แชร์

นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ
นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ
ผู้แต่ง: อิงเซี่ย

บทที่ 1

ผู้เขียน: อิงเซี่ย
วันนั้นที่ซูมั่วตัดสินใจหย่า เกิดเรื่องขึ้นสองเรื่อง

เรื่องแรกคือนางในดวงใจของฟู่อี้ชวนหวนกลับมาประเทศแล้ว เขาทุ่มเงินจำนวนห้าสิบล้านสั่งทำเรือสำราญเพื่อต้อนรับนางในดวงใจ ทั้งยังปล่อยตัวปล่อยใจอยู่บนเรือสำราญกับนางในดวงใจของเขาถึงสองวันสองคืน

สื่อหลายสำนักต่างประโคมข่าวไปทั่วว่าทั้งคู่กำลังจะกลับมาคืนดีกัน

อีกเรื่องหนึ่งคือซูมั่วตอบรักคำเชิญของรุ่นพี่ กลับไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการในบริษัทที่พวกเขาก่อตั้งขึ้นมาด้วยกัน

อีกหนึ่งเดือนเธอก็จะจากไป

แน่นอน ว่าเธอจะอะไรล้วนไม่มีใครสนใจทั้งสิ้น

ในใจของฟู่อี้ชวน เธอก็แค่คนที่แต่งงานมาเป็นแม่บ้านให้ตระกูลฟู่ก็เท่านั้น

เธอปิดบังทุกคน

กำจัดร่องรอยการใช้ชีวิตในตระกูลฟู่ทุกอย่างในระยะเวลาสองปีมานี้ของตัวเองอย่างเงียบเชียบ

แอบซื้อตั๋วเครื่องบินไปจากที่นี่

อีกสามวัน

เธอจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งของที่นี่อีก

นับจากนี้เธอกับฟู่อี้ชวนจะเป็นคนแปลกหน้า

[ส่งน้ำซุปสร่างเมามา สองชุด]

จู่ ๆ ก็มีข้อความเด้งขึ้นมาในโทรศัพท์มือถือ ซูมั่วมองข้อความที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งนั้นแล้วก็หลุบตาลง กำนิ้วมือแน่น

ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงสี่สิบนาที ฟู่อี้ชวนกำลังร่วมงานเลี้ยงต้อนรับการกลับประเทศที่จัดขึ้นเพื่อเย่ซินหย่า

เมื่อก่อนฟู่อี้ชวนไม่เคยให้เธอนำซุปสร่างเมาไปให้ เขามักจะดื่มอยู่แค่ในบ้าน เพราะรู้สึกว่าการที่เธอโผล่หน้าไปมันขายขี้หน้า ไม่อยากยอมรับตัวตนของเธอ

ฉะนั้นในเวลานี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ซูมั่วจะดีใจด้วยคิดว่าในที่สุดฟู่อี้ชวนก็ยอมรับเธอกับผู้คนภายนอกเสียที ทว่าตอนนี้...

สายตาจดจ้องอยู่ที่คำว่า “สองชุด” เธอรู้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเย่ซินหย่า

ดังคาด เมื่ออยู่ต่อหน้าความรักที่แท้จริง เขากล้ายอมรับ “ภรรยา” ผู้ต้อยต่ำ ไม่เป็นที่เชิดหน้าชูตาคนนี้อย่างตรงไปตรงมา

ซูมั่ววางมือลง ไปเตรียมซุปสร่างเมาที่ห้องครัว

สัญญาที่ทำไว้กับคุณปู่ฟู่ยังเหลือเวลาอีกยี่สิบเก้าวันสุดท้าย เธอมองเวลาที่นับถอยหลังบนโทรศัพท์แวบหนึ่ง

ทันทีที่ครบกำหนด เธอก็จะหลุดพ้นทันที...

