อาจูพยักหน้าหงึก
เจ้างูยักษ์พึงพอใจ เอ่ยต่อไป “สรรพสิ่งล้วนมีที่มา กายสัมผัสทั้งห้าอันได้แก่การมอง การฟัง การรับรส การได้กลิ่น และการสัมผัสทางผิวกาย ล้วนเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน หากยามนี้ในช่องอกเจ้าคือศูนย์รวมสัมผัสทั้งมวล แกนกลางของสิ่งนั้นย่อมเชื่อมโยงจากทั่วร่างด้วยเส้นสายโยงใย เมื่อจิตขึ้นเป็นนายกายย่อมเป็นบ่าว คราวหน้าให้เจ้าลองค้นหาเส้นสายพวกนั้น หากไม่มีก็สร้างมันขึ้นมา จากนั้นก็ใช้ของสิ่งนั้นตรึงแกนกลางที่ว่านั่นเอาไว้!”
อาจูฟังแล้วนึกภาพออกได้ไม่ยาก
ถึงแม้ว่างูตัวนี้จะทำตัวเป็นพวกตัวละครชั้นเลวในหมู่ตัวละครชั้นเลว ประเภทที่ชอบหลอกล่อสาวน้อยมากักขังหน่วงเหนี่ยวทรมาน แต่วิธีการสอนของงูตัวนี้ เข้าใจง่ายมากจริงๆ
ถ้านี่ไม่ใช่ ‘พรสวรรค์ในการสอน’ ก็คงเป็นเพราะ ‘ความตั้งใจจริง’ ละมั้ง?
นึกย้อนไปถึงท่านจ้าวหุบเขาแล้ว อาจูก็ถอนหายใจยาว
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิ
ท่ามกลางความเงียบงัน กุนซือหน้าหยกเอ่ยเสียงไม่ดัง ไม่เบา “จ้าวหุบเขาผู้นั้น ดูจะเร่งรีบเกินไปหน่อยหรือไม่...?” หวางมู่ยกมือจับคางตัวเองเบาๆ “เจ้าว่าคนผู้นั้นรีบร้อนถึงเพียงนั้นเพราะเหตุใด เพราะอยากรีบออกตามหาดรุณีน้อยในข่าวลืออย่างนั้นรึ?”ก่อนหน้านี้ ผู้คนในโรงเตี๊ยมใกล้ลานชุมนุมชาวยุทธไม่ไกลจากหุบเขา ล้วนพูดถึงสตรีเยาว์วัยผู้หนึ่งซึ่งจ้าวหุบเขาเดียวดายประกาศไว้ว่า“หากผู้ใดพบเห็นสตรีเช่นที่กล่าวถึงและพาตัวนางกลับมาส่งโดยปลอดภัย หรือแม้จะมีข่าวสารใดมอบให้แม้เพียงนิด ก็จะมอบรางวัลให้อย่างงาม”เมื่อเข้าไปสอบถามจึงพบว่า แม้จะบรรยายรูปลักษณ์และอุปนิสัยตลอดจนกิริยาอาการของนางละเอียดนัก จ้าวหุบเขาผู้นี้กลับไม่ยอมทิ้งภาพเขียนใบหน้านางเอาไว้สักฉบับแม้ต่อมาจะมีชาวบ้านหาของป่าที่เคยพบหน้านางพยายามชี้แนะศิลปินผู้ผ่านทางให้ทดลองวาดภาพจำลองจากความทรงจำ จ้าวหุบเขารู้เข้า ไม่เพียงไม่รู้สึกขอบคุณยังบุกทำลายภาพเขียนเหล่านั้นและสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดวาดรูปนางทั้งสิ้น ผู้คนจึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วพูดกันลับหลังว่า "ท่านจ้าวหุบเขาช่างห
“จ้าวหุบเขาช่างเข้าใจพูดจานัก”“ข้าล้วนคิดใคร่ครวญตามถ้อยคำกุนซือหวางทั้งสิ้น”ฝีปากของจ้าวหุบเขาผู้นี้... รองแม่ทัพเห็นท่าจะไม่ดี รีบเอาตัวเข้าแทรกการสนทนาบรรยากาศตึงมึนนี้อย่างทันท่วงที “ที่จ้าวหุบเขาเอ่ยมานั้นชอบแล้ว เมื่อพิจารณาตามถ้อยคำกุนซือหวาง หุบเขาเดียวดายก็ยากจะนับว่าอยู่ในอาณาจักรหนึ่งอาณาจักรใดจริงๆ” เขาประสานมือคารวะเจ้าของสถานที่ กิริยายิ่งกว่านอบน้อมหากคนอื่นๆ ณ ที่นี่ใบหน้าดำคล้ำเหมือนเปื้อนหมึก สีหน้าท่านรองแม่ทัพในยามนี้ก็ดำคล้ำและแข็งเกร็งราวกับแท่งหมึกเลยทีเดียว“ท่านจ้าวหุบเขา” จ้าวเหว่ยซงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม จริงจัง “บิดาข้านั้นเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านยิ่งนัก ตัวข้าเองที่ได้ยินชื่อเสียงท่านมาร่วมสิบปีก็ศรัทธาในตัวท่านเหลือจะกล่าว หากชาตินี้ไม่อาจร่วมรบก็คงได้แต่เสียใจที่ไร้วาสนา...”