จากที่คิดว่าปัญหาเล็กน้อยก็ตาลปัตรเป็นเรื่องราวใหญ่โต เฉินอิ้งถงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่กลางห้องโถงท่ามกลางสายตาของผู้คนนับร้อย ฝานฟ่านกระฟัดกระเฟียดเพราะไม่พอใจที่บิดากล้าตบเขาต่อหน้าคนหมู่มาก
“ท่านพ่อ ท่านต้องจัดการนางให้ข้า”
“เจ้าทำผิดยังไม่รู้จักสำนึก หุบปากของเจ้าไปซะ หากวันนี้ข้ามาไม่ทันเจ้ารู้หรือไม่ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร”
“ก็แค่ผู้หญิงชั้นต่ำ นางกล้ามาทำร้ายข้า ท่านยัดเงินให้เจ้าหน้าที่ไปก็จบ”
“หุบปากของเจ้าไปเสียเรื่องนี้ข้าจัดการเอง”
เฉินอิ้งถงมองสองพ่อลูกตาขวาง เพราะขนมที่กินเข้าไปไม่เพียงเพิ่มพละกำลังทั้งยังทำให้นางหูดีมากด้วย กระทั่งเสียงกระซิบของพวกเขานางยังได้ยินชัดเจน
“นายท่านพวกเขาคิดเล่นสกปรกเจ้าค่ะ” เสียงเล็กกระซิบจากเหนือศีรษะ
“ข้าได้ยินแล้ว”
เจ้าหน้าที่นายหนึ่งวิ่งไปยังเบื้องหลังของผู้ว่าความ เขากระซิบข้างหูเสียงเบาหวิว
“นายท่านฝานบอกว่าให้รีบจบเรื่องนี้โดยเร็วขอรับ”
เจ้าหน้าที่วัยกลางคนพยักหน้า เขาหลุบเปลือกตามองบางอย่างที่ถูกยัดใส่ฝ่ามือก็ยิ้มมุมปาก จากนั้นย้ายสายตาไปยังฝานหงจื้อ ทั้งสองสบตากันพร้อมกับพยักหน้าบางเบา
“แม่นางน้อย เจ้าบอกว่าคุณชายน้อยฝานข่มเหงเจ้า ไม่ทราบว่าเจ้ามีหลักฐานหรือไม่”
เฉินอิ้งถงแค่นยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดก็ล้วนมีพวกปลิงดูดเลือดมักใช้อำนาจข่มเหงในทางมิชอบเช่นนี้เสมอ หนำซ้ำยังคิดเล่นสกปรกหวังโยนความผิดให้ผู้ถูกกระทำเป็นแพะรับบาปไม่ละอายฟ้าดิน
“มีแน่นอน ทุกคนที่นี่เห็นกันหมดว่าข้าถูกเขารังแกอย่างไร” เฉินอิ้งถงกวาดตามองชาวบ้านโดยรอบ ทว่าทุกคนกลับเลือกหลบตานางไปเสียอย่างนั้น
คิ้วสวยขมวดแน่น
“ไหนหลักฐานของเจ้า ข้าไม่เห็นจะมีผู้ใดออกมาเป็นพยานให้สักคน” ฝานฟ่านยิ้มเยาะ เขาเอ่ยต่อ “เจ้าเป็นหญิงต้มตุ๋นคงคิดรีดไถเอาเงินจากข้ากระมัง เพราะเห็นว่าข้าหล่อเหลาแต่งกายดูดีใช่หรือไม่”
เฉินอิ้งถงกัดฟันกรอด ในเมื่อไม่อาจพึ่งพาผู้อื่นได้ เช่นนั้นนางก็ต้องเอาตัวรอดด้วยสมองและสองมือของตนเอง “คุณชายฝานช่างพูดให้ตนเองสูงส่งเสียจริง หากข้าคิดทำเช่นนั้นก็คงไปเป็นฮูหยินของท่านตั้งแต่ท่านออกปากเชื้อเชิญไม่ดีกว่าหรือ”
ฝานฟ่านหน้าเสีย เอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่น “ขะ…ข้าไม่ได้พูดเสียหน่อย เป็นเจ้าที่อยากเสนอตัวมาให้ข้าเอง ใช่หรือไม่” ประโยคสุดท้ายยังไม่ลืมเหลียวไปหาแนวร่วมจากบ่าวรับใช้ของตน
“ใช่ขอรับ” ชายหนุ่มทั้งสองพยักหน้าผสมโรงอย่างสุดกำลัง
เฉินอิ้งถงอยากถ่มน้ำลายรดหน้าพวกเดนนรกนี่นัก กระทั่งวาจาสุนัขที่พ่นออกมาเองยังไม่กล้ายอมรับ “พวกเดียวกันก็ต้องเห็นพ้องอยู่แล้ว คนเราสามารถโกหกได้เสมอเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการมิใช่หรือ”
