาจึงอ้อนวอนต่อสวรรค์เป็นครั้งสุดท้าย
‘ตั้งแต่เกิดมา หากไม่นับเรื่องที่ตัดพ้อสวรรค์เมื่อครู่ ข้าฉู่ชิงเฟิงไม่เคยอ้อนวอนขอสิ่งใดจากทวยเทพมาก่อน หากสวรรค์เห็นแก่คุณงามความดีที่ข้าเคยทำต่อราษฎร ก็ขอให้ชาติหน้าข้าไม่อ้วนอัปลักษณ์ ได้พบกับสตรีที่ทั้งงดงาม ทั้งจริงใจ ไม่เสแสร้งแกล้งทำดี แต่แท้ที่จริงเห็นข้าเป็นเพียงคนโง่งมคนหนึ่งด้วยเถิด”
เขาคิดถึงคำขอสุดท้ายของตัวเอง แล้วพยายามปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมด ตอนนั้นเขาจมน้ำไปจริงๆ ความเจ็บปวดยามที่ร่างกายพยายามหายใจเข้า แต่มีน้ำเข้ามาแทนจนเต็มปากและจมูกยังคงตราตรึงในห้วงจำ
‘นี่ข้าตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ’
ฉู่ชิงเฟิงรีบหยิกแขนตัวเองเป็นการด่วนเพื่อพิสูจน์ “โอ๊ย!” ความเจ็บทำให้เขามั่นใจว่าตอนนี้ตนไม่ได้ฝันไป และคงไม่ได้เป็นวิญญาณ เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
‘อ่า หรือว่าข้าได้กลับชาติมาเกิดใหม่ เพื่อแก้ไขอดีต ดังที่นักเล่านิทานในโรงน้ำชาชอบเล่าตำนานลี้ลับให้ฟังกันนะ’
ฉู่ชิงเฟิงพยายามให้เหตุผลตัวเอง ทว่าพอมองไปรอบกายดีๆ หากเขาได้เกิดใหม่อีกครั้งจริง ที่นี่ควรจะเป็นห้องของเขาในจวนโซ่วอ๋อง มิใช่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กแคบเหม็นอับตุๆ เยี่ยงนี้สิ
‘ไอ้หยา! หรือข้าจะเดินทางข้ามภพข้ามชาติ มาเกิดเป็นชาวบ้านยากจนกันนะ’
ความคิดนี้ทำเอาฉู่ชิงเฟิงตกใจจนหน้าซีด เขาขอไปเกิดใหม่ และขอให้ได้พบหญิงงามที่จริงใจ แต่ดันลืมขอให้เกิดในตระกูลร่ำรวยไปเสียนี่
“ฉิบหายแล้ว! ไม่เอานะไม่เอา ข้าทำบุญทำกุศลมากมายถึงเพียงนั้น ทำไมสวรรค์ถึงได้ส่งข้ามาเกิดในร่างชายอ้วน แถมยังจนกว่าเดิมอีกร้อยเท่าเล่า อ๊าก!!!” ฉู่ชิงเฟิงร้องออกมาอย่างคนเสียสติ
เสียงเอะอะภายในห้องทำให้หญิงสาวที่อยู่ภายนอกรู้ว่าคนป่วยฟื้นแล้ว นางจึงเดินออกไปที่หน้าเรือนพัก พอเห็นเด็กหนุ่มที่กำลังกวาดลานดินอยู่ก็เดินเข้าไปหาแล้วสั่งความ “อาโต๋ว เจ้ารีบไปบอกลุงชุนกับลี่มามาเร็วเข้าว่าคนฟื้นแล้ว”
“ข้ากำลังทำงานอยู่ เหตุใดเจ้าไม่ไปเองเล่าหลินอ้าย” เด็กหนุ่มที่ชื่ออาโต๋วเอ่ยถามอย่างไม่พอใจนัก
“เพราะว่าข้าต้องไปทำอย่างอื่นยังไงเล่า เจ้ารีบไปเถอะ ขืนชักช้า แล้วคนผู้นั้นเป็นอะไรขึ้นมาอีก เจ้าอาจจะไม่ได้ห้องนอนคืนเอาได้นะ” พูดจบนางก็เดินไปอีกทางทันที
