หลินอีโผเข้ากอดพี่รองของตัวเอง อันเฟยไม่ทราบจริง ๆ ว่าจะมีโอกาสได้พบกับผู้ที่ประสบเหตุเช่นนี้ด้วยตนเอง นางจึงมั่นใจแล้วว่าตราบใดที่ยังอยู่ที่นี่จะช่วยหอต้าหรงและทางการกำจัดคนชั่วเหล่านี้ไป
“เป็นเจ้างั้นหรือ เจ้า…เป็นผู้จับเจ้าชั่วนั่น…ท่านพ่อกับพี่ใหญ่ตามจับมันอยู่นานแต่ก็….”
“นั่นเพราะมันเลือกเฉพาะเหยื่อที่เป็นสตรี หากไม่มีตัวล่อ มันไม่มีทางลงมือ ข้าใช้ตัวเองเป็นตัวล่อก็เลย…”
ฮั่วหลินอีหันมาและดึงแขนอันเฟยออกมาจับจนแน่นพร้อมกับน้ำตาที่นองบนใบหน้าขาวนวลนั้น
“เจ้าสัญญากับข้ามา ว่าเจ้า….จะไม่ทำเช่นนั้นอีก สัญญามา!!”
“น้องสาม!!”
“เจ้าเป็นน้องสี่ของข้ามิใช่หรือ!! สัญญามาสิว่าจะไม่ทำเช่นนั้นให้พบกับอันตราย สัญญามา!!”
อันเฟยถึงกับตกใจ นี่นางยังใช่คนที่ก่อนหน้านี้ในห้องโถงเกลียดและไม่พูดจาดี ๆ กับนางอยู่หรือไม่ แต่ตอนนี้ใบหน้าที่ร้องไห้และสายตาที่ขอร้องนางกลับไม่ได้โกหกแม้แต่น้อย
“หลินอี เจ้าใจเย็น ๆ ก่อนนะทำเช่นนี้น้องสี่จะตกใจ”
“ไม่ ข้าไม่อยาก…ไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว เจ้าสัญญามาสิอันเฟย”
“ได้ ๆ หลินอี ข้าสัญญากับเจ้าว่าจะไม่เอาตัวเองไปเป็นตัวล่อเช่นนั้นอีก ข้าสัญญากับเจ้า”
“จริงนะ เจ้าพูดแล้วนะ พูดจริง ๆ นะ”
“ข้า…ข้ารับปากแล้วเจ้าใจเย็น ๆ และหยุดร้องไห้ก่อนนะ พี่รอง”
พี่รองของนางหันมากอดน้องสามเอาไว้แน่น ที่จริงฮั่วหลินอีทำเป็นปากแข็งไปเช่นนั้นเองตามประสาบุตรสาวคนเล็ก แต่นางมิได้เกลียดอันเฟยจริง ๆ ที่จริงยังชอบนางอีกด้วย และยิ่งได้รู้ว่านางคือผู้ที่จับคนชั่วที่ฆ่าเพื่อนสนิทนางได้ นางยิ่งรักอันเฟยมากเข้าไปอีก
“เช็ดน้ำตาได้แล้วน้องรอง นี่เราต้องจัดหาชุดใหม่ให้น้องสี่นะเจ้าจำได้หรือไม่”
“นั่นสิ ท่านแม่บอกมาแล้วว่าแม้ว่าจะไม่กี่วันแต่ก็ต้องไม่เสียเกียรติว่าเจ้าเป็นบุตรีท่านแม่ทัพหลวงนะ”
พวกนางเร่งหาชุดที่เหมาะสมกับอันเฟยได้ไม่ยากนักเพราะอันเฟยรูปร่างพอ ๆ กับพวกนางทั้งสอง อันเฟยปฏิเสธที่จะซื้อชุดใหม่แพง ๆ ขอแค่ชุดสักสองสามชุดเอาไว้ใส่ไปก่อนเท่านั้น สี่วันที่อยู่ในจวนแม่ทัพ อันเฟยมีความสุขราวกับอยู่บ้านของตัวเองก็มิปาน เพราะพี่รองของนางมักจะชวนนางประลองและนางเองก็สอนวรยุทธ์ของนางเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน พี่สามเองก็เพียรหาชุดและเครื่องประดับมาให้และสอนนางทำขนมหลายอย่าง
“เจ้าไปเก็บดอกกุ้ยฮวามาให้ข้าที ไม่ต้องเยอะมากนะแค่เอามาทำขนม”
“ได้เลยข้าไปไม่นานจะรีบกลับ”
อันเฟยไปที่ต้นดอกกุ้ยฮวาที่อยู่ริมสระหลังสวน นางเห็นช่อดอกที่อยู่สูงจึงนึกอยากได้ นางจึงปีนขึ้นไปพร้อมกับแม่ทัพฮั่วน้อยที่พึ่งเดินเข้ามาและเขาเห็นว่านางกำลังจะปีนขึ้นบนต้นไม้
“น้องสามนั่นเจ้าจะทำอะไร”
“ห๊ะ เหวอ…..”
“ระวัง!!”
แม่ทัพฮั่วน้อย หรือ “ฮั่วเทียนอี้” บุตรชายคนโตสกุลฮั่ววิ่งมารับนางแต่อันเฟยนั้นมีวรยุทธ์ นางพลิกตัวและตีลังกาและหมุนตัวลงมาอยู่ตรงหน้าเขาอย่างงดงาม ฮั่วเทียนอีพึ่งจะเห็นว่านางมิใช่น้องสาวของเขา
“แม่นาง เจ้าเป็นผู้ใดกัน”
“แล้วท่านคือผู้ใดกัน”
“ข้า….”
“พี่ใหญ่!! น้องสี่!!”
“น้องสี่?? ข้ามีน้องตั้งแต่เมื่อใด”
“พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
“น้องรอง นี่…..”
“อ้อ ท่านพ่อยังมิได้บอกท่านเพราะท่านนำทหารไปฝึกนอกเมืองมาสินะเจ้าคะ นี่คือน้องสี่ของพวกเรา ฮั่วอันเฟย น้องสี่ นี่คือพี่ใหญ่ของพวกเรา ฮั่วเทียนอี้”
“คารวะพี่ใหญ่”
ท่าทางที่อ่อนน้อมและรอยยิ้มที่เป็นมิตรของนางทำเอาแม่ทัพฮั่วน้อยเผลอมองนางจนยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดู คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีน้องสาวมาเพิ่มอีกหนึ่งคนแต่ด้วยเหตุอันใดก็ไม่อาจแน่ใจ หรือว่าบิดาของเขาจะมีภรรยาที่ใดเพิ่มโดยที่เขาไม่รู้งั้นหรือ
ห้องหนังสือ
“อะไรนะขอรับ ว่าที่พระชายาาท่านอ๋อง”
“ใช่ แต่ว่าเป็นเพียงพระชายาชั่วคราว ทั้งคู่ทำสัญญากันว่าจะอภิเษกและเล่นบทพระชายานี้ให้หกเดือน”
“เหตุใดขอรับท่านพ่อ”
“ท่านอ๋องไม่อยากรับตัวปัญหาเข้ามาในจวนเพิ่มน่ะสิ ไม่ทันไรฝ่าบาทก็ประทานสนมมาให้พระองค์ถึงสองคน หากไม่มีพระชายาเสียที องค์ชายใหญ่คงหาเรื่องให้ฝ่าบาทประทานผู้ที่ไม่เหมาะสมมาเป็นพระชายให้ท่านอ๋อง ดังนั้นท่านอ๋องก็เลย….”
“เช่นนี้แล้วนางจะไม่เสื่อเสียหรือพ่ะย่ะค่ะ นาง….”
“เทียนอี้ เรื่องนี้เป็นข้อตกลงระหว่างทั้งสองคน และนางก็ทำข้อตกลงไปแล้วเจ้าไม่ต้องห่วงนางหรอก”
“แล้วหลังจากนี้หากเรื่องนี้จบแล้วเล่าขอรับ นางจะ…ไปอยู่ที่ใด”
“นั่น…ข้าเองก็ยังไม่เคยถามนางเลยแต่เจ้าก็เห็น นางเข้ากับทุกคนในจวนเราได้ดี ข้าเองก็ยังคุยกับแม่ของเจ้า อยากรับนางเป็นบุตรสาว”
“แต่ว่านาง…จะยอมหรือขอรับ”
“ยังเหลืออีกหกเดือน เรื่องนี้เอาไว้เราค่อยคิดหาทางทีหลังเถอะ ว่าแต่เจ้าล่ะ เรื่องการฝึกนอกเมืองเป็นอย่างไรบ้าง”
“เป็นอย่างที่ท่านอ๋องและท่านพ่อคาดการณ์เอาไว้ องค์รัชทายาทส่งคนไปซุ่มดูจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ท่านอ๋องคาดการณ์ไม่มีผิดเลยจริง ๆ เขาไม่หยุดเลยจนกว่า…เฮ้อ สตรีคนรักก็แย่งไปแล้ว ตำแหน่งรัชทายาทก็ได้ไปแล้ว พระองค์ยังไม่ยอมหยุดอีก เห็นทีครั้งนี้อันเฟยเข้าจวนอ๋อง ข้านึกห่วงจริง ๆ ว่านางกับท่านอ๋องจะเอาตัวรอดได้หรือไม่”
ประชุมราชสำนัก
“ว่าอย่างไรนะ ฟู่เฉิน…องค์ชายรองเจ้าบอกว่า....”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ ลูกจะสู่ขอบุตรสาวท่านแม่ทัพฮั่วเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
“ถังเย่จวิน” องค์รัชทายาทถึงกับหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ยืนอยู่ สีหน้าและแววตาเขายังคงนิ่งได้อย่างน่าหมั่นไส้ มิใช่ว่าน้องรองคนนี้ของเขาหลงรักพระชายาของเขาหัวปักหัวปำงั้นหรือ ขนาดส่งสนมไปตั้งสองคนเขายังไม่แตะต้องพวกนาง แต่เหตุใดวันนี้จึงมาทูลขอเสด็จพ่อให้ออกราชโองการสมรสกับบุตรแม่ทัพฮั่ว
“น้องรอง เจ้า…คิดจะแต่งงานงั้นหรือ เหตุใดข้าจึงมิได้ยินข่าวมาก่อนหน้านี้เลยแล้วเช่นนี้พระสนมของเจ้าเล่าจะทำเช่นไรดี”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อเสด็จพี่เป็นผู้ทูลขอพวกนางให้กระหม่อม เช่นนั้นทรงนำไปไว้ที่วังบูรพาของพระองค์เพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนพระชายาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า!!”
“เอาล่ะ ๆ พอทีพวกเจ้าดูเวลาเสียบ้าง นี่มันเวลาใดกันแล้ว ฟู่เฉินเรื่องนี้ข้าฟังมาจากฮั่วตูแล้ว เรื่องเป็นเช่นนี้ข้าก็คงจะต้องรีบจัดการงานสมรสให้เจ้าแล้วละนะ”
“เสด็จพ่อ แต่ว่า..”
“ทำไม พระชายาเจ้าก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ พระชายาลูกกำลังตั้งครรภ์อยู่เช่นนั้นในเมืองหลวงก็ไม่ควรจะมีข่าวดีทับซ้อนเช่นนี้นะพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นมิรอให้พระชายาคลอดก่อนแล้วค่อย…สมรส เจ้าว่าดีหรือไม่น้องรอง”
“เห็นทีคงจะไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมเล่า เจ้ากลัวอะไรงั้นหรือน้องรอง หรือว่าว่าที่เจ้าสาวของเจ้ากลัวจะไม่ได้แต่งงาน หรือเป็นเจ้า…ที่กลัว..”
เซียวฟู่เฉินหันไปมองพระพักตร์พี่ชายต่างมารดาอีกครั้งพร้อมกับตอบไปด้วยเสียงเรียบ ๆ
“กระหม่อมมิได้กลัวสุนัขคาบไปกินเหมือนครั้งก่อนหรอก เพราะนางเป็นคนที่ฉลาดเลือกมากพอพ่ะย่ะค่ะ”
สำรับถูกยกมาโดยสนมลี่ เมื่อเดินมาถึงห้องท่านอ๋อง นางจึงเคาะประตูและเปิดเข้าไปทันที นางเห็นท่านอ๋องและอันเฟยนั่งแทบจะศีรษะชนกันที่โต๊ะบัญชีอยู่แล้ว ท่านอ๋องเองก็ตกใจเมื่อหันมาเห็นว่าผู้ใดคือคนที่ยกสำรับมาให้“พวกเจ้าเข้ามาได้เช่นไรผู้ใดสั่งให้เข้ามา”“ท่านอ๋อง หม่อมฉันยกสำรับมาให้”“เอาวางไว้และรีบออกไปเดี๋ยวนี้”“ท่านอ๋องเพคะ เดิมทีหน้าที่นี้หม่อมฉันเป็นผู้ทำแต่เหตุใดต้องตะคอกหม่อมฉันเช่นนี้ด้วยเพคะ”“ข้าบอกให้ออกไป หากยังถามวุ่นวายอีกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้า....สนมลี่”“หม่อมฉันเพียงไม่เข้าใจ นางมาเพียงวันเดียวแต่เหตุใด….”“เจ้าจะออกไปดี ๆ หรือว่าจะให้ข้าให้ทหารลากตัวเจ้าออกไป”“ท่านอ๋อง!!”“ออกไป!!”ลี่ฟางหันไปมองอันเฟยที่ไม่ได้มองนางเลยแม้แต่น้อยเพราะนางมัวแต่ก้มมองดูสมุดบัญชีที่เหลือ นางไม่ได้ฟังที่พวกเขาถกเถียงกันด้วยซ้ำและก้มหน้าทำงานของตัวเองต่อจนลี่ฟางเดินออกไป ท่านอ๋องจึงได้เดินไปสั่งให้ทหารห้ามสนมคนใดหรือสาวใช้เดินมาหากเขาไม่ได้เรียก“อันเฟย เจ้ามากินข้าวก่อนเถอะ”ไม่มีเสียงนางที่ตอบกลับมาเขาจึงเดินไปที่โต๊ะอีกครั้งพบว่านางกำลังนั่งตรวจบัญชีอย่างตั้งใจ กองสมุดบัญชีย้อนหลังส
กงหลี่นั้นแม้จะจะรู้สึกแปลกใจกับพระทัยที่แปลก ๆ ของท่านอ๋องแต่เขาก็ทำตามคำสั่งในทันที ไม่นานกองสมุดบัญชีของที่จวนก็ถูกนำมาวางข้าง ๆ โต๊ะหนังสือของท่านอ๋อง อันเฟยเริ่มขยับตัว นางตื่นขึ้นมาพร้อมกับหันไปมองท่านอ๋องที่ทำหน้าตึงอยู่ที่โต๊ะหนังสือของเขา“ตื่นแล้วงั้นหรือ”“หม่อมฉัน…หลับไปนานหรือไม่เพคะ”“ชั่วยามกว่าเห็นจะได้”“นานจริงด้วย”“มานั่งนี่สิ นี่คืองานที่เจ้าต้องทำตอนที่อยู่ที่จวน”อันเฟยหันไปมองกองสมุดบัญชีที่กองเกือบพ้นศีรษะของนางเมื่อไปนั่งที่โต๊ะที่ถูกจัดมาวางข้าง ๆ เขาอย่างตกใจ นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะโหดขนาดนี้ “ทำเป็นใจดีให้นอนพัก แต่ตื่นมาก็ทรมานข้าทันทีเลยเหรอนี่ กลัวทำงานไม่คุ้มค่าจ้างหรืออย่างไรกัน”“เจ้าบ่นอะไร”เปล่าเพคะ นี่คืออะไรเพคะ"“สมุดบัญชีของจวน มีทั้งรายรับรายจ่ายและบัญชีรายชื่อของบ่าวไพร่และสาวใช้ในจวนรายละเอียดเกี่ยวกับจวนทั้งเรือนหน้าและเรือนหลัง เจ้าต้องดูแลทั้งหมด”“วะ…ว่าอย่างไรนะเพคะเหตุใดรวดเร็วถึงเพียงนี้ แล้ว…หม่อมฉันคนเดียว....”“ใช่ เจ้าทำเพียงคนเดียว หากมีคำถามก็มาถามข้า วันนี้ดูคร่าว ๆ ไปก่อน นอนมานานแล้วนี่น่าจะทำงานได้แล้ว”“แต่นี่ห้องบรรทมนะเพ
“ท่านอ๋อง พระองค์ไม่ทำตามข้อตกลง”“เจ้าเป็นผู้แหกกฎก่อนจะโทษผู้ใดได้เล่า ถึงแล้ว”“ปล่อยสิเพคะ”“ไม่ได้ ยังไม่ได้ปิดประตู”“เช่นนั้น…”“ข้าเปิดแล้ว เจ้าปิดสิ”อันเฟยหันไปปิดประตู สายตานางพลันมองไปด้านนอกเห็นว่าเหล่าบ่าวไพร่และสาวใช้หลายคนมองมาที่นางที่กำลังปิดประตูอยู่ทำเอารู้สึกอายมากเช่นกัน นางเริ่มเข้าใจที่เขาบอกแล้ว เช่นนี้นางคงใช้ชีวิตลำบากมากขึ้นแล้วล่ะเพราะสายตาในจวนดุจสับปะรดเช่นนี้คงต้องเล่นละครไปตลอดเป็นแน่ แล้วหัวใจนางจะหวั่นไหวและใจเต้นแรงเช่นนี้ตลอดไป เป็นเช่นนี้นางต้องแย่แน่ ๆ“แย่แน่ ๆ ข้าต้องตายแน่ ๆ”“อะไรอีกล่ะ เจ้าบ่นอะไรได้ตลอด”“เปล่าเพคะ ปิดประตูแล้ว ปล่อยลงได้แล้วเพคะ”เขาเดินไปที่เตียงและปล่อยนางลงอย่างนิ่มนวล แม้รู้ว่านางมิได้เป็นอะไรก็ตามแต่เขาก็ไม่อยากให้นางรู้สึกแย่ วันนี้เขารู้สึกอารมณ์ดีมากพอแล้ว“พระองค์….แย้มพระสรวลงั้นหรือเพคะ”ท่านอ๋องรีบหุบยิ้มทันที เขาไม่เคยทำเช่นนี้มานานแล้ว แต่ก็นึกไม่ถึงว่าหมิงอันเฟยจะเป็นคนเช่นนี้ เห็นอะไรก็ทักออกมาโพล่ง ๆ เช่นนี้เลยเขาคงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้แล้ว“เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะข้าจะต้องนั่งในนี้อีกสักพัก”“เพราะเหตุใดเ
ลี่ฟางในชุดสีแดงเพลิง แต่งแต้มใบหน้าด้วยสีแดงเช่นเดียวกับชุดที่นางสวมใส่พร้อมกับสายตาที่มองมาที่อันเฟยอย่างวิเคราะห์ก่อนจะเอ่ยออกมา“ท่านอ๋องเพคะ แต่ในยามนี้นางเป็นเพียงแค่สตรีธรรมดา หาได้ใช่พระชายาไม่ หม่อมฉันเป็นถึงบุตรแม่ทัพคงไม่มีความจำเป็นจะต้อง…ถวายความเคารพนาง”“หม่อมฉันก็ด้วยเพคะ”“นางเป็นบุตรของแม่ทัพหลวงอันดับหนึ่งของฉินโจว แม่ทัพฮ่าวตู อย่าว่าแต่บิดาของพวกเจ้าจะต้องให้ความเคารพแม่ทัพฮ่าวตูแม้แต่เสด็จพ่อก็ยังเกรงพระทัย เช่นนี้แล้ว เจ้ายังกล้าลบหลู่นางต่อหน้าข้าอีกงั้นหรือ!!”ลี่ฟางและซูหลิงรีบคุกเข่าลงในทันทีเมื่อสิ้นเสียงของท่านอ๋องที่แฝงออกมาด้วยความโกรธ พวกนางยังจำรสชาติของการถูกโบยได้กว่าจะฟื้นตัวขึ้นมาก็หลายวันดังนั้นจึงไม่กล้าจะถกเถียงกับท่านอ๋อง“หม่อมฉัน…เพียงแค่รู้สึกว่านางยังไม่ควร…”“ควรหรือไม่อยู่ที่ข้าตัดสิน หากไม่เคารพนางก็เท่ากับไม่เคารพข้าเช่นกัน”"ช่างเถิดเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันเองก็พึ่งมาพวกเจ้าก็ลุกขึ้นเถอะอย่ามากพิธีเลยอันเฟยเดินเข้าไปพยุงลี่ฟางที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าแต่นางกลับกระซิบคำบางอย่างออกมา “อย่าแตะต้องข้านังจิ้งจอก ข้าไม่มีวันยอมแพ้เจ้า”อันเฟยไม่ค
“พวกนางก็ส่วนพวกนาง หม่อมฉันก็คือหม่อมฉันสิเพคะ บอกว่าไม่ได้คิดอะไรก็คือไม่คิดเหตุใดพระองค์พูดไม่รู้เรื่องเพคะ”“นี่เจ้ากล้าด่าข้างั้นหรือ หาว่าข้าพูดไม่รู้เรื่อง”“มิใช่หรือเพคะ พระองค์ต้องแยกแยะก่อนที่จะมีคนจับได้นะเพคะ มีอย่างที่ไหนไม่ชอบท่าทางที่พี่น้องแสดงออกต่อกัน นี่มันออกจะเกินไปนะเพคะ”“ข้า!!….”“หม่อมฉันเดินมาส่งพระองค์แล้ว กลับได้หรือยังเพคะ”“ข้า….เจ้า มือเจ้าเจ็บหรือไม่”“ไม่เท่าไหร่เพคะ ยังดีที่ไม่ถูกกำไลนี่บาด สวมพวกนี้แล้วน่ารำคาญชะมัดเลย”“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะดึงแขนของเจ้าแรงขนาดนั้น ข้าขอโทษ”สายตาเขาอ่อนโยนลงนิดหน่อยเมื่อเอ่ยคำขอโทษออกมา อันเฟยหันไปมองเขาพลันต้องเบี่ยงหน้าหนีในทันทีเพราะสายตาที่เขามองมาทำเอานางรู้สึกแปลก ๆ ราวกับจะมองทะลุเข้ามาในใจนาง อันเฟยพึ่งเคยรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัวเช่นนี้เป็นครั้งแรก นางเองก็ไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี้คืออะไรเช่นกันแต่มันอันตรายมากจริง ๆ และมักจะเป็นเวลาที่ท่านอ๋องผู้นี้เข้ามาใกล้นาง“พรุ่งนี้สาย ๆ ข้าจะมารับเจ้าไปที่จวน รอข้าอยู่นี่”“เพคะ หม่อมฉันทราบแล้ว”“เจ้าเข้าจวนไปเถอะ”“เพคะ กลับดี ๆ นะเพคะ”“อืม”แม้ว่าสายตานั้นจะอ่อนโยนลง
อันเฟยตกใจจนตั้งตัวไม่อยู่ นางเผลอตะโกนถามเขาอย่างไม่พอใจ เรื่องนี้ควรต้องแจ้งนางล่วงหน้ามิใช่หรือเหตุใดเขาจึงบอกกะทันหันเช่นนี้กัน“เหตุใดจึง….”“ข้าตัดสินใจแล้ว เปลี่ยนแผนนิดหน่อย เสด็จพ่อประทานหนังสือหมั้นหมายมาแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่จวนนี้ ไปอยู่ที่จวนข้าได้แล้ว”“แต่ว่า พิธีสมรสมิได้จะมีขึ้นในขั้นต่อไปงั้นหรือ เหตุใด….”“ข้าบอกให้ไปก็ไป เจ้าตกลงแล้วว่าจะทำตามเงื่อนไข”“หม่อมฉันไปตกลงเมื่อใดกัน”“ป้ายหยก”“ท่านอ๋อง!!”นางโกรธจนถึงที่สุดเพราะไม่นึกว่าเขาจะมาเร่งนางเช่นนี้ ท่านอ๋องเองก็พึ่งตัดสินใจเมื่อครู่นี้เองที่นางตกลงมาสู่อ้อมกอดของฮั่วเทียนอี้ เขารู้สึกเจ็บที่หัวใจแปลก ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นเขารู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจแต่ไม่มีเหตุผลอะไรเพราะที่เทียนอี้ทำไปก็เพราะช่วยนางเท่านั้น แต่เขาแอบเห็นสายตาของแม่ทัพหนุ่มซึ่งดูแล้วไม่น่าจะคิดกับว่าที่พระชายาของเขาเพียงน้องสาว “ฝากปลาย่างไว้กับแมว ไม่ปลอดภัยแน่”“อะไรนะเพคะ”“ข้า…คือว่าวันนี้มีโองการออกมาแล้วให้อีกหนึ่งเดือนนับจากนี้จะเป็นพิธีแต่งงานแต่ก่อนหน้านี้ ข้า…จำเป็นต้องพาเจ้าไปพักอยู่ที่จวนก่อนเนื่องจากว่า…มีบางคนเริ