จากที่คิดว่าปัญหาเล็กน้อยก็ตาลปัตรเป็นเรื่องราวใหญ่โต เฉินอิ้งถงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่กลางห้องโถงท่ามกลางสายตาของผู้คนนับร้อย ฝานฟ่านกระฟัดกระเฟียดเพราะไม่พอใจที่บิดากล้าตบเขาต่อหน้าคนหมู่มาก
“ท่านพ่อ ท่านต้องจัดการนางให้ข้า”
“เจ้าทำผิดยังไม่รู้จักสำนึก หุบปากของเจ้าไปซะ หากวันนี้ข้ามาไม่ทันเจ้ารู้หรือไม่ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร”
“ก็แค่ผู้หญิงชั้นต่ำ นางกล้ามาทำร้ายข้า ท่านยัดเงินให้เจ้าหน้าที่ไปก็จบ”
“หุบปากของเจ้าไปเสียเรื่องนี้ข้าจัดการเอง”
เฉินอิ้งถงมองสองพ่อลูกตาขวาง เพราะขนมที่กินเข้าไปไม่เพียงเพิ่มพละกำลังทั้งยังทำให้นางหูดีมากด้วย กระทั่งเสียงกระซิบของพวกเขานางยังได้ยินชัดเจน
“นายท่านพวกเขาคิดเล่นสกปรกเจ้าค่ะ” เสียงเล็กกระซิบจากเหนือศีรษะ
“ข้าได้ยินแล้ว”
เจ้าหน้าที่นายหนึ่งวิ่งไปยังเบื้องหลังของผู้ว่าความ เขากระซิบข้างหูเสียงเบาหวิว
“นายท่านฝานบอกว่าให้รีบจบเรื่องนี้โดยเร็วขอรับ”
เจ้าหน้าที่วัยกลางคนพยักหน้า เขาหลุบเปลือกตามองบางอย่างที่ถูกยัดใส่ฝ่ามือก็ยิ้มมุมปาก จากนั้นย้ายสายตาไปยังฝานหงจื้อ ทั้งสองสบตากันพร้อมกับพยักหน้าบางเบา
“แม่นางน้อย เจ้าบอกว่าคุณชายน้อยฝานข่มเหงเจ้า ไม่ทราบว่าเจ้ามีหลักฐานหรือไม่”
เฉินอิ้งถงแค่นยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดก็ล้วนมีพวกปลิงดูดเลือดมักใช้อำนาจข่มเหงในทางมิชอบเช่นนี้เสมอ หนำซ้ำยังคิดเล่นสกปรกหวังโยนความผิดให้ผู้ถูกกระทำเป็นแพะรับบาปไม่ละอายฟ้าดิน
“มีแน่นอน ทุกคนที่นี่เห็นกันหมดว่าข้าถูกเขารังแกอย่างไร” เฉินอิ้งถงกวาดตามองชาวบ้านโดยรอบ ทว่าทุกคนกลับเลือกหลบตานางไปเสียอย่างนั้น
คิ้วสวยขมวดแน่น
“ไหนหลักฐานของเจ้า ข้าไม่เห็นจะมีผู้ใดออกมาเป็นพยานให้สักคน” ฝานฟ่านยิ้มเยาะ เขาเอ่ยต่อ “เจ้าเป็นหญิงต้มตุ๋นคงคิดรีดไถเอาเงินจากข้ากระมัง เพราะเห็นว่าข้าหล่อเหลาแต่งกายดูดีใช่หรือไม่”
เฉินอิ้งถงกัดฟันกรอด ในเมื่อไม่อาจพึ่งพาผู้อื่นได้ เช่นนั้นนางก็ต้องเอาตัวรอดด้วยสมองและสองมือของตนเอง “คุณชายฝานช่างพูดให้ตนเองสูงส่งเสียจริง หากข้าคิดทำเช่นนั้นก็คงไปเป็นฮูหยินของท่านตั้งแต่ท่านออกปากเชื้อเชิญไม่ดีกว่าหรือ”
ฝานฟ่านหน้าเสีย เอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่น “ขะ…ข้าไม่ได้พูดเสียหน่อย เป็นเจ้าที่อยากเสนอตัวมาให้ข้าเอง ใช่หรือไม่” ประโยคสุดท้ายยังไม่ลืมเหลียวไปหาแนวร่วมจากบ่าวรับใช้ของตน
“ใช่ขอรับ” ชายหนุ่มทั้งสองพยักหน้าผสมโรงอย่างสุดกำลัง
เฉินอิ้งถงอยากถ่มน้ำลายรดหน้าพวกเดนนรกนี่นัก กระทั่งวาจาสุนัขที่พ่นออกมาเองยังไม่กล้ายอมรับ “พวกเดียวกันก็ต้องเห็นพ้องอยู่แล้ว คนเราสามารถโกหกได้เสมอเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการมิใช่หรือ”
