เสิ่นอี้ สูญเสียภรรยารักไปอย่างไม่มีวันกลับ เหือเพียงบุตรชายตัวน้อยที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของเขา เขาทนอยู่ในวังวนเดิมๆไม่ได้ จึงพาบุตชายออกจากเมืองหลวง มุ่งหน้าสุ่เมืองฉางเยว่ เมือที่ติดชายแดนเพื่อช่วยปัญหาปากท้องราษฏร แต่เมื่อเขาก้าวเข้ามาที่เมืองแห่งนี้กลับพบว่ามันช่างฟอนเฟะและไม่เป้นระเบียบ เขาจำต้องแก้ไขโดยด่วน จนกระทั่งเขาได้เจอกับ ไป๋จินเซียง สตรีบ้านป่าที่น่ารักและร่าเริง นางร่วมหัวจมท้ายกับเขาในหลายเรื่องๆ โดยไม่มีข้อแม้ เขาและนางจับมือกันก้าวข้ามเรื่องต่างๆ อีก แต่เหมือนว่าเสิ่นอี้และไป๋จินเซียงจะกระทำการได้ไม่ราบรื่นเท่าใดนักเพราะมีคนคอยขัดขวางพวกเขาหมายจะเอาชีวิตคนทั้งสองรวมถึงบุตรชายตัวน้อยอีกด้วย!
View Moreเมืองหลวงต้าเฉวียน
"คุณชาย ถึงเวลาแล้วที่ต้องนำโลงศพของฮูหยินไปฝังแล้วเจ้าค่ะ"
เสียงของสาวใช้นางหนึ่งเอ่ยขึ้น ทำให้เสิ่นอี้ี่ที่ยามนี้เอาแต่ยืนมองโลงศพตรงหน้าพลันได้สติคืนกลับมา เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปจับโลงศพสีดำเบื้องหน้า และเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอาดูร
"ได้ เจ้าให้คนมานำโลงศพของนางไปฝังเถิด”
เอ่ยจบน้ำตาของเขาก็ไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า ชายหนุ่มหลับตาลงพยายามข่มกลั้นความโศกเศร้าภายในจิตใจแต่ทว่ายังคงไม่อาจทำได้
หนิงเอ๋อร์ ข้ารักเจ้านะ
ชายหนุ่มทำได้เพียงร้องรำพันในใจด้วยความปวดร้าว
เขาคือบัณฑิตหนุ่มรูปงาม นามว่าเสิ่นอี้ ตระกูลเสิ่นของเขาเป็นแม่ทัพมาหลายชั่วอายุคน ยามนี้บิดาของเขารั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่เสิ่น และยังมียังบรรดาศักดิ์ท่านโหว ส่วนเขาเองก็เป็นทายาทเพียงผู้เดียว แม้จะมีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊แต่กลับมิได้เข้าร่วมกองทัพเพราะชอบอยู่กับตำราตัวอักษรมากกว่า เมื่ออายุได้สิบแปดปีเขาแต่งงานกับเยี่ยนหนิง บุตรสาวของคหบดีผู้หนึ่งที่ร่ำรวยในเมืองหลวง เสิ่นอี้และเยี่ยนหนิงมีใจรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง เขาแต่งนางเข้ามาเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามประเพณี ทว่าหกปีต่อมานางก็ล้มป่วยลงโดยไม่ทราบสาเหตุ สุดท้ายก็จากเขาและบุตรชายไปอย่างไม่มีวันกลับ
เขาเสียใจจนไม่เป็นผู้เป็นคน แต่เมื่อได้มองเห็นหน้าบุตรชายตัวน้อย เสิ่นอี้ก็คิดได้ว่าเขายังต้องมีชีวิตอยู่เพื่อดูแลบุตรชายต่อไป จึงตัดสินใจว่าหลังจากจบเรื่องงานศพของเยี่ยนหลิงแล้ว เขาจะพาบุตรชายเดินทางไปอยู่ที่เมืองฉางเยว่ด้วย
เมื่อคิดเช่นนั้นเสิ่นอี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความเศร้าเสียใจ ก่อนจะเดินออกมานอกเรือน เมื่อมาถึงก็พบกับเสิ่นเป่าที่กำลังวิ่งเข้ามาหาเขา เสิ่นอี้อุ้มบุตรชายขึ้นมา เสิ่นเป่ายามนี้ร้องไห้จนตาบวมแดง เสิ่นอี้ขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยถามบุตรชาย
"อาเป่าของพ่อ เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้เช่นนี้เล่า"
"อาเป่า เจ้ามาหาแม่เร็วเข้า"
เสิ่นเป่ายังไม่ทันตอบ ก็มีเสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน เสิ่นอี้เงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะพบกับซูลี่ที่กำลังวิ่งเข้ามา เมื่อนางเห็นว่าเขากำลังอุ้มเสิ่นเป่าอยู่จึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"พี่อี้ ที่แท้อาเป่าก็วิ่งมาหาท่านเองหรอกหรือ ข้าเป็นหวงแทบแย่ อาเป่า มาหาแม่เร็วเข้า"
เสิ่นเป่าไม่ยินยอมไปหาซูลี่อีกทั้งยังซุกหน้าลงมาบนแขนของบิดาราวกับหวาดกลัว เสิ่นอี้เมื่อได้เห็นเช่นนั้นจึงบอกกับบุตรชายอย่างอ่อนโยน
"อาเป่า เจ้าเป็นอะไร"
เสิ่นเป่าเงยหน้ามามองบิดา แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่เจือสะอื้น
"ท่านพ่อ ข้าไม่อยากอยู่กับนาง นางไม่ยอมให้ข้ามาหาท่านแม่ นางบอกว่าหากข้ามาอาจจะนำไออัปมงคลจากศพของท่านแม่ติดตัวมาด้วย ฮือ ท่านพ่อ ข้าจะไปหาท่านแม่"
เสิ่นอี้ปรายตามองซูลี่ด้วยความไม่พอใจทันที ซูลี่ถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น นึกด่าทอเด็กนรกเสิ่นเป่าในใจอย่างเกลียดชัง
ซูลี่ผู้นี้ เป็นหลานสาวของฮูหยินคนใหม่จวนตระกูลเสิ่น น้าสาวของนางเป็นภริยาเอกคนใหม่ของบิดาเสิ่นอี้ ก่อนหน้านี้มารดาของเสิ่นอี้ป่วยตาย จึงแต่งน้าสาวของนางเข้าจวนมา ตระกูลของนางเป็นตระกูลขุนนางเล็กๆ มิได้มีอำนาจใดมากนัก หากคิดจะหาคู่ครองดีดีก็คงนับวาเป็นยาก น้าสาวจึงออกอุบายว่าจะให้นางมาอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลเสิ่น เพื่อใกล้ชิดกับเสิ่นอี้ เล็งเห็นการณ์ไกลเผื่อเขาจะรับนางเป็นภรรยารอง
แต่เสิ่นอี้กลับไม่สนใจนาง แม้กระทั่งเวลานี้ที่ฮูหยินเอกของเขาตายไปแล้ว เขาก็ยังไม่คิดจะปรายตามองนางเสียด้วยซ้ำ
ซูลี่ที่ถูกเสิ่นอี้จ้องมองอย่างไม่พอใจก็วางมือวางไม้ไม่ถูก ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยแก้ตัวอะไร เสิ่นอี้ก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
"เหลวไหลสิ้นดี! อาเป่าเป็นบุตรของหลิงเอ๋อร์ภรรยาของข้า แต่เจ้ากลับห้ามไม่ให้บุตรชายมาอำลามารดา เจ้าจะใจกล้าเกินไปแล้ว ซูลี่!"
"พี่อี้ ไม่ใช่นะเจ้าคะ ข้าเพียงเป็นห่วงอาเป่า อาเป่าเจ้าบอกท่านพ่อไปสิ ว่าแม่ดีต่อเจ้ามากเพียงใด"
"หุบปาก!"
ซูลี่พลันสะดุ้งโหยงเมื่อถูกเสิ่นอี้ตะคอกอย่างไม่ไว้หน้า เขามองนางอีกครั้ง ก่อนจะตวาดด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด
"เลิกแทนตนเองว่าแม่เสียที อาเป่าไม่ใช่บุตรเจ้า!"