“ห้องนอนข้า ข้าจะได้ห้องนอนคืนใช่ไหม อ้าว! หลินอ้ายแล้วนั่นเจ้าจะไปที่ใด”
“ข้าก็จะไปเอาโจ๊กมาให้เขากินน่ะสิ นอนหลับไปนานขนาดนั้นจะต้องหิวมากแน่ๆ” หลินอ้ายตะโกนตอบโดยไม่ได้หันหลังกลับมา เห็นเช่นนั้นอาโต๋วก็วางไม้กวาดในมือลง แล้วตรงไปแจ้งคนที่เรือนหน้าแทนนาง
ส่วนฉู่ชิงเฟิงที่อยู่ในห้อง ก็เอาแต่นอนร้องไห้ตัดพ้อสวรรค์อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมีหญิงสาวสองคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง โดยที่คนด้านหลังถือถาดใส่ชามโจ๊กตามมา
‘หรือว่านางจะเป็นภรรยาในชาตินี้ของข้า’ ฉู่ชิงเฟิงพิจารณารูปร่างหน้าตาของสตรีที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ แล้วหัวใจก็ต้องเต้นโครมคราม เพราะตำแหน่งโฉมงามอันดับหนึ่งในใจเขาอย่างหลินผู่ซินได้ถูกสตรีนางนี้ช่วงชิงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้ หลินเสี่ยวหราน จะถูกจดจ้องอย่างไร้มารยาท ก็มิได้ถือสา เพราะคิดว่าชายผู้น่าสงสารคนนี้คงจะยังมีอาการสับสนหลังจากสลบไปนานเท่านั้น นางเดินไปหยุดอยู่ตรงข้างเตียง แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกหิวหรือไม่”
โครกคราก!!!
พอถูกถามเช่นนั้น ท้องของฉู่ชิงเฟิงก็ร้องประท้วงแทนเจ้าตัว หลินอ้ายได้ยินก็พยายามกลั้นหัวเราะสุดขีด ด้วยไม่อยากจะซ้ำเติมคนป่วย
“ดูท่าเจ้าจะหิวมาก เช่นนั้นลุกขึ้นมากินโจ๊กสักหน่อยเถิด”
หลินอ้ายรู้หน้าที่จึงวางโจ๊กลงบนโต๊ะ แล้วเดินเข้ามาช่วยพยุงคนตัวอ้วนให้ลุกขึ้นนั่ง แต่ฉู่ชิงเฟิงไม่ได้กินอะไรมาหลายวันยามนี้จึงไร้เรี่ยวแรง
“ดูเหมือนเจ้าจะลุกไม่ไหวสินะ”
ฉู่ชิงเฟิงพยักหน้า มองหลินเสี่ยวหรานตาปริบๆ อย่างน่าสงสาร
“งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะป้อนเจ้าเอง” หลินอ้ายรับอาสา แต่ฉู่ชิงเฟิงส่ายศีรษะ แล้วยกมือชี้ไปยังหลินเสี่ยวหราน แต่ยังไม่ทันที่หลินอ้ายจะก่นด่าความไม่เจียมตัวของเขาออกมา หลินเสี่ยวหรานก็ส่งสายตาห้ามปราม ก่อนยื่นมือไปรับชามโจ๊กมาถือไว้ แล้วจัดการป้อนชายหนุ่มที่นอนอ้าปากรอด้วยตนเอง