“รองแม่ทัพช่างเจรจายิ่งนัก เสียแต่ที่เรื่องการทหารดูจะเหลือบ่ากว่าแรงจนเกินไป อีกทั้งตัวข้ายังไม่มีเวลามากพอจะอยู่ฟัง หากพวกท่านมีธุระเท่านี้ เห็นทีจ้าวหุบเขาเช่นข้าต้องขอตัว&rd
กุนซือหนุ่มจ้องมองร่างที่ก้าวออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึง แต่เพียงวูบหนึ่งก็ปรับสีหน้าเป็นปกติ “ข้าน้อยหวางมู่คารวะท่านจ้าวหุบเขา” ยามเอ่ยชื่อตัวเอง หวางมู่ลอบจับสังเกตสีหน้าบุรุษสูงสง่าเจ้าของสถานที่ เมื่อไม่เห็นว่ามีสิ่งใดผิดปกติจึงค่อยเอ่ยต่อไป “ไม่ทราบว่าจ้าวหุบเขามีชื่อเรียงเสียงไร?” กุนซือหวางถามด้วยรอยยิ้มสว่างสดใส ดูเป็นมิตรเป็นอย่างยิ่ง“ดำรงอยู่เสมือนไม่ดำรงอยู่ มีก็เหมือนหนึ่งไม่มี ไม่ว่าก่อนหน้าสืบทอดที่แห่งนี้จะชื่อเสียงเรียงไร นับแต่รับสืบทอดทุกสิ่งจากปรมาจารย์จ้าวหุบเขารุ่นก่อน จ้าวหุบเขาเช่นข้าก็ได้ละวางชื่อแซ่ไปนานแล้ว” จ้าวหุบเขายังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าดูไร้อารมณ์ความรู้สึก “บอกธุระพวกท่านมา หากไม่มีธุระอันใด ก็เร่งลงจากเขาเสีย จ้าวหุบเขาเช่นข้ามีกิจธุระรัดตัว ไม่สะดวกรับรองผู้ใดทั้งนั้น” ประโยคหลังนี้ฟังดูไร้มารยาทนัก ทว่าท่าทีอันสงบนิ่งภูมิฐานเปี่ยมมารยาทจรรยาของบุรุษเจ้าของสถานที่ กลับขับให้ประโยคที่ว่านี้ดูถูกต้องชอบธรรมเป็นอย่างยิ่ง“อา...ท่านคือจ้าวหุบเขาเดียวดายผู้โด่งดังผู้นั้นไม่ผิดแน่” กุนซือหวางยังคงเอ่ยด้วยใบหน้าอาบรอยยิ้มเจือจาง ทว่
ชายคนเดิมยังคงเอ่ยเสียงต่ำ ฟังแล้วแทบไม่ดังไปกว่าเสียงลมพัด น้ำเสียงยามชายคนนี้เอื้อนเอ่ยไม่เพียงฟังดูไพเราะนุ่มนวลยังมีจังหวะจะโคนคล้ายเสียงดนตรี รับกันกับใบหน้างดงามและรูปร่างเพรียวบางเป็นอย่างยิ่ง“คนผู้นี้กำลังเดินลมปราณเพราะเหตุผลบางอย่าง หากขัดจังหวะตอนนี้ ไม่แน่ว่าเราอาจทำเขาบาดเจ็บสาหัส หรือไม่ก็อาจเป็นพวกเราเสียเองที่ตกอยู่ในอันตราย...” ชายเสียงไพเพราะราวกับเสียงพิณยังคงเอ่ยต่อไป “โทสะของพยัคฆ์ร้ายยามโดนรบกวนนั้นไม่ธรรมดา ผู้ฝึกยุทธนั้นเทียบไปแล้วก็ไม่ต่างจากสัตว์ป่า แต่ละคนล้วนฝึกปรือจนประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณในการป้องกันตนเองรุนแรงแกร่งกล้า หากสัมผัสถึงสิ่งคุกคามแม้เพียงนิด พวกเขาย่อมไม่ลังเลที่จะ ‘กำจัด’ เพื่อปกป้องตนเองเอาไว้...คิดรบกวนผู้ฝึกยุทธ โดยเฉพาะผู้ที่สำเร็จวิชามารจนลมปราณกล้าแข็งขณะคนผู้นั้นกำลังเดินลมปราณ หากพลาดพลั้งถูกลงทัณฑ์ หรือถูกสัญชาตญาณอันแรงกล้าของยอดฝีมือคร่าชีวิตอย่างไร้ค่าก็ไม่อาจโทษผู้ใดทั้งนั้น นอกจากความโง่เง่าของตนเอง”“อะ...” ผู้ถูกสอนสั่งชะงักปากเล็กน้อย ก่อนเอ่ยประโยคที่เริ่มไว้ “กุน ซือหวางกล่าวได้ถูกต้อง เป็นผู้น้อยที่คิดอ่านไม่ถี่ถ้วนจนเกิ