“แม่นางใจเย็นก่อนเถิด เดิมทีเรื่องนี้ก็ไร้หลักฐาน เกรงว่าคงเป็นการเข้าใจผิด เพราะคำพูดของเจ้าผู้เดียวก็ไร้น้ำหนัก อย่างไรเสียล้วนเป็นคนอำเภอเดียวกันให้ถือว่าเป็นการทะเลาะวิวาท แต่ว่าเจ้าเป็นฝ่ายทำร้ายคุณชายน้อยฝานจนได้รับบาดเจ็บ อย่างไรข้าคงต้องตัดสินไปตามที่มีหลักฐานชี้ชัด”
เฉินอิ้งถงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ตาเฒ่านี่เอาตาล่างมองหรือว่านางเป็นฝ่ายทำร้ายหมอนั่นฝ่ายเดียว “ท่านอายุมากจนตาฝ้าฟางแล้วกระมัง จึงเห็นถูกเป็นผิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว”
ปัง!
เสียงค้อนไม้เคาะลงโต๊ะพิพากษาอย่างเดือดดาล “แม่นางน้อยผู้นี้มาจากหมู่บ้านใดกันเล่า ไยจึงปากกล้าเช่นนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่ายามอยู่ต่อหน้าศาลและการไต่สวนต้องทำตัวเช่นไร อย่างนั้นเจ้าก็ต้องรับโทษที่ทำร้ายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ว่าความ ลงทัณฑ์นางโดยการหนีบนิ้ว!”
บรรดาคนมุงประสานเสียงฮือฮา บางคนไม่รู้ต้นสายปลายเหตุทว่าเห็นสภาพฝานฟ่านที่ดูไม่จืดก็ตาลปัตรเห็นดำเป็นขาว โดยเฉพาะเหล่าบุรุษที่คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าอยู่เหนือกว่าสตรีทั้งปวง
มิหนำซ้ำคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าสอด เพราะถึงอย่างไรสกุลฝานก็มีอิทธิพลอย่างมากในอำเภอฉีหลิน หากเผลอไปกระตุกหนวดเสือเข้า เกรงว่าครอบครัวของตนอาจเดือดร้อนไปด้วย
“นี่หรือศาลผู้ชอบธรรม ใช้อารมณ์ในการตัดสินอย่างเห็นได้ชัด ทำเช่นนี้ไม่ตัดนิ้วข้าไปด้วยเสียเลย ข้าจะได้ส่งนิ้วไปที่วังหลวง หลังจากนั้นข้าจะไปตีกลองที่นั่นดูสิพวกท่านจะทำเช่นไร เดิมทีคนที่นี่ความเป็นอยู่เหลื่อมล้ำก็ช่างมันเถิด ทว่าเรื่องของความยุติธรรมกลับไม่มีสักกระผีกริ้น”
ฝานฟ่านชี้นิ้วสั่น ๆ “ทุกคนเห็นหรือไม่ สตรีนางนี้ปากคอเราะรายนัก นางทำร้ายข้าจนได้รับบาดเจ็บหลักฐานก็เห็นกันคาตา ตอนที่ขวางขบวนเสด็จเหยียนอ๋องก็เป็นนางที่จงใจลงไปนอนตรงนั้นเอง ข้ามิได้เป็นคนทำ นางเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าปีศาจจิ้งจอก”
เฉินอิ้งถงถอนหายใจ เป้าหมายวันนี้คือการหาเงิน แต่กลับต้องมาเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เจ้าหน้าที่สามนายดาหน้าใกล้เข้ามาพร้อมไม้ไผ่ที่สานเรียงกันเป็นร่อง ไม่ต้องอธิบายก็รู้ได้ว่ามันเป็นเครื่องทรมานที่ใช้สำหรับหนีบนิ้วทั้งสิบ
“นายท่าน ข้าจัดการเจ้าคนปากดีนี้เองเจ้าค่ะ”
พริบตาเสี่ยวฮวาก็ไปโผล่ที่ด้านหลังของฝานฟ่านเท้าน้อย ๆ ถีบไปยังท้ายถอยชายหนุ่มสุดแรง ไม่มีใครสังเกตเห็น ฝานฟ่านกระเด็นออกมานอนพังพาบหน้าติดพื้น
“โอ๊ย!”
ฝานฟ่านเงยหน้าขึ้นก็ต้องผงะ เมื่อเฉินอิ้งถงเขม้นสายตาขึงตึงแผ่ไอสังหารสะท้อนตอบมาที่ตน
“นายน้อย!”
บ่าวรับใช้ทั้งสองถลันเข้ามามาช่วยประคองร่างฝานฟ่าน
ชายหนุ่มเข่าอ่อนยวบถูกหิ้วปีกจนน่าสังเวช จะก้าวแต่ละทีล้วนลำบากดั่งถูกก้อนศิลาทับเท้า ฝานฟ่านตระหนกสุดขีดเขาพูดจาละล้าละลังดั่งพบเจอผีสาง “หะ หะ… เห็นหรือไม่ ทุกคนเห็นหรือไม่ นางเป็นปีศาจ เมื่อครู่นางทำร้ายข้า”
ท่าทางประหนึ่งเสียสติของฝานฟ่านทำให้คนที่เห็นด้วยเมื่อครู่เริ่มเขว ส่วนฝานหงจื้อถึงขั้นยกมือกุมขมับเพราะอับอาย “รีบลากเจ้าลูกเวรนั่นออกมา!”
“ขอรับ”
ฝานฟ่านเจ็บท้ายทอยจนหน้าเหยเก เขายังพ่นวาจาต่อว่าเฉินอิ้งถงเฉกเช่นคนสติฟั่นเฟือน
“นางเป็นปีศาจ ปีศาจ”
เฉินอิ้งถงจิ๊ปากส่ายหน้าระอิดระอา
เสียงเล็กหัวเราะคิกคักดังขึ้นเหนือศีรษะ “เป็นอย่างไรเจ้าคะนายท่านพอใจหรือไม่”
“เจ้าทำถึงมาก”
เฉินอิ้งถงผินหน้าไปยังเจ้าหน้าที่ที่เตรียมเข้ารวบตัวนาง เสียงใสตะเบ็งดังก้องไม่คิดยอมแพ้ “เมื่อครู่เขาใส่ร้ายข้า ข้าขอร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ศาล อยู่ ๆ คุณชายฝานผู้นี้ก็ใส่ความว่าข้าเป็นปีศาจ คำกล่าวหาเช่นนี้ข้ารับไม่ได้ ทุกคนก็เห็นกับตาว่าเขาล้มลงมาเอง หนนี้ทุกคนกระจ่างแล้วหรือไม่ว่าวาจาของเขาเชื่อถือมิได้ หากจะหนีบนิ้วของข้า เช่นนั้นก็หนีบปากของคุณชายฝานไปด้วยถึงจะยุติธรรม!”
