วันคืนของการเป็นอาเปาผ่านพ้นไปอย่างช้าๆ จากวันเป็นเดือน แต่เวลายิ่งผ่านไป งานที่อาโต๋วโยนมา ไม่สิ มอบหมายให้ฉู่ชิงเฟิงก็เริ่มมากมายขึ้นเป็นเงาตามตัว ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาทำงานคล่องแล้ว ก็ควรแบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้ชัดเจน ทำให้จากเดิมที่มีอาโต๋วคอยช่วยเวลาที่เขาหมดแรงทำงานไม่ทัน ตอนนี้เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว แต่อ๋องหนุ่มยังไม่มีความคิดจะกลับสู่ฐานะเดิมในเร็ววันนี้
แน่นอนว่าพองานหนักขึ้น ท้องไส้ของเขาก็ยิ่งปั่นป่วน เสียงพุงน้อยๆ ร้องขออาหารใส่ท้องนั้นดังพอๆ กับเสียงโอดครวญที่ดังขึ้นอยู่ภายในใจของเขา
แต่สตรีใจดำอำมหิตอย่างหลินเสี่ยวหรานกลับให้หลินอ้ายส่งแต่ข้าวแข็งๆ โปะกับข้าวที่มีแต่ผักล้วนๆ ไม่มีเนื้อผสมมาให้ทุกเมื่อเชื่อวัน
ช่างใจจืดใจดำไร้คุณธรรมยิ่ง!
ฉู่ชิงเฟิงคิดไปพลางพุ้ยข้าวเข้าปากเคี้ยวแล้วกลืนมันลงไปพลางพร้อมกับความเคียดแค้นที่พองฟูอยู่เต็มท้อง
“คอยดูเถอะหลินเสี่ยวหราน หากวันใดได้กลับคืนสู่ฐานะ เปิ่นหวางจะจับเจ้าไปขังเอาไว้แล้วให้กินแต่ผักทุกมื้อเยี่ยงนี้สักปีสองปี”
“เจ้าหมูอ้วน เจ้าว่าใครจะจับใครไปขังนะ” หลินอ้ายที่เดินมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เอ่ยถาม เมื่อครู่นางยังอยู่ไกลจึงได้ยินไม่ถนัด
“เปล่าสักหน่อย” ฉู่ชิงเฟิงปฏิเสธอย่างเป็นธรรมชาติ เขาอยู่บ้านสวนสกุลหลินมาสักพักแล้ว จึงเริ่มคุ้นชินกับนิสัยใจคอของคนที่นี่ “ว่าแต่เจ้าเถิด มาหาข้ามีธุระอันใด”
“เจ้าไปแต่งเนื้อแต่งตัวเถิด วันนี้คุณหนูจะพาเจ้าเข้าไปในเมือง”
“ข้าไม่ไป” ฉู่ชิงเฟิงปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด หากเข้าไปในเมือง เพราะถึงแม้จะมิได้ป่าวประกาศอย่างเป็นทางการ แต่เสด็จพ่อน่าจะให้คนตามหาเขาอยู่ในทางลับ และด้วยรูปร่างหน้าตาอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ คนของหน่วยลับจะต้องจำได้แน่ๆ ว่าเขาคือโซ่วอ๋องที่หายตัวไป
หลินอ้ายไม่อยากจะเชื่อหู ถึงอาเปาจะความจำเสื่อม แต่ก็ไม่น่าโง่ขนาดนี้ เพราะการเข้าเมืองก็เหมือนได้พักผ่อน เพราะพวกเขาไม่ต้องทำงานในบ้านเลยหนึ่งวัน แต่เจ้านี่กลับไม่อยากไปซะอย่างนั้น
แต่เอาเถอะ นางจะช่วยบอกใบ้ให้เอาบุญ เผื่อว่าเจ้านี่จะฉลาดขึ้นมาบ้าง