“แม่นางใจเย็นก่อนเถิด เดิมทีเรื่องนี้ก็ไร้หลักฐาน เกรงว่าคงเป็นการเข้าใจผิด เพราะคำพูดของเจ้าผู้เดียวก็ไร้น้ำหนัก อย่างไรเสียล้วนเป็นคนอำเภอเดียวกันให้ถือว่าเป็นการทะเลาะวิวาท แต่ว่าเจ้าเป็นฝ่ายทำร้ายคุณชายน้อยฝานจนได้รับบาดเจ็บ อย่างไรข้าคงต้องตัดสินไปตามที่มีหลักฐานชี้ชัด”
เฉินอิ้งถงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ตาเฒ่านี่เอาตาล่างมองหรือว่านางเป็นฝ่ายทำร้ายหมอนั่นฝ่ายเดียว “ท่านอายุมากจนตาฝ้าฟางแล้วกระมัง จึงเห็นถูกเป็นผิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว”
ปัง!
เสียงค้อนไม้เคาะลงโต๊ะพิพากษาอย่างเดือดดาล “แม่นางน้อยผู้นี้มาจากหมู่บ้านใดกันเล่า ไยจึงปากกล้าเช่นนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่ายามอยู่ต่อหน้าศาลและการไต่สวนต้องทำตัวเช่นไร อย่างนั้นเจ้าก็ต้องรับโทษที่ทำร้ายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ว่าความ ลงทัณฑ์นางโดยการหนีบนิ้ว!”
บรรดาคนมุงประสานเสียงฮือฮา บางคนไม่รู้ต้นสายปลายเหตุทว่าเห็นสภาพฝานฟ่านที่ดูไม่จืดก็ตาลปัตรเห็นดำเป็นขาว โดยเฉพาะเหล่าบุรุษที่คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าอยู่เหนือกว่าสตรีทั้งปวง
มิหนำซ้ำคนที่เห็นเหตุการณ์ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าสอด เพราะถึงอย่างไรสกุลฝานก็มีอิทธิพลอย่างมากในอำเภอฉีหลิน หากเผลอไปกระตุกหนวดเสือเข้า เกรงว่าครอบครัวของตนอาจเดือดร้อนไปด้วย
“นี่หรือศาลผู้ชอบธรรม ใช้อารมณ์ในการตัดสินอย่างเห็นได้ชัด ทำเช่นนี้ไม่ตัดนิ้วข้าไปด้วยเสียเลย ข้าจะได้ส่งนิ้วไปที่วังหลวง หลังจากนั้นข้าจะไปตีกลองที่นั่นดูสิพวกท่านจะทำเช่นไร เดิมทีคนที่นี่ความเป็นอยู่เหลื่อมล้ำก็ช่างมันเถิด ทว่าเรื่องของความยุติธรรมกลับไม่มีสักกระผีกริ้น”
ฝานฟ่านชี้นิ้วสั่น ๆ “ทุกคนเห็นหรือไม่ สตรีนางนี้ปากคอเราะรายนัก นางทำร้ายข้าจนได้รับบาดเจ็บหลักฐานก็เห็นกันคาตา ตอนที่ขวางขบวนเสด็จเหยียนอ๋องก็เป็นนางที่จงใจลงไปนอนตรงนั้นเอง ข้ามิได้เป็นคนทำ นางเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าปีศาจจิ้งจอก”
เฉินอิ้งถงถอนหายใจ เป้าหมายวันนี้คือการหาเงิน แต่กลับต้องมาเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เจ้าหน้าที่สามนายดาหน้าใกล้เข้ามาพร้อมไม้ไผ่ที่สานเรียงกันเป็นร่อง ไม่ต้องอธิบายก็รู้ได้ว่ามันเป็นเครื่องทรมานที่ใช้สำหรับหนีบนิ้วทั้งสิบ
“นายท่าน ข้าจัดการเจ้าคนปากดีนี้เองเจ้าค่ะ”
พริบตาเสี่ยวฮวาก็ไปโผล่ที่ด้านหลังของฝานฟ่านเท้าน้อย ๆ ถีบไปยังท้ายถอยชายหนุ่มสุดแรง ไม่มีใครสังเกตเห็น ฝานฟ่านกระเด็นออกมานอนพังพาบหน้าติดพื้น
“โอ๊ย!”
