เฉินอิ้งถงยิ้มกริ่ม ในที่สุดเหยื่อที่นางวางล่อเอาไว้ก็ทำงานแล้ว
เจ้าชายขี่ม้าขาวของข้ามาแล้ว มาตรงเวลาเป๊ะ!
แต่แล้วเมื่อหญิงสาวหมุนกายกลับริมฝีปากที่ยกโค้งก็หุบฉับลงเดี๋ยวนั้น สีหน้าชวนฝันพลันเลือนหายไปหลายส่วน
ไม่ใช่เขางั้นเหรอ…
เฉินอิ้งถงรู้สึกคล้ายกับฟ้ากำลังถล่มลงตรงหน้า เหตุใดมารยาหญิงของนางจึงใช้ไม่ได้ผล หรือใบหน้าตอนนี้ยังงดงามไม่เพียงพอมัดใจบุรุษ
ชายหนุ่มร่างสูงสาวเท้าเข้ามาด้านในด้วยท่วงท่าองอาจ ทุกคนต่างให้ความสนใจเขาเป็นจุดเดียว ไม่มีใครรู้จักหรือคุ้นตาเขาสักราย
ฝานหงจื้อเลิกคิ้ว “เจ้าเป็นใคร อย่าบอกว่าเป็นพวกเดียวกันกับนาง”
เจ้าของใบหน้าคมเข้มยกยิ้มมุมปาก ชายหนุ่มเมินคำถามของฝานหงจื้อจนอีกฝ่ายรู้สึกโมโห ร่างสูงประสานมือค้อมกายเล็กน้อยให้กับเจ้าหน้าที่ว่าความพอเป็นพิธี
“ข้าก็แค่ผ่านมาทางนี้พอดี เรื่องโจ่งแจ้งเพียงนี้ไม่อยากยื่นมือเข้าสอดก็ยังยาก”
บรรดาชาวบ้านที่ได้ยินล้วนสะดุ้งโหยงละอายใจ วาจาของชายปริศนาผู้นี้ช่างจี้ใจดำเสียจนทุกคนรู้สึกกระอักกระอ่วน
ฝานหงจื้อแค่นยิ้ม “เหอะ! หลักฐานก็ไม่มีแค่พูดปากเปล่าจะน่าเชื่อถือได้อย่างไร”
“ปากเปล่าหรือไม่เดี๋ยวก็รู้เอง” ชายหนุ่มปรายตามองหน้านิ่ง
ท่อนขาแกร่งเยื้องย่างตรงไปยังแท่นผู้พิพากษา มือหยาบระคายวางบางอย่างลงบนโต๊ะ เมื่อผู้พิพากษาเห็นของสิ่งนั้นก็พลันเบิกตากว้างตระหนกตื่น จากนั้นก็เร่งทรุดกายลงบนพื้นพลันโขกศีรษะละล้าละลัง
“ใต้เท้าโปรดอภัย ข้าน้อยเลอะเลือนไปชั่วขณะ ต่อไปจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้อีก”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วหยั่งเชิง เขายังไม่ทันตำหนิสิ่งใด จำเลยก็ร้อนรนดั่งถูกเพลิงนรกลนก้น นัยน์ตาคมกริบจับจ้องถุงเงินที่โผล่พ้นแขนเสื้อของคนบนพื้น เสียงทุ้มจึงแค่นยิ้มออกมา
เฉินอิ้งถงมึนงงไม่หาย เพราะหญิงสาวไม่รู้ว่าวีรบุรุษขี่ม้าขาวผู้ยื่นมือช่วยเหลือนั้นเป็นใคร นางจึงพยายามควานหาความสัมพันธ์ของบทนางร้ายที่มีในโซนสมองแต่ก็ยังไร้เบาะแส
ฝานฟ่านหน้าเขียวคล้ำ “นี่มันเรื่องอะไรกัน ท่านพ่อไม่ใช่ว่าท่านให้…”
“หุบปาก!” ฝานหงจื้อตวาดเสียงแข็ง
ดูเหมือนลูกชายตัวดีของเขากำลังจะสร้างเรื่องอีกแล้ว
ชายหนุ่มร่างสูงยอบกายลง เขาประคองผู้พิพากษาที่กำลังตัวสั่นงันงกให้ยืนขึ้น พลางกระซิบเสียงแผ่ว
“ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าการติดสินบนคือเรื่องที่ผิดมหันต์ หากใต้เท้ายังตัดสินไม่ยุติธรรมข้าจะส่งเรื่องกลับไปยังศาลสูงสุดให้ลงอาญาและเพิกถอนท่านออกจากหน้าที่นี้เสีย ต่อให้อยู่ในที่แร้นแค้นห่างไกลก็อย่าได้คิดว่าเทพไม่รู้ผีไม่เห็น ส่วนเรื่องของแม่นางน้อยข้าคิดว่าทุกคนรู้ดีแก่ใจว่าสิ่งไหนจริงสิ่งไหนเท็จ ข้าจะรอฟังคำตัดสินอยู่ข้าง ๆ”
ผู้พิพากษาพยักหน้ารัวเร็ว “ขอรับ ขอรับ”
ชายหนุ่มผินหน้าสบตาเฉินอิ้งถง แน่นอนว่าเขาเห็นทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ
ผู้พิพากษาพยุงร่างกลับไปยังแท่นว่าความ ใบหน้าของเขาซีดขาวประหนึ่งคนใกล้สิ้นลม สิ่งที่ยังวางเบื้องหน้ากำลังย้ำเตือนสติเขา เพราะนั่นก็คือตราหยกของเจ้าหน้าที่ศาลหลักประจำเมืองหลวง หากผู้ใดมีติดกายล้วนสามารถเข้าร่วมตัดสินคดีได้ทุกพื้นที่ไม่มียกเว้น และน้อยมากที่ใครจะได้ถือครองหยกนี้ แม้ผลงานโดดเด่นก็ยังถือว่ายากยิ่งกว่าฝนทั่งให้เป็นเข็ม [1] หากไร้อำนาจล้นฟ้าก็อย่าคิดหวังจะได้ครอบครอง
ถุงเงินที่รับเอาไว้ก่อนหน้าถูกส่งกลับและคืนเจ้าของเดิม ฝานหงจื้อเหลือบมองแท่นตัดสินสลับกับบุรุษที่นั่งหน้านิ่งรอฟังผลอยู่นาน เขาขบเคี้ยวเขี้ยวฟันสังเกตอีกฝ่ายอย่างละเอียด กระทั่งสะดุดเข้ากับหยกแขวนข้างเอวของชายหนุ่ม ฝานหงจื้อก็ใจกระตุกวูบรู้สึกหายใจติดขัดทั้งยังเสียวสันหลังวาบดั่งถูกน้ำแข็งปะทะร่าง
องครักษ์วังหลวง! ไยเขาจึงยื่นมือเข้ายุ่งกับเรื่องนี้ หรือเขาจะเป็น…
ปัง ปัง ปัง!