ฉู่ชิงเฟิงรู้สึกหัวใจพองโตอย่างมาก หากชาติที่แล้วเขาไม่อาจได้หลินผู่ซินมาเป็นภรรยา แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะชาตินี้เขาได้เจอสตรีที่งดงามกว่า ใส่ใจเขามากกว่าแล้ว เหลือแค่ลองชิมรสมือนางเท่านั้น หากเลิศล้ำก็นับว่าไม่เสียทีที่ตกน้ำตายแล้วมาเกิดใหม่ ชายหนุ่มคิดในขณะที่อ้าปากรับโจ๊กที่ถูกเป่าจนเย็นลงแล้วป้อนเข้าปาก
ทว่าเหมือนสวรรค์จะไม่เคยสนใจคำขอของเขาอย่างจริงจังเลย
“แค่กๆ ๆ” ฉู่ชิงเฟิงพ่นโจ๊กคำนั้นออกมาใส่หลินเสี่ยวหรานจนเลอะไปหมด “นะ...นี่มันโจ๊กหรือน้ำล้างชาม มีภรรยาฝีมือทำอาหารแย่เยี่ยงนี้ ข้าช่างโชคร้ายนัก”
หลินเสี่ยวหรานปัดเศษโจ๊กออกจากตัว พลางถามด้วยความตกใจ “เจ้าว่าอะไรนะ ใครกันที่เป็นภรรยาเจ้า”
“ถามได้ ก็ต้องเจ้าน่ะสิ”
หลินเสี่ยวหรานลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ เรื่องที่เขาว่าโจ๊กของนางรสเหมือนน้ำล้างชามนั้นนางไม่ถือสา เพราะคนเพิ่งจะฟื้นหลังจากบาดเจ็บและสลบไปหลายวันย่อมกินได้แค่โจ๊กแบบนี้เท่านั้น แต่ตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกทึกทักว่าเป็นภรรยาของบุรุษแปลกหน้า ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าต่างหาก
“นี่เจ้าต้องป่วยจนเลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ ข้าไปเป็นภรรยาเจ้าตั้งแต่เมื่อใด”
“อ้าว เจ้าไม่ใช่ภรรยาของข้าหรอกรึ แล้วเหตุใดถึงมาปรนนิบัติข้ากันเล่า” ฉู่ชิงเฟิงทำสีหน้าฉงน บางทีเขาอาจจะคาดเดาอะไรผิดไปตั้งแต่แรก
“ไม่ใช่นะ ผ้าพวกนี้เป็นของคุณหนูทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นจะขายได้ราคาดีขนาดนี้ได้อย่างไร”“เจ้านั่นแหละที่ไม่รู้อะไร” ฉู่ชิงเฟิงส่ายหัว ทั้งสงสารทั้งสมเพชที่หลินอ้ายโดนเถ้าแก่ร้านตัดเย็บแห่งนี้กดราคาสินค้าอย่างหน้าด้านๆ“ของพวกนี้ต้องขายได้สองสามตำลึงเงินจริงๆ หรืออาเปา”“พูดไปแล้วอาจจะทำให้เจ็บใจ แต่หลินอ้าย เจ้าโดนเถ้าแก่ไร้คุณธรรมหลอกเข้าแล้ว”“ขะ...ข้าโดนหลอกงั้นรึ” หลินอ้ายหน้าซีด ทั้งที่คุณหนูมอบหมายให้นางมาขายของด้วยความไว้วางใจแท้ๆ แต่นางกลับพอใจจำนวนเงินที่ไม่สมกับความเหนื่อยยากของเจ้านาย“อย่าโทษตนเองไปเลยหลินอ้าย เจ้าเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็กๆ ในจวนจะไปรู้เรื่องค้าขายได้เยี่ยงไร ถ้าให้ข้าเดา ที่เจ้าพอใจในราคาที่เถ้าแก่เสนอ เพราะเขาให้ราคาเจ้ามากกว่าสินค้าทั่วไปที่ขายอยู่หน้าร้าน ทั้งยังชื่นชมงานของคุณหนูไม่ขาดปาก แล้วสัญญาว่าต่อไปหากมีของมาขายอีก เขาก็จะรับทุกชิ้นในราคาสูงแบบนี้ใช่หรือไม่”“อาเปา เจ้ารู้ได้ยังไง” หลินอ้ายตกใจที่เขาเดาถูกแทบทุกอย่าง“ส่วนคุณหนูเจ้า พอได้รับเงินก็มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ยิ้มแย้มยินดีอะไร”“อาเปา จะ...เจ้าแอบสืบเรื่องของคุณหนูมาตั้งแต่เมื่อไร บอกมาเดี