การอยู่ด้วยกันมาสองปีไม่อาจแลกความจริงใจกลับมาได้แม้แต่เศษเสี้ยว ท้ายที่สุดแล้ว... ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเธอที่เพ้อฝันมากเกินไป

เธอ... รักเขาต่อไปไม่ไหวแล้ว

เดือนสุดท้ายก็ทำหน้าที่ “ภรรยา” ให้เสร็จสิ้นแล้วกัน

ซุปสร่างเมาร้อนระอุในหม้อ มันเป็นเมนูที่เธอถนัดที่สุด เพราะเวลาสองปีที่ผ่านมาเธอต้องต้มให้ผู้ชายคนนั้นมานับครั้งไม่ถ้วน

ดวงตาเหม่อลอยโดยไม่รู้ตัว ในใจเปี่ยมล้นไปด้วยความสงบอันน่าเศร้า

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ปิดฝาหม้อเก็บความร้อนสนิท ด้านในบรรจุซุปสร่างเมาสองชุด ตามด้วยเรียกรถเดินทางไปยังโรงแรมหรู

ภายในรถ ซูมั่วนั่งอยู่เงียบ ๆ พลางมองข้อความที่ส่งมาเมื่อเช้านี้จากเบอร์คนแปลกหน้าบนโทรศัพท์

[มั่วมั่ว จำฉันได้ไหม? ฉันซินหย่าเองนะ ฉันกลับมาประเทศแล้ว ดีใจจริง ๆ ที่จะได้เจอเธออีกครั้ง ถึงเธอจะแย่งอี้ชวนของฉันไป แต่พวกเราก็ยังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้ ตอนเย็นมาเจอกันแล้วก็กินข้าวด้วยกันนะ]

ใช่แล้ว ฟู่อี้ชวนไม่เคยพูดถึงงานเลี้ยงต้อนรับ แต่ที่เธอรู้ก็เพราะนี่เป็นการ “เชิญ” ที่เย่ซินหย่าเป็นฝ่ายส่งมาให้เธอก่อน

อ่านถ้อยคำที่แฝงไปด้วย “ความใจกว้างโอบอ้อมอารี” ขนาดนั้นของอีกฝ่ายแล้ว ซูมั่วถึงกับกระตุกยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก

แย่งฟู่อี้ชวนไป?

ทั้งที่คุณปู่ฟู่เป็นคนขัดขวาง เย่ซินหย่าเองก็รับเงินค่าเลิกกับเขาจำนวนห้าสิบล้านแล้วก็ไปต่างประเทศแท้ ๆ แล้วพูดได้อย่างไรว่าตัวเธอเองเป็นคนแย่มา?

เธอยอมรับว่าตนเองโลภเลยยอมตามน้ำไป แต่ไม่เคยเป็นฝ่ายยื่นมือเข้าไปแทรกกลางก่อน

ส่วนความใจกว้างโอบอ้อมอารีน่ะเหรอ เหอะ ๆ

หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงคิดว่าเย่ซินหย่าเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์ทั้งข้างนอกข้างใน แต่พอขึ้นมัธยมปลาย เธอถึงได้รู้ว่าทั้งหมดนั้นเป็นการเสแสร้ง

แต่ตอนนั้นมันก็สายเกินแก้ เธอถูกตัดขาดกับทุกคน กลายเป็นคนโดดเดี่ยวถูกเพ่งเล็งคนนั้น จนถึงขึ้นถูกบูลลี่ ภายหลังถึงได้รู้ว่าเป็นฝีมือของเย่ซินหย่า...

งานเลี้ยงต้อนรับในวันนี้ พวกเพื่อนสมัยมัธยมหลายคนก็มาร่วมด้วย ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มี “เพื่อนสนิท” ของเธอในตอนนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาต้องยืนอยู่ฝั่งเย่ซินหย่าแน่

ซูมั่วไม่อยากเข้าร่วมงานเลี้ยงนั่น เพราะรู้ว่าเป็นการปิดประตูตีแมว และไม่อยากเห็นหน้าเพื่อนเก่าพวกนั้น ด้วยในใจรู้สึกอึดอัด จึงกะว่าพอส่งซุปสร่างเมาเสร็จก็จะออกมา

เมื่อถึงด้านนอกประตูห้องจัดงาน ซูมั่วเตรียมพร้อม เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเคาะประตู

ประตูเปิดออกภายในไม่กี่วินาที ซูมั่วยื่นมือออกไป ทว่าคนที่มารับกลับไม่ใช้ฟู่อี้ชวน แต่เป็นเย่ซินหย่าที่ใส่ชุดราตรีสีขาว

“มั่วมั่ว เธอมาแล้ว รีบเข้ามาเร็ว ทุกคนกำลังรอเธออยู่เลย” เย่ซินหย่าแย้มยิ้มสดใสเป็นประกาย เธอแต่งหน้าอย่างประณีต เหมือนกับเจ้าหญิง

บนลำคอของเธอเป็นสร้อยคอสีฟ้าน้ำทะเลเส้นหนึ่ง ซึ่งก็คือสร้อยเส้นนั้นที่เธอเห็นที่บ้าน เมื่อไม่กี่วันก่อนฟู่อี้ชวนเพิ่งประมูลมาได้ ที่แท้เขาก็ให้เย่ซินหย่าเป็นของขวัญนี่เอง

“ไม่ล่ะ ฉันแค่มาส่งซุปสร่างเมา” ซูมั่วมีสีหน้าเงียบสงบ เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบระคนเย็นชา

“มั่วมั่ว ไม่เจอเธอตั้งสองปีก็ห่างเหินกับฉันแล้วเหรอ? ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่โกรธเธอเรื่องที่แย่งอี้ชวนไป” เย่ซินหย่ากัดปากเล็กน้อย แสดงท่าทีน้อยใจออกมาก่อน

ซูมั่วเหลือจะทนกับท่าทางเสแสร้งเป็นคนดีน่าสงสารอย่างกับนางเอกละครของเย่ซินหย่า ดังนั้นเธอเลยเบี่ยงตัวเดินเข้าไปวางของ

ทว่าเย่ซินหย่ากลับรั้งเธอไว้ พลางวางมือลงบนฝาหม้อเก็บความร้อน นิ้วหัวแม่มือขยับเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น

“ถ้าเธอไม่อยากเข้างานจริง ๆ งั้นเดี๋ยวฉันเอาไปให้อี้ชวนเอง” เย่ซินหย่าพูดอย่างหวังดี

ซูมั่วขมวดคิ้ว คิดว่าทำไมเย่ซินหย่าถึงยอมเลิกแล้วต่อกันง่าย ๆ ขนาดนี้ แต่ตัวเธอเองก็ไม่อยากเข้าไปจริง ๆ เลยยื่นหม้อเก็บความร้อนออกไป

ในจังหวะที่ส่งของรับของกันนี้ อีกฝ่ายรับหม้อเก็บความร้อนไว้ไม่มั่นคง ทำให้หม้อร่วงหล่นลงพื้น

ฝ้าหม้อเปิดออกหมด น้ำซุปร้อนกระเด็นกระดอน ขณะเดียวกันเย่ซินหย่าก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว พลางกรีดร้องออกมา “โอ๊ย เจ็บจัง ขาฉัน!”

เสียงกรีดร้องนี้ดึงดูให้คนในห้องจัดงานหันมองมาทางประตูเป็นตาเดียว ฟู่อี้ชวนลุกขึ้นแล้วสาวเท้ายาวเข้ามา ส่วนเย่ซินหย่าก็เริ่มร้องไห้ออกมาเพราะความเจ็บ

“ซูมั่ว นี่เธอถือหม้อเก็บความร้อนยังไงของเธอ? เรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ทำให้ดียังทำไมได้?”

ฟู่อี้ชวนย่อตัวลง ถอดเสื้อคลุมสั่งตัดออกไปเช็ดน้ำซุปบริเวณน่องให้เย่ซินหย่าพร้อมกับติเตียน

“ฉัน...” ซูมั่วยังไม่ทันได้พูดอะไร เย่ซินหย่าก็ชิงพูดออกมาก่อน

“อี้ชวน นายอย่าไปว่ามั่วมั่วเลย ฉันถือไม่ดีเอง”

ฟู่อี้ชวนมองไปที่หม้อเก็บความร้อนด้านข้าง เขาคว้าฝาหม้อขึ้นมา แล้วเงยหน้าถลึงตาใส่ซูมั่วพลางว่า

“ฝาหม้อยังสภาพดีอยู่ ไม่มีแม้แต่รอยบิ่น ตกลงแล้วเป็นซินหย่าที่มือลื่น หรือเป็นเธอที่จงใจเปิดฝาเอาไว้ก่อน?”