เสียงการตัดสินคดีสิ้นสุดลง ฝานฟ่านร้องไห้เสียงหลงดุจดั่งว่าตนกลับไปเป็นเด็กสามขวบอีกครั้ง
เพราะเมื่อครู่ฝานหงจื้อติดอยู่ในภวังค์จึงไม่ได้ยินสิ่งที่ว่าความมาทั้งหมด
บรรยากาศการว่าความมาคุเป็นอย่างมาก จากชาวบ้านที่ล้วนตาขาวก็ต่างพร้อมใจกันเป็นพยานให้กับเฉินอิ้งถง ทุกคนบอกเล่าไปในทิศทางเดียวกันว่าเฉินอิ้งถงทำไปเพื่อป้องกันตัว หนำซ้ำยังมีหญิงสาวอีกหลายรายที่ถูกฝานฟ่านเอาเปรียบมานานและรอวันเอาคืนก็ต่างสาวเท้าออกมาประจานความต่ำช้าของเขาทีละคน คดีที่คิดว่าควรจบลงโดยง่ายก็กลายเป็นเรื่องบานปลายใหญ่โต
สุดท้ายศาลจึงตัดสินให้ลงทัณฑ์ฝานฟ่านและลูกน้องของเขาด้วยการหนีบนิ้วทั้งสิบ โบยอีกห้าสิบไม้ รวมถึงต้องนั่งรถลากเพื่อสำนึกความผิด ไม่เพียงเท่านั้นยังต้องส่งตัวเข้าคุมขังยังคุกใต้ดินเป็นเวลาครึ่งปี
ฝานหงจื้อได้ยินก็เข่าแทบทรุด ทว่าเขาไม่กล้าผลีผลามกระทำตามใจ เพราะหากยังคิดดื้อดึงเข้าปะทะจนเรื่องเลวร้ายที่ฝานฟ่านเคยกระทำถูกขุดคุ้ยเพิ่ม เกรงว่าโทษของบุตรชายอาจร้ายแรงไปมากกว่านี้
“ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย พวกมัน พวกมันปรักปรำข้า ฮื่อ ฮื่อ…”
“เจ้าลูกอัปรีย์ ยังไม่รู้ถูกผิดอีก ไสหัวไป!” ฝานหงจื้อสะบัดขาจนร่างของฝานฟ่านลอยกระเด็น
ฝานฟ่านร้องไห้โฮประหนึ่งฟ้าถล่ม บุรุษตัวสูงกำลังนอนแดดิ้นเอาแต่ใจ เขาหลงลืมความอับอายจนสิ้น บรรดาชาวบ้านและเฉินอิ้งถงยืนมองบทโศกที่ชายหนุ่มพยายามบีบเค้นน้ำตาออกมาด้วยความสาแก่ใจ
เจ้าหน้าที่เตรียมเครื่องมือลงทัณฑ์กันหน้าซีด ฝานฟ่านกับบ่าวคนสนิทถูกโบยและหนีบนิ้วประสานเสียงร้องโอดโอยดั่งหมูถูกเชือด
หลายคนถึงขั้นต้องยกมือปิดหูทั้งยังทำหน้าสยอง ฝานหงจื้อละอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี เขาไม่อาจทนดูความอัปยศได้นาน ชายวัยกลางคนก็เร่งสะบัดกายจากไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
หลังจากรับทัณฑ์ทรมานแล้วพวกเขาก็ถูกส่งตัวขึ้นรถลากสุดอนาถ บนลำคอต้องแขวนป้ายประจานความผิดแห่แหนไปทั่วอำเภอ ฝานฟ่านอับอายจนอยากสิ้นลมไปตรงนั้น ทว่าคนเช่นเขานั้นมันขี้ขลาด ไหนเลยจะกล้าละทิ้งชีวิตชั่วช้าของตน
ระหว่างถูกนำตัวแห่ประจานจนทั่ว พวกเขายังถูกชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์อย่างหนัก บ้างปาไข่เน่า บ้างปาผักเสีย จนสารรูปของชายฉกรรจ์ทั้งสามไม่หลงเหลือเค้าเดิม จากคุณชายเจ้าสำอางก็ปรากฏบาดแผลฟกช้ำดำเขียวไปทั่วร่าง เสื้อผ้าเปื้อนเขรอะส่งกลิ่นเหม็นเน่าเสียจนแสบจมูก