บ้านสวนสกุลหลินตั้งอยู่ในเขตอำเภอจงมู่ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม สวนของพวกเขาอยู่ห่างจากตัวอำเภอไกลพอสมควร จึงต้องอาศัยรถม้าในการเดินทางพอถึงตัวอำเภออาโต๋วก็บังคับม้าตรงไปยังร้านขายผ้าในตลาด ฉู่ชิงเฟิงที่ส่วนใหญ่อยู่แต่ในเมืองหลวง พอได้ออกมาเปิดหูเปิดตาจึงถือโอกาสสำรวจความเป็นอยู่ของราษฎรเสียเลย เขามองทุกที่ที่รถม้าแล่นผ่านอย่างพิจารณา แล้วพบว่าถึงจงมู่จะเป็นอำเภอเล็กๆ แต่ก็มีแผงลอย ร้านค้าเปิดอยู่หลายร้านเลยทีเดียว ชาวบ้านก็ดูมีความสุขดี แทบจะไม่เจอขอทานตามท้องถนน อ๋องหนุ่มในคราบอาเปาจึงอดยิ้มปลาบปลื้มแทนพระบิดาไม่ได้“มัวยิ้มอยู่นั่น รีบลงจากรถแล้วเอาบันไดมาวางให้คุณหนูเร็วเข้า” อาโต๋วหันไปสั่งอาเปาที่มัวแต่ใจลอยให้ลุกมาช่วยกันทำงาน“อ่า ถึงแล้วเหรอ”“ก็ถึงแล้วน่ะสิ เจ้ามัวแต่นั่งยิ้มใจลอยอยู่นั่น ไหนว่าไม่อยากมาไงเล่า”ฉู่ชิงเฟิงไม่คิดจะโต้เถียงกับอาโต๋ว จึงทำเป็นหัวเราะแหะๆ กลบเกลื่อน แล้วรีบลงจากรถม้าไปหยิบบันไดมาวางให้หลินเสี่ยวหราน ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษที่ถูกอบรมว่าต้องดูแลสุภาพสตรี เขาจึงเผลอยื่นมือออกไปให้หลินเสี่ยวหราน โดยลืมไปว่ายามนี้ตนเองเป็นเพียงคนความจำเสื่
วันคืนของการเป็นอาเปาผ่านพ้นไปอย่างช้าๆ จากวันเป็นเดือน แต่เวลายิ่งผ่านไป งานที่อาโต๋วโยนมา ไม่สิ มอบหมายให้ฉู่ชิงเฟิงก็เริ่มมากมายขึ้นเป็นเงาตามตัว ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาทำงานคล่องแล้ว ก็ควรแบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้ชัดเจน ทำให้จากเดิมที่มีอาโต๋วคอยช่วยเวลาที่เขาหมดแรงทำงานไม่ทัน ตอนนี้เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว แต่อ๋องหนุ่มยังไม่มีความคิดจะกลับสู่ฐานะเดิมในเร็ววันนี้แน่นอนว่าพองานหนักขึ้น ท้องไส้ของเขาก็ยิ่งปั่นป่วน เสียงพุงน้อยๆ ร้องขออาหารใส่ท้องนั้นดังพอๆ กับเสียงโอดครวญที่ดังขึ้นอยู่ภายในใจของเขาแต่สตรีใจดำอำมหิตอย่างหลินเสี่ยวหรานกลับให้หลินอ้ายส่งแต่ข้าวแข็งๆ โปะกับข้าวที่มีแต่ผักล้วนๆ ไม่มีเนื้อผสมมาให้ทุกเมื่อเชื่อวันช่างใจจืดใจดำไร้คุณธรรมยิ่ง!ฉู่ชิงเฟิงคิดไปพลางพุ้ยข้าวเข้าปากเคี้ยวแล้วกลืนมันลงไปพลางพร้อมกับความเคียดแค้นที่พองฟูอยู่เต็มท้อง“คอยดูเถอะหลินเสี่ยวหราน หากวันใดได้กลับคืนสู่ฐานะ เปิ่นหวางจะจับเจ้าไปขังเอาไว้แล้วให้กินแต่ผักทุกมื้อเยี่ยงนี้สักปีสองปี”“เจ้าหมูอ้วน เจ้าว่าใครจะจับใครไปขังนะ” หลินอ้ายที่เดินมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เอ่ยถาม เมื่อครู่นางยังอยู่ไกลจึง
ฉู่ชิงเฟิงมองอาหารของตนเองสลับกับของอาโต๋วอย่างไม่อยากเชื่อ“ให้ตายสิ ทำไมของเจ้ามีเนื้อด้วย แต่ทำไมของข้า...ของข้ามีแค่ผักเล่า” เขาใช้ตะเกียบเขี่ยข้าวฟ่างหุงสุกกับผักในชามไปมา หวังว่าจะพบเนื้อหมูสักชิ้น ทว่าความจริงยังคงโหดร้ายเช่นเดิม“มีให้กินก็ดีแล้ว เจ้าก็อย่าเรื่องมากนักเลย” หลินอ้ายกล่าว“เจ้าโกรธเกลียดอะไรข้านักหรือ ถึงได้ทำเรื่องโหดร้ายเยี่ยงนี้” ฉู่ชิงเฟิงหันไปถามหลินอ้ายด้วยดวงตาแดงก่ำ ท่าทีทุกข์ระทมน่าสงสารอย่างยิ่ง เขาทำงานหนักขนาดนี้ตั้งแต่เช้า นางกลับมอบให้เพียงข้าวฟ่างชามหนึ่งกับผัดผักวิญญาณหมู แล้วแบบนี้เขาจะไปมีแรงทำงานในช่วงบ่ายได้อย่างไร“อย่ามาพูดจาเหมือนข้ากลั่นแกล้งเจ้านะ” หลินอ้ายตะหวาดแหว“ถ้าเจ้าไม่ได้กลั่นแกล้งข้า แล้วทำไมถึงมีแต่อาโต๋วที่ได้กินหมูเล่า”“เรื่องนั้นข้าจะไปรู้เหรอ บางทีอาจมีคนเห็นเจ้าเป็นตัวบัดซบกินล้างผลาญ เลยไม่อยากเจียดเนื้อให้เจ้ากินกระมัง” หลินอ้ายยกมือทั้งสองขึ้นพลางไหวไหล่“ต่อให้เจ้าไม่ชอบหน้าข้าอย่างไร อยากไล่ข้าไปให้พ้นๆ แต่การกลั่นแกล้งคนที่ทำงานหนักมาตลอดเช้าเยี่ยงนี้ เจ้าไม่นึกละอายใจหน่อยเหรอ”“ละอายใจ? คนที่ควรละอายคือเจ้าต่างหา
ปัง ปัง ปัง!ฉู่ชิงเฟิงกระเด้งตัวขึ้นจากที่นอน เพราะตกใจเสียงเคาะประตู ครั้นหันมองไปรอบกาย ก็พบว่าตอนนี้ฟ้ายังไม่สาง แต่อาโต๋วกลับมาเรียกคน ถึงจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเสียมารยาทยิ่ง แต่เขาก็รีบลุกจากที่นอน เดินแบกพุงพลุ้ยๆ ของตนเองไปเปิดประตูในที่สุด“เจ้ามาเคาะประตูเรียกข้าด้วยเหตุอันใด” ฉู่ชิงเฟิงถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติมากที่สุด“นี่อาการเจ้าหนักมาก