ฝานฟ่านเงยหน้าขึ้นก็ต้องผงะ เมื่อเฉินอิ้งถงเขม้นสายตาขึงตึงแผ่ไอสังหารสะท้อนตอบมาที่ตน
“นายน้อย!”
บ่าวรับใช้ทั้งสองถลันเข้ามามาช่วยประคองร่างฝานฟ่าน
ชายหนุ่มเข่าอ่อนยวบถูกหิ้วปีกจนน่าสังเวช จะก้าวแต่ละทีล้วนลำบากดั่งถูกก้อนศิลาทับเท้า ฝานฟ่านตระหนกสุดขีดเขาพูดจาละล้าละลังดั่งพบเจอผีสาง “หะ หะ… เห็นหรือไม่ ทุกคนเห็นหรือไม่ นางเป็นปีศาจ เมื่อครู่นางทำร้ายข้า”
ท่าทางประหนึ่งเสียสติของฝานฟ่านทำให้คนที่เห็นด้วยเมื่อครู่เริ่มเขว ส่วนฝานหงจื้อถึงขั้นยกมือกุมขมับเพราะอับอาย “รีบลากเจ้าลูกเวรนั่นออกมา!”
“ขอรับ”
ฝานฟ่านเจ็บท้ายทอยจนหน้าเหยเก เขายังพ่นวาจาต่อว่าเฉินอิ้งถงเฉกเช่นคนสติฟั่นเฟือน
“นางเป็นปีศาจ ปีศาจ”
เฉินอิ้งถงจิ๊ปากส่ายหน้าระอิดระอา
เสียงเล็กหัวเราะคิกคักดังขึ้นเหนือศีรษะ “เป็นอย่างไรเจ้าคะนายท่านพอใจหรือไม่”
“เจ้าทำถึงมาก”
เฉินอิ้งถงผินหน้าไปยังเจ้าหน้าที่ที่เตรียมเข้ารวบตัวนาง เสียงใสตะเบ็งดังก้องไม่คิดยอมแพ้ “เมื่อครู่เขาใส่ร้ายข้า ข้าขอร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ศาล อยู่ ๆ คุณชายฝานผู้นี้ก็ใส่ความว่าข้าเป็นปีศาจ คำกล่าวหาเช่นนี้ข้ารับไม่ได้ ทุกคนก็เห็นกับตาว่าเขาล้มลงมาเอง หนนี้ทุกคนกระจ่างแล้วหรือไม่ว่าวาจาของเขาเชื่อถือมิได้ หากจะหนีบนิ้วของข้า เช่นนั้นก็หนีบปากของคุณชายฝานไปด้วยถึงจะยุติธรรม!”