ฝานฟ่านโกรธแค้นเฉินอิ้งถงอย่างมาก หากมิใช่เพราะนางเขาก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงเช่นนี้ แม้จะโดนทรมานอย่างหนักชายหนุ่มกลับไม่สำนึก
ตัวแสบ อย่าให้ข้าพบเจ้าอีกหนเชียว ข้ารับรองจะถลกหนังของเจ้าแล้วเอาเกลือทาให้เข็ด
เมื่อทุกอย่างจบสิ้น ทุกคนก็เริ่มทยอยกลับไปทำมาหากิน กระทั่งผู้คนบางตาลง ชายร่างสูงก็ลุกเดินจากไปโดยไม่เหลือบแลผู้ใดอีก
เฉินอิ้งถงเห็นเช่นนั้นก็ตาโต ร่างระหงวิ่งถลาไปขวางหน้าเขา “คุณชายช้าก่อนเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “แม่นางน้อยมีสิ่งใดอีกหรือ”
“ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณท่านเลยเจ้าค่ะ”
เจ้าของใบหน้าคมเข้มยกยิ้มจาง ๆ “ไม่ต้องหรอก ไม่ใช่ข้าที่ช่วยเจ้า”
เฉินอิ้งถงงุนงง เห็นอยู่ว่าเป็นเขาแล้วจะบอกว่าไม่ใช่ได้อย่างไร ชายร่างสูงย้ายสายตาไปยังรถม้าที่จอดนิ่งหลบอยู่ข้างถนน เฉินอิ้งถงผินหน้ามองตามสายตาของเขาก็ทันได้เห็นปลายผ้าประตูนั้นขยับ ประหลาดใจอยู่ไม่นานรอยยิ้มก็ประดับขึ้นบนริมฝีปาก
“เท่านี้คงพอใจเจ้าแล้วกระมัง” จินเหยียนเอ่ยถามน้องชายที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“ข้าเพียงไม่อาจทนเห็นคนถูกเอาเปรียบได้ ลำบากท่านพี่แล้ว”
แม้จินชางหลงนั่งอยู่ในรถม้าทว่าก่อนขบวนเดินทางจะเคลื่อนผ่านไปยังทิศใด องครักษ์เผิงจิ้นเสียนจะต้องล่วงหน้ามาตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนทุกครั้ง
หนนี้จินชางหลงได้รับรายงานจากองครักษ์ว่ามีบุตรชายของเศรษฐีประจำอำเภอกำลังเที่ยวระรานรังแกหญิงสาวชาวบ้าน จินชางหลงมิให้องครักษ์ขัดขวางการกระทำของฝานฟ่านเดี๋ยวนั้น ทว่าให้จับตาดูสถานการณ์อย่างละเอียด
หลังจากได้ยินคำรายงานขององครักษ์ทั้งหมด จินชางหลงก็นึกสนใจหญิงประหลาดขึ้นมา ไม่คิดว่ายังมีสตรีใจกล้าสู้ยิบตากับอันธพาลจนมิถนอมภาพลักษณ์
จินเหยียนเลิกคิ้วเมื่อสังเกตเห็นรอยยิ้มกริ่มบนใบหน้าซีดขาวของน้องชาย “ดูเจ้าอารมณ์ดีมากทีเดียว”
จินชางหลงพ่นหายใจแผ่ว “เรื่องบางอย่างก็สร้างความประหลาดใจจนยากจะกล่าว แม่นางคนนั้นดูไม่ธรรมดาทีเดียว”
จินชางหลงเผลอนึกถึงใบหน้าพริ้มเพราของหญิงสาวก็อดขบขันเป็นมิได้ สายตาเว้าวอนกับละครที่ปั้นแต่งนางคงคิดว่าเขาดูไม่ออก ดูเหมือนนางไม่เกรงกลัวว่าศีรษะจะกระเด็นร่วงจากบ่าเลยสักนิด
ใจกล้าไม่เบา…
จินเหยียนหัวเราะร่า “อย่างนั้นก็ดี ดียิ่งนัก ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามีความสุขเช่นนี้มานานแล้ว”
รถม้าที่นิ่งสนิทกำลังจะเคลื่อนไปต่อ ทว่ากลับต้องหยุดลงกะทันหัน
“ช้าก่อนเพคะ!”
บุรุษทั้งสองจ้องตากัน คิ้วสีเข้มต่างเลิกขึ้นด้วยความฉงน
กงกงขมวดคิ้วแน่น “องค์ชาย ท่านอ๋อง กระหม่อมออกไปดูเองพ่ะย่ะค่ะ”
จินเหยียนพยักหน้า ไม่นานกงกงก็ลงจากรถม้าไป
“เจ้าเป็นใคร ไยจึงบังอาจมาขวางรถม้าขององค์ชาย” น้ำเสียงที่เล็กกว่าบุรุษกล่าวยานยืด ทว่าใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้นี้กลับดูเคร่งขรึมและจริงจัง
ร่างระหงคุกเข่าลงทันควัน “หม่อมฉันเฉินอิ้งถงขอบพระทัยองค์ชายห้าและท่านอ๋องที่ทรงเมตตาเพคะ”
ชายสูงศักดิ์ทั้งสองต่างมีสีหน้าฉงน นางรู้จักเหยียนอ๋องย่อมไม่แปลก เพราะจินเหยียนนั้นสร้างผลงานไว้มากตั้งแต่วัยเยาว์ผู้คนล้วนโจษจันทั้งสี่ดินแดนแปดทิศ ทว่ากับองค์ชายห้าผู้อ่อนแอขี้โรคที่เพิ่งได้รับอนุญาตให้ออกจากวัง นางจะเอ่ยอย่างเจาะจงได้อย่างไร หากสตรีคนนี้มิได้มีปัญหา
“เรื่องไม่เป็นเรื่องเจ้าก็กล้ามาขวางรถม้างั้นหรือ ช่างบังอาจยิ่งนัก ถอยออกไป” กงกงเอ่ยปากไล่
ทว่าหญิงสาวกลับยังนั่งนิ่งไม่ขยับ “หม่อมฉันล่วงเกินแล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าหม่อมฉันจะมีวาสนาได้ขอบพระทัยต่อหน้าพระพักตร์องค์ชายห้าและท่านอ๋องหรือไม่”
“นี่เจ้า!” กงกงบังเกิดโทสะ ทว่าน้ำเสียงกลับดูนุ่มนิ่มตรงกันข้าม “ท่านองครักษ์มาลากตัวนางออกไป”
องครักษ์เผิงจิ้นเสียนปรามนางแต่แรกแล้วก็เอาไม่อยู่ หญิงสาวคนนี้ดึงดันอยากขอบคุณด้วยตนเอง หนำซ้ำกำลังของนางยังมากอย่างกับช้างทั้งโขลง ทันทีที่ได้รับคำสั่ง องครักษ์หนุ่มก็เร่งฝีเท้าเข้ามาทันควัน
“แม่นางน้อยเจ้าอยากหัวขาดรึ ลุกขึ้นเถิด”
เฉินอิ้งถงไม่อาจละทิ้งโอกาสทองให้หลุดไปได้ นางยังคงดื้อดึงอยู่เช่นนั้น “หม่อมฉันทราบที่ตั้งของบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เพคะ”
ครั้นได้ยินสิ่งที่หญิงสาวกล่าว เหยียนอ๋องก็ปรากฏกายนอกรถม้าฉับพลัน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังตามหาสิ่งใด ตัวตนน้องชายของข้าเจ้าก็รู้จัก หากเหตุผลของเจ้าไม่มากพอข้าจะสั่งตัดหัวของเจ้า!”
เฉินอิ้งถงก้มหน้าเล็กน้อยริมฝีปากบางกระตุกแผ่ว นางไม่กลัวศีรษะหลุดจากบ่าเลยสักเสี้ยว แต่กลัวจะมิได้พิชิตใจองค์ชายห้ามากกว่า “หากให้หม่อมฉันได้พบพระพักตร์องค์ชายห้าผู้มีพระคุณสักครั้ง หม่อมฉันยินดีเป็นผู้นำทางเพื่อเป็นการตอบแทนเพคะ”
กงกงตระหนก “เจ้าพูดอะไร รู้หรือไม่ถ้าเจ้ามุสาจะถูกกุดหัว”
เฉินอิ้งถงตอบอย่างไม่ลังเล “ข้าน้อยมิได้มุสาแม้เพียงครึ่งคำ”
จินชางหลงที่นั่งฟังอยู่ตลอดขย้ำเนื้อผ้าบนตักจนยับย่น “เห็นแก่ความพยายามของเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะพบเจ้าดูสักครา”
เชิงอรรถ
^ฝนทั่งให้เป็นเข็ม หมายถึง พากเพียรพยายามมากจนถึงที่สุด เพื่อให้สำเร็จผล.
กงกงใช้เข็มเงินที่พกติดกายอยู่เสมอจิ้มลงไปในขนม แม้เข็มเงินไร้ปฏิกิริยาทว่าเขากลับยังไม่วางใจ มือเหี่ยวย่นหยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้นจากนั้นลองชิมเข้าปากหนึ่งคำก็ถึงกับสติล่องลอย ความหวานละมุนเป็นเหตุให้กงกงต้องกัดเพิ่มอย่างนึกลืมตัว“กงกง มีพิษหรือไม่เจ้าคะ”“…”“กงกง”กงกงสะดุ้งโหยง ส่งสายตาเชิงตำหนิให้กับเฉินอิ้งถง จากนั้นจึงหันมองจินชางหลงพลางยิ้มแหย “องค์ชาย ขนมนี่ปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”ครั้นวางใจแล้วชายหนุ่มจึงหยิบขนมสีเขียวอื้อขึ้นมา กัดเข้าไปคำแรกความนุ่มละมุนและรสชาติอันหอมหวานเป็นเหตุให้เขาติดอยู่ในภวังค์คล้ายกับว่าตนกำลังเที่ยวชมมวลบุปผา ไม่น่าเชื่อว่าพื้นที่แห้งแล้งกันดารจะมีหญิงสาวมากฝีมือในการปรุงอาหารได้นางช่างประหนึ่งห่านฟ้าหลงทางอยู่กลางป่าเฉินอิ้งถงยืนลุ้นจนตัวโก่ง นัยน์ตาดอกท้อจดจ้องริมฝีปากชายหนุ่มที่ขยับเบา ๆ ด้วยความลืมตัวเดิมทีจินชางหลงชินกับการทานอาหารแล้วมีกงกงหรือนางกำนัลยืนรอปรนนิบัติใกล้ ๆ อยู่แล้ว ทว่าหนนี้กลับไม่เหมือนกัน ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเกิดอาการประหม่าจินชางหลงช้อนเปลือกตาขึ้นทำให้ปะทะเข้ากับ
เสียงฝีเท้าตรงเข้ามาเรื่อย ๆ เฉินอิ้งถงที่นั่งกระดิกเท้าสบายใจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน“แม่นางเฉิน องค์ชายและท่านอ๋องอยากพบเจ้า”เฉินอิ้งถงผินหน้ามองผู้มาเยือน น้ำเสียงเนิบนาบเช่นนี้ไม่ต้องเอ่ยให้มากความก็รู้ว่าเป็นผู้ใด“กงกง เมื่อครู่ท่านยังบอกข้าเองว่าไม่ให้โผล่หน้าไปให้ท่านอ๋องอารมณ์เสีย แล้วเหตุใดยามนี้จึงอยากพบข้าหรือ”กงกงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “องค์ชายชื่นชอบฝีมือการทำอาหารของเจ้า”เฉินอิ้งถงแสร้งตาโต “ท่านบอกองค์ชายงั้นหรือว่านี่คือฝีมือของข้า เดิมทีข้าไม่อยากโฉ่งฉ่างให้มากความ”“หึ เจ้าอย่าพล่ามให้มากหน่อยเลย องค์ชายรออยู่ หากไม่รีบไประวังจะถูกลงอาญา”“เจ้าค่ะ เดิมทีคนจากวังหลวงลงอาญาผู้อื่นสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้หรือ”กงกงพูดไม่ออก เฉินอิ้งถงยิ้มตาปิด เดินผ่านร่างชายมีอายุไปด้วยสีหน้าอารมณ์ดี“องค์ชาย ท่านอ๋อง” ร่างระหงยอบกายลงด้วยท่าทีพินอบพิเทาจินชางหลง “แม่นางเฉิน ตามสบายเถิด”“ขอบพระทัยองค์ชาย”“เห็นกงกงบอกว่าอาหารพวกนี้เจ้าเป็นคนทำทั้งหมด”“เพคะ หม่อมฉันทำเอง รสชาติไม่ถูกปากองค์ชายหรื