ซูมั่วก้มหน้ามองลงไป เธอถูกถามแกมตำหนิจนงุนงงอยู่ครู่ใหญ่

หม้อเก็บความร้อนนี้คุณภาพดีมาก ต่อให้ทำตก ฝากก็จะไม่เปิดออก ทว่าตอนนี้ฝาหม้อไม่เพียงเปิดออกเท่านั้น แต่ยังไม่มีแม้แต่รอยแตกเลยด้วยซ้ำ...

“ฉันไม่ได้เปิดมันเลยนะ ไม่งั้นตลอดทางมานี่ฉันจะถือมันมายังไง?” ซูมั่วแย้ง

“จงใจก็คือจงใจ มีอะไรต้องให้แก้ตัวอีก?” ฟู่อี้ชวนพูดพลางส่งสายตาเย็นชา

ในสายตาเขา ซูมั่วเป็นผู้หญิงที่ใช้ทุกวิถีทางเพื่อแต่งงานกับตระกูลร่ำรวยให้ได้ ตอนนั้นไม่รู้ไปเกลี้ยกล่อมปู่อย่างไร พอบีบให้ซินหย่าไปแล้วก็บังคับให้เขาได้แต่งงานกับเธอ

ดังนั้นเขาจะไปเชื่อเธอได้อย่างไร?

โยนฝาหม้อทิ้งไป ฟู่อี้ชวนลุกขึ้นด้วยต้องการอุ้มเย่ซินหย่าเดินออกไป สุดท้ายเขาก็เหลือสายตามองเล็กน้อย พอจะเห็นได้จากหางตาว่าบนหลังเท้าของซูมั่วก็มีรอยแดงปื้นใหญ่

เธอเองก็คงถูกน้ำซุปร้อนเหมือนกัน แถมยังจะกินบริเวณกว้างกว่าเย่ซินหย่าเสียอีก

ฟู่อี้ชวนขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาเพียงหนึ่งวินาที

แต่ก็แค่หนึ่งวินาทีเท่านั้น สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นยืน โดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น

ซูมั่วเจ็บหนักกว่าแล้วอย่างไร เธอทำตัวเองไม่ใช่เหรอ?

ทำร้ายคนอื่นจนย้อนเข้าตัวเอง นี่แหละกรรมตามสนอง

เย่ซินหย่าถูกอุ้มขึ้นมาในท่าเจ้าสาว แขนขาวเนียนโอบรอบคอเขาไว้ ขณะที่เขินอายก็เอ่ยขึ้นด้วยความกังวล

“อี้ชวน มั่วมั่วเองก็...”

“ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ตายหรอก เธอไปโรงพยาบาลเองได้” ฟู่อี้ชวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เธอเป็นนางแบบ ถ้าขาได้รับบาดเจ็บแล้วจะเป็นเรื่องใหญ่”
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
ความคิดเห็น (3)
goodnovel comment avatar
เอิง เอย
อ่านน่าสนใจดีนะ
goodnovel comment avatar
Aom
คนแต่งเรื่องมักจะแต่ให้นางเอกโง่ในสายตาคนอื่น
goodnovel comment avatar
Aom
จะไปก็ไป ต้องรอทำไม เดือนนึง
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทล่าสุด

