อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำ
อา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...
ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้
ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว
“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ
“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”
ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้
ท่านจ้าวหุบเขาไม่แม้แต่จะมองใบหน้าหญิงงาม ทำเพียงส่งหีบบรรจุข้าวของเครื่องใช้ให้ลูกศิษย์ช่วยถือ เอ่ยเสียงต่ำ
“ในหมู่บ้านยังมีเรื่องรอให้สะสางอีกมาก ฮูหยิน...เชิญ”
ฮะ...ฮูหยิน!
อาจูหันหน้าขวับ เบิกตามองคนพูด หมดความสนใจใบหน้าชวนเคลิบเคลิ้มหลงใหลของสะใภ้สกุลสวีทันที
“ซือ...” พูดยังไม่ทันจะจบคำ ท่านจ้าวหุบเขาก็ฉวยข้อมือลูกศิษย์ที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นฮูหยิน พาเดินออกจากบ้านสกุลสวีทั้งอย่างนั้น ดวงตาที่มักจะสงบนิ่งฉายแววคมปลาบ ยากจะอธิบาย
เมื่อก้าวขาออกห่างบ้านสกุลสวีมากหน่อย ท่านจ้าวหุบเขากำชับลูกศิษย์เสียงขรึม ดูจริงจัง “กลับถึงหมู่บ้านแล้วรีบชำระล้างร่างกายให้สะอาด ต่อแต่นี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ไม่ต้องข้องแวะกับพวกบ้านสกุลสวีให้มากนัก”
“เอ๊ะ...?”
วัดจากท่าทีสุภาพเป็นมิตรของครอบครัวสกุลสวี อาจูค่อนข้างแปลกใจ กำลังจะอ้าปากถาม ชายใบหน้าซูบเซียวสองคนก็ช่วยกันแบกร่างหมูตัวเขื่องเดินสวนทางมา ภาพหมูเบิกตาโพลงทำเอาอาจูผงะ เผลอทำประโยคที่คิดอยู่ในหัวกระเด็นกระดอนออกจากสมองไปง่ายๆ
“มันตายแล้ว”
ประโยคนี้จากท่านจ้าวหุบเขาช่วยให้อาจูเรียกสติกลับคืนมาได้นิดหน่อย
ในช่วงชีวิตก่อนที่เธอจะวิญญาณทะลุมิติข้ามเวลามาอยู่ในร่างนี้ ใครสักคนเคยว่าไว้... “ดุร้ายน่ากลัวก็ช่าง น่ารักไร้พิษสงแค่ไหนก็ช่าง สิ่งที่เกิดมาเพื่อเป็นอาหาร สุดท้ายแล้วก็ต้องกลายเป็นอาหารอยู่ดี”
ต่อให้ไม่คิดเรื่องกลิ่นรบกวน หมู่บ้านกลางหุบเขาที่เต็มไปด้วยผู้ป่วยและมีคนแปลกหน้าจำนวนมากให้เลี้ยงดูก็ยังต้องการอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย...
สุดท้ายพวกหมูร่างอ้วนตันในหมู่บ้านนี้ ก็ค่อยๆ ถูกเชือดไปทีละตัวสองตัวจริงๆ
เมื่อมีหมอ มียา และมีอาหารพร้อมสรรพ เหล่าผู้ป่วยก็ค่อยๆ อาการดีขึ้นตามลำดับ
เวลานี้ท่านจ้าวหุบเขาตัดไหมเย็บแผลเรียบร้อยแล้ว ดูเผินๆ ก็เหมือนจะอาการดีขึ้นมาก แต่หลังจากที่ได้มากินอยู่หลับนอนร่วมชายคา อาจูก็ค้นพบความลับน่าตกใจเรื่องที่ท่านจ้าวหุบเขาผู้นี้ต้องดื่มยาบางอย่างอย่างต่อเนื่อง พอตะล่อมถามว่าเป็นยาอะไรก็บอกเพียงว่าไม่ใช่ของสลักสำคัญ
ถ้าไม่สำคัญแล้วทำไมจะต้องกินทุกวัน?
อาจูอยากจะถามคำนี้ แต่ไม่ทันจะได้ถามก็โดนตักเตือนเรื่องที่ไม่ได้ฝึกฝนลมปราณขั้นต้นมานาน จากนั้นมหกรรมการนั่งสมาธิจับสังเกตการไหลเวียนของกระแสต่างๆ ในร่างกายจนเหน็บกินก็มีอันต้องเริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างทุกข์ทรมานจนอยากขอลาออกจากความเป็นลูกศิษย์ของหุบเขาเดียวดาย
ยามนี้เยว่เทียนฟงพาองครักษ์จำนวนหนึ่งออกสืบสาวราวเรื่องตามเบาะแสใหม่ สักสองสามวันจึงจะได้พบหน้ากันสักครั้ง ทั้งอย่างนั้นทุกครั้งที่มาพบจ้าวหุบเขาหลี่ ประมุขสมาพันธ์น่าตายผู้นี้ก็ยังไม่วายหาเรื่องกวนตะกอนอารมณ์ผู้อื่นได้ทุกครั้ง ครั้งล่าสุดก็ตีหน้าซื่อพูดจาออกตัวต่อหน้าศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขาและพวกชาวบ้านว่า “แม้สุภาพชนมิบังควรล่วงล้ำเรื่องในเรือนผู้อื่น อีกทั้งตระกูลท่านหมอยังมีธรรมเนียมการฝึกฝนตนเองตามศาสตร์แห่งเต๋าแตกต่างจากตระกูลอื่นๆ ในพื้นที่แถบนี้ ทว่าท่านหมอหูและฮูหยินล้วนเป็นที่รัก ข้าประมุขเห็นแล้วอดสอดปากสักเล็กน้อยมิได้” จากนั้นก็ทำท่าลังเลเล็กน้อย ก่อนกลั้นใจกล่าวว่า “ท่านหมอหู...ท่านก็อย่าได้เคี่ยวกรำฮูหยินน้อยให้มากนัก หากนางเกิดล้มป่วยขึ้นมา เหล่าชาวบ้านที่คอยสวดมนต์ขอพรให้ฮูหยินหูสุขภาพแข็งแรงมีบุตรธิดาให้ท่านอุ้มในเร็ววันคงไม่แคล้วต้องผิดหวังแล้ว!” แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวก็พลังทำลายล้างสูงส่ง ทำเอาอาจารย์ป้าหน้าเด็กถึงขั้นคลี่ยิ้มเจิดจ้า จ้องมองเสี่ยวจวี๋ฮวาด้วยแววตาหวานล้ำจนน่าเสียวไส้
ลำพังแค่ทุกคนเรียกข้าเป็นฮูหยินของสามี...เอ้ย! ฮูหยินของหมอเทวดาแซ่หู ตัวตนปลอมๆ ของจ้าวหุบเขาหลี่ ทั้งยังกินอยู่หลับนอนร่วมชายคา ในใจอาจารย์ป้าผู้นี้ย่อมไม่พอใจมากอยู่แล้ว ประมุขที่น่าฆ่าให้ตายอย่างท่านยังจะช่วยสุมฟืนใส่ไฟอีกทำไม!
[1] สำเนียงจีนกลาง 姐姐 หมายถึงพี่สาว ถ้าเป็นแต้จิ๋วจะออกเสียงว่าเจ่เจ้
อาจูจ้องมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์ที่จับประคองหญิงชราอยู่อีกฝั่ง ยิ่งมองก็ยิ่งพลอยรู้สึกชื่นชมลูกสะใภ้คนดีของแม่เฒ่า ทั้งยังรู้สึกว่าใบหน้านางดูงดงามตรึงตาตรึงใจพาให้อยากถลาเข้าไปกอดเรียวขาใต้ชุดสีเขียวเข้มขับผิวที่น่าจะเรียวงามไม่แพ้ท่อนแขนกลมกลึงนั่น เอาหน้าถูไถ เรียกนางว่าเจี่ยเจีย[1]คนดีสักหลายๆ คำอา...นี่คงเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจตามธรรมชาติของ “โฉมงามกลางป่าเขา” ที่คนเขาว่ากันละมั้ง...ยิ่งมองอาจูก็ยิ่งอยากจะทรุดตัวลงนั่งราบไปกับพื้นเสียเดี๋ยวนี้ขณะแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ชื่นชมกันไปมา ท่านจ้าวหุบเขาก็จัดเตรียมสมุนไพรที่ต้องใช้ไว้ให้ครบถ้วนดีแล้ว“แม้จะเคยล้มป่วยด้วยโรคชนิดนี้มาก่อนก็ไม่แน่ว่าร่างกายจะต้านทานโรคได้เสมอไป หากมีไข้เมื่อไหร่ สมควรรีบไปตรวจรักษาทันที” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยสั้นๆ“เซียนเหยียนทราบแล้ว...” สะใภ้สกุลสวีเอ่ยเสียงแผ่ว ฟังดูดึงดูดใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเหยียนขอบคุณเซียนเซิงที่มีใจเมตตา”ยิ่งนางเปิดปากพูดออกมา อาจูก็ยิ่งละสายตาจากริมฝีปากทรงเสน่ห์บนใบหน้าขาวผ่องไม่ได้ท่านจ้