เฉินอิ้งถงตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เมื่อคืนนางคิดเรื่องดี ๆ ได้จึงไปพูดคุยกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเอาไว้ เพราะวันนี้นางต้องการเข้าครัวด้วยตนเอง นับว่าโชคดีที่ในโรงเตี๊ยมมีเพียงขบวนเดินทางของเหยียนอ๋องเท่านั้นที่เป็นแขก“นายท่าน นี่ท่านกำลังทำอะไรหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงดูยุ่งยากวุ่นวายนัก ส่วนผสมเยอะแยะเต็มไปหมด”เฉินอิ้งถงตอบ “นี่น่ะหรือ เขาเรียกเมนูพระกระโดดกำแพง”เสี่ยวฮวากะพริบตาปริบ ๆ “หา…ไหนพระเจ้าคะ พระมิใช่ผู้ถือศีลหรือเจ้าคะ หากกระโดดกำแพงลงมาก็เท่ากับฆ่าตัวตายแบบนี้เรียกบาปนะเจ้าคะ”เฉินอิ้งถงหัวเราะครืน “เจ้ารู้จักบาปบุญด้วยหรือนี่ แต่ว่านะเสี่ยวฮวา เจ้าจะบ้ารึ ที่ข้าบอกไม่ใช่พระจริง ๆ เสียหน่อย เป็นชื่อเมนูอาหารน่ะ”เสี่ยวฮวางงงวย ร่างเล็กที่ลอยอยู่กลางอากาศโฉบเข้าไปใกล้หม้อดินเผาที่เฉินอิ้งถงจัดเรียงส่วนผสมอย่างเป็นระเบียบ ดวงตาสีมรกตพลันเบิกกว้าง “โอ้โห กลิ่นหอมมากเจ้าค่ะ เจ้านี่มีอะไรบ้างหรือเจ้าคะ”มือเล็กป้อมชี้ไปยังด้านในของหม้อด้วยความสนใจใคร่รู้เฉินอิ้งถงจัดแจงส่วนผสมลงหม้ออย่างประณีต ริมฝีปากขยับเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “หากให้ข้า
หลังสอบถามเรื่องราวทุกอย่างจนเป็นที่พอใจองครักษ์เผิงจิ้นเสียนและเฉินอิ้งถงก็ออกเดินทางกลับในทันที“แม่นางเฉิน เจ้าแน่ใจหรือว่าจะกลับไปยามนี้เลย เดิมทีองค์ชายให้เจ้าพักที่บ้านได้หนึ่งคืน เพราะถึงอย่างไรองค์ชายและท่านอ๋องก็พักอยู่โรงเตี๊ยมแล้ว เกรงว่าเจ้าเป็นสตรีอาจไม่สะดวก” เผิงจิ้นเสียนสังเกตเห็นเส้นขอบฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินเหลือบทองแล้วเฉินอิ้งถงยิ้มตาปิด โอกาสมาถึงทั้งทีนางจะปล่อยให้หลุดลอยไปได้อย่างไร หากอยู่ ๆ จินเหยียนคิดเปลี่ยนใจหอบน้องชายของเขาหนี เช่นนั้นก็เท่ากับนางลงแรงเสียเปล่า“ข้านอนกลางดินกินกลางทรายจนชิน เรื่องนี้ข้าไม่ถือ หากโรงเตี๊ยมเต็มข้ายินดีพักในห้องเก็บฟืน” เอ่ยจบร่างระหงก็ควบม้าห่างออกไปเสียงเล็กดังสะท้อนเหนือศีรษะ “นายท่าน สามีที่ท่านหมายตาคือองค์ชายผู้อ่อนแอนั่นรึ เหตุใดท่านจึงไม่ชอบท่านอ๋องเล่า ข้าดูแล้วท่านอ๋องหล่อเหลากว่าน้องชายตั้งมาก ซ้ำยังองอาจมากบารมี”เฉินอิ้งถงแค่นยิ้ม “เจ้าจะไปรู้อะไร ข้าเพียงต้องการชีวิตสุขสงบ ไยข้าต้องไปตบตีแย่งผู้ชายที่มีเจ้าของด้วยเล่า”“เอ๋…ท่านกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะเจ้าคะ