“คำสั่งของคุณหนูนะเจ้าปฏิเสธได้หรือ”
“ข้าเป็นคนมาอาศัยอยู่ก็จริง แต่ตามที่ตกลง คือข้าต้องใช้แรงงานแลกที่กินที่อยู่ หาใช่เป็นบ่าวใต้อาณัติของนางเต็มตัว ดังนั้นข้าย่อมมีสิทธิเลือกว่าจะออกไปข้างนอก หรือไม่ไป” ฉู่ชิงเฟิงพูดอย่างฉะฉาน จนหลินอ้ายชักไม่มั่นใจแล้วว่าที่ตัวเองปรามาสเขาว่าโง่นั้นถูกต้องหรือไม่
แต่ถึงอย่างไรวันนี้อาเปาก็ต้องเข้าเมืองไปกับคุณหนู แบบนี้นางคงต้องสร้างแรงกระตุ้นอีกสักหน่อย “ถ้าเจ้าไม่ไป ก็ต้องอยู่ทำงานทั้งหมดนี่คนเดียวนะ เจ้าคงไม่อยู่ให้โง่หรอกใช่ไหม”
“ข้าทำได้” แม้จะถูกข่มขู่ แต่ฉู่ชิงเฟิงก็บอกปัดอย่างรวดเร็ว จนหลินอ้ายเริ่มหงุดหงิดไม่วายกระทืบเท้าเร่าๆ
“โอ๊ย! อาเปา เจ้าไม่เรื่องมากสักวันได้หรือไม่”
“ข้าก็แค่ไม่อยากเข้าไปในเมือง เจ้าจะโมโหข้าไปใย”
“ที่ข้าโมโห เพราะเจ้ากำลังทำให้ข้าลำบาก”
“ข้าทำเจ้าลำบากด้วยเรื่องใด”
หลินอ้ายได้ฟังก็มีท่าทีชะงักงันราวกับถูกอะไรฟาดหัวขณะหนึ่ง จากนั้นสีหน้าของนาง น้ำเสียงของนางพลันแปรเปลี่ยนจนฉู่ชิงเฟิงตั้งรับไม่ทัน
“คุณหนูสั่งให้ข้ามาบอกความกับเจ้า แต่เจ้ากลับปฏิเสธ นี่ไม่เท่ากับว่าข้าทำงานล้มเหลวรึ เจ้าน่ะมันเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเองตลอดเวลา ส่วนข้าที่เป็นคนรับคำสั่งของคุณหนูมา จะโดนเจ้านายตำหนิที่ทำงานง่ายๆ แค่นี้ไม่สำเร็จอย่างไรก็ได้ใช่หรือไม่” ดวงหน้าของหลินอ้ายแดงก่ำ น้ำตาแห่งความโมโหเริ่มคลอหน่วงที่ดวงตา ตั้งแต่ชายผู้นี้เข้ามาในบ้าน นางต้องโดนคุณหนูเอ็ดอยู่หลายครั้งเพราะเขา “อาเปา เจ้านี่มันแย่กว่าที่ข้าคิดไว้ตอนแรกเสียอีก”
แม้ทั้งสองคล้ายจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด ทว่าฉู่ชิงเฟิงไม่เคยคิดว่าหลินอ้ายเป็นคนไม่ดี เพราะการที่นางไม่ไว้ใจคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเช่นเขา นั่นเพราะเป็นห่วงนายหญิงของตน หาใช่เพราะรังเกียจเขาอย่างแท้จริง
พอเห็นสตรีทำท่าจะร้องไห้จากความอัดอั้นเพราะเขา ฉู่ชิงเฟิงก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา
“เรื่องแค่นี้นายหญิงของเจ้าคงไม่ดุเจ้าหรอก อย่าโมโหไปเลย”
“เจ้ามันจะไปรู้อะไร คุณหนูน่ะ...ฮือ คุณหนูบอกว่า ต้องเป็นเพราะข้าสื่อสารได้ไม่ดี เจ้าเลยไม่ให้ความร่วมมือเวลาคุณหนูฝากข้ามาบอกความกับเจ้า แต่ข้าว่ามันเป็นเพราะเจ้าเกลียดขี้หน้าข้าต่างหาก” คราวนี้น้ำตาหลินอ้ายร่วงลงมาแล้วจริงๆ
“ใครว่า ข้าไม่ได้เกลียดเจ้านะ ข้าแค่ไม่อยากไปเท่านั้นเอง”
“เจ้าอย่าโกหกเลย ไม่อย่างนั้นเจ้าจะสร้างความอับอายในฐานะสาวใช้ที่ไม่ได้เรื่องให้ข้าแบบนี้ทุกครั้งเหรอ” หลินอ้ายยกมือขึ้นมาปิดหน้า แล้วปล่อยโฮเสียงดังขึ้นอีกจนฉู่ชิงเฟิงเริ่มลนลาน
ต้องยอมรับว่าน้ำตาสตรีทำให้เขาจนใจจริงๆ
อย่างไรตนก็เป็นลูกผู้ชาย จะมามัวเห็นแก่ตัวต่อไปแบบนี้คงไม่ได้แล้ว
‘เป็นไงเป็นกัน ถ้าถูกคนจำได้ก็แค่กลับไปเป็นโซ่วอ๋องเร็วหน่อยเท่านั้นเอง’ ฉู่ชิงเฟิงคิดได้ดังนั้นก็ลุกขึ้น เตรียมตัวเข้าเมืองอย่างเสียมิได้
“หลินอ้ายอย่าร้องไห้เลยนะ ข้าจะไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้แหละ”
“จะ...เจ้าพูดจริงเหรอ” นางยังคงปิดหน้าปิดตาร้องไห้ต่อคล้ายไม่เชื่อถือ
“จริงสิ เจ้าก็รีบไปบอกคุณหนูเถอะ ข้าไปแต่งตัวล่ะ” พูดจบเขาก็รีบหมุนกายเดินจากไป
หลินอ้ายค่อยๆ กางนิ้วมือออกช้าๆ พอให้สายตาลอดออกมาจากง่ามนิ้ว ครั้นเห็นฉู่ชิงเฟิงรีบเดินไปแต่งตัวจริงๆ นางพลันปาดน้ำตาสองสามหยดที่ตัวเองเพียรเค้นออกมาทิ้งไป แล้วแล่นไปรายงานผลกับหลินเสี่ยวหรานอย่างร่าเริง
ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย มารยาหญิงก็ยังคงใช้ได้ดีดุจเดิมสินะ...
“ไม่ใช่นะ ผ้าพวกนี้เป็นของคุณหนูทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้นจะขายได้ราคาดีขนาดนี้ได้อย่างไร”“เจ้านั่นแหละที่ไม่รู้อะไร” ฉู่ชิงเฟิงส่ายหัว ทั้งสงสารทั้งสมเพชที่หลินอ้ายโดนเถ้าแก่ร้านตัดเย็บแห่งนี้กดราคาสินค้าอย่างหน้าด้านๆ“ของพวกนี้ต้องขายได้สองสามตำลึงเงินจริงๆ หรืออาเปา”“พูดไปแล้วอาจจะทำให้เจ็บใจ แต่หลินอ้าย เจ้าโดนเถ้าแก่ไร้คุณธรรมหลอกเข้าแล้ว”“ขะ...ข้าโดนหลอกงั้นรึ” หลินอ้ายหน้าซีด ทั้งที่คุณหนูมอบหมายให้นางมาขายของด้วยความไว้วางใจแท้ๆ แต่นางกลับพอใจจำนวนเงินที่ไม่สมกับความเหนื่อยยากของเจ้านาย“อย่าโทษตนเองไปเลยหลินอ้าย เจ้าเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็กๆ ในจวนจะไปรู้เรื่องค้าขายได้เยี่ยงไร ถ้าให้ข้าเดา ที่เจ้าพอใจในราคาที่เถ้าแก่เสนอ เพราะเขาให้ราคาเจ้ามากกว่าสินค้าทั่วไปที่ขายอยู่หน้าร้าน ทั้งยังชื่นชมงานของคุณหนูไม่ขาดปาก แล้วสัญญาว่าต่อไปหากมีของมาขายอีก เขาก็จะรับทุกชิ้นในราคาสูงแบบนี้ใช่หรือไม่”“อาเปา เจ้ารู้ได้ยังไง” หลินอ้ายตกใจที่เขาเดาถูกแทบทุกอย่าง“ส่วนคุณหนูเจ้า พอได้รับเงินก็มีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ยิ้มแย้มยินดีอะไร”“อาเปา จะ...เจ้าแอบสืบเรื่องของคุณหนูมาตั้งแต่เมื่อไร บอกมาเดี
บ้านสวนสกุลหลินตั้งอยู่ในเขตอำเภอจงมู่ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม สวนของพวกเขาอยู่ห่างจากตัวอำเภอไกลพอสมควร จึงต้องอาศัยรถม้าในการเดินทางพอถึงตัวอำเภออาโต๋วก็บังคับม้าตรงไปยังร้านขายผ้าในตลาด ฉู่ชิงเฟิงที่ส่วนใหญ่อยู่แต่ในเมืองหลวง พอได้ออกมาเปิดหูเปิดตาจึงถือโอกาสสำรวจความเป็นอยู่ของราษฎรเสียเลย เขามองทุกที่ที่รถม้าแล่นผ่านอย่างพิจารณา แล้วพบว่าถึงจงมู่จะเป็นอำเภอเล็กๆ แต่ก็มีแผงลอย ร้านค้าเปิดอยู่หลายร้านเลยทีเดียว ชาวบ้านก็ดูมีความสุขดี แทบจะไม่เจอขอทานตามท้องถนน อ๋องหนุ่มในคราบอาเปาจึงอดยิ้มปลาบปลื้มแทนพระบิดาไม่ได้“มัวยิ้มอยู่นั่น รีบลงจากรถแล้วเอาบันไดมาวางให้คุณหนูเร็วเข้า” อาโต๋วหันไปสั่งอาเปาที่มัวแต่ใจลอยให้ลุกมาช่วยกันทำงาน“อ่า ถึงแล้วเหรอ”“ก็ถึงแล้วน่ะสิ เจ้ามัวแต่นั่งยิ้มใจลอยอยู่นั่น ไหนว่าไม่อยากมาไงเล่า”ฉู่ชิงเฟิงไม่คิดจะโต้เถียงกับอาโต๋ว จึงทำเป็นหัวเราะแหะๆ กลบเกลื่อน แล้วรีบลงจากรถม้าไปหยิบบันไดมาวางให้หลินเสี่ยวหราน ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษที่ถูกอบรมว่าต้องดูแลสุภาพสตรี เขาจึงเผลอยื่นมือออกไปให้หลินเสี่ยวหราน โดยลืมไปว่ายามนี้ตนเองเป็นเพียงคนความจำเสื่
วันคืนของการเป็นอาเปาผ่านพ้นไปอย่างช้าๆ จากวันเป็นเดือน แต่เวลายิ่งผ่านไป งานที่อาโต๋วโยนมา ไม่สิ มอบหมายให้ฉู่ชิงเฟิงก็เริ่มมากมายขึ้นเป็นเงาตามตัว ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาทำงานคล่องแล้ว ก็ควรแบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้ชัดเจน ทำให้จากเดิมที่มีอาโต๋วคอยช่วยเวลาที่เขาหมดแรงทำงานไม่ทัน ตอนนี้เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว แต่อ๋องหนุ่มยังไม่มีความคิดจะกลับสู่ฐานะเดิมในเร็ววันนี้แน่นอนว่าพองานหนักขึ้น ท้องไส้ของเขาก็ยิ่งปั่นป่วน เสียงพุงน้อยๆ ร้องขออาหารใส่ท้องนั้นดังพอๆ กับเสียงโอดครวญที่ดังขึ้นอยู่ภายในใจของเขาแต่สตรีใจดำอำมหิตอย่างหลินเสี่ยวหรานกลับให้หลินอ้ายส่งแต่ข้าวแข็งๆ โปะกับข้าวที่มีแต่ผักล้วนๆ ไม่มีเนื้อผสมมาให้ทุกเมื่อเชื่อวันช่างใจจืดใจดำไร้คุณธรรมยิ่ง!