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 460

    แต่เมื่อดูจากผลแพ้ชนะคืนนี้แล้ว ดูเหมือนเธอจะกังวลมากเกินไปนอกจากเพื่อนสนิทจะถูกเอาเปรียบไปบ้าง ก็ถือเป็นว่าทำผลงานได้ดีที่สุดในงานซูมั่วคุยเป็นเพื่อนเธอ จนกระทั่งเธอกลับถึงบ้าน จึงเพิ่งวางสายหลีโย่วเข้าบ้าน สีหน้าที่โกรธเกรี้ยวทั้งหมดถูกเก็บไว้ หลังจากตอบแม่แบบส่ง ๆ ก็ขึ้นไปชั้นบนหลีเชินโผล่มาตรงหน้า ถือแก้วน้ำอยู่ แล้วถาม“เป็นยังไงบ้าง? คืนนี้มีแขกผู้ชายที่ถูกใจไหม?”หลีโย่วตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พี่ พี่รู้ไหมว่าพี่เหมือนอะไร?”หลีเชิน “?”“เหมือนแม่เล้าที่คอยเรียกลูกค้าให้พวกสาว ๆ ในสมัยโบราณมากเลย” หลีโย่วพูดด้วยรอยยิ้มหลีเชิน “...”“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ฉันเป็นห่วงเธอ และคิดถึงอนาคตที่มีความสุขของเธออยู่นะ” หลีเชินพูด“เธอคิดว่าถ้าเธอชอบใครแล้วฉันจะยอมให้เธอแต่งงานเลยเหรอ? ฉันยังต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเองก่อน ถ้าไม่ผ่านด่านฉันก็ไม่ได้”หลีโย่วเบะปาก ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ขณะที่กำลังจะเดินจากไป ก็ได้ยินพี่ชายเธอถามอีกครั้ง“คืนนี้เจิ้งเซวียนก็ไปงานเลี้ยงเรือสำราญนั่นด้วย พวกเธอเจอกันไหม?”“เจอกัน” หลีโย่วตอบ“ไม่ได้เจอกันหกปี เลยคุยกันเรื่อยเปื่อย หลังจากฉันกลับมาเขาก

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 459

    ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องแกล้งเขา และเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดต่อเธอด้วยคิดดูแล้ว ดูเหมือนว่าทุกการกระทำ และทุกคำพูดของหลีโย่วก็ล้วนไม่ได้มีปัญหาความแปลกใจตอนที่เห็นตนปรากฏตัว ก็เพราะว่าจำเขาได้ จึงเดินตามเขาออกไปทันทีตนยื่นน้ำผลไม้ให้เธอ เธอก็รับไปดื่มอย่างไม่มีความระแวดระวัง เพราะรู้ว่าเขาจะไม่ทำร้ายเธอบอกว่าไม่ได้คบใคร บอกว่ามีพี่ชายที่เข้มงวด แล้วยังบอกว่าเขาอายุเท่า ๆ กับพี่ชายของเธอ ทุกอย่างก็สอดคล้องกันหมดเจิ้งเซวียน ‘...เพราะงั้นเป็นเขาเองที่มีปัญหา ใครใช้ให้ไม่ถามชื่ออีกฝ่ายก่อนล่ะ? กลับตั้งใจหว่านเสน่ห์แล้วค่อยถามอีกที’ที่ผ่านมาจีบหญิงไม่เคยพลาด ในที่สุดวันนี้ก็พลาด เหมือนคนเดินอยู่ริมน้ำ รองเท้าจะไม่เปียกได้ยังไง?เจิ้งเซวียนปิดหน้าอย่างหมดแรง สุดท้ายผ่านไปสิบนาทีเต็ม ๆ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็สตาร์ตรถเตรียมตัวกลับบ้านสิ่งเดียวที่ทำให้เขาสบายใจได้ก็คือหลีโย่วจะไม่บอกพี่ชายของเธอ และเขาก็ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิทตัวต่อตัวแล้วถูกจัดการขณะเดียวกัน บนถนนที่กว้างขวางรถเฟอร์รารีเปิดประทุนขับเร็วมาก ทับเส้นจำกัดความเร็วเสียงลมหวีดหวิวข้างหู ก็ยังไ