คราวนี้ชาวบ้านเริ่มเอนเอียงไปทางเฉินอิ้งถงแล้ว สถานการณ์เมื่อครู่ชี้ชัดว่านางไม่ผิด คนก็นั่งอยู่ตั้งไกล จู่ ๆ ก็ถูกใส่ร้ายว่าเป็นปีศาจ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วหรือ หากว่ามีคนเข้าใจผิดจริงนั่นหมายถึงชีวิตของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เชียว
“ไม่จริง ข้ามิได้ใส่ร้ายนาง เป็นฝีมือนาง นางนั่นแหละที่ทำข้า ตอนที่ข้าประมือกับนาง พละกำลังของนางอย่างกับกินช้างไปทั้งตัว” ฝานฟ่านเอ่ยไปก็ลูบแขนของตนไปเพราะขนอ่อนมันกำลังตั้งชันไปทั้งร่าง เกิดมายังไม่เคยพบเห็นหญิงสาวที่มีใบหน้าอ่อนหวานทว่าแรงกลับมหาศาลดุจดั่งม้าศึก
เฉินอิ้งถงกดยิ้มมุมปาก ในที่สุดคนเลวก็เผยธาตุแท้ของตนออกมาจนได้ ไม่เสียแรงที่ตีฝีปากกับเขาอยู่นาน ชาวบ้านโพล่งเสียงอึงอลอีกระลอก และแล้วก็มีผู้ใจกล้าเอ่ยออกมา
“นี่คุณชายน้อยฝานใส่ร้ายสตรีตัวเล็ก ๆ จริงหรือ เมื่อครู่เขายอมรับแล้วว่าตนเองวิวาทกับนางและลงไม้ลงมือจริง เขาเป็นบุรุษแต่อ่อนแอไร้ความสามารถเองจึงโยนความผิดให้นางหรอกรึ” ชาวบ้านเริ่มตะเบ็งเสียงเห็นด้วยจนเกิดจลาจล อย่างน้อย ๆ หากสามารถกำจัดเศษสวะอย่างฝานฟ่านได้ผืนแผ่นดินของอำเภอฉีหลินคงดูสูงขึ้น
เจ้าหน้าที่ว่าความหน้าเปลี่ยนสี เขาเหลียวมองไปยังฝานหงจื้ออย่างเป็นกังวล นึกไม่ถึงว่าฝานฟ่านจะหลุดพูดมาเอง เกรงว่ากระดานหมากอาจพลิกคว่ำไม่เป็นท่า
ฝานหงจื้อโพล่ง “เงียบ!...ถึงอย่างไรเรื่องที่นางทำร้ายลูกชายข้าก็เป็นความจริง เช่นนั้นย่อมต้องลงโทษนางไปตามเหตุและหลักฐาน นางไม่มีร่องรอยบาดเจ็บแม้แต่ปลายเส้นผม แล้วดูลูกชายของข้ายามนี้แรงมัดไก่ก็แทบไม่เหลือ ทำร้ายคนไม่สนกฎหมายบ้านเมืองจะไม่เข้าสู่ยุคคนเถื่อนรึ”
เสียงอึงอลกริบลงทันควัน หลายคนก้มหน้างุดพลางเบ้ปาก ฝานหงจื้อพ่นคำพูดเสียจนสวยหรูทว่ากลับไม่ดูกมลสันดานของบุตรชายตนเอง
เจ้าหน้าที่สามนายเดินหน้าต่อหมายควบคุมตัวเฉินอิ้งถง ไม่ทันประชิดร่างหญิงสาวก็มีเสียงทุ้มแว่วมาจากธรณีทางเข้า
“ข้าเป็นพยานให้แม่นางน้อยผู้นี้ได้”
เฉินอิ้งถงทอดสายตามองสีหน้าของตนผ่านคันฉ่อง ตั้งแต่เกิดเหตุวุ่นวายในท้องพระโรงหนนั้น ก็ร่วมสองสัปดาห์แล้วที่จินชางหลงเงียบหายไปไม่แม้แต่ปรากฏตัวส่วนนางเองก็ถูกทั้งไทเฮาและไท่เฟยเรียกเข้าเฝ้าจนบางคราต้องค้างที่วังหลวง นั่นเพราะนางจะต้องเข้ารับการขัดเกลามารยาทจากมามาก่อนเข้าพิธีอภิเษกวันใดที่กลับมาบ้านก็ประหนึ่งวิญญาณหลุดออกจากร่าง ทำได้เพียงทิ้งตัวลงและก็ม่อยหลับไป วันนี้ได้โอกาสหยุดพักผ่อนตั้งหนึ่งวันจึงมีเวลาพบหน้าซูซูจริงจังเสียที“คุณหนู ท่านไปเสียนานบ่าวคิดถึงคุณหนูมาก อยู่ที่แดนเหนือลำบากหรือไม่เจ้าคะ” ซูซูหวีผมนุ่มสลวยดำขลับดุจสีน้ำหมึกด้วยความแผ่วเบา“ข้าไม่ได้รับความลำบากใด อีกอย่างข้าอยู่ที่นั่นยังได้รู้จักคนผู้หนึ่ง นางคล้ายเจ้ามากทีเดียว” เฉินอิ้งถงยิ้ม“น่าอิจฉานางที่ได้ช่วยคุณหนูทำประโยชน์ ทว่าบ่าว…”“อาซู เจ้านี่ขี้น้อยใจจริง ข้าก็กลับมาแล้วนี่อย่างไร”ซูซูทำท่าจะร้องไห้ “แต่อีกไม่นานคุณหนูก็ต้องอภิเษกแล้ว เช่นนั้นบ่าวจะได้ติดตามคุณหนูเข้าวังหรือไม่เจ้าคะ”“ข้าไม่ทอดทิ้งเจ้าแน่นอน วันพรุ่งนี้ไท
“องค์ชาย ทำเช่นนี้ดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าคิดว่าข้ามีทางเลือกมากนักหรือ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจความเป็นตายของข้านอกจากท่านพี่ หากเสด็จพ่อทำตามข้อตกลงไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็มิอาจทำตามที่ท่านต้องการได้เช่นเดียวกัน”“แล้วท่านอ๋องจะยินยอมทำตามแผนการหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านพี่และข้าสนิทสนมและรู้ใจกันมากที่สุด สำหรับเจ้าแล้ว ท่านพี่หรือว่าข้าเด็ดเดี่ยวมากกว่ากันล่ะ”เผิงจิ้นเสียนผงะเมื่อเห็นแววตาที่เคยอบอุ่นแปรผันเป็นเย็นยะเยือกน่าเกรงขาม เมื่อใดที่จินชางหลงเผยด้านมืดออกมาผู้ใดก็อย่าหมายขัดขวางความตั้งใจของเขา “แน่นอนว่าทั้งสองพระองค์นิสัยใกล้เคียงกันพ่ะย่ะค่ะ”จินชางหลงยิ้มขันผ่านลำคอ นิสัยของจินเหยียนเข้มงวดเย็นชาจนน่าสะพรึง ผู้คนล้วนโจษจันว่าเขาเป็นอ๋องอำมหิตสังหารศัตรูไม่กะพริบตา ทว่าคนเหล่านั้นกลับไม่เคยรู้ว่าน้องชายที่อ่อนแอดูอบอุ่นเช่นเขา นิสัยแท้จริงหนักข้อยิ่งกว่าพี่ชายตนเสียอีก พูดได้ว่าเขาคือจอมวางแผนผู้แสนร้ายกาจณ ตำหนักบรรทมเสิ่นกุ้ยเฟยฮ่องเต้จินข่ายลุกพรวด สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม โลหิตในกายเดือดพล่านเสียจนหน้
เช้าวันถัดมาจินชางหลงก็พาเฉินอิ้งถงกลับ เดิมทีเขาอยากยื้อเวลาอีกสักหน่อย ทว่าสถานการณ์คล้ายจะไม่เหมาะ ดังนั้นการบรรเทาทุกข์ครั้งนี้ต้องเร่งจัดการและกลับไปที่วังหลวงเพื่อเข้าพิธีอภิเษกโดยเร็วขึ้นเขาหนนี้นับว่าไม่เสียเปล่าเพราะเฉินอิ้งถงได้พบกับสมุนไพรชนิดร้อนที่สามารถชะล้างอาการหนาวปวดกระดูกได้ นางจึงคิดวิธีการปรุงเป็นยาบำรุงโดยเลือกผสมเข้ากับธัญพืช นอกจากสามารถช่วยรักษาอาการป่วย ยังสามารถใช้ทดแทนอาหารในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย“พี่หญิงท่านนี่เก่งจริง ๆ ทำเช่นนี้เราก็ไม่ต้องลำบากเรื่องต้มยาและอาหาร” อาจิ้นตาเป็นประกายเฉินอิ้งถงยิ้ม “เจ้าอย่ามาทำเยินยอข้า เรื่องครั้งก่อนอย่าคิดว่าข้าจะลืม”อาจิ้นสะดุ้งพลางยิ้มแหย “พี่หญิงเฉิน ข้าเองก็ลำบากใจ…” อาจิ้นเหลือบซ้ายแลขวา โน้มตัวกระซิบเบา “เขาเป็นถึงองค์ชายเชียวนะเจ้าคะ หากข้าไม่ทำตามเกรงว่าหัวจะหลุดจากบ่า”เฉินอิ้งถงส่ายหน้า มือเรียวดีดปลายจมูกอาจิ้นเพื่อหยอกล้อ “นี่แน่ะ เด็กเลี้ยงแกะ พอกันทุกคน หากเป็นบ้านเมืองเดิมของข้าพวกเจ้าคงได้รางวัลตุ๊กตา
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยามมีเพียงเสียงลมหายใจของคนทั้งสองที่พ่นปะทะความเงียบสงัด ปลายนิ้วเรียวเริ่มขยับทีละน้อย เปลือกตาบางแง้มเปิดแช่มช้า“อื้อ…เจ็บจัง” เฉินอิ้งถงดันร่างขึ้น ทว่าต้องล้มพังพาบลงไปอีกครั้ง เพราะเรี่ยวแรงที่ถดถอยซ้ำยังถูกแขนแกร่งรัดไว้จนแน่น“องค์ชาย…”จินชางหลงยังไร้สติ เฉินอิ้งถงแหงนมองพลางร้องเรียก น้ำเสียงของนางแหบแห้งระคนร้อนรน“องค์ชายเพคะ เป็นอย่างไรบ้าง”“…”เมื่อครู่เฉินอิ้งถงแทบไม่ได้รับบาดเจ็บใดเลย มีเพียงความตกใจที่ทำให้นางสิ้นสติ ทว่าจินชางหลงไม่โชคดีเช่นนั้น เขาพยายามปกป้องนาง ใช้ตัวเองเป็นโล่จนร่างบอบช้ำเฉินอิ้งถงเห็นอีกฝ่ายแน่นิ่งก็รู้สึกใจคอไม่ดี “องค์ชาย องค์ชาย ตอบสิเพคะ”“…”เสียงเล็กสั่นเครือน้ำสีใสเอ่อคลอขึ้นตรงขอบตา นางเงี่ยหูฟังเสียงหัวใจของเขา แต่มันกลับเต้นเบามาก ๆ จนนางไม่ทันได้ยิน เสื้อผ้าที่สวมก็หนาเสียจนบดบังทุกสิ่ง พยายามแนบหูอยู่นานนางก็ยังสัมผัสไม่ถึง เฉินอิ้งถงใจเสีย สติที่มีขาดผึงเดี๋ยวนั้น“ฮึกฮื่อ…องค์ชาย อย่าทำหม่อมฉันตกใจ ท่านฟื้นสิ ฟื้นขึ้นมา”“…
การบรรเทาทุกข์ของชาวบ้านแดนเหนือเป็นไปอย่างยากลำบากมาร่วมเดือนแล้ว แม้ว่ามีเสี่ยวฮวาคอยใช้พลังรักษาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้มาก วันดีคืนดีเจ้าภูติน้อยก็หมดแรงหลับไปเสียหลายวัน ส่วนปัจจัยทั้งห้าที่เหอหย่งเซาหอบมาก็ใช้ประทังชีวิตได้อีกไม่นาน สักวันย่อมมีวันหมด“ถงเอ๋อร์ไปพักบ้างเถิด ข้าเห็นเจ้าทำงานหามรุ่งหามค่ำเช่นนี้ไม่สบายใจเอาเสียเลย”มือเรียวหยิบรากสมุนไพรใส่ลงในหม้อดินเผา ส่วนอีกด้านก็พัดเพิ่มแรงให้กับเชื้อเพลิง “ท่านพ่อ ข้าไหวเจ้าค่ะ ชาวบ้านล้มป่วยเป็นจำนวนมากเช่นนี้ข้าไม่อาจนิ่งนอนใจได้”“แต่เจ้าต้องต้มยาอีกกี่หม้อ หักโหมอีกกี่วันคนเหล่านั้นจะหาย รักษาได้หนึ่งอีกคนหนึ่งก็จะป่วยขึ้นมาอีก”“เช่นนั้นจะให้ทำเช่นไรเจ้าคะ ปล่อยพวกเขาล้มตายไม่ไยดีหรือ”“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น”เหอหย่งเซาผ่อนเสียงเมื่อเห็นว่าเฉินอิ้งถงเกิดโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว“ท่านเองก็เหนื่อยมามาก ไปพักเถิดเจ้าค่ะ” เฉินอิ้งถงเลิกสนใจคนตรงหน้าและตั้งตาต้มยายื่นให้ชาวบ้านที่รอรับยาจากตนต่อเหอหย่งเซายืนมองด้วยแววตาสิ้นหวังพลางหมุนกายเดินจากไปเงียบ ๆ“พี่หญิ
ระยะทางอีกไม่ไกลก็จะถึงที่หมาย ทว่ายิ่งเข้าใกล้มากเท่าใดอากาศก็ยิ่งลดต่ำจนเหน็บหนาวเข้ากระดูกเฉินอิ้งถงแหงนมองบุรุษที่นั่งกอดเอวของตนอยู่บนหลังม้าด้วยแววตาเป็นห่วง แม้เสี่ยวฮวาจะบอกว่าเขาหายแล้ว ทว่าท่าทีและสีหน้าของจินชางหลงดูจะไม่เป็นเช่นนั้น “องค์ชายไหวหรือไม่เพคะ”“ไหว เจ้าอย่าห่วงแต่ผู้อื่นจนลืมห่วงตัวเจ้าเอง” จากอ้อมแขนที่กอดเอวคอดเอาไว้ ก็เลื่อนไปจับบังเหียนเบื้องหน้า เสื้อคลุมขนสัตว์ถูกนำมาห่อคนทั้งสองดุจร่างเดียวกัน“องค์ชายปล่อยมือเพคะ มือพระองค์ยังไม่หายดี”“ข้าไม่เป็นไร” จินชางหลงปลดมือขาวเนียนออกแช่มช้าพลางลูบเบา ๆ หวังคลายความเจ็บให้อีกฝ่าย ฝ่ามืออันเนียนนุ่มของหญิงสาวบัดนี้ขึ้นสีแดงระเรื่อ ทั้งยังเริ่มถลอก“เจ็บหรือไม่”เฉินอิ้งถงส่ายหน้า “ไม่เพคะ”“โกหกตาใส เจ้าพักเสียบ้าง อีกไม่กี่ลี้ [1] ก็จะถึงแล้ว”“พระองค์นั่นแหละ อย่าดื้อสิเพคะ” เฉินอิ้งถงคิดแย่งบังเหียนกลับ“เจ้าสิที่ดื้อ” จินชางหลงใช้มือหนึ่งฝั่งดึงร่างระหงเข้ามาแนบตัวเฉินอิ้งถงถูกแรงชายหนุ่มลากมาปะทะแผ่นอกกว้างก็ตกใจหน้าตื่น อ