เฉินอิ้งถงควบม้าตรงเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่เห็นล้วนมองตามตาไม่กะพริบ ทุกครั้งที่หญิงสาวเดินสวนทางไปมาพวกเขาต้องทักทายพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า ทว่าหนนี้หญิงสาวมาไวไปไวจนเห็นเพียงฝุ่นลอยฟุ้ง“นั่น ๆ ถงเอ๋อร์มิใช่รึ นางขี่ม้าผู้ใดมากันเล่า” ชายชราเอ่ยกับภรรยาที่กำลังจับจูงกันไปตามเส้นทาง พลางปัดฝุ่นผงพัลวัน“ตาเฒ่าเจ้าตาฝาดแล้วหรือไม่ ตอนนี้ทุกคนต่างแร้นแค้นจะไปเอาม้าจากที่ใดมาวิ่ง อาจเป็นคนต่างถิ่นก็ได้”บทสนทนาไม่ทันได้รับคำตอบ ม้าตัวถัดไปก็ทะยานตรงเข้ามาประหนึ่งสายฟ้า สองสามีภรรยาเร่งประคองกันหลบไปข้างทางจ้าละหวั่นหญิงชราเอ่ยเสียงสั่น “นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้นกันเล่า”“ไป ๆ ยายเฒ่า รีบกลับบ้าน นี่คงไม่ใช่พวกทางการมาไล่ที่ชาวบ้านอีกแล้วรึ”หญิงสูงวัยได้ฟังก็ตกใจ เพราะเมื่อก่อนก็เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากชาวบ้านไม่รวมตัวกันปกป้องบ้านเกิด ป่านนี้คงได้กลายเป็นพวกไร้บ้านเร่ร่อนกันอยู่ข้างถนนแล้วหรอกหรือเฉินอิ้งถงที่ควบม้าอย่างรีบเร่งไม่ทันสังเกตครั้นเหลียวหลังเห็นสองตายายก็รู้สึกผิดที่ตนเล่นตะบึงจนสาดฝุ่นเข้าหน้าผู้อาวุโสทั้งสอง
ท้ายที่สุดเฉินอิ้งถงก็ได้พบกับจินชางหลงสมปรารถนา แม้สีหน้าเขาขาวซีด ทว่าดวงกลับกระจ่างใส่ประหนึ่งดวงดาวยามราตรีข้าคิดว่าหน้าตาเขาจะเหมือนคนอมโรคมากกว่านี้ซะอีก!เฉินอิ้งถงจดจ้องจินชางหลงแทบลืมกะพริบตา ชายหนุ่มที่ไม่เคยใกล้ชิดสตรีเช่นนี้มาก่อนจึงบังเกิดความประหม่า ส่วนจินเหยียนก็จับจ้องเฉินอิ้งถงด้วยแววตาไม่เป็นมิตรกงกงรู้สึกได้ถึงบรรยากาศไม่สู้ดี จึงเอ่ยทำลายความประดักประเดิด “บังอาจ เจ้าใช้สายตาน่ารังเกียจจาบจ้วงองค์ชายเช่นนี้ได้อย่างไร”เฉินอิ้งถงได้สติ “ขออภัยกงกง ข้าน้อยเพียงแค่ทราบซึ้งในน้ำพระทัยขององค์ชายห้าก็เท่านั้น”จินเหยียนแค่นยิ้ม “เจ้าช่างเป็นสตรีใจกล้าบ้าบิ่นยิ่งนัก มิเคยมีผู้ใดกล้าขวางข้ามาก่อน เช่นนั้นก็ว่าเรื่องของเจ้ามา”เฉินอิ้งถงนิ่งเงียบ อันที่จริงนางรู้เพียงว่ามีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาโรคร้ายอยู่ในเนื้อเรื่องจริง ทว่าหญิงสาวไม่เคยเดินทางไปที่นั่นสักครั้งแล้วจะทราบเส้นทางได้อย่างไร‘นายท่าน ท่านกำลังอยากพาพวกเขาไปที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่’เฉินอิ้งถงตกใจจนหน้