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 458

    “ไปให้พ้นเลย เอาแต่พูดเรื่องไม่ดีอยู่ได้” หวังคุนด่าพลางยิ้มเจิ้งเซวียนมองหลีโย่ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแบบพี่ชายพูด“เสี่ยวโย่วจื่อก็อยู่เล่นที่นี่ต่อเถอะ ฉันไปก่อนนะ วันหลังจะนัดรวมตัวกับพี่ชายเธอด้วย”“ฉันก็จะไปเหมือนกันค่ะ อยู่นานพอสมควรแล้ว ไปรายงานพี่ชายได้แล้วค่ะ” หลีโย่วยิ้มอย่างซุกซนเจิ้งเซวียนเข้าใจว่าคำพูดนี้หมายความว่าอะไร สรุปคือวันนี้หลีเชินบังคับให้เธอมางานนี้นึกถึงตอนที่เธอบอกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ออกไปข้างนอกคนเดียวไม่ได้ พี่ชายเธอเข้มงวดมาก ซึ่งก็ตรงกับนิสัยของหลีเชินจริง ๆ เพราะงั้น...ทำไมเขาถึงนึกเชื่อมโยงไม่ได้ตั้งแต่แรกกันนะ?ในใจเจิ้งเซวียนเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย รู้สึกว่าวันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูฤกษ์ดูยาม เขาไม่ได้ขายหน้าขนาดนี้มานานแล้วจริง ๆ แถมยังเป็นต่อหน้าน้องสาวอีก...“งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งเธอกลับบ้านนะ” เจิ้งเซวียนเก็บความคิด และพูดด้วยรอยยิ้มบาง“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันขับรถมาเอง แต่เราออกไปพร้อมกันก็ได้ค่ะ” หลีโย่วพูดทั้งสองคนเดินคู่กันออกมาจากงาน ลงจากเรือสำราญ จากนั้นก็ไปที่ลานจอดรถในช่วงเวลานี้ มีแค่เสียงพื้นรองเท้าที่ก้าวเดินของทั้งคู่เท่านั้น

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 457

    เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับ...หลีเชินเขาหันคอที่แข็งทื่อไปช้า ๆ มองใบหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้มหวานจาง ๆ ของหญิงสาวกระแสเวลาที่ยาวนานหกปีเหมือนย่อลงในชั่วขณะนี้ ภาพของหญิงสาวที่สดใสมีเสน่ห์ตรงหน้า ซ้อนทับกับเด็กสาวที่สวมแว่นกรอบดำทั้งยังอวบเล็กน้อยเมื่อสมัยมัธยมปลายเขาก็ว่าอยู่ว่าทำไมตอนนั้นถึงรู้สึกคุ้นตานัก ที่แท้ก็เพราะสาเหตุนี้...“หลี...หลีโย่ว” จ้องมองอย่างนิ่งงันไปหลายวินาที เจิ้งเซวียนจึงเพิ่งพูดอ้ำอึ้งอย่างตกตะลึงเห็นเพียงหญิงสาวพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าที่ยิ่งหวานและจริงใจ กลับทำให้หัวใจของเจิ้งเซวียนกระตุก ต้องฝืนรักษารอยยิ้มไว้อย่างยากลำบาก ไม่ให้กระอักเลือดออกมาการจีบสาวในวันนี้ไม่ใช่แค่ล้มเหลว แต่โคตรจะล้มเหลวเพราะเหตุไม่คาดฝันหลีโย่ว เสี่ยวโย่วจื่อ เด็กสาวคนนั้นที่เขามองว่าเป็นน้องสาวมาตลอด ผลคือเขากลับ...หยอดเธอ อยากจีบเธอมาเป็นแฟนจิตสำนึกถูกประณาม เขาถูกตอกตรึงไว้บนเสาแห่งความอับอายทางศีลธรรมแต่เขารู้สึกว่าตนคงไม่ต้องรอให้ถูกจิตสำนึกของตัวเองฆ่าตายหรอก เพราะถ้าหลีเชินรู้ว่าเขาจะจีบน้องสาวของอีกฝ่าย คงฟันตนตายก่อนในมีดเดียวแน่“เสี่ยวโย่วจื่อ...” เจิ้งเซ