พูดจบเขาก็อุ้มอาเป่าจากไปทันที อาเป่าที่เห็นเช่นนั้นก็หันหน้ามาหาซูลี่ก่อนจะแลบลิ้นใส่นางอย่างยั่วยุ ซูลี่โมโหจัดแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ นางยังต้องใช้เด็กนี่เพื่อเข้าหาเสิ่นอี้!
งานศพของเยี่ยนหลิงผ่านพ้นไปด้วยดี เสิ่นอี้ต้องปลอบประโลมเสิ่นเป่าอยู่นานกว่าเขาจะยอมสงบลง
หลังจากทุกอย่างผ่านพ้นไปร่วมเดือน เสิ่นอี้ก็ยื่นฎีกาต่อฮ่องเต้ ขอย้ายตนเองไปอยู่ที่เมืองฉางเยว่เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและปากท้องประชาชน ฮ่องเต้จึงทรงอนุญาต
แต่บิดาของเขาไม่เห็นด้วย บอกว่าเขาจะไปลำบากทุกข์กายห่างไกลเมืองหลวงทำไมกัน อีกทั้งยังสนับสนุนให้เขาแต่งซูลี่เป็นภรรยาใหม่ ทว่าเสิ่นอี้กลับไม่สนใจ เขาเก็บข้าวของเตรียมพร้อมออกเดินทาง ครั้งนี้เขาตัดสินใจว่าจะพาเสิ่นเป่าไปด้วย
เขาไม่ไว้ใจซูลี่และน้าสาวของนาง และไม่อยากให้เสิ่นเป่าต้องโดดเดี่ยว มารดาเพิ่งจากไปบิดาก็ไปอยู่ที่อื่นอีก เสิ่นเป่าอาจจะมีปมด้อยในจิตใจก็เป็นได้
ด้านซูลี่ที่ได้ทราบข่าวว่าเสิ่นอี้จะไปที่เมืองฉางเยว่ อีกทั้งยังไม่มีกำหนดเดินทางกลับที่แน่นอน นางก็ร้อนใจไม่น้อย เดิมทีคิดจะตามเขาไป แต่เขาไม่ได้สนใจนาง อีกทั้งยังออกเดินทางไปเมืองฉางเยว่ตั้งแต่เช้าตรู่เรียบร้อยแล้ว ซูลี่กระทืบเท้าเร่าๆ ตั้งใจเอาไว้ว่า นางจะต้องหาทางไปหาเขาที่เมืองฉางเยว่ นางจะต้องได้แต่งงานกับเขาให้ได้ และจะไม่มีสตรีใดมาแย่งเขาไปจากนางได้อีกแล้ว
เสิ่นอี้ออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ระยะทางจากเมืองหลวงไปถึงเมืองฉางเยว่ค่อนข้างไกลไม่น้อยเลย การมาครั้งนี้เขาพาบ่าวรับใช้ชายคนสนิทและสาวใช้มาคนหนึ่ง นางเป็นคนสนิทของเยี่ยนหลิง ร่างกายค่อนข้างบึกบึนเยี่ยงบุรุษ เสิ่นเป่าชอบนางมาก เขาจึงให้นางมาคอยดูแลเสิ่นเป่าที่เมืองฉางเยว่
เสิ่นอี้ควบม้าส่วนเสิ่นเป่านั่งรถม้ากับบ่าวชายและสาวใช้มาตามเส้นทางที่คดเคี้ยว ผ่านป่าเขาหลายลูก ตลอดทางเขาแวะพักบ้างเพื่อให้เสิ่นเป่าได้นอนหลับสบาย ใช้เวลาร่วมสิบห้าวันก็เดินทางมาถึงเมืองฉางเยว่
เสิ่นอี้เมื่อกินมื้อเย็นแล้ว เขาก็ไปพบกับบิดาที่ห้องหนังสือ เดิมทีเขาไม่อยากจะสนทนสิ่งใดกับบิดามากนัก แต่เพราะอยู่จวนเดียวกันย่อมหลีกเลี่ยงการไม่พบหน้ากันไม่ได้ ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ ยามนี้บิดาของเขากำลังนั่งดื่มสุราอยู่ภายในห้อง เมื่อเห็นว่าบุตรชายเข้ามาแล้วก็เหลือบตามองแวบหนึ่ง “คารวะท่านพ่อขอรับ"เสิ่นอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ห่างเหิน แม่ทัพใหญ่เสิ่นเพียงพยักหน้าช้าๆ"นั่งก่อนสิ พ่อมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับเจ้า"เสิ่นอี้พยักหน้า ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามบิดา แม่ทัพใหญ่เสิ่นมองบุตรชายอย่างพิจารณา เอ่ยขึ้นว่า"เจ้าแต่งงานกับซูลี่ให้เป็นเรื่องเป็นราวเสีย ตระกูลของนางมีหน้ามีตามากว่า ย่อมเชิดชูสนับสนุนเจ้าได้ ส่วนสตรีนางนั้นที่เจ้าพามาจากบ้านนอก ก็ให้นางเป็นอนุไปเสีย ข้าเชื่อว่าซูลี่อย่างไรย่อมดีต่อนาง"เสิ่นอี้แค่นเสียงเย็นออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา"ท่านพ่อ เรื่องนี้ข้าตัดสินใจดีแล้ว ท่านไม่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องของข้า อย่างไรไป๋จินเซียงก็คือภรรยาข้า และข้าจะมีนางเป็นภรรยาเพียงคนเดียวข้าไม่ใช่คนมักมากในตัณหา"แม่ทัพใหญ่เสิ่นหันขวับมามองบุตรชาย ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด"อี้เอ๋อร์
อากาศช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเวียนมาอีกครา การมาอยู่ที่เมืองหลวงนับว่าเป็นเรื่องที่ไป๋จินเซียงไม่ค่อยจะคุ้นชินเท่าใดนัก นางพาสาวใช้ตัวน้อยซินซินติดตามมาเพียงคนเดียวเท่านั้น เสิ่นอี้เองก็บอกว่ารอมาถึงเมืองหลวงแล้วเขาจะหาสาวใช้เพิ่มให้นางอีกสักสองสามคนวันแรกที่ก้าวเข้ามานั้น นอกจากซูลี่ที่มองนางด้วยสายตาไม่เป็นมิตรแล้ว ยังมีเสิ่นฮูหยินและแม่ทัพเสิ่นที่ดูเหมือนจะไม่ชอบนางเท่าใดนัก วันที่นางยกน้ำชาคารวะก็ให้นางนั่งอยู่นานสองนานกว่าจะยอมเอ่ยวาจาใดกับนาง เพราะไม่อยากให้เสิ่นอี้ลำบากใจ ไป๋จินเซียงจึงไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกไปเสิ่นเป่ายังคงมาหานางทุกวัน แม้จะได้ชื่อว่าเป็นมารดาเลี้ยงของเขา แต่นางกับเสิ่นเป่ายังคงสนิทสนมกันเช่นเดิม เขาไม่ยอมเรียกนางว่าท่านแม่นางเองก็ไม่บังคับหรือถือสาหาความ อีกทั้งยังทำของอร่อยให้เขากินทุกวันวันนี้เสิ่นอี้ออกไปทำงานแต่เช้าแล้ว หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวงก็เหมือนว่าเขาจะมีงานให้ต้องจัดการไม่น้อยเลย บางวันก็ไม่ได้กลับจวน ไป๋จินเซียงอยู่ว่างๆก็รู้สึกเบื่อหน่าย เดิมทีตอนอยู่ที่เมืองฉางเยว่เช้ามานางมักจะไปตลาดและทำงานอยู่ที่ร้านสุราจนมือแทบเป็นระวิง เมื่อต้องมาอยู่เฉยๆเช่นน
หมิงเจ๋อหันไปมอง ก่อนจะยิ้มออกมาได้ นายท่านของเขากลับมาได้เสียทีเสิ่นอี้ควบม้ามุ่งหน้าเข้ามาในจวน พร้อมกับสังหารคนชุดดำทั้งหมดในทันที ไม่นานเหตุการณ์ก็กลับคืนสู่ความสงบ แต่ทว่าข้ารับใช้ในจวนเจ้าเมืองเกือบทั้งหมดต้องสังเวยชีวิตให้กับคนชั่วไปไม่น้อย"นายท่าน"เสิ่นอี้พยักหน้าให้หมิงเจ๋อคราหนึ่ง รีบกวาดตามองหาไป๋จินเซียงที่ยามนี้ร่างกายคว่ำหน้าลงพื้นกอดเสิ่นเป่าเอาไว้ในอ้อมกอด ใบหน้าของนางซีดเผือดดวงตาปิดสนิท เสิ่นเป่ายื่นมือน้อยๆ เข้าไปเขย่าตัวหญิงสาวตรงหน้า ร้องไห้โฮออกมาไม่หยุด เสิ่นอี้เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปดูนางในทันที เขาอุ้มบุตรชายมากอดเอาไว้ ก่อนจะเอ่ย"เป๋าเอ๋อร์ พ่อกลับมาแล้ว""ฮือ ท่านพ่อ พี่ไป๋จินเซียงตายแล้ว!"เสิ่นอี้เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ใจเต้นรัวแรง เขาวางเสิ่นเป่าลง ก่อนจะรีบเข้าไปประคองไป๋จินเซียงขึ้นมา แต่กลับพบว่ามือของตนสัมผัสถูกของเหลวอุ่นร้อนจนชุ่มไปทั้งมือ เมื่อเขายกมือขึ้นมาดูก็พบว่ามันคือโลหิต!นางบาดเจ็บ!เสิ่นอี้รีบสั่งให้หมิงเจ๋อไปตามท่านหมอมาโดยด่วน ก่อนจะรีบอุ้มนางเข้าไปที่ห้อง ไม่นานท่านหมอก็มาถึง เสิ่นอี้ทำได้เพียงเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องด้วยความ
บรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ทำให้ซินซินรีบหันหลังเดินจากไปทันที ส่วนไป๋จินเซียงเองก็เดินกลับห้องพักของตนไปในทันที หญิงสาวยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากของตน ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความเขินอายเช้าวันต่อมาอากาศค่อนข้างดี แม้จะมีสายฝนตกลงมาโปรยปรายแต่ก็เย็นสบายเป็นอย่างยิ่ง เสิ่นอี้ยังคงนั่งทำงานอยู่ที่ห้องหนังสือ ส่วนไป๋จินเซียงก็ไปที่ร้านสุราเช่นทุกวัน ยามนี้หมิงเจ๋อกลับมาจากเมืองหลวงแล้ว เขานำเงินทองเสบียงอาหาร เครื่องนุ่งห่มและเหล่าทหารหลายร้อยนายมาช่วยดูแลชาวบ้านได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในครั้งนี้ทุกอย่างดำเนินต่อไปอย่างสงบเรียบร้อยดี จนกระทั่งมีอยู่คืนหนึ่งในขณะที่ไป๋จินเซียงนั่งอยู่กับเสิ่นเป่าในห้องนอนของเด็กน้อยและกำลังเล่านิทานให้เขาฟัง ก็ได้ยินว่าเสิ่นอี้เกิดเรื่องขึ้นแล้ว!หมิงเจ๋อแจ้งว่าเสิ่นอี้พลัดตกลงไปในแม่น้ำ ยามนี้เขาสั่งให้คนช่วยกันตาหาแล้วแต่กลับไม่พบเบาะแสของผู้เป็นนายเลยแม้แต่น้อย เสิ่นเป่ายามนี้หลับไปแล้ว ไป๋จินเซียงสั่งห้ามเข้าไปรบกวนเขาและกำชับบ่าวทุกคนในเรือนว่าห้ามบอกเขาว่าเกิดเรื่องกับเสิ่นอี้ หญิงสาวรีบสวมเสื้อคลุมและถือคบไฟออกไปช่วยตามหาเสิ่นอี้ แต่กลับไม่พบ นางร้องเร
วิธีของไป๋จินเซียงนั่นก็คือนางให้เสิ่นอี้หาเชือกยาวมาหลายเส้น ตรงหน้าจวนท่านเจ้าเมืองจะมีต้นไม้ใหญ่หลายต้น นางรีบมัดเชือกกับต้นไม้ใหญ่ สองเส้น เส้นหนึ่งมัดกับเอวของเสิ่นอี้ อีกเส้นให้เสิ่นอี้ที่มีกำลังภายในแข็งแรงค่อยๆเดินทวนกระแสน้ำที่ยามนี้น้ำเริ่มนิ่งบ้างแล้ว นำเชือกที่เหลือไปมัดกับต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้าม และสร้างสะพานเชือกขึ้นมา ให้ชาวบ้านทยอยเดินข้ามมาฝั่งจวนท่านเจ้าเมืองและเข้ามาหลบภัยที่นี่ได้ชั่วคราว รอให้น้ำลดเบาบางลงแล้วค่อยอพยพกลับไปวิธีนี้ค่อนข้างดีไม่น้อยเลย ไม่นานนักก็สามารถพาชาวบ้านมาที่ปลอดภัยได้สำเร็จ เสียงฝนตกฟ้าร้องยังคงดังไม่หยุด เสิ่นอี้เปียกปอนไปทั้งตัว ไป๋จินเซียงที่ช่วยดูแลชาวบ้านตอนข้ามฝั่งมาก็เปียกปอนไปทั้งตัวเช่นเดียวกัน ผู้คนต่างร่วมด้วยช่วยกัน ไม่นานนักทุกคนก็ปลอดภัย แต่ก็มีชาวบ้านไม่น้อยที่ถูกกระแสน้ำพัดหายไป"รีบหาเสื้อผ้ามาให้ทุกคนเปลี่ยน แล้วต้มน้ำขิงให้พวกดื่มกันหนาวเร็วเข้า"เสิ่นอี้รีบหันไปเอ่ยกับสาวใช้ในจวน ซินซินที่ได้ยินก็รีบเข้าไปสมทบกับคนใช้ในโรงครัว รีบนำน้ำขิงมาแจกจ่ายให้ทุกคน เสิ่นอี้ให้พวกเขาพักผ่อน ก่อนจะรีบกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ในใจของเขาค
เมื่อมาถึงโรงหมอ ท่านหมอก็ช่วยทำแผลและตรวจดูอาหารของไป๋จินเซียงอย่างละเอียด เมื่อตรวจแล้วไม่เป็นอะไรมากจึงเขียนเทียบยาให้นาง และให้นางกลับบ้านได้ ยามนี้บิดาของนางกำลังนอนพักอยู่อีกห้องหนึ่งโดยมีซินซินคอยดูแล ไป๋จินเซียงไม่อยากรบกวนบิดาจึงให้เขานอนพักให้เต็มที่ แล้วออกมาหาเสิ่นอี้ที่รออยู่ด้านนอกห้องตรวจเสิ่นอี้รีบเดินเข้ามาหาไป๋จินเซียงทันที ก่อนหน้านี้เขาให้จิ้นอิ๋งพาเสิ่นเป่ากลับไปที่จวนก่อนแล้ว"ขอบคุณท่านมากที่เป็นธุระจัดการให้"เสิ่นอี้พยักหน้าเล็กน้อย พลางสอบถามเรื่องราว"สาวใช้ของเจ้าบอกกับข้าว่าที่เจ้าเข้าไปในกองเพลิงเพียงเพราะอยากเข้าไปเอาหีบเงินเช่นนั้นหรือ? ""ใช่ มันเป็นเงินที่ข้าเก็บมา ข้าเสียดาย"ไป๋จินเซียงตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาลง เสิ่นอี้พิจารณามองหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะเอ่ย"ไป๋จินเซียง มนุษย์เราล้วนมีความหวงแหนในสิ่งของข้าเข้าใจได้ แต่ในยามนั้นหากเจ้าไม่อาจรอดกลับมาได้ เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าบิดาเจ้าจะอยู่เช่นไร สำหรับบิดาเจ้าแล้ว ระหว่างเงินหีบนั้นกับตัวเจ้าสิ่งใดสำคัญกว่ากันเจ้าไม่รู้เลยหรือ เงินพวกนั้นข้าเข้าใจว่ามันเป็นเงินที่เจ้าเก็บมานานหลายปี แต่หากเจ้าตายไปมันคุ้
Comments