LOGINแสงสว่างจากดวงจันทราสาดส่องเพียงพอให้นางมองเห็นสภาพภายในจวน เสี่ยวเยาต้องแปลกใจปนความสงสัย เมื่อพบว่ามันช่างว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งของมีค่าอย่างที่ผู้คนต่างร่ำลือไว้ มีเพียงโต๊ะไม้เก่าๆ ไว้ดื่มชา กับเตียงนอนเรียบง่ายที่ไม่อลังการ พร้อมแกะสลักลวดลายหมาป่าที่น่าเกรงขามไว้เท่านั้น ไม่สมกับเป็นเชื้อสายพระวงศ์ แม้แต่น้อย ผิดจากภายนอกจวนที่ตกแต่งหรูหรา ดูอลังการสง่างาม จนน่าอิจฉา แท้จริงแล้วด้านในกลับมีแต่ความว่างเปล่า ไม่เหมือนดั่งที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า "ท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ยผู้นี้ใช้ชีวิตสุขสบาย หรูหราฟุ่มเฟือย ข้าวของเครื่องใช้ทำด้วยทองคำ ร่ำรวยกว่าองค์จักรพรรค์เสียอีก สาเหตุเพราะยึดทรัพย์สมบัติของเหล่ารัฐที่ตนไปทำสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน โดยได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท เพื่อเป็นรางวัลชนะศึก" "อะไรเนี่ย!!" เสี่ยวเยาเดินสำรวจรอบๆ ไม่วายคลางแคลงใจ ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปยังผู้กำลังหลับใหล ด้วยใบหน้าซีดเผือด ผิดมนุษย์มนา หรือ เขากำลังแอบซ่อนอะไรไว้ "........" "หลับสบายเชียวนะ! ปล่อยให้ข้ายืนรอตั้งนานสองนาน มันน่าฆ่าให้ตายเสียจริง ฮึ! " นางเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจ ที่ตนต้องยืนรอตั้งสองชั่วยาม เหมื่อยล้าไปทั้งตัว แต่เขากลับนอนหลับอย่างสบายใจนี่ซิ! มันน่านัก "ช่างเถอะๆ รีบทำให้เสร็จ จะได้รับกลับไปพักผ่อนเสียบ้าง เสี่ยวเยา.."นางเผลอตัวเอ่ยชื่อแท้จริงของตนออกมา ดีที่บุรุษตรงหน้ายังคงหลับใหล "เหมยหลิน...เหมยหลิน " เจิ้งเจี๋ย พร่ำเพ้อชื่อสตรีที่ฟังดูคุ้นหู เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะเป็นกังวลใจมากกว่า หากไม่รีบรักษาให้เร็วไว อาการอาจจะแย่ลงไปกว่านี้ก็ได้ คิดแล้วนางนั่งลงใกล้เขาอย่างนุ่มนวล เอื้อมมือบางเตะริมหน้าฝากเขาเบาๆ รู้ได้ทันที ว่าไข้ขึ้นสูงนัก "ท่านแม่ทัพ ลุกขึ้นไหวไหม ท่านแม่ทัพ" นางเรียกสติให้เขาตื่นขึ้นมา เพื่อทานยา ท่านแม่ทัพลืมตาขึ้น เผยแววตาที่แสนเกรี้ยวกราดมายังตน ก่อนจะบีบคอนางสุดแรง ด้วยที่เสี่ยวเยาไม่ทันตั้งตัว "อึก!! ทะ..ทะ..ท่าน ขะ..ข้า..ยู่หลง" กิริยาเริ่มแปรเปลี่ยนอย่างไร้สติ นั้นเพราะอาการหลับลึก ฝันถึงเหมยหลินกำลังทิ่มแทงหน้าอกเขาด้วยปิ่นปักผม พร้อมเอ่ยคำสาปให้เขามีชีวิตที่ทรมาน หยดน้ำใสไหลรินออกมาจากดวงตาเรียวความเจ็บปวด หายใจติดขัด หน้าแดง เรี่ยวแรงสตรีเช่นนางหรือจะสู้บุรุษเยี่ยงเขาได้ น้ำอุ่นๆ ไหลลงมาสัมผัสมือหนาคว้าคอขาวไว้ เรียกสติเจิ้งเจี๋ย กลับมาอีกครั้ง ดวงตาเข้มเบิกโตด้วยความเป็นห่วง แต่ช้าไปนางหมดสติลง เขาอุ้มร่างบางไว้ด้วยความกังวลใจ "ใครอยู่ด้านนอกบ้าง?" "ท่านแม่ทัพเกิดอะไรขึ้น?" "ตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!!" 'เสี่ยวเยา เสี่ยวเยา 'เสียงอ่อนหวานละมุนของใครผู้หนึ่งเอ่ยชื่อตน เสี่ยวเยาลืมตาตื่นพบว่า ตนกำลังนอนอยู่ใต้ต้นเหมยฮวา ยืนต้นสง่า ดอกของมันร่วงโรยลงมาตามแรงลมที่พัดอ่อนๆ ช่างสวยงามเหลือเกิน ก่อนจะปรากฏร่างของบุรุษที่ยืนผินหลังให้ตน นางพยายามเข้าไปใกล้ชายผู้นั้น แต่ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่ เขายิ่งออกห่างเธอเท่านั้น ก่อนที่หมอกหนาจะปกคลุมไปทั่ว จนนางได้สติขึ้นมา นางลืมตาพบว่า ตนกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ ของท่านแม่ทัพ ก่อนสะดุ้งด้วยความตกใจ สำรวจร่างกายของตน ที่พบว่ามีเพียงชุดสวมในสีขาวเท่านั้น เสื้อคุมของตนหายไป ใครกันเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง "ฮ่ะ!! หรือเจิ้งเจี๋ย " นางลุกขึ้นพรวด เดินวนหาเสื้อผ้ารอบห้อง แต่ก็ไร้เงา แม้เพียงเสื้อคลุมสักชิ้นก็ไม่มี "ซวยแล้ว! ซวยแล้ว! จะออกไปแบบนี้ไม่ได้สิ" นางฉุดคิดได้ว่า เมื่อคืนนางเกือบตาย ด้วยน้ำมือของท่านแม่ทัพ มีเพียงตนและท่านแม่ทัพที่รู้เรื่อง "เอ๊ะ! แต่แปลกจัง ทำไมเงียบผิดปกติแบบนี้ ช่างมันเถอะๆ อย่างไรก็รีบออกไปจากที่นี่จะดีกว่า " เสี่ยวเยานำผ้าห่มคลุมร่างนางไว้อีกชั้น เร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปยังประตูด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม ".....อึก! ทะ..ท่าน...แม่ทัพ" นางต้องหยุดชะงักเมื่อประตูถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าบุรุษตรงหน้าที่กำลังยืนมองนางอย่างชัดเจน แววตาสีหน้าเรียบเฉย มองมายังเธอ เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น "อึก!! เป็นอย่างไรบ้าง?" น้ำเสียงที่สั่นเครือของเจิ้งเจี๋ย ทำให้เสี่ยวเยายากจะคาดเดาได้ว่าถามเพราะเป็นห่วงนาง หรือถามเพราะอยากจะให้นางลืมเรื่องเมื่อคืนกันแน่ "ร่างกายข้าปกติดี จำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ "นางฝืนยิ้มกว้างเพื่อไม่ให้จิ้งเจี๋ยรับรู้ถึงความผิดปกติของตน "ดี!!"แววตาคมแอบแฝงไปด้วยคำถามมากมาย มิหนำซ้ำเมื่อคืนตนกลับเป็นฝ่ายผู้ดูแลนาง แถมยังต้องทนฟังเสียงละเมอชื่อพี่สาวของตนเองตลอดคืน "ข้าขอตัวกลับก่อนนะ" "........" ไม่มีคำพูดใดๆ นางจึงทำความเคารพ ก่อนรีบเดินดรุ่ยๆ จากไปอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะผินหลังกลับมา เจิ้งเจี๋ยได้เดินวนไปวนมาหน้าจวน ภายในใจครุ่นคิดแต่เรื่องของทหารผู้นี้ เขาแหงนหน้ามองต้นเหมยฮวา ดอกมันกำลังร่วงโรยอย่างไม่ขาดสาย ก่อนจะนึกถึงคำพูดของท่านหมอคนสนิทที่จงรักภักดีต่อตน และยังเก็บงำความลับของเจิ้งเจี๋ยไว้เป็นอย่างดี นามของเขาว่า ท่านหมอลี่(ลี่เจิน) "เป็นไรบ้าง?" เจิ้งเจี๋ยถามขึ้นด้วยความรู้สึกที่กระวนกระวายใจอย่างไม่เคยเป็นขึ้นมาก่อน "พ้นขีดอันตรายแล้วท่านแม่ทัพ แต่...." "แต่อะไรท่านหมอ?" เจิ้งเจี๋ยเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย "นายทหารผู้นี้ แปลกประหลาดจะมีชีวิตก็ไม่ใช่ จะตายก็ไม่เชิง " "เจ้าหมายความว่าอย่างไร" "มีชีวิต แต่ไร้ซึ่งชีพจร เสมือนว่านายทหารผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา ท่านแม่ทัพข้าขออนุญาตศึกษาดูอีกสักหน่อย หากได้เรื่องราวอย่างไร ข้าจะรีบมารายงานท่านแม่ทัพทันที อาจเป็นไปได้ว่ายู่หลงผู้นี้ คือบุคคลในคำทำนายของท่านหมอหนาน ที่เคยว่าไว้ก่อนตาย ก็ได้" "อืม เข้าใจแล้ว ขอบใจท่านหมอมาก" เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยคำชอบใจ แววตาที่ดูเป็นกังวลนั้นทำเอาหมอลี่ยิ้มออกมา "ดูท่าทางท่านจะให้ความสำคัญกับทหารผู้นี้เสียจริง" "ข้าแค่...ทำดีกับเขาเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น เขาเป็นผู้เดียวที่รู้ว่าเหมยหลินอยู่ที่ใด" "ท่านยังคงรักนางกำนัลผู้นั้นอยู่อีกเหรอ?" "ข้าแค่อยากถามนาง ว่าเหตุใดถึงสาปแช่งข้า ให้เหมือนตายทั้งเป็น" แววตาเศร้าหมองของเขา ทำให้หมอลี้ถอนหายใจ "คำสาปมักมาพร้อมการแก้คำสาปเสมอ...หากท่านแก้คำสาปได้ ท่านก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตเช่นกัน" " ข้ายินดี อย่างน้อยข้าก็ไม่เป็นมารอย่างที่ผู้คนหวาดกลัว เหมือนดั่งตอนนี้ " "เฮ่อ!...ข้าขอตัวลาก่อนท่านแม่ทัพ ยู่หลงผู้นั้นอาจช่วยท่านสมหวังดั่งใจก็ได้" "........" ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง ท่านหมอลี้จึงถวายความเคารพ ก่อนจะเดินจากไป เจิ้งเจี๋ยย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ที่พบว่าคนรักของตนกำลังร่วมหลับนอนกับชายอื่น ในขณะที่ตนกลับมาจากการทำศึกสงคราม
'เปะ เปะ' เสียงปรบมือดังขึ้นจากด้านหลัง เผยให้เห็นบุรุษร่างสูงในชุดดำ ยิ้มเหี้ยมเกรียมให้เขาทั้งคู่อย่างกระหยิ่มใจไม่น้อย "หนูสองตัวติดกลับที่วางไว้จนได้ มันช่างอย่างง่ายดายตามที่ท่านอ๋องวางแผนไว้ มิมีผิด ฮ่าฮ่า" เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างพึงพอใจ นั้นดึงกระบี่คู่กายออกมา หมายจะฆ่าทั้งคู่ด้วยมือตนเอง "ยังมิใช่ตอนนี้" อ๋องจี่ชงเผยยิ้มมุมปากเล็กน้อย ".......""แต่หากเจ้าต้องการ ข้าอนุญาตให้เจ้าเลือกปลิดชีพคนใดคนหนึ่งได้!" แววตานิ่งเฉยไร้ความเมตตาเอ่ยขึ้น"เอาละ ข้าจะปลิดชีพผู้ใดก่อนดี เจ้า! หรือเจ้า! ฮ่าฮ่า ช่างสนุกเสียจริง" เฮ่ออี๋เพ่งมองคนทั้งคู่อย่างพิจารณาก่อนเหลือบมองอ๋องจี่ชงจิบสุราอย่างรื่นรมย์"ไม่คิดว่าวันนี้ ข้าจะจับหมารับใช้ตัวโปรดของเจ้าหมาป่าได้ หึหึ น่าขันเสียจริง"อ๋องจี่ชงเหลือบมองทั้งคู่เล็กน้อย เดินตรงมาหยุดนิ่งตรงหน้าลี่หวังก่อนจะเทน้ำสุราราดบนศีรษะเขาอย่างดูหมิ่น"อึก!" ลี่หวังทำได้เพียงกำมัดแน่นจนเล็กจิบเพื่อเก็บอาการแค้นเคืองไว้ในใจ"เจ้า!!" ลี่ซานตะโกนขึ้น ทว่าลี่หวังส่ายหน้าให้เขาเก็บอารมณ์ไว้ เพราะในตอนนี้ชีวิตตนทั้งคู่ได้แขวนอยู่บนเส้นด้ายเสียแล้ว"เจ้าทั้งคู่
ทุกอย่างเงียบสงัดลง เพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง จนแทบจะได้ยินเสียงลมพัดผ่านอย่างเหน็บหนาว แววตาเย็นชาของลี่หวังเพ่งมองทิศทางเบื้องหน้าอย่างจริงจัง ไม่มีแม้คำพูดสักคำเอ่ยออกมา เพราะรู้ดีว่าในใจนางตอนนี้ คงสับสนและเหนื่อยล้าเต็มที ท่าทางไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแม้แต่จะเดินไปต่อ ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มสดใสบัดนี้กลับเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ณ เวลานี้มีเพียงตัวนางเท่านั้นที่ต้องต่อสู้กับชะตากรรมที่ซับซ้อน ซึ่งไม่คาดคิดว่าในอดีตนางคือ เหมยหลิน ผู้ที่หลงรักเขาจนหมดใจ แต่ได้เพียงทุกข์จนตรอมใจกลับมาเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางจะทำอย่างไรต่อไป 'ฉันต้องแก้แค้นให้ตัวเอง หรือเผชิญหน้ากับเขาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งตอนนี้เขาเหมือนจะรักเรามาก ควรให้อภัยดีไหม ทำไงดีเสี่ยวเหยา?' ความคิดต่างๆ นานาพรั่งพรูเข้ามาอย่างมิอาจหยุดยั้งไว้ได้"เฮ่อ..." นางถอนหายใจเพียงเบาๆ แววตาเศร้าอย่างชัดเจน"เสี่ยวเหยา เสี่ยวเหยา ข้ามาแล้ว...เอ๊ะ!" น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากเบื้องหลังนาง เป็นใครไม่ได้นอกจากสหายคนสนิท ในขณะที่ลี่หวังพินหน้ามองบุรุษผู้ไร้เดียงสา ดวงตาเขาเบิกกว้างเมื่อพบว่าคนผู้นั้นวิ่งตรงดิ่งมายังท
