กลางเดือนสาม ดอกสาลี่และดอกท้อในหุบเขาบานสะพรั่ง...
ทั้งอย่างนั้นดอกเบญจมาศก็ยังคงผลิดอกออกช่อ ราวกับลืมไปแล้วว่าควรผลิดอกควรแตกยอดในช่วงฤดูใด
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน อาจูก็ปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตในหุบเขาและท่านจ้าวหุบเขาผู้มีบุคลิกนิ่งเฉยคล้ายหุ่นไม้ไร้อารมณ์ความรู้สึกได้ดีจนตัวเองยังตกใจ
เวลานี้เธอไม่อึดอัดที่ต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่อีกต่อไป ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับฝ่ามือก็แทบจะไม่เกิดขึ้นราวปาฏิหาริย์ อีกทั้งร่างกายอันบอบบางของจวี๋ฮวาก็ไม่ได้เหนื่อยง่ายเท่าเมื่อครั้งเริ่มทำงานจิปาถะตามคำสั่งท่านจ้าวหุบเขาอีกแล้ว กระทั่งวันนี้มีบุรุษกลุ่มใหญ่หามร่างตกเขาไร้สติข้ามหุบเหวมาขอให้ท่านจ้าวหุบเขาช่วยต่อกระดูก ยื้อชีวิต ผู้ช่วยจำเป็นอย่างเธอจึงโดนสั่งให้คล้องผ้าปกปิดใบหน้าไปมากกว่าครึ่งท่อนอย่างจริงจังและโดนสั่งให้หมกตัวช่วยคัดแยกสมุนไพรในห้องเก็บสมุนไพรแคบๆ จนดึกดื่น เธอก็ยังไม่ได้รู้สึกอึดอัดอ่อนล้าสักเท่าไหร่ ที่รบกวนจิตใจ
มีเพียงความง่วงงุน ซึ่งจู่โจมราวกับอดีตนักเขียนประเภทชอบทำงานหามรุ่งหามค่ำกินนอนไม่เป็นเวล่ำเวลาอย่างเธอเป็นสตรีอนามัยจัดที่ในแต่ละวันของชีวิตต้อง เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำความเคยชินช่างน่ารังเกียจนัก
ไม่ว่าสาเหตุของความง่วงจะเป็นเพราะร่างกายจวี๋ฮวากินนอนเป็นเวลาเข้านอนไวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หรือเป็นเพราะตั้งแต่เธอหลงมิติข้ามกาลเวลา
มาอยู่ที่นี่ก็พบว่ายามดึกไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำมากนัก จึงเข้านอนไว อาจูก็ยัง อดหงุดหงิดตัวเองไม่ได้อยู่ดีเพราะง่วงจัดจนทนไม่ไหว หลังเผลอทรุดตัวลงนั่งพิงตู้เก็บยา ร่างอ้อนแอ้นในชุดสีมรกตก็หลับใหลราวเครื่องจักรหมดไฟ ไม่ว่าจะมีใครเดินเข้าใกล้หรืออุ้มขึ้นมาก็ยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่แผ่นหลังสัมผัสที่นอนเรียบร้อยแล้ว เธอจึงปล่อยเลยตามเลย...แกล้งละเมอกอดแขนคนอุ้มมาส่งแนบอกนิดหน่อย แล้วก็ปล่อยให้ตัวเองนอนหลับต่อไปทั้งอย่างนั้น
ลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของหุบเขาเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้มจางๆ ดูน่ารักใคร่...