“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอ อาการอาเป่าของพวกเราย่ำแย่มากหรือไม่!” หญิงชราสูงอาวุโสที่สุดในบ้านผุดลุกจากเก้าอี้ทันทีที่จ้าวหุบเขาหลี่ละสายตาจากเด็กตัวจ้อยบนเตียงเตา[1]บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากบ้านหลังอื่นๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่นอกตัวหมู่บ้าน...หญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือแม่เฒ่าสวีนักปลุกปั่นนั่นเองเห็นแม่เฒ่าสวีและลูกสะใภ้ทำท่าจะเดินเข้าไปดูทายาทตัวน้อย อาจูรีบปราดเข้าช่วยศรีสะใภ้รูปร่างอ้อนแอ้นเหมือนหนึ่งจะปลิวลมของครอบครัวสกุลสวีประคองหญิงชรา เจตนาที่แท้จริงคือรั้งไว้ “ท่านป้าอย่าได้เข้าใกล้นัก ระยะนี้พวกท่านจะติดโรคระบาดจากอาเป่าได้ง่าย”กระทั่งตอนนี้ ขณะตรวจรักษาโรคระบาด ท่านจ้าวหุบเขาก็ยังให้ลูกศิษย์เพียงยืนดูอยู่ห่างๆ เหมือนเมื่อครั้งอยู่ในวัดร้างไม่มีผิด เสี่ยวจวี๋ฮวาที่ว่างงานจึงกลายร่างเป็นเจ้าหน้าที่ญาติผู้ป่วยสัมพันธ์ รับหน้าที่คอยกันไม่ให้พวกเขาเข้าไปรบกวนการรักษาโดยปริยายท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองมือลูกศิษย์ที่จับประคองเจ้าบ้านเล็กน้อย ชั่วขณะนั้น ดวงตาคู่คมเจือร่องรอยไม่ชอบใจ“ตุ่มหนองพวกนี้ดูแย่ลงก็จริง ทว่าเป็นอาการตามปกติของโรค” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยเรียบๆ
สตรีแซ่เซี่ยยังคงบอกเล่าสถานการณ์ด้วยตนเองอีกครู่ใหญ่ อาจูเห็นท่านหมอยุคเก่าแก่โบราณสองคนพูดคุยกันก็ปั้นหน้าสงบเสงี่ยมยืนฟังด้วยความสนใจ สองหูฟังไป สองตาก็ลอบจับสังเกตศิษย์พี่หญิงของท่านจ้าวหุบเขา ต่อให้ส่วนหนึ่งในใจจะค่อยๆ คล้อยตามว่าครั้งนี้อาจารย์ป้าหน้าเด็กอาจมาด้วยเจตนาดีจริงๆ ลางสังหรณ์บางอย่างในใจกลับไม่ยอมหายไปเสียทีอาจารย์ป้าผู้นี้...มาดีจริงๆ น่ะรึ?อาจูอยากจะยกมือขึ้นนวดขยับ ยิ่งคิดว่าพักนี้ต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอใช้ใบหน้าเด็กๆ นี่ขมวดคิ้วสร้างริ้วรอยจนใบหน้าแก่ก่อนวัยก็ยิ่งกว่าหนักอกหนักใจช่างเถอะ ถึงยังไงที่นี่ก็ต้องการแรงงาน...จังหวะอาจารย์ป้ากวาดตามองผ่านมา เสี่ยวจวี๋ฮวาคลี่ยิ้มอ่อนหวานเจิดจ้ายิ่งกว่าผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนางงามจักรวาล ทว่าอีกฝ่ายกลับมองผ่านเลยไปท่าทีนี้ช่วยให้อาจูสบายใจขึ้นเล็กน้อยถ้าเซี่ยอะไรสักอย่างเหยาๆ นางนี้ทำถึงขั้นคลี่ยิ้มให้ ศิษย์หลานตาดำๆ อย่างจวี๋ฮวาคงไม่แคล้วต้องเกาะติดอาจารย์ทั้งวันทั้งคืน เพื่อป้องกันสตรีคลั่งรักผู้หนึ่งย่องมาบีบคอตอนหลับหรือซัดเข็มพิษเล่มโตลอบสังหารแล้ว...