เวลาล่วงเลยผ่านไป ความเงียบสงบเข้ามาเยือนอีกครั้ง เสี่ยวเหยามิอาจพบหน้าเจิ้งเจี๋ยได้เต็มร้อย นางพยายามซ่อนตัวจากเขา ไม่มาปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเหมือนดั่งเช่นเคย แม้บังเอิญพบเจอกันที่ใด นางก็เอาแต่หลีกหนีเขาทุกครั้งไป ราวกับว่าเขาสิ่งปฏิกูลที่น่ารังเกียจ สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาไม่น้อย ทว่ามิอาจทำการสิ่งใดได้ นางเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ไปก็เพราะตน จึงฝืนใจนิ่งเฉย รอแผนการคืนความยุติธรรมให้นาง ดั่งที่วางไว้สำเร็จ เมื่อนั้นตนจะลงโทษนางให้สาสมที่ทำให้ตนคะนึงหาอย่างอดทนอดกลั้นแทบจะตายเสียให้ได้ ทางด้านอ๋องจี๋ชงผู้ซึ่งเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ไม่ห่าง อีกทั้งคอยสั่งให้เหล่าทหารจับตามองนางทุกฝีก้าว ครั้นเมื่อสบโอกาสจึงหยิบยื่นไมตรีให้นาง เพียงหวังว่าในช่วงเวลาที่นางจะซาบซึ้งใจ เป็นหนทางเดียวที่ตนสามารถเข้าไปแทนที่ของเจิ้งเจี๋ยได้ ดวงตาเจ้าเล่ห์เพ่งมองสตรีผู้งดงาม ในชุดนางกำนัลชั้นผู้น้อยอย่างหลงใหล กลับมาครั้งนี้นางมิต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป ดวงตาสวยเพ่งมองเงาตนเองในน้ำ ด้วยท่าทางเหม่อเลย ภายในใจครุ่นคิดว่าจะทำเช่นไรกับชีวิตต่อไป"เจ้าดูซูบผอมลงไปมาก มีเรื่องอะไรให้ครุ่นคิด บอกข้าได้หรือ
ค่ำคืนมีเพียงเมฆดำบดบังแสงเรืองทองของจันทราจนหมดสิ้น เป็นค่ำคืนอันเปล่าเปลี่ยวอย่างน่าหวาดหวั่น แม้มองไปในทิศทางใดก็มีแต่ความเงียบสงัด หลงเหลือไว้เพียงแสงสว่างอันริบหรี่ของเปลวเพลิงเพื่อส่องทาง เพราะเส้นทางที่นางกำนัลผู้นั้นว่าไว้ มิได้ซับซ้อนอย่างที่คิด เพียงไม่กี่เวลาร่างบางหยุดนิ่งตรงประตูบานหนึ่งที่ทำด้วยแผ่นไม้หนา ดูเก่าแก่ตั้งสง่าเป็นจุดศูนย์กลางของกำแพง ด้านในมันช่างน่าค้นหาเสียจริงแอ๊ดดดด!...แกร็บ บานประตูเปิดเองอย่างง่ายดาย เหมือนเชื้อเชิญนาง เสี่ยวเหยาไม่เพียงแต่ไม่สงสัยใดๆ อีกทั้งยังไร้ความหวาดกลัว ถึงไม่รู้ว่าทางข้างหน้านี้มีสิ่งใดซ่อนอยู่ และต้องเจอกับอะไรก็ตามก็ไม่มีอะไรที่น่าหวาดกลัวไปกว่าความทรงจำของเหมยหลินที่พรั่งพรูเข้ามา ดวงตาคู่สวยถูกสะกดด้วยสวนดอกโบตั๋นสีขาวสลับแดงบานสะพรั่งไปทั่ว แม้จะถูกความมืดบดบัง ทว่าก็มิอาจบดบังความงามไว้ได้เลย" เอ๊ะ! เหมือนเคยเห็นดอกไม้เช่นนี้ ที่ไหนมาก่อน" นางเพ่งมองอย่างพินิจทบทวนความจำของตน คลับคล้ายว่าเจอดอกไม้ที่ใดกัน กลับต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคยของใครผู้หนึ่ง"เจ้ามาทำอันใดที่นี่!!""ท่านกูกู!!""ข้าเอง เจ้าคิดว่าเ
ทางด้านเสี่ยวเหยา ที่ยืนสง่าด้วยความหวาดหวั่น ท่ามกลางหมอกหนาบดบังดวงตา สัมผัสได้ถึงความว่างเปล่าในห้วงอันมืดมิด ไร้สิ่งอื่นใด ที่แห่งนี้คงเป็นห้วงความฝันที่นางมโนขึ้น หรือลางบอกเหตุอันใดกันแน่"เสี่ยวเหยา" น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกแต่กลับคุ้นเคย แว่วดังมาแต่ไกล แต่มิอาจจับทิศทางของที่มาได้เลย นางมิอาจรู้ได้ว่าเหตุใดถึงฝันถึงผู้ที่มิเคยให้คำตอบใดๆ กับนาง"ฉันรู้ว่าเป็นเธอ เหมยหลินออกมาคุยกันดีๆ ได้ไหม ทำไมถึงต้องเป็นฉันเท่านั้นที่เป็นฝ่ายดิ้นรนต่อสู้เพียงเพื่อหาคำตอบ ทั้งที่ไม่ได้ทำผิดสักหน่อยแต่กลับต้องมารับเคราะห์กรรมเช่นนี้ ช่างไม่ยุติธรรม ทะลุมิติแบบใดกัน? ต้องมาหาคำตอบ ยากกว่าการทำข้อสอบในมหาลัยเสียอีก เฮ่อ...กรรมของฉันจริงๆ""....."แม้แต่ในห้วงความฝัน นางมิอาจหยุดพร่ำบ่น หรือคาดเดาสิ่งใดได้เลย ทุกอย่างมืดสนิทไปทุกด้าน มีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือถามออกไปตรงๆ แม้จะเป็นเพียงความฝันก็ตาม'แน่ะ! ยังเงียบภาษาสมัยใหม่คงไม่รู้เรื่องสิน่ะ! ' นางคิดในใจ"ท่านพี่ใช่ไหม ท่านต้องการให้ข้าทำเช่นไร พูดมาได้เลย ข้ายินดีช่วยเหลือท่านทุกอย่าง" นางเอ่ยขึ้น เพราะมีสติพอจะรู้ได้ว่าไม่ใช่ความฝันธรรมดา และ
ดวงตาคมเพ่งมองไปรอบบริเวณสำนัก เสียงกระบี่ที่เคยดังกังวานไปทั่วป่าไผ่ บัดนี้กลับมีเพียงเสียงจิ้งหรีดร่ำร้อง เมื่อครั้นลมหนาวมาเยือน กลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลไปทั่วบริเวณสำนักที่รายล้อมไปด้วยภาพอันงดงามมิเคยลืมเลือนจากห้วงความทรงจำของเขาได้เลย ร่างสูงย่างก้าวอย่างสุขุม มือหนาผลักบานประตูจวนที่ปิดตายเปิดออกอย่างง่ายดาย ทุกสิ่งยังคงเดิม แม้กระทั่งกลิ่นดอกโบตั๋นยังคงหอมตลบอบอวลไปทั่วห้องไม่เคยเปลี่ยนแปลงราวกับว่ายังมีผู้คนอาศัย สร้างความประหลาดใจให้เขา เหตุใดทุกอย่างยังเหมือนเดิม สิ่งของเครื่องใช้ยังคงจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย "ห้องนอนผู้ใดกัน หรือว่ามีคนอาศัยอยู่ที่นี่" เสียงใสเอ่ยขึ้น เจิ้งเจี๋ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ"เจ้ารู้ไหมว่าที่แห่งนี้ มันอันตรายเพียงใด?""มีท่านอยู่ ข้าจะกลัวอะไร ปลอดภัยหายห่วงอยู่แล้ว!""อึก... เจ้านี่มันช่างดื้อด้านเสียจริง!"'นั้นไงยิงธนูหมัดใจแล้วหนึ่ง กล้าพูดได้ไงเสี่ยวเหยาเอ่ย ดูแก้มเขาซิ! แดงระเรื่อราวกับลูกท้อเชียว' ทว่าตรงกันข้ามกับเจิ้งเจี๋ยคิดว่านางเป็นสตรีที่ไร้เดียงสา แต่กับเจ้าเล่ห์ใช่น้อย ถึงกระนั้