ฉู่ชิงเฟิงคิดไปพลางพุ้ยข้าวเข้าปากเคี้ยวแล้วกลืนมันลงไปพลางพร้อมกับความเคียดแค้นที่พองฟูอยู่เต็มท้อง“คอยดูเถอะหลินเสี่ยวหราน หากวันใดได้กลับคืนสู่ฐานะ เปิ่นหวางจะจับเจ้าไปขังเอาไว้แล้วให้กินแต่ผักทุกมื้อเยี่ยงนี้สักปีสองปี”“เจ้าหมูอ้วน เจ้าว่าใครจะจับใครไปขังนะ” หลินอ้ายที่เดินมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เอ่ยถาม เมื่อครู่นางยังอยู่ไกลจึง
ฉู่ชิงเฟิงมองอาหารของตนเองสลับกับของอาโต๋วอย่างไม่อยากเชื่อ“ให้ตายสิ ทำไมของเจ้ามีเนื้อด้วย แต่ทำไมของข้า...ของข้ามีแค่ผักเล่า” เขาใช้ตะเกียบเขี่ยข้าวฟ่างหุงสุกกับผักในชามไปมา หวังว่าจะพบเนื้อหมูสักชิ้น ทว่าความจริงยังคงโหดร้ายเช่นเดิม“มีให้กินก็ดีแล้ว เจ้าก็อย่าเรื่องมากนักเลย” หลินอ้ายกล่าว“เจ้าโกรธเกลียดอะไรข้านักหรือ ถึงได้ทำเรื่องโหดร้ายเยี่ยงนี้” ฉู่ชิงเฟิงหันไปถามหลินอ้ายด้วยดวงตาแดงก่ำ ท่าทีทุกข์ระทมน่าสงสารอย่างยิ่ง เขาทำงานหนักขนาดนี้ตั้งแต่เช้า นางกลับมอบให้เพียงข้าวฟ่างชามหนึ่งกับผัดผักวิญญาณหมู แล้วแบบนี้เขาจะไปมีแรงทำงานในช่วงบ่ายได้อย่างไร“อย่ามาพูดจาเหมือนข้ากลั่นแกล้งเจ้านะ” หลินอ้ายตะหวาดแหว“ถ้าเจ้าไม่ได้กลั่นแกล้งข้า แล้วทำไมถึงมีแต่อาโต๋วที่ได้กินหมูเล่า”“เรื่องนั้นข้าจะไปรู้เหรอ บางทีอาจมีคนเห็นเจ้าเป็นตัวบัดซบกินล้างผลาญ เลยไม่อยากเจียดเนื้อให้เจ้ากินกระมัง” หลินอ้ายยกมือทั้งสองขึ้นพลางไหวไหล่“ต่อให้เจ้าไม่ชอบหน้าข้าอย่างไร อยากไล่ข้าไปให้พ้นๆ แต่การกลั่นแกล้งคนที่ทำงานหนักมาตลอดเช้าเยี่ยงนี้ เจ้าไม่นึกละอายใจหน่อยเหรอ”“ละอายใจ? คนที่ควรละอายคือเจ้าต่างหา
ปัง ปัง ปัง!ฉู่ชิงเฟิงกระเด้งตัวขึ้นจากที่นอน เพราะตกใจเสียงเคาะประตู ครั้นหันมองไปรอบกาย ก็พบว่าตอนนี้ฟ้ายังไม่สาง แต่อาโต๋วกลับมาเรียกคน ถึงจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเสียมารยาทยิ่ง แต่เขาก็รีบลุกจากที่นอน เดินแบกพุงพลุ้ยๆ ของตนเองไปเปิดประตูในที่สุด“เจ้ามาเคาะประตูเรียกข้าด้วยเหตุอันใด” ฉู่ชิงเฟิงถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติมากที่สุด“นี่อาการเจ้าหนักมาก