ก่อนหน้านี้ ในโลกสมัยใหม่ที่จากมา ปอจูมีกลุ่มเพื่อนนักเขียนผู้หญิงที่สนิทจนตัวติดกันอยู่กลุ่มหนึ่ง ในช่วงที่ว่างเว้นจากการแต่งนิยาย นินทาชาวบ้าน และฟังแต่ละนางจิกกัดนิยายจีนชื่อดังทั้งหลายแหล่ชนิดสาดเสียเทเสียราวกับอิจฉาที่เขาเขียนงานออกมาแล้วขายได้เงินเยอะกว่าของตัวเอง พวกเธอมักจะคุยกันเรื่อง “ความแซ่บของพระเอกนิยาย” ตอนนั้นเธอยังเคยพูดเล่นบ่อยๆ ว่าถ้าเธอเป็นนางเอกที่มีพระเอกหน้าหล่อหุ่นแซ่บมาดดิบเถื่อนดูเย็นชามาส่งเข้านอน
ด้วยท่าทีอ่อนโยนเกินคาด คืนนั้นคงเป็นคืนที่นอนหลับฝันดีชนิดที่ต้องละเมอ จิกหมอนเป็นพักๆ ไม่นึกว่าวันนี้พอมีท่านจ้าวหุบเขาผู้เซกซี่อย่างลึกล้ำอุ้มมาส่ง ถึงเตียง แทนที่จะนอนหลับแล้วฝันดี กลับฝันว่ามีผีผู้หญิงจีนโบราณมายืนจ้อง อยู่ข้างเตียงทั้งคืน กระทั่งตอนตื่นขึ้นมาก็ยังขนลุกไม่หายที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ผ่านไปอีกสองวันสองคืนเธอก็ยังคงฝันอยู่แบบเดิม
จนเริ่มๆ จะประสาทหลอน ที่หางตาคล้ายเห็นผีผู้หญิงในฝันปรากฏตัววอบแวบ ไปมาอยู่บ่อยครั้ง...อะ...ไอ้ประสบการณ์สั่นประสาทแบบนี้มันคืออะไร?
อาจูได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ
หรือพักนี้ชี้วิตจะดีงามเกินไป วิญญาณเร่ร่อนก็เลยไม่พอใจขึ้นมา?
เพิ่งปรากฏตัวเอาป่านนี้คงไม่ใช่วิญญาณเจ้าของร่างหรอกน่ะ...ใช่ไหม?
ด้วยความค้างคาใจอย่างหนัก รุ่งเช้าวันถัดมา ในโถงรับแขกของเรือนประธาน ขณะโดนท่านจ้าวหุบเขาถือวิสาสะทำกิจวัตรในรอบสองสามวันอย่างการฉวยข้อมือไปนวดคลึงเล่นด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อยราวกับคนว่างงาน เธอจึงอดออกปากถามขึ้นมาไม่ได้
“ซือฝุเจ้าขา...ท่านว่าที่นี่จะมีวิญญาณอาฆาตหรือไม่? ”
“อยู่เฉยๆ ” จอมเผด็จการบอกสั้นๆอาจูรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงใครมาเป่านกหวีดอัดหู หลังจากกะพริบตาหนึ่งปริบแล้วตั้งสตินึกๆ ดู ถึงได้รู้ว่าเป็นเสียงกรีดร้องในใจตัวเองนี่แหละฮรื้อออ เฮียขา นี่มันเซอร์วิสระดับไหนกัน! ไม่เอาแล้วค่า สามีอ๋อง สามีฮ่องเต้ หรือสามีแห่งชาติหน้าไหน ถ้ารอดตายได้กลับโลกปัจจุบันเมื่อไหร่ แม่จะเขียนนิยายให้พระเอกเป็นท่านจ้าวหุบเขาหน้านิ่งแต่ไวไฟออกมารัวๆไม่เพียงอุทิศตัวให้นั่งเปล่าๆ เก้าอี้มนุษย์กิตติมศักดิ์ยังนวดคลึงมือให้เธอต่อไปราวกับไม่มีอะไรผิดแปลกอีกด้วย อาจูจึงช่วยอำนวยความสะดวกด้วยการขยับตัวเอียงหน้าเข้าหาท่านจ้าวหุบเขาด้วยดวงตาซื่อใส เผื่อว่าเขาจะอยากอธิบายอะไรให้ฟังสักนิดซือฝุเจ้าขา...