แสงสว่างจากดวงจันทราสาดส่องเพียงพอให้นางมองเห็นสภาพภายในจวน เสี่ยวเยาต้องแปลกใจปนความสงสัย เมื่อพบว่ามันช่างว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งของมีค่าอย่างที่ผู้คนต่างร่ำลือไว้ มีเพียงโต๊ะไม้เก่าๆ ไว้ดื่มชา กับเตียงนอนเรียบง่ายที่ไม่อลังการ พร้อมแกะสลักลวดลายหมาป่าที่น่าเกรงขามไว้เท่านั้น ไม่สมกับเป็นเชื้อสายพระวงศ์ แม้แต่น้อย ผิดจากภายนอกจวนที่ตกแต่งหรูหรา ดูอลังการสง่างาม จนน่าอิจฉา แท้จริงแล้วด้านในกลับมีแต่ความว่างเปล่า ไม่เหมือนดั่งที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า "ท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ยผู้นี้ใช้ชีวิตสุขสบาย หรูหราฟุ่มเฟือย ข้าวของเครื่องใช้ทำด้วยทองคำ ร่ำรวยกว่าองค์จักรพรรค์เสียอีก สาเหตุเพราะยึดทรัพย์สมบัติของเหล่ารัฐที่ตนไปทำสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน โดยได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท เพื่อเป็นรางวัลชนะศึก" "อะไรเนี่ย!!" เสี่ยวเยาเดินสำรวจรอบๆ ไม่วายคลางแคลงใจ ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปยังผู้กำลังหลับใหล ด้วยใบหน้าซีดเผือด ผิดมนุษย์มนา หรือ เขากำลังแอบซ่อนอะไรไว้ "........" "หลับสบายเชียวนะ! ปล่อยให้ข้ายืนรอตั้งนานสองนาน มันน่าฆ่าให้ตายเสียจริง ฮึ! " นางเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจ ที่ตนต้องยืนรอตั้งสองชั่วยาม เหมื่อยล้าไปทั้งตัว แต่เขากลับนอนหลับอย่างสบายใจนี่ซิ! มันน่านัก "ช่างเถอะๆ รีบทำให้เสร็จ จะได้รับกลับไปพักผ่อนเสียบ้าง เสี่ยวเยา.."นางเผลอตัวเอ่ยชื่อแท้จริงของตนออกมา ดีที่บุรุษตรงหน้ายังคงหลับใหล "เหมยหลิน...เหมยหลิน " เจิ้งเจี๋ย พร่ำเพ้อชื่อสตรีที่ฟังดูคุ้นหู เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะเป็นกังวลใจมากกว่า หากไม่รีบรักษาให้เร็วไว อาการอาจจะแย่ลงไปกว่านี้ก็ได้ คิดแล้วนางนั่งลงใกล้เขาอย่างนุ่มนวล เอื้อมมือบางเตะริมหน้าฝากเขาเบาๆ รู้ได้ทันที ว่าไข้ขึ้นสูงนัก "ท่านแม่ทัพ ลุกขึ้นไหวไหม ท่านแม่ทัพ" นางเรียกสติให้เขาตื่นขึ้นมา เพื่อทานยา ท่านแม่ทัพลืมตาขึ้น เผยแววตาที่แสนเกรี้ยวกราดมายังตน ก่อนจะบีบคอนางสุดแรง ด้วยที่เสี่ยวเยาไม่ทันตั้งตัว "อึก!! ทะ..ทะ..ท่าน ขะ..ข้า..