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 456

    “เธอเรียนเต้นมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอ? รู้จักการเต้นหลายประเภทแถมยังเชี่ยวชาญหมดเลยด้วย เหมือนเป็นนักเต้นมาตั้งแต่เกิดเลย”“ฉันเคยเต้นกับคู่เต้นผู้หญิงคนอื่นนะ แต่ท่วงท่าของพวกเธอไม่คล่องแคล่วเท่าเธอ และยิ่งไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเธอด้วย”“ตอนเพลงเร็วจังหวะเธอก็ดีมาก เข้าถึงอารมณ์เพลงได้เร็ว รอยยิ้มก็สดใสเปล่งประกาย เหมือนสาวน้อยชาวทิเบตที่มีความกระตือรือร้นใต้ภูเขาหิมะเลย”......เขาชม แต่หญิงสาวไม่ได้ตอบกลับ รู้ว่าอีกฝ่ายอาย เขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดโปงในฐานะนักล่าฝ่ายรุกคนหนึ่ง เมื่อบรรยากาศค่อย ๆ คืบหน้า มือซ้ายของเขาก็ขยับเล็กน้อย แล้วเป็นฝ่ายจับมือที่นุ่มนิ่มของอีกฝ่ายในขณะเดียวกันมืออีกข้างที่โอบหลังเอวไว้หลวม ๆ ก็วางลงไปอย่างแผ่วเบา พร้อมพาเธอหมุนวงใหญ่รอบหนึ่งเมื่อเพลงวอลซ์จบลง ทั้งสองคนเข้าขากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ รับลมทะเล และพูดคุยเรื่อยเปื่อย ตอนนี้คืบหน้าไปอีกก้าวแล้ว“อายุเท่าไรแล้ว?” เจิ้งเซวียนถาม “ยังเรียนอยู่หรือเปล่า?”“ยี่สิบสี่แล้ว” หญิงสาวตอบเจิ้งเซวียนแปลกใจเล็กน้อย แล้วพูด“ดูไม่ออกเลยจริง ๆ ฉันนึกว่าเธอเพิ่งบรรลุนิติภาวะ ยังเป็นนักศึกษาอยู่ซะอีก”ประโยคน

  • นับเวลาสามสิบวัน ฉันจะเป็นอิสระ   บทที่ 455

    “ดื่มเถอะ ฉันเป็นคนซื่อตรง ไม่ใช้วิธีต่ำทรามแบบนั้นหรอก”หญิงสาวได้ยินแบบนี้ก็จิบสองอึกจนชุ่มคอ จากนั้นก็นั่งลงเงียบ ๆ“เมื่อกี้มองออกว่าเธอเหนื่อยกับการรับมือ ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้นัดแนะกันมาก่อน แต่กลับร่วมมือกันได้ดีทีเดียว” เจิ้งเซวียนพิงราวกั้นพลางมองเธอแล้วพูด“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงของเธอแผ่วลงเล็กน้อย เจิ้งเซวียนที่ฟังความผิดปกติไม่ออก ยิ้มบางและพูด“แค่ช่วยเหลือเล็กน้อย ช่วยเธอได้ฉันก็ดีใจ”บทสนทนาดูเหมือนจะจบลงตรงนี้ แต่เจิ้งเซวียนเป็นใคร เขาสร้างหัวข้อสนทนาได้ง่ายเหมือนจับวางอยู่แล้ว“ฉันเห็นการเต้นเพลงแรกของเธอ จังหวะแปดนับที่สาม ถ้าหมุนเพิ่มอีกครึ่งรอบอาจจะสวยกว่านี้นะ” เขาพูดเขาไม่ได้ใช้ถ้อยคำสวยหรูเพื่อชมเอาใจเธอ และยิ่งไม่ได้บอกว่าท่าเต้นของเธอได้มาตรฐานแค่ไหน และรูปร่างของเธอเย้ายวนแค่ไหนแต่ชี้ให้เห็นถึง ‘ปัญหา’ ราวกับกำลังพูดเรื่องการเต้นรำอย่างบริสุทธิ์ใจเพราะวิธีจีบผู้หญิงที่ไม่เคยมีความรักกับผู้หญิงที่เคยมีความรักนั้นแตกต่างกันมาก การชมอย่างผลีผลามและเจตนาที่ชัดเจนเกินไปมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายตกใจจนหนีไปกลับกันการชี้แนะอย่างจริงใจ และรุกอย่างช้า ๆ จ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status