คราวนี้ชาวบ้านเริ่มเอนเอียงไปทางเฉินอิ้งถงแล้ว สถานการณ์เมื่อครู่ชี้ชัดว่านางไม่ผิด คนก็นั่งอยู่ตั้งไกล จู่ ๆ ก็ถูกใส่ร้ายว่าเป็นปีศาจ นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วหรือ หากว่ามีคนเข้าใจผิดจริงนั่นหมายถึงชีวิตของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เชียว
“ไม่จริง ข้ามิได้ใส่ร้ายนาง เป็นฝีมือนาง นางนั่นแหละที่ทำข้า ตอนที่ข้าประมือกับนาง พละกำลังของนางอย่างกับกินช้างไปทั้งตัว” ฝานฟ่านเอ่ยไปก็ลูบแขนของตนไปเพราะขนอ่อนมันกำลังตั้งชันไปทั้งร่าง เกิดมายังไม่เคยพบเห็นหญิงสาวที่มีใบหน้าอ่อนหวานทว่าแรงกลับมหาศาลดุจดั่งม้าศึก
เฉินอิ้งถงกดยิ้มมุมปาก ในที่สุดคนเลวก็เผยธาตุแท้ของตนออกมาจนได้ ไม่เสียแรงที่ตีฝีปากกับเขาอยู่นาน ชาวบ้านโพล่งเสียงอึงอลอีกระลอก และแล้วก็มีผู้ใจกล้าเอ่ยออกมา
“นี่คุณชายน้อยฝานใส่ร้ายสตรีตัวเล็ก ๆ จริงหรือ เมื่อครู่เขายอมรับแล้วว่าตนเองวิวาทกับนางและลงไม้ลงมือจริง เขาเป็นบุรุษแต่อ่อนแอไร้ความสามารถเองจึงโยนความผิดให้นางหรอกรึ” ชาวบ้านเริ่มตะเบ็งเสียงเห็นด้วยจนเกิดจลาจล อย่างน้อย ๆ หากสามารถกำจัดเศษสวะอย่างฝานฟ่านได้ผืนแผ่นดินของอำเภอฉีหลินคงดูสูงขึ้น
เจ้าหน้าที่ว่าความหน้าเปลี่ยนสี เขาเหลียวมองไปยังฝานหงจื้ออย่างเป็นกังวล นึกไม่ถึงว่าฝานฟ่านจะหลุดพูดมาเอง เกรงว่ากระดานหมากอาจพลิกคว่ำไม่เป็นท่า
ฝานหงจื้อโพล่ง “เงียบ!...ถึงอย่างไรเรื่องที่นางทำร้ายลูกชายข้าก็เป็นความจริง เช่นนั้นย่อมต้องลงโทษนางไปตามเหตุและหลักฐาน นางไม่มีร่องรอยบาดเจ็บแม้แต่ปลายเส้นผม แล้วดูลูกชายของข้ายามนี้แรงมัดไก่ก็แทบไม่เหลือ ทำร้ายคนไม่สนกฎหมายบ้านเมืองจะไม่เข้าสู่ยุคคนเถื่อนรึ”
เสียงอึงอลกริบลงทันควัน หลายคนก้มหน้างุดพลางเบ้ปาก ฝานหงจื้อพ่นคำพูดเสียจนสวยหรูทว่ากลับไม่ดูกมลสันดานของบุตรชายตนเอง
เจ้าหน้าที่สามนายเดินหน้าต่อหมายควบคุมตัวเฉินอิ้งถง ไม่ทันประชิดร่างหญิงสาวก็มีเสียงทุ้มแว่วมาจากธรณีทางเข้า
“ข้าเป็นพยานให้แม่นางน้อยผู้นี้ได้”