กระทั่งเมื่อวานคุยอะไรไว้กับคุณหนูก็ลืมไปหมดแล้ว?” อาโต๋วไม่ได้ตอบ แต่เลือกที่จะถามเขากลับ“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ข้าย่อมจำได้”“ถ้าเจ้าจำได้ทำไมถึงมัวแต่นอนอยู่เล่า ปล่อยให้ข้าเคาะประตูเรียกเสียนาน”ฉู่ชิงเฟิงย่นคิ้ว พลางหันไปมองท้องฟ้าที่มืดอยู่ “ข้ามิได้ตื่นสายเสียหน่อย ฟ้ายังไม่ทันสางเลย”“แล้วเจ้าจะรอให้ตะวันโผล่พ้นยอดไผ่ก่อนหรือไงถึงค่อยทำงาน”“มันก็ควรเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ”อาโต๋วส่ายหัวไปมา เขารู้สึกว่าคุณหนูของตนไม่ได้หาคนมาช่วยงาน แต่จะเพิ่มภาระให้เขามากกว่า “คุณหนูหนอคุณหนู ดูก็รู้ว่าเจ้าคงทำอะไรไม่เป็นยังจะยื่นข้อเสนอแบบนั้นอีก ไล่ๆ ไปเสียก็หมดเรื่องแล้ว”ฉู่ชิงเฟิงได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจขึ้นมา ขืนอาโต๋วไปบอกว่าเขาไม่ยอมทำงาน ตนเ
หลินเสี่ยวหรานให้ฉู่ชิงเฟิงตามนางไปที่โต๊ะหินใต้ต้นอิงฮวา แล้วเชิญให้เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นไม่นานอาโต๋วก็ไปตามลุงชุนมาสมทบ ครั้นทุกคนภายในบ้านอยู่รวมกันครบแล้ว หลินเสี่ยวหรานถึงได้เริ่มบทสนทนา“ก่อนหน้าเป็นเพราะเจ้าป่วยอยู่ ข้าจึงมิได้พูดคุยอะไรด้วยแบบเป็นเรื่องเป็นราว แต่บัดนี้ร่างกายของเจ้าแข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว ข้าเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่เราจะต้องพูดคุยกันเสียที ถึงแม้เจ้าจะยังจำอะไรไม่ได้ก็ตาม”“คุณหนูหลินมีเรื่องอันใดก็บอกกล่าวมาได้เลย” ใบหน้าอ้วนกลมของฉู่ชิงเฟิงดูจริงจังขึ้นสามส่วน“แต่ก่อนที่จะคุยอะไรกัน ข้าคิดว่าเจ้าควรหาชื่อให้ตนเองก่อน จะได้เรียกขานกันได้ถูก”“นั่นสินะ” ฉู่ชิงเฟิงไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน พอถูกถามก็นึกไม่ทันอยู่บ้าง เพราะในหัวมีคำมงคลมากมายลอยวนอยู่ในนั้น แต่ก็ยังหาชื่อที่ความหมายดี และถูกใจตนเองไม่ได้ทว่าคนที่รอฟังคำตอบมิได้มีใจอยากคอยเขาประดิษฐ์คำสักเท่าใด“หากเจ้ายังนึกไม่ออก ข้าก็ยินดีจะตั้งให้” หลินเสี่ยวหรานยิ้มกล่าว ท่าทางเต็มอกเต็มใจฉู่ชิงเฟิงหันไปสบตาของหลินเสี่ยวหรานที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ กอปรกับเขายังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรใช้ช