จะทำอะไรเจ้าคะ จวี๋ฮวาไม่เข้าใจจริงๆ นะ ❤อุ๊...! จู่ๆ ปอจูก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ขนแขนชูชันอะ...ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มัน...“ซือฝุ...” คราวนี้น้ำเสียงที่เปล่งออกจากริมฝีปากจิ้มลิ้มอิ่มงามเจือไว้ด้วยความกังวล“เงียบ” เก้าอี้มนุษย์ออกคำสั่งเสียงต่ำยามเขาขยับริมฝีปากพูด ลมอุ่นร้อนจะราดรดหน้าผากอันน่ารักน่าชังของจวี๋ฮวา ทำให้คนเริ่มหวาดหวั่นอุ่นใจขึ้นเล็กน้อยต่อให้ผีร้ายนั่นป
“ซือฝุเจ้าขา...ท่านว่าที่นี่จะมีวิญญาณอาฆาตหรือไม่? ”ซือฝุผู้หล่อเหลาเหลียวมองตาเธอเล็กน้อย“ทำไม”ทำไมน่ะรึ?“นับตั้งแต่สามคืนก่อน ศิษย์รู้สึกไม่ค่อยดีนัก ฝันว่ามีผู้หญิงน่ากลัวมายืนจ้องอยู่ข้างเตียง แล้วนับจากนั้นก็ดูคล้ายจะฝันเห็นนางมาตลอด...” อาจูตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา กึ่งหวาดกลัว กึ่งไม่แน่ใจ ดวงตาคู่งามชวนให้นึกถึงกวางน้อยหลงทิศนี่เธอไม่ได้ตั้งใจจะใช้เรื่องนี้มาอ้อนเขาจริงๆ นะ!“ดูคล้าย? ”“เจ้าค่ะ” เสี่ยวจวี๋ฮวากะพริบตาหนึ่งปริบอย่างแช่มช้อยเชื่องช้า “ศิษย์จำได้เพียงเลาๆ มันคลับคล้ายคลับคลา...คล้ายกับว่าศิษย์จะฝันเห็นนาง รู้สึกราวกับว่านางยืนอยู่ตรงนั้น...” พอเล่าถึงตรงนี้ คนไม่แน่ใจว่าโดนผีหลอกหรือไม่ใช่ก็กัดริมฝีปากเบาๆ “ศิษย์...ศิษย์ไม่แน่ใจนัก แต่นอกจากนี้ ศิษย์คิดว่ามักจะมองเห็นนางที่หางตา บางครั้งภาพที่เห็นจะหายไปรวดเร็ว แต่บางคราว ต่อให้กะพริบตาสักกี่ครั้งก็ยังอยู่ ไม่นึกว่าพอศิษย์หันกลับไปมองตรงๆ กลับไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดแม้แต่น้อย”พูดออกมาแล้วอาจูก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองนักจริตจะก้านที่เธอใช้กำลังดี แต่คำพูดคำจาที่ทำหลุดออกจากปากนี่สิ...ถึงนี่จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้
กลางเดือนสาม ดอกสาลี่และดอกท้อในหุบเขาบานสะพรั่ง...ทั้งอย่างนั้นดอกเบญจมาศก็ยังคงผลิดอกออกช่อ ราวกับลืมไปแล้วว่าควรผลิดอกควรแตกยอดในช่วงฤดูใดหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน อาจูก็ปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตในหุบเขาและท่านจ้าวหุบเขาผู้มีบุคลิกนิ่งเฉยคล้ายหุ่นไม้ไร้อารมณ์ความรู้สึกได้ดีจนตัวเองยังตกใจเวลานี้เธอไม่อึดอัดที่ต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่อีกต่อไป ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับฝ่ามือก็แทบจะไม่เกิดขึ้นราวปาฏิหาริย์ อีกทั้งร่างกายอันบอบบางของจวี๋ฮวาก็ไม่ได้เหนื่อยง่ายเท่าเมื่อครั้งเริ่มทำงานจิปาถะตามคำสั่งท่านจ้าวหุบเขาอีกแล้ว กระทั่งวันนี้มีบุรุษกลุ่มใหญ่หามร่างตกเขาไร้สติข้ามหุบเหวมาขอให้ท่านจ้าวหุบเขาช่วยต่อกระดูก ยื้อชีวิต ผู้ช่วยจำเป็นอย่างเธอจึงโดนสั่งให้คล้องผ้าปกปิดใบหน้าไปมากกว่าครึ่งท่อนอย่างจริงจังและโดนสั่งให้หมกตัวช่วยคัดแยกสมุนไพรในห้องเก็บสมุนไพรแคบๆ จนดึกดื่น เธอก็ยังไม่ได้รู้สึกอึดอัดอ่อนล้าสักเท่าไหร่ ที่รบกวนจิตใจมีเพียงความง่วงงุน ซึ่งจู่โจมราวกับอดีตนักเขียนประเภทชอบทำงานหามรุ่งหามค่ำกินนอนไม่เป็นเวล่ำเวลาอย่างเธอเป็นสตรีอนามัยจัดที่ในแต่ละวันของชีวิตต้องเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำค
รู้สึกหรือ...? ก็รู้สึกว่าท่านน่ากินมากยังไงล่ะ!แน่นอนว่าเธอตอบแบบนี้ไม่ได้...“มือเจ้า”เอ๋...? มือ?อาจูลดสายตาลงมองฝ่ามือน้อยๆ ของจวี๋ฮวาทันทีขาว...นอกจากความขาวอมชมพูดูมีเลือดฝาดก็ไม่ปรากฏร่องรอยอะไรให้ขัดตาแม้แต่น้อย!“รอยบวมช้ำพวกนั้น...”เขาบีบมือเธอเบาๆ “ทำแบบนี้เจ็บหรือไม่? ”“ไม่เจ้าค่ะ ไม่เจ็บแล้วสักนิด”“ดี” เขาปล่อยมือคู่น้อยแล้วผละจากไปทันทีเมื่อกิริยาไร้เยื่อใยและสีหน้าแววตานิ่งสนิทมารวมกัน อาจูจึงรู้สึกคล้ายโดนใครสักคนยกเท้ายันโครม ถีบตกจากสวรรค์ก่อนก้าวขาออกจากห้อง ราวกับท่านจ้าวหุบเขาจะนึกบางอย่างขึ้นได้เขาหยุดฝีเท้าแล้วออกคำสั่งเสียงขรึม“พรุ่งนี้ไม่จำเป็นต้องเริ่มงานตั้งแต่เช้าตรู่ เริ่มทำงานยามซื่อก็ยังไม่สาย จำไว้ว่านับแต่นี้ให้คล้องผ้าปกปิดใบหน้าเอาไว้ให้เป็นนิสัย ส่วนเรื่องกักบริเวณ...” เขาหยุดคิดเล็กน้อย “คืนนี้สำนึกผิดอยู่แต่ในห้อง ไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น”หือ...? คล้องผ้า...?การคล้องผ้าปิดหน้านี่นับเป็นการลงโทษรูปแบบใหม่หรือไง? แล้วที่ว่ากักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องอะไรนั่นก็ไม่ได้ต่างจากปกติสักหน่อย...?ไม่สิ...ไม่ถูก...หลังจากนึกไปนึกมา ใบหน้าเล็กๆ