จากที่คิดว่าปัญหาเล็กน้อยก็ตาลปัตรเป็นเรื่องราวใหญ่โต เฉินอิ้งถงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ที่กลางห้องโถงท่ามกลางสายตาของผู้คนนับร้อย ฝานฟ่านกระฟัดกระเฟียดเพราะไม่พอใจที่บิดากล้าตบเขาต่อหน้าคนหมู่มาก“ท่านพ่อ ท่านต้องจัดการนางให้ข้า”“เจ้าทำผิดยังไม่รู้จักสำนึก หุบปากของเจ้าไปซะ หากวันนี้ข้ามาไม่ทันเจ้ารู้หรือไม่ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร”“ก็แค่ผู้หญิงชั้นต่ำ นางกล้ามาทำร้ายข้า ท่านยัดเงินให้เจ้าหน้าที่ไปก็จบ”“หุบปากของเจ้าไปเสียเรื่องนี้ข้าจัดการเอง”เฉินอิ้งถงมองสองพ่อลูกตาขวาง เพราะขนมที่กินเข้าไปไม่เพียงเพิ่มพละกำลังทั้งยังทำให้นางหูดีมากด้วย กระทั่งเสียงกระซิบของพวกเขานางยังได้ยินชัดเจน“นายท่านพวกเขาคิดเล่นสกปรกเจ้าค่ะ” เสียงเล็กกระซิบจากเหนือศีรษะ“ข้าได้ยินแล้ว”เจ้าหน้าที่นายหนึ่งวิ่งไปยังเบื้องหลังของผู้ว่าความ เขากระซิบข้างหูเสียงเบาหวิว“นายท่านฝานบอกว่าให้รีบจบเรื่องนี้โดยเร็วขอรับ”เจ้าหน้าที่วัยกลางคนพยักหน้า เขาหลุบเปลือกตามองบางอย่างที่ถูกยัดใส่ฝ่ามือก็ยิ้มมุมปาก จากนั้นย้ายสายตาไปยังฝานหงจื้อ ทั้งสองสบตากันพ
นัยน์ตาคมเข้มเหลียวมองต้นเสียง “ไม่มีอะไร เจ้าอย่าได้ใส่ใจ”“อ้อ” จินชางหลงลดสายตามองสตรีที่นั่งคลุกฝุ่นด้วยสีหน้าประหลาดใจ นางจับจ้องเขาแทบไม่วางตาแววตาหวานเชื่อมเช่นนี้เป็นเหตุให้เขาขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ชายหนุ่มเร่งปล่อยม่านลงด้วยความรวดเร็ว มือถูกย้ายมาวางบนตักพร้อมกับขยำผ้าเนื้อดีจนเกิดรอยยับย่น“องค์ชาย เกิดประชวรตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ” กงกงที่คอยปรนนิบัติองค์ชายห้าจินชางหลงอย่างใกล้ชิดมองสีหน้าแปลกประหลาดของเขาด้วยความเป็นห่วง“เปล่า”ได้ยินเช่นนี้กงกงก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกเสียงจากด้านนอกดังขึ้นอีกครั้ง“จะทะเลาะกันข้าไม่ว่า แต่เหตุใดต้องมาขวางทางข้า หากเกิดเรื่องกับน้องชายข้า ข้าจะตัดศีรษะพวกเจ้าทุกคน”ฝานฟ่านที่กำลังคิดแก้ต่างพลันหมอบกายลงอีกครั้ง “ท่านอ๋องกระหม่อมไม่รู้ว่าท่านจะเสด็จผ่านทางนี้ ก็เลย…”นัยน์ตาคมกริบตวัดมองเข้ม “…เจ้าก็เลยรังแกสตรีไร้ทางสู้ไม่สนถูกผิดอย่างนั้นหรือ”เฉินอิ้งถงที่แสร้งค้อมศีรษะกายสั่นสะท้านลอบอมยิ้มเหยียนอ๋องผู้นี้แม้จะเป็นพระเอกธงแดงทว่ากลับไม่ไร้ศีลธรรมเสียทีเดียว แน่น
เฉินอิ้งถงเร่งร้อนเข้าไปยังตัวอำเภอตั้งแต่เช้าตรู่ ประการแรกนางไม่อยากโต้ฝีปากกับสองแม่ลูกให้เสียอารมณ์ อีกประการเฉินอิ้งถงอยากนำขนมที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ โดยเสริมพลังวิญญาณความอร่อยจากเสี่ยวฮวาไปทดลองขายแต่เดิมเฉินอิ้งถงนั้นเปิดร้านขายหมั่นโถวซึ่งกำไรแต่ละวันก็ได้เพียงหยิบมือแทบไม่พอยาไส้สำหรับคนทั้งบ้าน บางคราได้กินเพียงโจ๊กใสดั่งคันฉ่องจนส่องเห็นหน้าคน ยิ่งอาศัยในพื้นที่แห้งแล้งกันดาร คุณภาพชีวิตที่คิดใฝ่ฝันก็พลันสลายไปในพริบตา“นายท่าน ฟ้ายังไม่สว่างเลยนะเจ้าคะ” เสียงเล็กงัวเงียดังมาจากเหนือศีรษะ“ช้าไม่ได้ หากข้าหาเงินได้มากหน่อยจะออกไปใช้ชีวิตอิสระตามใจ” แม้จะเอ่ยเช่นนั้นทว่าการขายขนมที่กำไรต่อชิ้นน้อยนิดแทบไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตของใครได้ทั้งสิ้นเหตุใดจึงไม่ทะลุมิติเข้ามาเป็นลูกเศรษฐีกันนะ ปัดโธ่…นางร้ายเรื่องอื่นเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจ ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้เหตุใดนางร้ายเรื่องนี้ชะตาถึงได้อเนจอนาถนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งหดหู่“เช่นนั้นเสี่ยวฮวาของีบอีกหน่อยนะเจ้าคะ”“ช้าก่อน”“เจ้าคะ”“เสี่ยวฮวา เจ้าบอกว่าสามารถเสริ
เช้านี้จึงเป็นวันที่บรรยากาศสดใสนัก เพราะเฉินอิ้งถงไม่ต้องเร่งทำหมั่นโถวไปขายในตลาดเฉกเช่นทุกวัน นางจะนั่งกินนอนกินให้หนำใจไปเลยงานบ้านในส่วนของเฉินอิ้งถงสองแม่ลูกก็ทำจนเรียบร้อย ทว่าอยู่เช่นนี้มาครึ่งค่อนวันก็รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง“ถงเอ๋อร์ จะไปที่ใดหรือเหตุใดเจ้าไม่พักผ่อนให้ดี ๆ”วันนี้เฉินจิ้นซงหยุดงานหนึ่งวัน เขาจึงไม่ได้ออกไปทำหน้าที่อาลักษ์ที่ท่าเรืออีก ส่วนสองแม่ลูกเร่งทำงานบ้านเสร็จก็ร้องโอดโอยดั่งหมูถูกเชือดวันนี้จึงไม่มีผู้ใดออกไปหาเงินสักอีแปะ ทั้งที่ข้าวสารกรอกหม้อก็แทบไม่มีจะกิน“ท่านลุงข้าอยากขึ้นเขาเจ้าค่ะ เผื่อว่าจะได้ของป่ามาขาย”“เช่นนั้นให้จิงเอ๋อร์ไปเป็นเพื่อนดีหรือไม่”เฉินอิ้งถงเร่งปฏิเสธ “ข้าไปผู้เดียวคล่องตัวกว่า นางไปก็รังแต่เป็นตัวถ่วง”เฉินจิงขบฟันแน่น “ท่านพ่อ ดูนางสิเจ้าคะ ทำอย่างกับข้าอยากไปกับนางอย่างนั้นแหละ”เฉินอิ้งถงแค่นยิ้มจากนั้นก็แบกตะกร้าไม้ไผ่สานจากไปโดยไม่คิดเหลือบแลผู้ใดอีก เฉินจิงยังคงฟ้องบิดาไม่หยุดปาก เสียงโหวกเหวกเช่นนี้หญิงสาวได้ยินจนเกิดเป็นความเคยชินเสียแล้ว“อ้าว อาถงจะไปไหนหรือ” เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นเฉินอิ้งถงยิ้ม “ข้ากำล
ปัง!ปัง!ปัง!เสียงฝ่ามือทุบประตูไม้จนแทบหลุดกระเด็น ตามมาด้วยเสียงโหวกเหวกจนแสบแก้วหู“นังตัวขี้เกียจ ตื่นได้แล้ว จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเมื่อใด”หญิงสาววัยสิบห้าดีดเด้งร่างขึ้นพลันนั่งเหยียดตรง ผ้าห่มผืนเก่าถูกเลิกออกไปกองตรงเอว เส้นผมสีดำเงาดุจดั่งน้ำหมึกพันกันยุ่งเหยิง“รู้แล้ว ท่านมองท้องฟ้าบ้างหรือไม่นี่มันเพิ่งยามอิ๋น [1] จะเร่งให้ข้าตื่นหาสวรรค์วิมานใดมิทราบ” เสียงใสโต้กลับผู้ที่ยืนเท้าเอวอีกด้านก็ไม่ยอมกัน “นังเด็กปากดี หากไม่เพราะแม่ของเจ้าสำส่อนไม่รักดีจะให้กำเนิดมารร้ายเช่นเจ้าได้อย่างไร”ผัวะ!ประตูที่งับเมื่อครู่ถูกเปิดออกไม่ทันตั้งตัว หญิงร่างท้วมถึงกับเบิกตาค้างตระหนกตื่น เพราะเมื่อครู่นางลงแรงไปกับการเคาะบานประตูอย่างหนัก เป็นเหตุให้ร่างที่กลมดั่งอึ่งอ่างแม่ไข่กลิ้งหลุน ๆ ไปนอนหงายท้องพังพาบที่พื้นเย็นเยียบหญิงสาวยกมือปิดปาก เสียงใสหัวเราะคิกคักด้วยความสาแก่ใจ“เจ้า! นังตัวดี กล้าทำร้ายข้ารึ ข้าจะไปฟ้องลุงของเจ้า”นัยน์ตากลมโตกลอกมองบนไม่แยแส “เชิญท่านขี่ม้าสามศอกไปฟ้องท่านลุงของข้าได้เลย ข้าถูกทำโทษจนเคยชินเสียแล้ว ครั้งนี้จะให้ข้าทำอะไรอีกเล่า คุกเข่าสองชั่วยาม
“เห็นกงกงบอกว่าอาหารพวกนี้เจ้าเป็นคนทำทั้งหมด”“เพคะ หม่อมฉันทำเอง รสชาติไม่ถูกปากองค์ชายหรือเพคะ”“แม่นางเฉินเข้าใจผิดแล้ว รสชาติที่เจ้าทำถูกปากข้ามาก แต่เดิมข้าคิดว่าเป็นพ่อครัวของทางโรงเตี๊ยม เสด็จย่าของข้าชื่นชอบการชิมอาหารและขนมหวานเป็นที่สุด เดิมทีหากเสร็จเรื่องข้าคิดจะเชิญพ่อครัวเดินทางไปวังหลวงด้วยกัน แต่ในเมื่อเป็นเจ้า ข้าเองก็ไม่อยากรบกวน เพียงแต่สูตรอาหารเหล่านี้สามารถขายให้ข้าได้หรือไม่”“องค์ชายเพคะ อาหารที่หม่อมฉันทำไม่มีสูตรตายตัว จึงไม่อาจทำตามพระประสงค์ของท่านได้”กงกงได้ฟังก็หน้าถอดสี “เจ้านี่ช่างเหิมเกริมนัก องค์ชายอุตส่าห์ลดตัวออกปากตรัสกับเจ้า แต่เจ้ากลับ…”“กงกง” จินชางหลงปรามกงกงค้อมศีรษะพลางหลุบเปลือกตาลงหน้าสลดเฉินอิ้งถงยิ้มไปจนถึงดวงตา “ข้าน้อยยังพูดไม่จบ กงกงก็เร่งตัดสินเสียแล้ว”เหยียนอ๋องที่นั่งเงียบมานานพลันเอ่ย “เจ้าช่างลูกไม้เยอะจริงเชียว เรื่องขวางขบวนวันก่อนอย่าคิดว่าข้าดูไม่ออกว่าเจ้าจงใจ”เฉินอิ้งถงไม่ได้ตกใจที่เหยียนอ๋องมองออก นางทราบอยู่แล้วว่าเขาเป็นพระเอกธงแดงที่มองผู้อื่นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง“อย่างไรหม่อมฉันก็ต้องขอบพระทัยท่านอ๋องที่ไม่ละเลยช