ยู่หลง" กิริยาเริ่มแปรเปลี่ยนอย่างไร้สติ นั้นเพราะอาการหลับลึก ฝันถึงเหมยหลินกำลังทิ่มแทงหน้าอกเขาด้วยปิ่นปักผม พร้อมเอ่ยคำสาปให้เขามีชีวิตที่ทรมาน หยดน้ำใสไหลรินออกมาจากดวงตาเรียวความเจ็บปวด หายใจติดขัด หน้าแดง เรี่ยวแรงสตรีเช่นนางหรือจะสู้บุรุษเยี่ยงเขาได้ น้ำอุ่นๆ ไหลลงมาสัมผัสมือหนาคว้าคอขาวไว้ เรียกสติเจิ้งเจี๋ย กลับมาอีกครั้ง ดวงตาเข้มเบิกโตด้วยความเป็นห่วง แต่ช้าไปนางหมดสติลง เขาอุ้มร่างบางไว้ด้วยความกังวลใจ "ใครอยู่ด้านนอกบ้าง?" "ท่านแม่ทัพเกิดอะไรขึ้น?" "ตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!!" 'เสี่ยวเยา เสี่ยวเยา 'เสียงอ่อนหวานละมุนของใครผู้หนึ่งเอ่ยชื่อตน เสี่ยวเยาลืมตาตื่นพบว่า ตนกำลังนอนอยู่ใต้ต้นเหมยฮวา ยืนต้นสง่า ดอกของมันร่วงโรยลงมาตามแรงลมที่พัดอ่อนๆ ช่างสวยงามเหลือเกิน ก่อนจะปรากฏร่างของบุรุษที่ยืนผินหลังให้ตน นางพยายามเข้าไปใกล้ชายผู้นั้น แต่ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่ เขายิ่งออกห่างเธอเท่านั้น ก่อนที่หมอกหนาจะปกคลุมไปทั่ว จนนางได้สติขึ้นมา นางลืมตาพบว่า ตนกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ ของท่านแม่ทัพ ก่อนสะดุ้งด้วยความตกใจ สำรวจร่างกายของตน ที่พบว่ามีเพียงชุดสวมในสีขาวเท่านั้น เสื้อคุมของตนหายไป ใครกันเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง "ฮ่ะ!! หรือเจิ้งเจี๋ย " นางลุกขึ้นพรวด เดินวนหาเสื้อผ้ารอบห้อง แต่ก็ไร้เงา แม้เพียงเสื้อคลุมสักชิ้นก็ไม่มี "ซวยแล้ว! ซวยแล้ว! จะออกไปแบบนี้ไม่ได้สิ" นางฉุดคิดได้ว่า เมื่อคืนนางเกือบตาย ด้วยน้ำมือของท่านแม่ทัพ มีเพียงตนและท่านแม่ทัพที่รู้เรื่อง "เอ๊ะ! แต่แปลกจัง ทำไมเงียบผิดปกติแบบนี้ ช่างมันเถอะๆ อย่างไรก็รีบออกไปจากที่นี่จะดีกว่า " เสี่ยวเยานำผ้าห่มคลุมร่างนางไว้อีกชั้น เร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปยังประตูด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม ".....อึก! ทะ..ท่าน...แม่ทัพ" นางต้องหยุดชะงักเมื่อประตูถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าบุรุษตรงหน้าที่กำลังยืนมองนางอย่างชัดเจน แววตาสีหน้าเรียบเฉย มองมายังเธอ เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น "อึก!! เป็นอย่างไรบ้าง?" น้ำเสียงที่สั่นเครือของเจิ้งเจี๋ย ทำให้เสี่ยวเยายากจะคาดเดาได้ว่าถามเพราะเป็นห่วงนาง หรือถามเพราะอยากจะให้นางลืมเรื่องเมื่อคืนกันแน่ "ร่างกายข้าปกติดี จำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ "นางฝืนยิ้มกว้างเพื่อไม่ให้จิ้งเจี๋ยรับรู้ถึงความผิดปกติของตน "ดี!!"แววตาคมแอบแฝงไปด้วยคำถามมากมาย มิหนำซ้ำเมื่อคืนตนกลับเป็นฝ่ายผู้ดูแลนาง แถมยังต้องทนฟังเสียงละเมอชื่อพี่สาวของตนเองตลอดคืน "ข้าขอตัวกลับก่อนนะ" "........" ไม่มีคำพูดใดๆ นางจึงทำความเคารพ ก่อนรีบเดินดรุ่ยๆ จากไปอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะผินหลังกลับมา เจิ้งเจี๋ยได้เดินวนไปวนมาหน้าจวน ภายในใจครุ่นคิดแต่เรื่องของทหารผู้นี้ เขาแหงนหน้ามองต้นเหมยฮวา ดอกมันกำลังร่วงโรยอย่างไม่ขาดสาย ก่อนจะนึกถึงคำพูดของท่านหมอคนสนิทที่จงรักภักดีต่อตน และยังเก็บงำความลับของเจิ้งเจี๋ยไว้เป็นอย่างดี นามของเขาว่า ท่านหมอลี่(ลี่เจิน) "เป็นไรบ้าง?" เจิ้งเจี๋ยถามขึ้นด้วยความรู้สึกที่กระวนกระวายใจอย่างไม่เคยเป็นขึ้นมาก่อน "พ้นขีดอันตรายแล้วท่านแม่ทัพ แต่...." "แต่อะไรท่านหมอ?" เจิ้งเจี๋ยเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย "นายทหารผู้นี้ แปลกประหลาดจะมีชีวิตก็ไม่ใช่ จะตายก็ไม่เชิง " "เจ้าหมายความว่าอย่างไร" "มีชีวิต แต่ไร้ซึ่งชีพจร เสมือนว่านายทหารผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา ท่านแม่ทัพข้าขออนุญาตศึกษาดูอีกสักหน่อย หากได้เรื่องราวอย่างไร ข้าจะรีบมารายงานท่านแม่ทัพทันที อาจเป็นไปได้ว่ายู่หลงผู้นี้ คือบุคคลในคำทำนายของท่านหมอหนาน ที่เคยว่าไว้ก่อนตาย ก็ได้" "อืม เข้าใจแล้ว ขอบใจท่านหมอมาก" เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยคำชอบใจ แววตาที่ดูเป็นกังวลนั้นทำเอาหมอลี่ยิ้มออกมา "ดูท่าทางท่านจะให้ความสำคัญกับทหารผู้นี้เสียจริง" "ข้าแค่...ทำดีกับเขาเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น เขาเป็นผู้เดียวที่รู้ว่าเหมยหลินอยู่ที่ใด" "ท่านยังคงรักนางกำนัลผู้นั้นอยู่อีกเหรอ?" "ข้าแค่อยากถามนาง ว่าเหตุใดถึงสาปแช่งข้า ให้เหมือนตายทั้งเป็น" แววตาเศร้าหมองของเขา ทำให้หมอลี้ถอนหายใจ "คำสาปมักมาพร้อมการแก้คำสาปเสมอ...หากท่านแก้คำสาปได้ ท่านก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตเช่นกัน" " ข้ายินดี อย่างน้อยข้าก็ไม่เป็นมารอย่างที่ผู้คนหวาดกลัว เหมือนดั่งตอนนี้ " "เฮ่อ!...ข้าขอตัวลาก่อนท่านแม่ทัพ ยู่หลงผู้นั้นอาจช่วยท่านสมหวังดั่งใจก็ได้" "........" ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง ท่านหมอลี้จึงถวายความเคารพ ก่อนจะเดินจากไป เจิ้งเจี๋ยย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ที่พบว่าคนรักของตนกำลังร่วมหลับนอนกับชายอื่น ในขณะที่ตนกลับมาจากการทำศึกสงคราม