“ดี” มันเลื้อยกลับไปนอนขดตัวที่ผนังถ้ำฝั่งตรงข้ามเหมือนก่อนหน้า “ทีนี้อยากจะแช่สมุนไพรหรือจะไปทำอะไรในห้องเล็กอะไรนั่นก็รีบทำ เรียบร้อยแล้วก็รีบเก็บลูกท้อนั่นกินซะ เสร็จแล้วจะได้เร่งฝึกฝนกันต่อ”“เจ้ารู้หรือไม่ ข้าไม่อาจกินของเพียงสิ่งเดียวซ้ำๆ กันทุกวันเช่นนี้” อาจูอดพูดไม่ได้ “มนุษย์เช่นข้าต้องกินอาหารให้ถูกต้องเหมาะสม อย่างน้อยๆ ก็ควรได้กินเนื้อสัตว์หรืออย่างอื่นที่พอจะทดแทนกันได้อย่างพวกเมล็ดถั่ว จะกินแค่น้ำสะอาดกับผลไม้ชนิดเดียวซ้ำๆ ซากๆ ไม่ได้ ที่ร่างกายข้าย่ำแย่ลงกะทันหัน จะเป็นเพราะกินแต่ของแบบนี้ซ้ำๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้”“หรือเจ้าอยากกินเลือดเนื้อสัตว์ดิบๆ” มันเสนอ ไม่รู้สึกรู้สา ทำเอาอาจูขมวดคิ้วมุ่นเออ...ข้าคิดผิดเองแหละที่มานั่งคุยเรื่องอาหารการกินกับงู!ต่อให้ปลงเรื่องอาหารได้แล้ว อาจูก็ยังทำใจเรื่องยากง่ายอีกเรื่องหนึ่งไม่ค่อยจะได้“เจ้าจะปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวตามลำพังสักนิดไม่ได้เลยจริงๆ รึ?”"ตอนเจ้าเข้าห้องเล็กนั่น ยังไม่ใช่อยู่ตามลำพังอีกรึ?”อาจูลอบกัดริมฝีปากอย่างขัดใจ ต่อให้ไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่กล้าทำตัวเรื่องมาก ได้แต่พยายามปลอบตัวเองในใจดีนะ...ที่งูตัวนี้เป็นแค่งู
“เหลวไหล! ร่างกายตนเองเจ้าก็ยังไม่แน่ใจอีกรึ!” เจ้างูยักษ์ตวาดลั่นหน็อย...ก็...ก็พิษในร่างกายมันไม่เคยแสดงอาการเลยนี่! วันวันข้าอยู่กับจ้าวหุบเขาหลี่ ทำโน่นทำนี่ตั้งมากยังไม่เคยออกอาการใดใด เป็นเพราะเปลี่ยนมาอยู่กับเจ้านั่นแหละ ถึงได้เกิดเรื่อง!ไม่สิ...! ต่อให้ก่อนหน้านี้มี ‘อาการผิดปกติอันเนื่องมาจากพิษ’ เกิดขึ้นจริง ข้าจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะ!ท่านจ้าวหุบเขาหมอเถื่อนผู้นั้นทำอะไรลื่นไหลไม่เคยบอกกล่าว ในแต่ละวันเขาดูแลข้าแนบสนิทกับการใช้ชีวิตประจำวันจนกลายเป็นความเคยชินระหว่างกันเขาไม่พูด ข้าไม่ถาม พิษก็ไม่กำเริบรุนแรงตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา นอกจากโดนความเย็นกัดมือเป็นระยะ ร่างกายก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงชีวิตข้า นอกจากจะไม่มีอะไรให้กังวล ยังมีเรื่องหวานๆ เปรี้ยวๆ ไหนจะมีใบหน้าหล่อๆ กับแผงอกเซ็กซี่ๆ ขยี้หัวใจคอยดึงดูดความสนใจ ข้าไม่เผลอลืมว่าร่างกายตัวเองต้องพิษร้ายแรงก็นับว่าดีตั้งเท่าไหร่เจ้าไม่เคยต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้ชายในอุดมคติ ต้องทนมองบุรุษผู้นั้นเปิดแผงอก