กระทั่งเมื่อวานคุยอะไรไว้กับคุณหนูก็ลืมไปหมดแล้ว?” อาโต๋วไม่ได้ตอบ แต่เลือกที่จะถามเขากลับ“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ข้าย่อมจำได้”“ถ้าเจ้าจำได้ทำไมถึงมัวแต่นอนอยู่เล่า ปล่อยให้ข้าเคาะประตูเรียกเสียนาน”ฉู่ชิงเฟิงย่นคิ้ว พลางหันไปมองท้องฟ้าที่มืดอยู่ “ข้ามิได้ตื่นสายเสียหน่อย ฟ้ายังไม่ทันสางเลย”“แล้วเจ้าจะรอให้ตะวันโผล่พ้นยอดไผ่ก่อนหรือไงถึงค่อยทำงาน”“มันก็ควรเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ”อาโต๋วส่ายหัวไปมา เขารู้สึกว่าคุณหนูของตนไม่ได้หาคนมาช่วยงาน แต่จะเพิ่มภาระให้เขามากกว่า “คุณหนูหนอคุณหนู ดูก็รู้ว่าเจ้าคงทำอะไรไม่เป็นยังจะยื่นข้อเสนอแบบนั้นอีก ไล่ๆ ไปเสียก็หมดเรื่องแล้ว”ฉู่ชิงเฟิงได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจขึ้นมา ขืนอาโต๋วไปบอกว่าเขาไม่ยอมทำงาน ตนเ
หลินเสี่ยวหรานให้ฉู่ชิงเฟิงตามนางไปที่โต๊ะหินใต้ต้นอิงฮวา แล้วเชิญให้เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นไม่นานอาโต๋วก็ไปตามลุงชุนมาสมทบ ครั้นทุกคนภายในบ้านอยู่รวมกันครบแล้ว หลินเสี่ยวหรานถึงได้เริ่มบทสนทนา“ก่อนหน้าเป็นเพราะเจ้าป่วยอยู่ ข้าจึงมิได้พูดคุยอะไรด้วยแบบเป็นเรื่องเป็นราว แต่บัดนี้ร่างกายของเจ้าแข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว ข้าเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่เราจะต้องพูดคุยกันเสียที ถึงแม้เจ้าจะยังจำอะไรไม่ได้ก็ตาม”“คุณหนูหลินมีเรื่องอันใดก็บอกกล่าวมาได้เลย” ใบหน้าอ้วนกลมของฉู่ชิงเฟิงดูจริงจังขึ้นสามส่วน“แต่ก่อนที่จะคุยอะไรกัน ข้าคิดว่าเจ้าควรหาชื่อให้ตนเองก่อน จะได้เรียกขานกันได้ถูก”“นั่นสินะ” ฉู่ชิงเฟิงไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน พอถูกถามก็นึกไม่ทันอยู่บ้าง เพราะในหัวมีคำมงคลมากมายลอยวนอยู่ในนั้น แต่ก็ยังหาชื่อที่ความหมายดี และถูกใจตนเองไม่ได้ทว่าคนที่รอฟังคำตอบมิได้มีใจอยากคอยเขาประดิษฐ์คำสักเท่าใด“หากเจ้ายังนึกไม่ออก ข้าก็ยินดีจะตั้งให้” หลินเสี่ยวหรานยิ้มกล่าว ท่าทางเต็มอกเต็มใจฉู่ชิงเฟิงหันไปสบตาของหลินเสี่ยวหรานที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ กอปรกับเขายังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรใช้ช