แม้ภายในใจจะเอ็ดตะโรดังลั่น ลูกศิษย์ร่างน้อยก็ยังพยายามเก็บอาการ ปั้นหน้าซื่อใสไร้เดียงสาสุดฤทธิ์“ต่อให้เขากลับมาที่นี่อีก ก็ไม่กล้าทำเรื่องไร้หัวคิดอะไรแล้ว” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยคล้ายจะปลอบให้เธอวางใจ แน่นอนว่าขณะพูดประโยคนี้ เขาก็ยังคงนวดคลึงฝ่ามือเธออยู่...คนโดนสัมผัสเพียงแผ่วเบาจู่โจมจนเสียจริตได้แต่แสร้งทำหน้าโง่งมจ้องมองใบหน้าซือฝุผู้สูงส่ง ปล่อยให้มือนุ่มนิ่มบอบบางโดนมืออันแข็งแกร่งรังแกเอาตามใจ ทุกครั้งที่เขาขยับปลายนิ้ว เธอจะรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านออกมาอย่างน่าประหลาด ความร้อนที่ว่านี้ไม่ได้ทำให้เจ็บปวด ตรงกันข้าม มันกลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายระคนวาบหวามจนอดสงสัยไม่ได้ว่านี่เป็นเทคนิคประเภทไหนกันแน่เพราะเขาไม่พูด และเธอก็ไม่รู้จะพูดอะไร อาจูจึงคิดว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าเธอจะปล่อยให้ความเงียบครอบงำ...เคยมีคนพูดไว้ว่าคนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด แต่คนฉลาดจะเป็นเหยื่อของคนแกล้งโง่ ในเมื่อจ้าวหุบเขาผู้นี้ยากจะต่อกรเกินไป ไม่ว่าเขาจะจงใจหรือไม่ หนนี้เธอจะแกล้งปล่อยให้เขาชนะและได้เป็นฝ่ายควบคุมไปก่อน ตราบใดที่ท้ายที่สุดแล้วเธอพึงพอใจและได้ประโยชน์ ใครจะเชิดหน้าชูคอว่าชนะแล้วอย่า
เพราะท่านจ้าวหุบเขาไม่ชิงช่วยต่อประโยคให้เหมือนครั้งก่อนๆ หน้า เธอจึงช่วยอำนวยความสะดวกด้วยการตั้งคำถามให้ชัดเจนยิ่งขึ้น “โจรแปลกหน้าผู้นั้นเป็นใครมาจากไหนกัน? ”“โจรไร้หัวคิดผู้นั้นคือคุณชายใหญ่ของสำนักคุ้มภัยสกุลซุน ซุนเย่” ท่านจ้าวหุบเขาตอบเสียงเรียบเธอจงใจเลือกใช้คำว่าโจรให้ตัวเองยิ่งดูอ่อนต่อโลก ไม่นึกว่าท่านจ้าวหุบเขาจะเลือกใช้คำเดียวกัน หนำซ้ำยังเติมคำว่าไร้หัวคิดให้อีกด้วยเอ...? ซือฝุเจ้าขา เท่าที่ข้าจำได้ สามวันก่อนท่านเคยพูดว่าคุณชายใหญ่สกุลซุนเป็นคนไข้เงินหนา แล้วเหตุใดวันนี้จึงกลายเป็นโจรไร้หัวคิดไปได้เล่า?ตอนนี้เธอเริ่มอยากรู้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว“น่าแปลกนัก...เพราะเหตุใดคุณชายใหญ่จากสำนักคุ้มภัยจึงกลายเป็นโจรไปได้” เธอทำหน้าราวกับประหลาดใจที่โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องร้ายกาจเหนือความคาดหมายลูกศิษย์ผู้อ่อนต่อโลกเอียงคอเล็กน้อย ดวงตาซื่อใสฉายแววครุ่นคิด“ไม่ใช่ว่าเขาเคยเป็นคนไข้ของท่านหรือ? ”“เคยเป็น และกำลังเป็น”อะไรคือเคยเป็นและกำลังเป็น?ก่อนที่เธอจะได้ถามอะไร อีกฝ่ายก็ขยับริมฝีปากพูดต่อเสียก่อน“ไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือพูดเรื่องคนผู้นี้อีก เขาไม่ใช่ตัวดีอะไร”นี่ถ้าท่