"เสี่ยวเยา เสี่ยวเยา" น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นในห้วงความมืดมิดที่รายล้อมร่างบางระหงไว้"ไปกับข้าเถอะ! ถึงเวลาที่เขาต้องชดใช้กรรมที่ทำไว้" เป็นเสียงสตรีที่เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก"พี่เหมยหลิน ท่านใช่ไหม? ท่านอยู่ที่ใดกัน? เหตุใดถึงไม่ปรากฏตัวให้ข้าเจอสักครั้ง? " คำถามมากมายพรั่งพรูออกมาอย่างมิอาจเก็บมันไว้ได้อีกต่อไป "ความตายของเจ้าเท่านั้น! ที่จะทำให้เขาทุกข์ระทมไปชั่วชีวา ฮ่าฮ่า""อึก!!!" ใจดวงนี้ไขว้เขว และหวาดกลัวขึ้นมา เมื่อพบว่าร่างกายของตนเปล่งประกายเจิดจ้า แต่ทว่ารู้สึกปวดแสบปวดร้อนทรมานไปทั้งตัว ราวกับจะแตกสลายไปเสียให้ได้ แผนการของเหมยหลินมีมากเกินกว่าที่คิดไว้เสียอีก สุดท้ายแล้วนางก็หนีไม่พ้นความตาย แม้จะพยายามเอารอดสักเพียงใด ก็เหมือนยิ่งใกล้ความตายเท่านั้น สุดท้ายต้องมาตาย ณ ที่แห่งนี้จริงๆ เหรอ"เสี่ยวเยา เสี่ยวเยา " เสียงนุ่มนวลของบุรุษดังขึ้น "ใครนะ! เรียกข้าเหรอ?" ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาที่มาของเสียง ทว่ากลับไร้แม้เงา กลับกันพบบุรุษร่างสูงยืนพินหลังให้ตน รางบางไม่รีรอเร่งฝีเท้าหมายจะเห็นหน้าตาคนนี้ผู้นี้ให้จงได้ แต่ทว่าดวงตาสีนิลเบิกโต เมื่อพบว่า ไม่ใช่ใครอื่น
ร่างสง่างามเดินย่างกายย่างระมัดระวัง ภายในถ้ำที่สลัว มีเพียงคบเพลิงคอยให้ความสว่าง ทางคดเคี้ยวลึกเข้าไปยาวนานกว่าที่นางคิดไว้ ดวงตาสวยเหลือบมองไปรอบตัว อย่างหวาดหวั่น ภายในใจนั้นครุ่นคิดว่า ตนเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ เหตุใดถึงใจกล้าเพียงนี้ สองมือกำกระบี่แนบแผ่นอกไว้แน่น "หันหลังกลับไปยังทันไหมนะ!" นางพึมพำกับตนเองเพื่อข่มความกลัวเอาไว้ ดวงตาสะดุดเขากับโขดหินที่มีสัญญาลักษณ์สีแดงตั้งสง่าอยู่เบื้องหน้านาง"ยังด้านในอีก ไร้ซึ่งกำแพงป้องกัน สามารถเดินเข้าไปได้...หากผู้นั้นต้องการเป็นอาหารมัน" น้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อพบว่าด้านในเงียบสนิทไร้ซึ่งเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ว่า ช่างน่าแปลกใจเหลือเกิน แสงสว่างด้านในไม่ใช่เสียงจากคบเพลิง แต่เป็นแสงจากจันทราที่สาดส่องมาจากช่องทางหนึ่งซึ่งไม่อาจรู้ได้เลย หากไม่ย่างกายเข้าไป ความกลัวหรือจะสู้ความใคร่รู้ของนางได้ ร่างบางระหงมุ่งตรงไปอย่างข่มความกลัวไว้ภายในใจ"เอ๊ะ!" ดวงตาสวยเบิกกว้าง อ้าปากค้างอย่างตกตะลึงเมื่อพบว่าด้านในมันช่างกว้างขวาง ด้านบนถูกดัดแปลงเป็นกระจกใส มองเห็นจันทรากลมโตตั้งสง่ากลางนภาลัย กำแพงถ้ำปกคลุมด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่มประดับประดาด้
ฉายา หมาป่าจอมทมิฬ ได้มาเมื่อครั้นท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ยทำศึกสงครามกับสามแคว้น เขาใช้ไหวพริบควบคู่กับทักษะร่ายรำกระบี่คู่กายเผชิญหน้าเหล่าศัตรูนับร้อยดั่งเช่นหมาป่าทมิฬว่องไว และรวดเร็ว อีกทั้งดวงตาคมกริบเพ่งมองคนเบื้องหน้าอย่างไร้ความหวาดกลัว แม้จะได้รับบาดเจ็บเพียงไม่น้อย ทว่าความมุ่งมั่น ความอดทน และยึดมั่นในหลักการของท่านแม่ทัพอันแน่วแน่ของเขา ช่วยเสริมสร้างขวัญกำลังให้เหล่าทหารจนชนะสงครามทุกครั้งไป แม้สงครามระหว่างแคว้นสงบลง ถึงกระนั้นขึ้นชื่อว่าท่านแม่ทัพผู้ซึ่งได้รับราชโองการจากองค์จักรพรรดิไม่อาจนิ่งดูดายต่อแคว้นของตนได้ การคัดเลือกทหารชั้นผู้น้อยจึงเริ่มขึ้น เพื่อเตรียมกำลังพล และความพร้อมเมื่อครั้นสงครามได้มาเยือน ทหารจึงต้องฝึกฝนตนเอง เพื่อเพิ่มทักษะการต่อสู้ให้แข็งแกร่งมากพอ ที่จะร่วมสงครามได้ แม้จะเก่งกาจเพียงใด แต่ใจไม่สู้ก็ย่อมสูญเปล่า เหล่าทหารขององค์จักรพรรดิย่อมต้องรู้ดีว่า เพลิงแห่งศึกยังมิอาจ มอดดับ คมศาสตร์ในมือหนักอึ้ง ดุจภาระที่ไร้จุดสิ้นสุด เสียงหนึ่งแว่วดังก้องในจิตใจ ต้องลงเล่นหมากรุกในกระดานจนกว่ากลิ่นธุลี และโลหิตเจือปนอยู่ในอากาศ "ท่านแม่ทัพช่างสำราญใจเหลื
ทางด้านหลานจินที่แอบสะกดรอยตามลี่หวัง และสี่ซาน เพียงหวังว่าจะได้รับรู้เรื่องราวของยู่หลงบ้าง ยิ่งเนิ่นนานเท่าไหร่ เขายิ่งเป็นกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น ตั้งแต่ซ้อมประลองกระบี่ในครานั้น ก็ไม่พบเจอนางอีกเลย ไม่มีแม้แต่จะรับรู้ข่าวคราวของนาง จนเกิดความร้อนรนบ่นความห่วงใยขึ้น ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง ทุกวันร่ำเรียนกระบี่ดังเช่นหุ่นเชิด มีชีวิตแต่ไร้ซึ่งลมหายใจ การกระทำเช่นนี้สร้างคำหงุดหงิดให้ใครผู้หนึ่งเป็นอย่างยิ่งตรึง!! ร่างสูงโปร่งกระเด็นไปไกลนอนคุดคู้ มือนั้นกุมท้องน้อยอย่างเจ็บปวด เพราะเท้าแข็งแกร่งของใครผู้หนึ่ง ที่ไม่อาจทนมองความอ่อนแอของบุรุษผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารขององค์จักรพรรดิได้ โดยเฉพาะทหารผู้นี้"ทำเยี่ยงนี้กับข้าได้อย่างไรกัน? " เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ รวบรวมกำลังพยุงร่างตนเองขึ้นมา มือสะบัดไปทั่วชุดทหารที่เปื้อนดิน ไม่แม้แต่จะแหงนหน้ามองคนผู้นั้น "ท่านแม่ทัพไม่ต้องการทหารอ่อนแอ ไม่มุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อบ้านเมืองเยี่ยงเจ้า " ดวงตาคมกริบมองคนตรงหน้านิ่ง "ข้าแค่....โอ๊ะ! ท่านลี่หวัง!" ดวงตาเย็นชาของเขาประสานเข้ากับดวงตาคมกริบของเขานิ่งนาน "หลายวันมานี้ ข
กาลเวลาผ่านไป หลายวันแล้วที่เสี่ยวเยาไม่ได้เข้าเฝ้าท่านแม่ทัพเพื่อปรนนิบัติตามที่เคยเป็น ในแต่ละวันนางเอาแต่ยุ่งอยู่กับการประลองกระบี่ ท่องตำรายุทธการต่อสู้ ร่วมกับเหลาจิน และสหายร่วมสนามรบในค่ายทหาร"ยู่หลง เต้าต้องมองกระบวนท่าการใช้กระบี่ของศัตรูให้มั่นเสมือนดวงตาอินทรีย์" ดวงตาเข้มละมุนดูแพรวพราวเมื่อมองคนเบื้องหน้า"ได้!" น้ำเสียงใสดูมุ่งมั่นตั้งใจสร้างความประทับใจให้หลานจิน แม้จะรู้ว่าตนแปลกประหลาดที่ชื่นชอบบุรุษด้วยกัน แต่ก็ไม่อาจหักห้ามความปรารถนาของดวงใจได้ การประลองกระบี่ด้วยความคล่องแคล่ว อย่างองอาจ และสง่า สร้างความประทับใจให้เหล่าสหายนับร้อย หนึ่งในนี้ยังมี ดวงตานุ่มลึกเพ่งมองสตรีแสดงกระบวนท่าตั้งรับกระบี่ฝั่งตรงข้ามได้กล้าหาญไม่แพ้บุรุษ"เอ๊ะ!" ฉับพลันดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อใบหน้าหลานจิน กลับกลายเป็นใบหน้าท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย ผู้ซึ่งทำให้หลายวันมานี้ นางกินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพิ่งรู้ใจตนเองว่าชื่นชอบท่านแม่ทัพเข้าให้แล้ว ยิ่งคิดยิ่งวิตกกังวล ในฐานะของนางตอนนี้ที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่แสดงความรู้สึกได้ สู้หลบหนีในห่างเขา ไม่ใกล้กัน ย่อมไม่หวั่นไหวไปมากกว่าเดิ
แสงสีทองลับขอบฟ้า วิหคน้อยฝูงใหญ่บินล่องลอยกลางเวหามุ่งสู่รัง ทางด้านเสี่ยวเยาแปรสภาพเป็น ยู่หลงเช่นเดิม อย่างไรก็ตามนางไม่วายคลางแคลงใจในสิ่งที่เกิดขึ้น คงเป็นเพราะพบเจอแต่เรื่องประหลาดมากมาย จนนางอดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันถึงง่ายดายเหมือนถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า "ทุกสิ่งในวันนี้ช่างพอเหมาะ ได้ทั้งปิ่นปักผมที่ชอบ และเสื้อผ้าสวยๆ มาฟรี หรือเราคิดมากไปเองนะ!" นางซ่อนทุกอย่างไว้ในห้องเป็นอย่างดี อย่างไรเสีย คือมันของล้ำค่าที่สุดในชีวิตนาง ณ เวลาอยู่ที่แห่งนี้ ร่างบางย่างก้าวไปยังที่พักของท่านแม่ทัพ เพื่อรายงานตัว แววตาใสจ้องมองบุรุษผู้มุ่งมั่นอยู่กับการอ่านตำรายุทธศาสตร์ ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน จนนางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างเผลอตัว "เก่งไปทุกด้านเสียจริงๆ" เจิ้งเจี๋ยปิดตำราก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่าผ่าเผย สายตาคมคลายหล่อเหลาจับจ้องมองที่นาง "วันนี้ดูเจ้าสุขอุรา ใบหน้าอิ่มเอมเหลือเกิน" ดวงตาดอกท้อช้อนสายตาขึ้นมองอย่างไม่คิดจะหลบตา "คงเพราะความเมตตาของท่านแม่ทัพ ข้าเลยเที่ยวเพลินเลย เอ๊ะ! ลี่ซาน ลี่หวัง! " นางยิ้มแห้งๆ ก่อนจะหยุดยิ้มลง ดวงตาสีนิลจ้องเขม็งอย่าง