“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]
บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเอง
เห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”
กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยาย
ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ
“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ “อาการเขาไม่หนักหนาเท่าคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน หากคอยดูแลตามที่เคยบอกไว้อย่างเคร่งครัด ระมัดระวังไม่ให้สมดุลธาตุปั่นป่วนจนเกิดโรคแทรกซ้อน อีกไม่เกินห้าวันตุ่มหนองพวกนี้จะค่อยๆ แข็งตัวและตกสะเก็ดไปเอง”
“ที่แท้ก็เป็นอาการตามปกติ” หญิงชราถอนหายใจโล่งอก ค้อมศีรษะคำนับท่านหมอเทวดา “พวกเรากลับแตกตื่นโวยวายถึงเพียงนี้...นับว่าเป็นการรบกวนท่านหมอหูและฮูหยินโดยแท้”
ท่านจ้าวหุบเขาไม่ตอบอะไร ในสายตามีเพียงสมุนไพรตรงหน้าเท่านั้น
นางทำท่าจะค้อมศีรษะคำนับ “ฮูหยินท่านหมอหู” ด้วยอีกคน แต่อาจูรีบจับประคองแขนห้ามไว้ “ท่านป้าขอบคุณท่านหมอก็พอ ข้าไม่ได้ช่วยเหลืออะไร ไม่บังอาจน้อมรับคำนับนี้จากผู้ชราได้”
“จะได้อย่างไร!” หญิงชราอยากจะทำความเคารพแสดงความขอบคุณและขอขมาสักครั้ง แต่อาจูก็ยึดแขนไว้แน่น สุดท้ายแม่เฒ่าสวีจึงเป็นฝ่ายยอมละการคำนับด้วยความเกรงใจ กล่าวเพียงว่า “ผู้ชราเข้าใจแล้ว” จากนั้นเลื่อนมือเหี่ยวย่นขึ้นแตะหลังมือฮูหยินของผู้มีคุณแผ่วเบา คล้ายอยากกุมอยากจับก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสม ใบหน้าแก่ชราเปื้อนยิ้ม แววตาเต็มตื้น ครู่หนึ่งก็หันไปกุมมือลูกสะใภ้ข้างกาย ยอมรับผิดอย่างตรงไปตรงมา
“เมื่อเช้าข้าโวยวายใส่ลูกสะใภ้เสียใหญ่โตให้ไปตามท่านหมอมาที่นี่ ดุด่าที่นางดื้อรั้นไม่ยอมให้พาอาเป่าไปรักษารวมกับคนอื่นๆ ในใจยังอยากจะตีนางให้ตาย แม้นางจะพูดอะไรก็ไม่แม้แต่จะมองหน้า” นางบีบมือลูกสะใภ้แน่นขึ้น “เซียนเหยียนคนดี...ระยะนี้แม่มักจิตใจไม่สงบ ที่แม่พลั้งปากไป เจ้าก็อย่าได้ถือสาแม่เลยนะ”
“ท่านแม่...ข้าจะกล้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร” ลูกสะใภ้สกุลสวีกล่าวด้วยใบหน้าสงบเสงี่ยมอ่อนน้อม ทั้งน้ำเสียงและกิริยาแผ่กลิ่นอายสตรีอ่อนโยนมากคุณธรรม ดูน่าเลื่อมใส
แม่เฒ่าสวีจ้องมองใบหน้างดงามเกลี้ยงเกลาของลูกสะใภ้แล้วทอดถอนใจ ยิ่งมองดวงตาหญิงชราก็ยิ่งฉายแววเอ็นดูรักใคร่ เอ่ยคล้ายลืมไปชั่วครู่ว่ายังมีแขกยืนอยู่ตรงนี้ “ตั้งแต่อาสงแต่งเจ้าเข้ามา สตรีที่ดูผิวพรรณก็รู้ว่าเกิดในตระกูลดีอย่างเจ้าไม่เพียงไม่รังเกียจที่พวกเราเป็นชาวบ้านยากจนยังกตัญญูบิดามารดาสามีและบรรพบุรุษ ต่อมาสามีข้าตายจาก อาสงตัดสินใจเลิกเป็นพรานหันมาทำมาค้าขาย มักอยู่ไม่ค่อยติดหมู่บ้าน เจ้าก็คอยอยู่เป็นเพื่อน เอาใจใส่ดูแลข้าราวกับเป็นมารดาแท้ๆ ทั้งยังคลอดอาเป่าให้พวกเราด้วยความยากลำบาก แต่ละวันทำงานหนัก เสื้อผ้างดงามไม่เคยได้สวมใส่ ตอนนี้อาเป่าล้มป่วยข้าช่วยแบ่งเบาให้เจ้าไม่ได้สักนิดยังดีแต่โวยวาย...มีครอบครัวสามีเช่นนี้ ช่างลำบากลูกสะใภ้จริงๆ”
ลูกสะใภ้กุมมือแม่สามีกลับ ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ท่านแม่...หากตัวข้าในตอนนั้นไม่ได้พี่สงช่วยเอาไว้ ข้าไหนเลยจะมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ข้าดีใจที่ได้พบกับครอบครัวและคนรักที่มีน้ำใสใจจริงต่อกันเช่นนี้...” ลูกสะใภ้แสนดียังคงเอ่ยต่อไป “อันที่จริงตัวข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ลำบากอะไร ในบ้านหลังนี้เหลือเราเป็นผู้ใหญ่อยู่สองคน มีเพียงข้าที่เคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้ ยังไม่นับอีกว่าข้าเป็นแม่ของเขา มารดาที่ไม่เสี่ยงต่อการติดโรคร้ายเช่นข้าคอยดูแลบุตรของตนชิดใกล้ก็นับว่าเหมาะสมดีแล้ว...ท่านแม่อย่าได้คิดมากจนเกินไป”
อาจูมองฉากแม่สามีรักใคร่สะใภ้กตัญญูแล้วอดชื่นชมไม่ได้
ไหนใครบอกว่าแม่ผัวลูกสะใภ้เหมือนน้ำกับน้ำมัน มาดูแม่ผัวลูกสะใภ้คู่นี้สิ...ไม่เห็นจะจริง
ตอนนี้แม่เฒ่าสวีถึงขั้นหลั่งน้ำตาเลยด้วยซ้ำ!
[1] เตียงซึ่งมีช่องว่างสำหรับจุดไฟให้ความร้อนอยู่ด้านล่าง ด้านหนึ่งมีปล่องสำหรับใช้ระบายควันออกไปนอกตัวบ้าน มักสร้างติดกับห้องครัวเพื่ออาศัยความร้อนจากการหุงหาอาหารช่วยอุ่นเตียงไปในตัว
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo