หลังจากผ่านไปเนิ่นนานฉินเหยี่ยนเย่ว์ถึงได้ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าส่วนตงฟางหลีนั้นกำลังทำงานอยู่ข้าง ๆ จนกระทั่งฟ้ามืด ถึงได้ตบเบา ๆ บนใบหน้าของนาง“ยัยหนู ตื่นเร็ว ใกล้จะถึงเวลางานเลี้ยงแล้ว”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้านตอนที่เห็นใบหน้าของตงฟางหลีนั้น นางถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ“พี
“ไปพักผ่อนที่ห้องของพวกเจ้าน่ะสิ ทำไม เจ้าคิดจะอยู่เป็นเพื่อนผู้เฒ่าอย่างข้าไปจนถึงงานเลี้ยงตอนเย็นเลยหรืออย่างไร? เจ้าไม่คิดว่าน่ารำคาญบ้างหรือ?”“ฮิฮิ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์หัวเราะอย่างไม่มีความละอายหากเปลี่ยนเป็นคนที่ช่างคิดเล็กคิดน้อย อาจจะกล่าวโทษพระสนมอวิ๋นได้ทว่านางรู้ว่าที่พระสนมอวิ๋นพูดจาเช่นน
“พวกเจ้าแอบมาอู้กระมัง” พระสนมอวิ๋นไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมอง“ฮิฮิ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ย้ายเก้าอี้เข้ามา มองอาภรณ์ในมือของพระสนมอวิ๋น “พระองค์เย็บอาภรณ์ให้เสด็จพ่ออยู่หรือเพคะ?”“ตอนที่เขามา หากไม่ได้รับของขวัญเดี๋ยวก็แง่งอนขึ้นมาอีก” พระสนมอวิ๋นวางงานที่ทำในมือลง “งานเลี้ยงทางด้านหน้าจบแล้วหรือ?”“ถือ
“ไม่ต้องห่วง เจ้าแปด ข้ากับอาจารย์ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดี แค่จะไปขโมยศพ...อื้ออื้อ” ตงฟางอิงยังพูดไม่ทันจบก็ถูกไป๋หลินยวนปิดปากเอาไว้“...” องค์ชายแปดยืนอยู่ท่ามกลางสายลมด้วยความสับสนวุ่นวาย“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่? เจ้าสิบต้องไปขโมยวิชา? คนผู้นั้นไม่ใช่อาจารย์ของเจ้าสิบหรือ? ไยถึงต้องไปขโมยวิชาด้วย?”ไม่
ตงฟางอิงส่งเสียงอ๊ากสองครั้ง หันไปมองหน้าไป๋หลินยวน พลันทำหน้ามุ่ยทันที “อาจารย์ ท่านทำอะไรน่ะ?”“จู่ ๆ ท่านก็ยกคนขึ้นมา ตกใจหมดเลย”“หมดเวลาตามที่ตกลงกันไว้แล้ว เจ้ายังทำอะไรอยู่ที่นี่อีก?” ไป๋หลินยวนพูดอย่างเย็นชา“อ้อ ข้าลืมไปเลย” ตงฟางอิงมองด้วยสีหน้าสำนึกผิด “อาจารย์ อย่าโกรธไปเลย”“ท่านวางข้าล
พวกเขาไม่ละอายกันบ้างหรือ? ไม่รู้หรือว่าที่นี่คือพระราชวัง? พวกเขาจะทำตัวไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร?“พี่แปด ท่านมีอคติต่อพี่สะใภ้เจ็ด” ตงฟางอิงพูดไม่ออก “พี่สะใภ้เจ็ดเป็นคนดีขนาดนี้ ไยท่านชอบจับผิดนางอยู่เรื่อยเลยเล่า?”“นางต้องให้ข้าจับผิดนางด้วยหรือ? เห็นได้ชัดเลยว่านางเต็มไปด้วยปัญหา” องค์ชายแปด