จู่ๆ ความสลดหดหู่ปนโกรธเกรี้ยวก็พวยพุ่งขึ้นในใจคนฟัง กระทั่งอาจูเองยังกำหมัดแน่น ยากจะสงบอารมณ์เป็นตอนนี้เอง ที่อาจูรู้สึกถึงเหงื่อเย็นชื้นบนฝ่ามือตัวเองท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนหันกลับมาผ่าลำไส้ทั้งหมด ตรวจสอบของเสียตกค้างอย่างละเอียด จากนั้นหันกลับไปตรวจดูเล็บมือและเล็บเท้าซ้ำอีกหน“ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นแล้วจริงๆ” ท่านจ้าวหุบเขาสรุปสั้นๆประมุขสมาพันธ์ผู้ต้องแบกรับเรื่องนี้ฟังแล้วยิ่งขบกรามแน่นจนขึ้นสัน“สารเลวพวกนั้นช่างระมัดระวังรอบคอบเกินไปแล้ว”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก” ท่านจ้าวหุบเขาเหลียวมองเชือกที่คนร้ายใช้มัดร่างเด็กเอาไว้ เอ่ยไม่ดังไม่เบา “ประมุขเยว่คงไม่ทันสังเกตว่าเทียนเฉาตอนล่างมีวัฒนธรรมการฟั่นเชือกแตกต่างจากพื้นที่อื่นเล็กน้อย...พวกนั้นจะจงใจทิ้งร่องรอยหรือไม่ได้ตั้งใจก็ช่าง ถ้าอย่างไรลองสืบสาวจากเชือกพวกนี้ดู ไม่แน่ว่าอาจช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย”สีหน้าเยว่เทียนฟงดูดีขึ้นเล็กน้อย“ศพเหม็นเน่ามากแล้ว ฝังให้ลึกๆ แทนการเผาจะดีกว่า...น้ำใน
มองจากที่ไกลดูเหมือนใกล้ แต่เมื่อต้องเดินเท้ากันจริงๆ แล้ว บ่อพักน้ำตีนผาที่ว่านี้ กลับอยู่ห่างจากเขตที่พักอาศัยไม่น้อยยิ่งเดินเข้าใกล้ กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงก็ยิ่งโดดออกจากกลิ่นปศุสัตว์ ตอกย้ำให้ผู้มาเยือนตระหนักว่าในบ่อพักน้ำมีศพเด็กคนหนึ่งนอนแช่อยู่จริงๆ“ตรงนั้นขอรับ” องครักษ์ผู้รับหน้าที่นำทางรีบชี้เป้า “ศพโดนผูกไว้กับหลักไม้หลังพงหญ้านั่น”อาจูยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกอีกชั้น แทบไม่อยากหายใจ เพียงก้าวขาเดินกันต่อไปแค่ไม่กี่ก้าว กลิ่นเน่าเหม็นชวนคลื่นเหียนแฝงกลิ่นสาบคล้ายโคลนก็ลอยมาเตะจมูก ทำเอาชาวบ้านหลายคนที่ตามมาดูต้องโก่งคออาเจียนกันอีกหน แม้แต่คนของเยว่เทียนฟงก็ยังหน้าเขียวหน้าดำ บรรยากาศคุกรุ่นที่เพิ่งจะสงบลงคล้ายถูกแทนที่ด้วยกระแสอารมณ์วิตกกังวลและหวาดผวาบ่อพักน้ำแห่งนี้มีขนาดกว้างยาวเพียงด้านละราวๆ สามถึงสี่วา หากไม่นับเรื่องกลิ่นที่โชยคลุ้งและฟองสีขาวบนผิวน้ำ ก็ยังนับได้ว่าที่นี่ดูสะอาดตา ไร้วี่แววศพเด็กที่ว่า ทั้งอย่างนั้นตำแหน่งที่ผู้นำทางเดินไปหาก็เป็นตำแหน่งที่พงหญ้าสูงท่วมศีรษะ เหมาะแก่การซุกซ่อนข้าวของเป็นอย่างยิ่ง
“มีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ!” ทันทีที่ได้ยินว่ามีศพอยู่ที่บ่อพักน้ำ พวกชาวบ้านในลานพลันหน้าเผือดสี หลังจากส่งต่อประโยคสั้นๆ ประโยคนี้เพียงชั่วครู่ หญิงชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถึงขั้นโก่งคออาเจียน ที่ดูคล้ายคนเจ็บไข้ได้ป่วยกันอยู่แล้วก็ยิ่งดูเหมือนคนล้มป่วยยิ่งขึ้นสวรรค์! เกิดโรคระบาดก็แย่แล้ว ต้นคลองส่งน้ำเข้าหมู่บ้านยังมีศพแช่อีกรึ!“ท่านประมุข หรือว่าศพนั่นจะเป็นตัวก่อโรค!” ชาวบ้านชายที่รูปร่างกำยำที่สุดในกลุ่มถามเสียงเครือ ดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าอิดโรยเหมือนพร้อมจะหลั่งน้ำตาออกมาทุกเมื่อ “เช่นนั้นพวกเราทุกคน...”“ต้องรอตรวจโรคกันก่อนจึงจะบอกได้” ท่านประมุขผู้ถูกถาม ตอบเสียงขรึม “ระหว่างนี้บอกให้ทุกคนเลิกแตะต้องน้ำจากคลองส่งน้ำนั่น หากจำเป็นต้องนำมาใช้ ต้องต้มให้นานๆ หน่อยถึงจะดี” รับมือกับโรคระบาดชนิดนี้มานาน เยว่เทียนฟงเองก็ได้พื้นความรู้ติดตัวมาไม่น้อยเหมือนกัน“จ้าวหุบเขา เชิญ&rdquo