เฉินอิ้งถงยิ้มกริ่ม ในที่สุดเหยื่อที่นางวางล่อเอาไว้ก็ทำงานแล้ว
เจ้าชายขี่ม้าขาวของข้ามาแล้ว มาตรงเวลาเป๊ะ!
แต่แล้วเมื่อหญิงสาวหมุนกายกลับริมฝีปากที่ยกโค้งก็หุบฉับลงเดี๋ยวนั้น สีหน้าชวนฝันพลันเลือนหายไปหลายส่วน
ไม่ใช่เขางั้นเหรอ…
เฉินอิ้งถงรู้สึกคล้ายกับฟ้ากำลังถล่มลงตรงหน้า เหตุใดมารยาหญิงของนางจึงใช้ไม่ได้ผล หรือใบหน้าตอนนี้ยังงดงามไม่เพียงพอมัดใจบุรุษ
ชายหนุ่มร่างสูงสาวเท้าเข้ามาด้านในด้วยท่วงท่าองอาจ ทุกคนต่างให้ความสนใจเขาเป็นจุดเดียว ไม่มีใครรู้จักหรือคุ้นตาเขาสักราย
ฝานหงจื้อเลิกคิ้ว “เจ้าเป็นใคร อย่าบอกว่าเป็นพวกเดียวกันกับนาง”
เจ้าของใบหน้าคมเข้มยกยิ้มมุมปาก ชายหนุ่มเมินคำถามของฝานหงจื้อจนอีกฝ่ายรู้สึกโมโห ร่างสูงประสานมือค้อมกายเล็กน้อยให้กับเจ้าหน้าที่ว่าความพอเป็นพิธี
“ข้าก็แค่ผ่านมาทางนี้พอดี เรื่องโจ่งแจ้งเพียงนี้ไม่อยากยื่นมือเข้าสอดก็ยังยาก”
บรรดาชาวบ้านที่ได้ยินล้วนสะดุ้งโหยงละอายใจ วาจาของชายปริศนาผู้นี้ช่างจี้ใจดำเสียจนทุกคนรู้สึกกระอักกระอ่วน
ฝานหงจื้อแค่นยิ้ม “เหอะ! หลักฐานก็ไม่มีแค่พูดปากเปล่าจะน่าเชื่อถือได้อย่างไร”
“ปากเปล่าหรือไม่เดี๋ยวก็รู้เอง” ชายหนุ่มปรายตามองหน้านิ่ง
ท่อนขาแกร่งเยื้องย่างตรงไปยังแท่นผู้พิพากษา มือหยาบระคายวางบางอย่างลงบนโต๊ะ เมื่อผู้พิพากษาเห็นของสิ่งนั้นก็พลันเบิกตากว้างตระหนกตื่น จากนั้นก็เร่งทรุดกายลงบนพื้นพลันโขกศีรษะละล้าละลัง
“ใต้เท้าโปรดอภัย ข้าน้อยเลอะเลือนไปชั่วขณะ ต่อไปจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้อีก”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วหยั่งเชิง เขายังไม่ทันตำหนิสิ่งใด จำเลยก็ร้อนรนดั่งถูกเพลิงนรกลนก้น นัยน์ตาคมกริบจับจ้องถุงเงินที่โผล่พ้นแขนเสื้อของคนบนพื้น เสียงทุ้มจึงแค่นยิ้มออกมา
เฉินอิ้งถงมึนงงไม่หาย เพราะหญิงสาวไม่รู้ว่าวีรบุรุษขี่ม้าขาวผู้ยื่นมือช่วยเหลือนั้นเป็นใคร นางจึงพยายามควานหาความสัมพันธ์ของบทนางร้ายที่มีในโซนสมองแต่ก็ยังไร้เบาะแส
ฝานฟ่านหน้าเขียวคล้ำ “นี่มันเรื่องอะไรกัน ท่านพ่อไม่ใช่ว่าท่านให้…”
“หุบปาก!” ฝานหงจื้อตวาดเสียงแข็ง
ดูเหมือนลูกชายตัวดีของเขากำลังจะสร้างเรื่องอีกแล้ว
ชายหนุ่มร่างสูงยอบกายลง เขาประคองผู้พิพากษาที่กำลังตัวสั่นงันงกให้ยืนขึ้น พลางกระซิบเสียงแผ่ว
“ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าการติดสินบนคือเรื่องที่ผิดมหันต์ หากใต้เท้ายังตัดสินไม่ยุติธรรมข้าจะส่งเรื่องกลับไปยังศาลสูงสุดให้ลงอาญาและเพิกถอนท่านออกจากหน้าที่นี้เสีย ต่อให้อยู่ในที่แร้นแค้นห่างไกลก็อย่าได้คิดว่าเทพไม่รู้ผีไม่เห็น ส่วนเรื่องของแม่นางน้อยข้าคิดว่าทุกคนรู้ดีแก่ใจว่าสิ่งไหนจริงสิ่งไหนเท็จ ข้าจะรอฟังคำตัดสินอยู่ข้าง ๆ”
ผู้พิพากษาพยักหน้ารัวเร็ว “ขอรับ ขอรับ”
ชายหนุ่มผินหน้าสบตาเฉินอิ้งถง แน่นอนว่าเขาเห็นทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ
ผู้พิพากษาพยุงร่างกลับไปยังแท่นว่าความ ใบหน้าของเขาซีดขาวประหนึ่งคนใกล้สิ้นลม สิ่งที่ยังวางเบื้องหน้ากำลังย้ำเตือนสติเขา เพราะนั่นก็คือตราหยกของเจ้าหน้าที่ศาลหลักประจำเมืองหลวง หากผู้ใดมีติดกายล้วนสามารถเข้าร่วมตัดสินคดีได้ทุกพื้นที่ไม่มียกเว้น และน้อยมากที่ใครจะได้ถือครองหยกนี้ แม้ผลงานโดดเด่นก็ยังถือว่ายากยิ่งกว่าฝนทั่งให้เป็นเข็ม [1] หากไร้อำนาจล้นฟ้าก็อย่าคิดหวังจะได้ครอบครอง
ถุงเงินที่รับเอาไว้ก่อนหน้าถูกส่งกลับและคืนเจ้าของเดิม ฝานหงจื้อเหลือบมองแท่นตัดสินสลับกับบุรุษที่นั่งหน้านิ่งรอฟังผลอยู่นาน เขาขบเคี้ยวเขี้ยวฟันสังเกตอีกฝ่ายอย่างละเอียด กระทั่งสะดุดเข้ากับหยกแขวนข้างเอวของชายหนุ่ม ฝานหงจื้อก็ใจกระตุกวูบรู้สึกหายใจติดขัดทั้งยังเสียวสันหลังวาบดั่งถูกน้ำแข็งปะทะร่าง
องครักษ์วังหลวง! ไยเขาจึงยื่นมือเข้ายุ่งกับเรื่องนี้ หรือเขาจะเป็น…
ปัง ปัง ปัง!
เสียงการตัดสินคดีสิ้นสุดลง ฝานฟ่านร้องไห้เสียงหลงดุจดั่งว่าตนกลับไปเป็นเด็กสามขวบอีกครั้ง
เพราะเมื่อครู่ฝานหงจื้อติดอยู่ในภวังค์จึงไม่ได้ยินสิ่งที่ว่าความมาทั้งหมด
บรรยากาศการว่าความมาคุเป็นอย่างมาก จากชาวบ้านที่ล้วนตาขาวก็ต่างพร้อมใจกันเป็นพยานให้กับเฉินอิ้งถง ทุกคนบอกเล่าไปในทิศทางเดียวกันว่าเฉินอิ้งถงทำไปเพื่อป้องกันตัว หนำซ้ำยังมีหญิงสาวอีกหลายรายที่ถูกฝานฟ่านเอาเปรียบมานานและรอวันเอาคืนก็ต่างสาวเท้าออกมาประจานความต่ำช้าของเขาทีละคน คดีที่คิดว่าควรจบลงโดยง่ายก็กลายเป็นเรื่องบานปลายใหญ่โต
สุดท้ายศาลจึงตัดสินให้ลงทัณฑ์ฝานฟ่านและลูกน้องของเขาด้วยการหนีบนิ้วทั้งสิบ โบยอีกห้าสิบไม้ รวมถึงต้องนั่งรถลากเพื่อสำนึกความผิด ไม่เพียงเท่านั้นยังต้องส่งตัวเข้าคุมขังยังคุกใต้ดินเป็นเวลาครึ่งปี
ฝานหงจื้อได้ยินก็เข่าแทบทรุด ทว่าเขาไม่กล้าผลีผลามกระทำตามใจ เพราะหากยังคิดดื้อดึงเข้าปะทะจนเรื่องเลวร้ายที่ฝานฟ่านเคยกระทำถูกขุดคุ้ยเพิ่ม เกรงว่าโทษของบุตรชายอาจร้ายแรงไปมากกว่านี้
“ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย พวกมัน พวกมันปรักปรำข้า ฮื่อ ฮื่อ…”
“เจ้าลูกอัปรีย์ ยังไม่รู้ถูกผิดอีก ไสหัวไป!” ฝานหงจื้อสะบัดขาจนร่างของฝานฟ่านลอยกระเด็น
ฝานฟ่านร้องไห้โฮประหนึ่งฟ้าถล่ม บุรุษตัวสูงกำลังนอนแดดิ้นเอาแต่ใจ เขาหลงลืมความอับอายจนสิ้น บรรดาชาวบ้านและเฉินอิ้งถงยืนมองบทโศกที่ชายหนุ่มพยายามบีบเค้นน้ำตาออกมาด้วยความสาแก่ใจ
เจ้าหน้าที่เตรียมเครื่องมือลงทัณฑ์กันหน้าซีด ฝานฟ่านกับบ่าวคนสนิทถูกโบยและหนีบนิ้วประสานเสียงร้องโอดโอยดั่งหมูถูกเชือด
หลายคนถึงขั้นต้องยกมือปิดหูทั้งยังทำหน้าสยอง ฝานหงจื้อละอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี เขาไม่อาจทนดูความอัปยศได้นาน ชายวัยกลางคนก็เร่งสะบัดกายจากไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
หลังจากรับทัณฑ์ทรมานแล้วพวกเขาก็ถูกส่งตัวขึ้นรถลากสุดอนาถ บนลำคอต้องแขวนป้ายประจานความผิดแห่แหนไปทั่วอำเภอ ฝานฟ่านอับอายจนอยากสิ้นลมไปตรงนั้น ทว่าคนเช่นเขานั้นมันขี้ขลาด ไหนเลยจะกล้าละทิ้งชีวิตชั่วช้าของตน
ระหว่างถูกนำตัวแห่ประจานจนทั่ว พวกเขายังถูกชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์อย่างหนัก บ้างปาไข่เน่า บ้างปาผักเสีย จนสารรูปของชายฉกรรจ์ทั้งสามไม่หลงเหลือเค้าเดิม จากคุณชายเจ้าสำอางก็ปรากฏบาดแผลฟกช้ำดำเขียวไปทั่วร่าง เสื้อผ้าเปื้อนเขรอะส่งกลิ่นเหม็นเน่าเสียจนแสบจมูก
ฝานฟ่านโกรธแค้นเฉินอิ้งถงอย่างมาก หากมิใช่เพราะนางเขาก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงเช่นนี้ แม้จะโดนทรมานอย่างหนักชายหนุ่มกลับไม่สำนึก
ตัวแสบ อย่าให้ข้าพบเจ้าอีกหนเชียว ข้ารับรองจะถลกหนังของเจ้าแล้วเอาเกลือทาให้เข็ด
เมื่อทุกอย่างจบสิ้น ทุกคนก็เริ่มทยอยกลับไปทำมาหากิน กระทั่งผู้คนบางตาลง ชายร่างสูงก็ลุกเดินจากไปโดยไม่เหลือบแลผู้ใดอีก
เฉินอิ้งถงเห็นเช่นนั้นก็ตาโต ร่างระหงวิ่งถลาไปขวางหน้าเขา “คุณชายช้าก่อนเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “แม่นางน้อยมีสิ่งใดอีกหรือ”
“ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณท่านเลยเจ้าค่ะ”
เจ้าของใบหน้าคมเข้มยกยิ้มจาง ๆ “ไม่ต้องหรอก ไม่ใช่ข้าที่ช่วยเจ้า”
เฉินอิ้งถงงุนงง เห็นอยู่ว่าเป็นเขาแล้วจะบอกว่าไม่ใช่ได้อย่างไร ชายร่างสูงย้ายสายตาไปยังรถม้าที่จอดนิ่งหลบอยู่ข้างถนน เฉินอิ้งถงผินหน้ามองตามสายตาของเขาก็ทันได้เห็นปลายผ้าประตูนั้นขยับ ประหลาดใจอยู่ไม่นานรอยยิ้มก็ประดับขึ้นบนริมฝีปาก
“เท่านี้คงพอใจเจ้าแล้วกระมัง” จินเหยียนเอ่ยถามน้องชายที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“ข้าเพียงไม่อาจทนเห็นคนถูกเอาเปรียบได้ ลำบากท่านพี่แล้ว”
แม้จินชางหลงนั่งอยู่ในรถม้าทว่าก่อนขบวนเดินทางจะเคลื่อนผ่านไปยังทิศใด องครักษ์เผิงจิ้นเสียนจะต้องล่วงหน้ามาตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนทุกครั้ง
หนนี้จินชางหลงได้รับรายงานจากองครักษ์ว่ามีบุตรชายของเศรษฐีประจำอำเภอกำลังเที่ยวระรานรังแกหญิงสาวชาวบ้าน จินชางหลงมิให้องครักษ์ขัดขวางการกระทำของฝานฟ่านเดี๋ยวนั้น ทว่าให้จับตาดูสถานการณ์อย่างละเอียด
หลังจากได้ยินคำรายงานขององครักษ์ทั้งหมด จินชางหลงก็นึกสนใจหญิงประหลาดขึ้นมา ไม่คิดว่ายังมีสตรีใจกล้าสู้ยิบตากับอันธพาลจนมิถนอมภาพลักษณ์
จินเหยียนเลิกคิ้วเมื่อสังเกตเห็นรอยยิ้มกริ่มบนใบหน้าซีดขาวของน้องชาย “ดูเจ้าอารมณ์ดีมากทีเดียว”
จินชางหลงพ่นหายใจแผ่ว “เรื่องบางอย่างก็สร้างความประหลาดใจจนยากจะกล่าว แม่นางคนนั้นดูไม่ธรรมดาทีเดียว”
จินชางหลงเผลอนึกถึงใบหน้าพริ้มเพราของหญิงสาวก็อดขบขันเป็นมิได้ สายตาเว้าวอนกับละครที่ปั้นแต่งนางคงคิดว่าเขาดูไม่ออก ดูเหมือนนางไม่เกรงกลัวว่าศีรษะจะกระเด็นร่วงจากบ่าเลยสักนิด
ใจกล้าไม่เบา…
จินเหยียนหัวเราะร่า “อย่างนั้นก็ดี ดียิ่งนัก ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามีความสุขเช่นนี้มานานแล้ว”
รถม้าที่นิ่งสนิทกำลังจะเคลื่อนไปต่อ ทว่ากลับต้องหยุดลงกะทันหัน
“ช้าก่อนเพคะ!”
บุรุษทั้งสองจ้องตากัน คิ้วสีเข้มต่างเลิกขึ้นด้วยความฉงน
กงกงขมวดคิ้วแน่น “องค์ชาย ท่านอ๋อง กระหม่อมออกไปดูเองพ่ะย่ะค่ะ”
จินเหยียนพยักหน้า ไม่นานกงกงก็ลงจากรถม้าไป
“เจ้าเป็นใคร ไยจึงบังอาจมาขวางรถม้าขององค์ชาย” น้ำเสียงที่เล็กกว่าบุรุษกล่าวยานยืด ทว่าใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้นี้กลับดูเคร่งขรึมและจริงจัง
ร่างระหงคุกเข่าลงทันควัน “หม่อมฉันเฉินอิ้งถงขอบพระทัยองค์ชายห้าและท่านอ๋องที่ทรงเมตตาเพคะ”
ชายสูงศักดิ์ทั้งสองต่างมีสีหน้าฉงน นางรู้จักเหยียนอ๋องย่อมไม่แปลก เพราะจินเหยียนนั้นสร้างผลงานไว้มากตั้งแต่วัยเยาว์ผู้คนล้วนโจษจันทั้งสี่ดินแดนแปดทิศ ทว่ากับองค์ชายห้าผู้อ่อนแอขี้โรคที่เพิ่งได้รับอนุญาตให้ออกจากวัง นางจะเอ่ยอย่างเจาะจงได้อย่างไร หากสตรีคนนี้มิได้มีปัญหา
“เรื่องไม่เป็นเรื่องเจ้าก็กล้ามาขวางรถม้างั้นหรือ ช่างบังอาจยิ่งนัก ถอยออกไป” กงกงเอ่ยปากไล่
ทว่าหญิงสาวกลับยังนั่งนิ่งไม่ขยับ “หม่อมฉันล่วงเกินแล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าหม่อมฉันจะมีวาสนาได้ขอบพระทัยต่อหน้าพระพักตร์องค์ชายห้าและท่านอ๋องหรือไม่”
“นี่เจ้า!” กงกงบังเกิดโทสะ ทว่าน้ำเสียงกลับดูนุ่มนิ่มตรงกันข้าม “ท่านองครักษ์มาลากตัวนางออกไป”
องครักษ์เผิงจิ้นเสียนปรามนางแต่แรกแล้วก็เอาไม่อยู่ หญิงสาวคนนี้ดึงดันอยากขอบคุณด้วยตนเอง หนำซ้ำกำลังของนางยังมากอย่างกับช้างทั้งโขลง ทันทีที่ได้รับคำสั่ง องครักษ์หนุ่มก็เร่งฝีเท้าเข้ามาทันควัน
“แม่นางน้อยเจ้าอยากหัวขาดรึ ลุกขึ้นเถิด”
เฉินอิ้งถงไม่อาจละทิ้งโอกาสทองให้หลุดไปได้ นางยังคงดื้อดึงอยู่เช่นนั้น “หม่อมฉันทราบที่ตั้งของบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เพคะ”
ครั้นได้ยินสิ่งที่หญิงสาวกล่าว เหยียนอ๋องก็ปรากฏกายนอกรถม้าฉับพลัน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังตามหาสิ่งใด ตัวตนน้องชายของข้าเจ้าก็รู้จัก หากเหตุผลของเจ้าไม่มากพอข้าจะสั่งตัดหัวของเจ้า!”
เฉินอิ้งถงก้มหน้าเล็กน้อยริมฝีปากบางกระตุกแผ่ว นางไม่กลัวศีรษะหลุดจากบ่าเลยสักเสี้ยว แต่กลัวจะมิได้พิชิตใจองค์ชายห้ามากกว่า “หากให้หม่อมฉันได้พบพระพักตร์องค์ชายห้าผู้มีพระคุณสักครั้ง หม่อมฉันยินดีเป็นผู้นำทางเพื่อเป็นการตอบแทนเพคะ”
กงกงตระหนก “เจ้าพูดอะไร รู้หรือไม่ถ้าเจ้ามุสาจะถูกกุดหัว”
เฉินอิ้งถงตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าน้อยมิได้มุสาแม้เพียงครึ่งคำ”
จินชางหลงที่นั่งฟังอยู่ตลอดขย้ำเนื้อผ้าบนตักจนยับย่น “เห็นแก่ความพยายามของเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะพบเจ้าดูสักครา”
เชิงอรรถ
^ฝนทั่งให้เป็นเข็ม หมายถึง พากเพียรพยายามมากจนถึงที่สุด เพื่อให้สำเร็จผล.
สองปีผันผ่าน ณ แคว้นเป่ยเซี่ย“พี่หญิงเฉิน เป็นอย่างไรบ้างเพคะ ข้าขี่ม้าเก่งหรือไม่” จินม่านม่านกล่าวด้วยแววตาซุกซน“ม่านเอ๋อร์เก่งมาก ฝีมือขี่ม้ายิงธนูของเจ้าบุรุษยังต้องอับอาย”วันนี้จินม่านม่านรบเร้าอยากให้เฉินอิ้งถงออกมาขี่ม้าเป็นเพื่อน ทำให้แม่ลูกอ่อนเช่นนางต้องปลีกตัวจากลูกน้อยชั่วครู่ ส่วนเจ้าตัวน้อยในยามนี้ก็อยู่ในความดูแลของจินชางหลง และเหล่าแม่นมไม่รู้จะวางใจได้หรือไม่ ทั้งจินชางหลงและเฉินอิ้งถงล้วนเป็นพ่อแม่มือใหม่ด้วยกันทั้งคู่ หากเจ้าตัวเล็กลืมตาตื่นแล้วไม่พบหน้านางเกรงว่าต่อให้เป็นแม่นมหรือจินชางหลงเองก็คงเอาไม่ลง“บ่ายคล้อยแล้ว อากาศเริ่มอบอ้าวเรากลับกันเถิด”“ได้เพคะ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะแวะไปหาเจ้าสองแสบด้วยได้หรือไม่”เฉินอิ้งถงยิ้ม “ได้แน่นอน เย็นนี้ม่านเอ๋อร์ก็อยู่ทานสำรับเย็นด้วยกันสิ”จินม่านม่านตาเป็นประกาย “ได้ด้วยหรือเพคะ”“ได้แน่นอน” เฉินอิ้งถงยิ้มทั้งสองเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเรียบร้อยก็มุ่งหน้ากลับไปยังตำหนักจวิ้นอ๋อง ครั้นถึงหน้าตำหนักก็ได้ยินเสียงเหล่านางกำนัลและแม่นมโหวกเหวกกันจ้าละหวั
“ท่านแม่นางเด็กเหลือขอนั่นจะกลับบ้านเหตุใดท่านพ่อจะต้องจัดเตรียมโน่นนี่ให้ลำบาก เงินทองที่นางทิ้งเอาไว้ก็ไม่ให้เราแตะสักอีกแปะ ทำราวกับว่าตนเองเป็นองค์หญิง ไปแล้วก็ยังมีหน้าอยากกลับมาที่นี่อีกหรือ” เฉินจิงเบ้ปากตั้งแต่นางลอบติดตามเฉินอิ้งถงไม่สำเร็จก็หอบสภาพสุดสังเวชกลับมาบ้าน เฉินจิงเข็ดขยาดเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเคียดแค้นที่เฉินอิ้งถงกล้าทิ้งนางเอาไว้กลางทาง“ข้าจะไปรู้รึ พ่อของเจ้าไม่บอกอะไรเลย บอกเพียงให้เราปฏิบัติกับนางดี ๆ”“จะทำดีกับนางเพื่อสิ่งใด ท่านก็เห็นแล้วคราวก่อนอุตส่าห์พูดดีด้วยสมบัติพะเนินเป็นภูเขายังไม่คิดจะเจียดให้เราใช้ ชิ” เฉินจิงกระฟัดกระเฟียด คอยดูเถิดหากเฉินอิ้งถงมาถึง นางจะไล่ตะเพิดเยี่ยงหมูเยี่ยงสุนัขรถม้าขนาดกลางมาจอดที่หน้าจวนสกุลเฉิน เฉินจิงเบ้ปากไม่สบอารมณ์ “ข้าก็คิดว่านางไปได้ดิบได้ดีอันใด ดูสิเจ้าคะท่านแม่รถม้าเล็กกระจ้อยร่อย ยังจะมีหน้าให้ท่านพ่อจัดเตรียมห้องหับอย่างดี ข้าอยากจะเห็นนักว่ากลับมาหนนี้นางจะหอบความลำบากใดมาอีก”เฉินจิ้นซงได้ยินเสียงก็วางมือจากงานตรงหน้า เขารุดเข้ามาต้อนรับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ถงเอ๋อร์”
สามวันสามคืนหลังจากอภิเษกเข้ามาเป็นพระชายา เฉินอิ้งถงแทบไม่ได้พักร่าง วันยกน้ำชาทั้งไทเฮาและไท่เฟยก็รบเร้าให้นางเร่งมีทายาท หลานชายก็แสนเชื่อฟังตั้งแต่หายจากอาการป่วยก็ใช้งานตัวเองไม่คิดถนอม“ที่แท้ท่านก็รู้เรื่องราวของหม่อมฉันหมดแล้ว นางไปหาพระองค์แต่เหตุใดไม่เคยปรากฏตัวให้หม่อมฉันเห็นเลย”“คงเพราะเจ้าไม่ได้มีความหวาดกลัวเช่นข้า นางจึงมิอาจพบเจ้าได้ เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ข้าก็ไม่เคยฝันถึงนางอีก”“เช่นนี้เองหรือ อันที่จริงนางน่าเห็นใจมากนะเพคะ บางทีอาจเป็นหม่อมฉันที่ช่วงชิงชีวิตมาจากนาง”จินชางหลงยกมือปิดปากคนในอ้อมแขน “เจ้าอย่าพูดเหลวไหล นี่คือชะตาของนางและเจ้า มันควรเป็นเช่นนี้ จำเอาไว้เจ้ามิได้ช่วงชิงชีวิตผู้ใดมาทั้งสิ้น และไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครมาจากมิติใดข้าก็รักเจ้าที่สุด”เฉินอิ้งถงยิ้ม แววตาคู่สวยระริกไหว “เพคะ เชื่อท่านหม่อมฉันไม่พูดแล้ว ขอบคุณท่านที่เข้าใจและขอบคุณที่เป็นบุพเพของหม่อมฉันนะเพคะ”จินชางหลงยิ้มตอบ เขาโน้มจุมพิตลงบนหน้าผากหญิงสาวอย่างทะนุถนอม “ข้าเองก็ขอบคุณเจ้า หากไม่มีเจ้าก็ไม่มีข้าจนถึงตอนนี้”“คืนนี้บรรทมเถิดเ
พิธีมงคลผ่านไปอย่างราบรื่น สตรีร่างระหงนั่งตัวตรงภายใต้ม่านมุ้งสีชาด มือเรียวประสานกันไว้พลางบีบแน่น เดิมทีเฉินอิ้งถงคิดว่าตนจะไม่ประหม่าและเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์นี้ไว้เป็นอย่างดี ทว่าเมื่อถึงเวลาจริง ๆ นางกลับรู้สึกว่าความเป็นจริงและสิ่งที่คิดช่างแตกต่างกันลิบลับ“นายท่าน การแต่งงานต้องประหม่าเช่นนี้เชียวหรือเจ้าคะ”“เจ้าจะไปรู้อะไร ไม่เช่นนั้นหากเจ้าโตขึ้นก็ลองแต่งงานดูสิ”“น่าเสียดายที่เสี่ยวฮวาโตได้แค่นี้เจ้าค่ะ”เฉินอิ้งถงมันเขี้ยวมือเรียวเขี่ยปลายจมูกเล็กเบา ๆ เสี่ยวฮวาหัวเราะคิกคักเพราะรู้สึกจั้กจี้ “นายท่านอย่ารังแกข้าสิเจ้าคะ อ้อ…จริงด้วย ในงานเสี่ยวฮวาแอบเห็นว่ามีผู้คนมอบของขวัญวันแต่งงานให้นายท่านและท่านอ๋องเยอะแยะเลย”“เจ้าอยากได้บ้างหรือ”เสี่ยวฮวาลอยโฉบไปมาอารมณ์ดี “เปล่าสักหน่อย เสี่ยวฮวาก็แค่กำลังคิดว่าจะให้ของขวัญใดกับนายท่านและท่านอ๋องดีเจ้าค่ะ”“เจ้ายังต้องให้สิ่งใดข้าอีก ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็มากพอแล้ว ขอบคุณนะเสี่ยวฮวาฮวา” เฉินอิ้งถงยิ้มปลื้มปริ่ม หากนางไม่บังเอิญได้พบกับเจ้าภูติตัวน้อย ไม่รู้ว่าการเล่นนอกบทนาง
“กุ้ยเฟยเพคะ”มือเรียววางถ้วยชาในมือลงแช่มช้า “มาแล้วหรือ”“ถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ” เฉินอิ้งถงประหม่า นางยังไม่เคยสนทนาและอยู่กับเสิ่นกุ้ยเฟยตามลำพังเช่นนี้มาก่อนใบหน้างดงามรับกับท่าทีสูงสง่าดุจนางพญาทว่าแววตากลับเจือไปด้วยความอ่อนโยนนี่น่ะหรือมารดาที่ไม่แยแสโอรสตนเอง!“เจ้ามาตรงนี้สิ”เฉินอิ้งถงขาแข็งไม่กล้าขยับ นางจะริอ่านนั่งเทียบเคียงพระสนมเอกได้อย่างไร “เอ่อ…”“เป็นท่านหญิงแล้วจึงไม่เชื่อฟังใครงั้นหรือ”เฉินอิ้งถงเร่งคุกเข่า “หามิได้เพคะ เพียงแต่ที่ตรงนั้นหม่อมฉันมิอาจนั่งเทียบเคียงท่านได้”เฉินอิ้งถงอยากตบปากตนเองนัก เมื่อคืนกล่าวเรื่องคุณค่าของคนให้ซูซูฟังเสียดิบดี ทว่ายามนี้นางกลับตกม้าตายเสียเองเสิ่นเพ่ยเหราขบขัน “เจ้าลุกขึ้นเถิด ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าไม่กี่ประโยค นั่งห่างกันมากเกินไปเกรงว่าข้าคงต้องตะโกนจนเจ็บคอ”“เพคะ”เฉินอิ้งถงจำใจย้ายร่างไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเสิ่นกุ้ยเฟย นางกำนัลรินชาส่งให้นาง“เจ้าชอบหลงเอ๋อร์หรือไม่”เฉินอิ้งถงที่ตั้งใจจิบชาให้คอโล่งแทบสำลัก เรื่อ
เฉินอิ้งถงทอดสายตามองสีหน้าของตนผ่านคันฉ่อง ตั้งแต่เกิดเหตุวุ่นวายในท้องพระโรงหนนั้น ก็ร่วมสองสัปดาห์แล้วที่จินชางหลงเงียบหายไปไม่แม้แต่ปรากฏตัวส่วนนางเองก็ถูกทั้งไทเฮาและไท่เฟยเรียกเข้าเฝ้าจนบางคราต้องค้างที่วังหลวง นั่นเพราะนางจะต้องเข้ารับการขัดเกลามารยาทจากมามาก่อนเข้าพิธีอภิเษกวันใดที่กลับมาบ้านก็ประหนึ่งวิญญาณหลุดออกจากร่าง ทำได้เพียงทิ้งตัวลงและก็ม่อยหลับไป วันนี้ได้โอกาสหยุดพักผ่อนตั้งหนึ่งวันจึงมีเวลาพบหน้าซูซูจริงจังเสียที“คุณหนู ท่านไปเสียนานบ่าวคิดถึงคุณหนูมาก อยู่ที่แดนเหนือลำบากหรือไม่เจ้าคะ” ซูซูหวีผมนุ่มสลวยดำขลับดุจสีน้ำหมึกด้วยความแผ่วเบา“ข้าไม่ได้รับความลำบากใด อีกอย่างข้าอยู่ที่นั่นยังได้รู้จักคนผู้หนึ่ง นางคล้ายเจ้ามากทีเดียว” เฉินอิ้งถงยิ้ม“น่าอิจฉานางที่ได้ช่วยคุณหนูทำประโยชน์ ทว่าบ่าว…”“อาซู เจ้านี่ขี้น้อยใจจริง ข้าก็กลับมาแล้วนี่อย่างไร”ซูซูทำท่าจะร้องไห้ “แต่อีกไม่นานคุณหนูก็ต้องอภิเษกแล้ว เช่นนั้นบ่าวจะได้ติดตามคุณหนูเข้าวังหรือไม่เจ้าคะ”“ข้าไม่ทอดทิ้งเจ้าแน่นอน วันพรุ่งนี้ไท