สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียที
อาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?
อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจ
ช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...
จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไป
ท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อย
ถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
แม้บ้านร้างเจ้าของตายจากที่เยว่เทียนฟงให้คนของตนจัดเตรียมไว้ให้จะมีถึงสองหลัง แต่ก็เป็นเพียงบ้านขนาดกว้างยาวไม่กี่วากับกระท่อมฟางหลังเล็กๆ ที่เหมาะสำหรับให้เธอและท่านจ้าวหุบเขาพักอาศัยกันคนละหลัง เมื่อมีกลุ่มของอาจารย์ป้าเพิ่มขึ้นมา จึงจำเป็นต้องใคร่ครวญเรื่องที่พักกันใหม่อีกหน
ไม่นึกว่าขณะเยว่เทียนฟงเปรยเรื่องที่คงไม่อาจจัดหาที่พักที่เหมาะสมเพิ่มให้ได้อีกแล้วออกมา ท่านจ้าวหุบเขากลับพูดจาเสียสละที่พักของตนให้ศิษย์ผู้พี่แล้วก้าวขาเข้าที่พักลูกศิษย์ได้หน้าตายเป็นอย่างยิ่ง เสี่ยวจวี๋ฮวาจึงต้องพลอยตีหน้านิ่ง เดินตามซือฝุเข้านั่งพักในบ้านหลังเล็กเงียบๆ ตามประสาลูกศิษย์ว่านอนสอนง่าย
ขออภัย...ไม่ใช่ว่าข้าไม่กังวลเรื่องชื่อเสียงและความเหมาะสม...
วัดจากแววตาคมปลาบที่วาบขึ้นในตาอาจารย์ป้าผู้นั้น ขืนมัวละล้าละลังอยู่ข้างนอกนั่น เสี่ยวจวี๋ฮวาคงมีอันต้องย้ายตัวเองไปนอนร่วมชายคากับศิษย์พี่หญิงของท่าจ้าวหุบเขา...ขืนไปนอนร่วมชายคากับผู้เชี่ยวชาญด้านพิษที่เกลียดชังกันถึงขั้นไม่มองหน้า เผลอขึ้นมาเมื่อไหร่ต้องโดนจับหนอนพิษยัดเข้าร่างแบบในหนังจีนกำลังภายในพวกนั้นแน่ๆ
เสี่ยวจวี๋ฮวาขนแขนลุกชูชัน เสียวสันหลังวาบ แต่ใบหน้าสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง
อยู่ในหุบเขาเดียวดายมาจนถึงตอนนี้ ได้ความรู้ติดตัวมาไม่เท่าไหร่ วรยุทธกับกำลังภายในไม่ต้องพูดถึง แต่โดยที่ไม่รู้ตัว ทักษะเกี่ยวกับหนังหน้ากลับพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แม้แต่แววตานิ่งเฉยเหมือนไม่หือไม่อือต่อสิ่งใดยังลอกเลียนซือฝุมาได้ไม่ผิดเพี้ยน
“พวกเขาช่างสมกับที่เป็นศิษย์อาจารย์กันจริงๆ” เยว่เทียนฟงกล่าวกับศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา น้ำเสียงชื่นชมประสมเลื่อมใส ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพูดประโยคนี้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูสุภาพสำรวม ทว่ากวนตะกอนอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง
แม้จะกระทำตัวน่าตีให้ตายถึงเพียงนั้น เย็นวันนั้นเยว่เทียนฟงกลับให้คนยกตั่งที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ แต่คงทนไม่เบาเข้ามาให้ กระทั่งชุดเครื่องนอนก็จัดเตรียมไว้ได้อย่างเหมาะสม ไม่เธอก็ท่านจ้าวหุบเขาคนใดคนหนึ่งจึงไม่ต้องทนนอนบนพื้นเย็นๆ หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกันมาแล้วทั้งวัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโรคระบาดหรือเปล่า ยามตะวันตกดินของหมู่บ้านสือหูแห่งนี้ค่อนข้างเงียบสงัด เต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกๆ ที่ชวนให้รู้สึกอึดอัด
หลังจากทำแผลใส่ยากันอย่างเงียบงัน ใต้แสงตะเกียงมืดสลัว เห็นท่านจ้าวหุบเขาลุกเดินไปเอนตัวลงนอนบนตั่งแคบๆ นั่นแล้ว อาจูอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “อันที่จริงพวกเราอยู่ร่วมชายคาแบบนี้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ชื่อเสียงของท่าน...”
“พวกชาวบ้านเรียกข้าว่าอย่างไร” ท่านจ้าวหุบเขาถามกลับ
“พวกเขาเรียกท่านว่า ‘ท่านหมอหู’ ”
“แล้วพวกเขาเรียกเจ้าว่าอย่างไร”
“คล้ายจะ...เรียกเป็นฮูหยินของท่าน...” ต่อให้เธอบอกว่าไม่ใช่ คนของ
เยว่เทียนฟงก็ยังเรียกเธอเป็นฮูหยินของท่านจ้าวหุบเขาทุกคำ แม้แต่คนที่น่าจะรู้ตื้นลึกหนาบางดีกว่าใครอย่างประมุขสมาพันธ์น่าตายนั่นก็ยังพลอยบ้าจี้เรียกตาม แล้วพวกชาวบ้านที่ไหนจะกล้าเรียกเป็นอย่างอื่น...เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าหงุดหงิดที่แก้ไขอะไรไม่ได้จริงๆตอบออกมาแล้ว อาจูก็ร้อง “อ้อ” ในใจ
ในเมื่อในสายตาพวกชาวบ้านเสี่ยวจวี๋ฮวากับท่านหมอหูเป็นสามีภรรยา สามีภรรยาอยู่ร่วมชายคาย่อมไม่นับว่าเป็นเรื่องผิดธรรมเนียม...
“ทำเช่นนี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว” เอ่ยปริศนาธรรมเท่านี้ ท่านจ้าวหุบเขาก็พลิกตัวหันหลังให้ คล้ายไม่ต้องการพูดคุยเรื่องนี้อีก อาจูจึงต้องดับตะเกียงเข้านอนพร้อมผู้ชายคนหนึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิต
ลูกศิษย์ที่คิดว่าตัวเองจิตใจใสสะอาดขึ้นมากแล้ว เหลียวมองภาพซือฝุนอนตะแคงเหยียดตรง อาภรณ์สีขาวแนบกระชับตามแนวกล้ามเนื้อกับสะโพกและส่วนเอวที่เว้าเข้ามาได้อย่างมีศิลปะ แล้วลอบกลืนน้ำลาย
จะนอนหลับลงไหมหว่า...
ทั้งๆ ที่คิดแบบนั้น ร่างน้อยๆ วัยแรกแย้มกลับผล็อยหลับภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ
ในความฝัน อาจูคล้ายจะได้ยินเสียงคุ้นหูเสียงหนึ่ง พึมพำแผ่วเบา
“...ไม่คล้ายสตรีที่เติบโตในวังหลวงโสมมนั่นเลยจริงๆ”
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo