“แล้วท่านเห็นหรือไม่ว่านางเป็นใคร”
“นางใช้ผ้าปิดหน้าและราตรีนี้แทบไม่มีแสงจันทร์ จึงไม่อาจรู้ได้เลยว่านางเป็นใคร แต่นางมิใช่ธรรมดาเพราะสามารถฆ่าหมาป่าตัวใหญ่ด้วยวิทยายุทธ์ไม่ถึงหนึ่งกระบวนท่า”
“ท่านได้สับประยุทธ์กับนางหรือไม่”
“ข้าพลาดท่าและนางหนีไปเสียก่อน แต่ฝีมือของนางมิใช่ธรรมดาเลย ฟางซิน...นั่นชุดของเจ้าเปื้อนเลือด!”
จิ้นเหอก้มลงมองที่ชายกระโปรงของหญิงสาว ฟางซินชะงักกึก นางมิทันสังเกตด้วยซ้ำว่าชุดของนางเปื้อนเปรอะโลหิต คงเป็เมื่อครู่ที่นางใช้กลีบดอกไม้ปลิดวิญญาณล้มเจ้าหมาป่าดุร้ายตัวนั้นอย่างรวดเร็วฉับไว
“อ้อ...เลือดที่ข้อเท้าของข้าเองนั่นล่ะท่านจิ้นเหอ...เอ้อ...ข้าเผลอเดินสะดุดขาโต๊ะจึงมีเลือดไหลออกมา”
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็โล่งใจ แต่เจ้าต้องระมัดระวังตัวเพราะข้าชักไม่แน่ใจว่าจะมีผู้ประสงค์ร้ายอยู่แถวนี้อีกหรือไม่ หากมิมิสิ่งใดแล้วข้าก็คงต้องขอตัวก่อน ต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนเจ้า”
“มิเป็นไร ท่านแสดงความเป็นห่วงข้าก็ซาบซึ้งในน้ำใจยิ่งนัก”
“ฟางซิน”
จิ้นเหอที่หันหลังให้หันกลับมาอีกครั้งและทำให้ฟางซินที่กำลังจะปิดประตูห้องต้องชะงัก
“มีอะไรหรือคะ ท่านจิ้นเหอ”
“ปิดประตูหน้าต่างให้แน่นหนา หากมีสิ่งใดผิดปกติให้เรียกข้ากับหวังซื่อในทันที”
“ค่ะ”
ฟางซินรับคำเสียงผาดแผ่ว หากหัวใจของนางกลับเต้นแรงอย่างน่าประหลาด เขาไปแล้ว แม้จิ้นเหอมิได้แสดงออกถึงการจาบจ้วงล่วงเกินแต่ความเป็นบุรุษผู้มีจิตใจสูงส่งนั้นทำให้นางมารประมุขพรรคบุปผาสวรรค์ผู้มิเคยไว้ใจผู้ใดเกิดความหวั่นไหวดังผาหินถูกคลื่นกระทบ แม้ในส่วนลึกนางกำลังเตือนตัวเองว่าจิ้นเหอมิใช่ชาวบ้านธรรมดา เขาเป็นถึงจอมพยัคฆ์แห่งกองทัพของวังหลวงและจุดประสงค์ของการมายังเขาหวงซานก็เพื่อตามล่าตัวนาง หากเป็นคนอื่นคงต้องฆ่าให้ตายเสียแต่แรกที่รู้ทว่าฟางซินกลับมิอาจบังคับตัวเองให้เกลียดชังเขาได้
ทั้งที่ได้พบกันยังมิทันพ้นราตรี
หญิงสาวอยู่กับความครุ่นคิดของตัวเอง นางถอยหลังและใช้กำลังลมปราณให้บานประตูปิดลง
“เขาช่างเป็นคนดีซะเหลือเกินนะ ฟางซิน”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้ฟางซินหันกลับไปข้างหลังและเห็นร่างเพรียวระหงของหญิงสาวใบหน้างดงามผิวขาวผ่องในชุดยาวกรุยกรายสีน้ำเงินนั่งบนขอบหน้าต่างห้องจ้องมองมาด้วยสาตาคมวับราวใบมีด
“มี่อิง...เจ้ามาได้ยังไง?”
ฟางซินถามขึ้น มี่อิง เจ้าของฉายานางมารดอกไม้เงิน เพื่อร่วมสำนักบุปผาสวรรค์ผู้มีความงามล้ำเลิศแต่จิตใจอำมหิตยิ่งกว่าชายอกสามศอก ชอบล่อหลอกบุรุษหนุ่มให้หลงใหลแล้วปลิดชีพด้วยการรัดคอเหยื่อให้ตายอย่างทรมานด้วยก้านดอกไม้หนามอาบพิษ นางเป็นลูกบุญธรรมอีกคนที่เพ่ยหลินรับมาเลี้ยงดู อายุของมี่อิงรุ่นราวคราวเดียวกับฟางซิน แต่เป็นผู้เย่อหยิ่งและทะเยอทะยานหวังจะได้ขึ้นครองตำแหน่งเจ้าสำนักแห่งวังบุปผาสวรรค์ ทว่าเพ่ยหลินกลับยกตำแหน่งที่มี่อิงวาดหวังให้ฟางซินด้วยเหตุผลที่นางมีวรยุทธ์สูงกว่า เป็นการสร้างบาดแผลใหญ่ให้นางมารดอกไม้เงินเจ็บลึกและฟางซินรู้ดีว่าผู้เคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักกำลังรอวันเอาคืน
“ข้าพบเหมยเหม่ย คนของเจ้า”
มี่อิงกระโดดลงมาก่อนสะบัดแขนเสื้อเบา ๆ ให้บานหน้าต่งปิดลง นางมีกำลังลมปราณกล้าแข็งก็จริงหากก็ยังมิได้แม้เพียงกึ่งหนึ่งของฟางซินที่กำลังจะบรรลุถึงขั้นสุดท้ายในการฝึกวรยุทธจากคัมภีร์เฟิงเหลยและเป็นหนึ่งในสิ่งที่มี่อิงปรารถนาจะได้มันมายิ่งนัก นางมารดอกไม้เงินตวัดสายตาคมวาวไปยังเพื่อนร่วมสำนักซึ่งบัดนี้กลายเป็นผู้กุมอำนาจทั้งหมดในพรรคมาร มี่อิงแสร้งเดินนวยนาดไปล้มตัวลงนอนตะแคงบนเตียงราวกับนางพญา
“คนสนิทของเจ้าบอกข้าว่าเจ้ามาที่หมู่บ้าน ข้าก็เลยตามมา”
“ข้าต้องการสืบให้รู้ว่าผู้ใดฆ่าคนของราสำนักตอนเดินทางไปยังยอดเขางังฮ้วยฮงแล้วป้ายความผิดให้ข้า”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
“เจ้าหัวเราะอะไร มี่อิง!”
“หากข้าเป็นประมุขพรรคบุปผาสวรรค์คงมิพักเสียแรงตามสืบเสาะหาคนผิดให้เสียเวลาเปล่า สู้เอาเวลาไปฝึกวรยุทธ์ที่กำลังจับรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วส่งคนมาสืบหาฆาตกร หากสงสัยผู้ใดก็จับตัวมันไว้แล้วฆ่าเสียให้สิ้นมิต้องปราณี!”
“เช่นนั้นทุกคนล้วนน่าสงสัย แล้วมิต้องฆ่าคนทั้งยุทธภพนี้เทียวรึ”
“เพราะเจ้าเป็นเช่นนี้ฟางซิน...หากข้าเป็นท่านแม่จะมิปล่อยให้คนใจอ่อนแอกุมอำนาจเพราะพรรคมารมิเคยปราณีชีวิตผู้ใด ฆ่าให้ตายร้อยชีวิตย่อมมิสะเทือนยุทธภพที่มีคนอีกนับหมื่นแสน”
“หากข้าเป็นเจ้าก็อาจทำเช่นนั้น มี่อิง...แต่มันจะมีความหมายอันใดหากฆ่าคนให้ตายเพียงแลกกับการประนามหยามเกียรติจากชาวยุทธภพ”
“อย่าคิดว่าเจ้าสูงส่ง ฟางซิน!”
มี่อิงกระโดดลงจากเตียงพร้อมกับที่บานหน้าต่างเปิดออกด้วยกำลังลมปราณรุนแรง นางก้าวไปหยุดที่หน้าต่างแล้วหันกลับมายังฟางซินด้วยแววตาอาฆาตที่ถูกปรามาสจากคำเสียดสีอันเหนือชั้น
“ต่อชีวิตเช่นนั้นหรือ?”“มันเป็นคัมภีร์ที่มีทั้งความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดหากซุกซ่อนไว้ด้วยความแหลมคมอย่างที่สุด ครั้งหนึ่งฟางซินช่วยชีวิตท่านไว้ด้วยการถ่ายพลังลมปราณให้และพลังที่ไหลวนในตัวของท่านคือลมหายใจสุดท้ายของนาง”“แต่ตอนนี้ฟางซินอ่อนแอเหลือเกิน”“คนที่ต้องสังเวยชีวิตให้การฝึกวรยุทธ์จากคัมภีร์เฟิงเหลยคือผู้ตัดขาดตัวเองจากคนอื่นโดยปราศจากการเรียนรู้อย่างถ่องแท้ พวกเขาคิดเพียงว่าเมื่อสูญเสียสิ่งหนึ่งไปคือสูญสิ้นทั้งหมดหากทว่ามิใช่ แม้ฟางซินยอมสละทุกอย่างต่อท่านหากนางก็ยังมิสิ้นลมหายใจ นั่นเป็นเพราะนาง...ยังมีท่าน...แม่ทัพเฉิง จงพาฟางซินเดินทางไปยังบูรพทิศในยามตะวันทอแสง ท่านต้องอยู่เคียงข้างนางเสมอ อย่าได้ทอดทิ้งฟางซินเพราะท่านคือผู้นำพาหัวใจของนางและนางก็เปรียบเสมอโคมทองส่องสว่างในหัวใจของท่านไปยังสุดเขตแดนเพื่อตามหาปัญญาชนในสายลมหนาว พวกเขาจะรับรู้เรื่องราวของพวกท่านโดยมิต้องเอ่ยปากบอกเล่าใดๆ”“ปัญญาชนในสายลมหนาว...หนทางนั้นยาวไกลหรือไม่กว่าที่ข้าและฟางซินจะได้พบ”“หากท่านพร้อมยอมเสียสละเพราะมันอาจหมายถึงตลอดชีวิตของท่าน...และนาง”“เสียสละเช่นนั้นหรือ”“จิ้นเหอ...ท่านจะทำอะไร”ฟางซ
“เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว ฟางซิน”เสียงที่เปล่งออกมายังความประหลาดใจแก่จิ้นเหอด้วยเป็นสรรพเสียงที่ดังกังวานไปถึงเบื้องนอกเมื่อครู่ นางอยู่ในนี้แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามีคนเข้ามาในหอตะวันตก“นั่งก่อนเถิด...เจ้าทั้งสอง”นางเชื้อเชิญพลางผายมือเรียวบางไปเบื้องหน้า แม่ทัพหนุ่มก้าวไปหยุดอยู่ห่างออกมาสามสี่ก้าวก่อนค่อย ๆ วางร่างของฟางซินลงก่อนเขาจะหย่อนตัวนั่งเคียงข้างหญิงสาว จิ้นเหอพินิจร่างบอบบางของผู้อยู่เบื้องหลังเตาเหล็ก เจ้าของใบหน้างดงามราวเด็กสาวและแววตาน้ำตาลแวววาวเจิดจรัสราวกับมีรัศมีบางอย่างเปล่งออกมา“ฟางซินบอกข้าว่าท่านคือเทพพยากรณ์”“เรียกข้าว่าจิว”นางกล่าวขณะหยิบกลีบดอกไม้โรยลงในเตาบังเกิดควันพวยพุ่งก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว“ฟ้าดินเท่านั้นลิขิตชีวิต ข้ารู้เท่าที่ข้ารู้แต่มิอาจล่วงรู้ความลับสวรรค์”“เช่นนั้นท่านก็คงรู้แล้วว่าที่เรามาที่นี่ก็เพื่อสิ่งใด...ข้าคือ เฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพแห่งองค์ซ่งไท่จู่”“แม่ทัพเฉิง ข้าเคยบอกฟางซินแล้วว่าวันหนึ่งนางต้องกลับมาหาข้า”“และเป็นดังเช่นท่านกล่าวไว้จริงๆ”ฟางซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา ทว่าน่าประหลาดที่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงฟื้นคืนกลับมากกว่าเก่าเมื่อเข้
หวังซื่อถาม หลวนคุนลุกขึ้นยืนและยืดไหล่หลังตรงอย่างสง่า เขาเชิดหน้าขึ้น“ข้าจะบอกทุกคนว่า....ลุงของข้าประมือกับนางมารหมื่นบุปผา ต่างคนต่างพลาดพลั้งเสียทีต่อกันทำให้ลุงของข้าและประมุขพรรคมารต่างสิ้นลมด้วยกันทั้งคู่”คำตอบนั้นทำให้ทุกคนเงียบกริบด้วยยอมจำนนต่อสติปัญญาของหลวนคุน ทุกคนรู้ว่าเขามิได้ปกป้องตัวเองด้วยเกรงถูกมองว่าเณรคุนเพราะหากมิทำเช่นนี้ก็จะเกิดข้อสงสัยแก่ผู้ที่มีใจภักดิ์ดีต่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่สิ้นลมไปแล้วอย่างไป่เจี้ยนได้ ขณะนั้นจิ้นเหอกลับกอดฟางซินแนบแน่นยิ่งขึ้น เขากระซิบกับนางด้วยเสียงแม้ห้าวหนักทว่าอ่อนหวานยิ่งนัก“ฟางซิน...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวงซานนี้จะถล่มฤาแผ่นฟ้าจะแหลกสลายลง หากข้าก็จะขออยู่เคียงข้างเจ้า...มิหนีไปไหน”หลังจากนั้นมินานที่หลวนคุนเป็นผู้นำทุกคนกลับไปยังพรรคเฟิงอี้ ทั้งแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ หวังซื่อผู้ติดตาม หยางเซิงไต้ซือ รวมทั้งเหมยเหม่ยที่คอยดูแลฟางซินซึ่งนางอ่อนแรงลงทั้งจากลมปราณปรวนแปรและจากการใช้กำลังที่เหลือเพียงน้อยนิดต่อสู้กับทั้งไป๋เจี้ยนและมี่อิง นางทิ้งพรรคบุปผาสวรรค์ที่บัดนี้ยังมิมีผู้ใดขึ้นเป็นประมุขไว้เบื้องหลังเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอตะวันตก
แม่ทัพหนุ่มร้องด้วยความตกใจก่อนคว้าร่างของหญิงสาวที่ทรุดฮวบไว้ในอ้อมแขน นางลืมตาขึ้นมอง สติของนางยังคงอยู่หากแต่จิ้นเหอนั้นกอดร่างเล็กบอบบางไว้แนบแน่น“ฟางซิน...เจ้าเป็นอะไร”“ลมปราณในกายของนางกำลังปรวนแปร มันค่อย ๆ ทำลายตัวเองทีละน้อย”หยางเซิงไต้ซือตอบขณะก้าวเข้ามา จิ้นเหอแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่“นี่เป็นเพราะนางฝึกพลังลมปราณจากคัมภีร์เล่มนั้น และเป็นเพราะข้าที่ทำให้นางต้องเป็นเช่นนี้ มิมีวิธีใดเลยหรือที่จะช่วยรักษาชีวิตของนางไว้ให้ยืนยาวกว่านี้”ไต้ซือเฒ่าระบายลมหายใจขณะทำสีหน้าครุ่นคิด“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินมี่อิงเอ่ยถึงเทพพยากรณ์ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวบุคคลผู้นี้ ผู้ซึ่งอาจช่วยฟางซินได้”“แต่ท่านไต้ซือบอกกับข้านี่มิใช่หรือว่าผู้ฝึกวิชาจากคัมภีร์ฟ้าคำรามหากสูญเสียพรหมจรรย์แล้วจะมิมีทางช่วยให้พ้นจากความตายได้”เหมยเหม่ยรีบเข้ามาดูอาการของฟางซินที่นอนหายใจรวยรินในอ้อมกอดของจิ้นเหอ หยางเซิงไต้ซือส่ายหน้า“ที่ข้าบอกจ้าเช่นนั้นเพราะมันเป็นเรื่องเล่ามาช้านาน ข้าเองมิเคยแน่ใจว่าเทพพยากรณ์มีอยู่จริง คนทั้งยุทธภพร่ำลือถึงบุคคลผู้มีญาณวิเศษ มองเห็นอนาคต บางคนว่าเป็นหนุ่มรูปงามราวเทพบ
มี่อิงตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกปวดปลาบตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงท้ายทอย ความเจ็บปวดนั้นราวกับมีเข็มเล็ก ๆ ทิ่มแทงอยู่บนหัวของนาง“อะ...อะไรกันนี่...อะไรกัน!!”ครานี้นางเป็นฝ่ายอุทานขึ้นบ้างเมื่อโลหิตมิใช่หยาดเดียวหยดลงมาอาบเต็มใบหน้าสวยที่บิดเบี้ยวด้วยความหวั่นกลัวและเจ็บปวด มี่อิงพยายามจะถอดมาลาประดับผมออกแต่สายเกินไปเมื่อนางรู้ตัวแล้วว่ากำลังต้องพิษร้ายจากมาลาของประมุข นางกรีดร้องเสียงดัง“กรี๊ด!...ทำไมเป็นเช่นนี้...ฟางซิน...เจ้าใช่ไหม...เจ้าวางยาพิษในมาลานี่ใช่ไหม!”“มิใช่ข้าดอกมี่อิง” ฟางซินตอบด้วยน้ำเสียงอันแน่วนิ่ง “หากแต่นี่คือสิ่งที่ผู้มิใช่ประมุขมิมีวันรู้เกี่ยวกับการได้ครอบครองเสื้อคลุมและมาลาของประมุขพรรคบุปผาสวรรค์”“มะ...มิรู้เช่นนั้นรึ...มิรู้อันใด...โอย...ข้ามิรู้สิ่งใด”มี่อิงร่ำร้องและพยายามถอดมาลาออกจากหัวของนางเพราะความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ใบหน้าบิดเบี้ยวของนางอาบด้วยโลหิตแดงฉานที่ไหลหลั่งลงอาบเสื้อคลุมขนาดที่คนติดตามคอยรับใช้ยังถอยหนีด้วยความสะพรึงกลัว ฟางซินก้าวไปหยุดตรงหน้าบันไดซึ่งทอดตัวขึ้นไปสู่บัลลังค์ทองงาช้าง นางส่ายหน้าไปมาขณะมี่อิงซวนเซจนล้มนั่ง โลหิตมากม
“ท่านมีบุญคุณต่อข้าใยจะมิสำนึก แต่หากมิทำเช่นนี้แล้วก็มิมีวันที่จะหยุดความทะเยอทะยานของท่านได้ อภัยให้ข้าด้วย...ท่านลุง”หลวนคุนนั่งคุกเข่าและวางคันธนูลงข้างลำตัว ไป๋เจี้ยนเหยียดปากทั้งน้ำกบดวงตา“ข้ามินึก...ทั้งที่มีคนเตือนข้าแล้วว่าให้ระวังคนใกล้ตัว...ข้านึกไปมิถึง...นึกมิถึงเลยจริง ๆ ว่าที่แท้...คนใกล้ตัวก็คือ...เจ้า...”เจ้าสำนักเฟิงอี้ตาเหลือกถลนเมื่อผ่อนลมหายใจสุดท้ายด้วยมิทานทนต่อความเจ็บปวดจากดอกศรที่ปักเข้าบนอกด้านซ้ายพอดิบพอดีก่อนจะล้มตึงลงนอนคว่ำหน้าดวงตาเบิกค้างและผู้ที่ตกใจมากที่สุดเห็นจะไม่พ้นมี่อิงที่ผงะงันและถอยไปเบื้องหลัง“ไป๋เจี้ยน...”จิ้นเหอครางชื่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่ขาดใจตายลงต่อหน้าอย่างมิน่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ขณะฟางซินปรี่เข้าไปหา ทั้งสองกอดกันแนบแน่นราวกับได้เกิดใหม่“หลวนคุน...ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”หวังซื่อเอ่ยกับหลวนคุนแต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงมี่อิงกังวานขึ้น“ถึงมิมีไป๋เจี้ยนแล้วแต่พวกเจ้าหยุดข้ามิได้ดอก!”นางมารดอกไม้เงินเหยียดยิ้มเยาะก่อนหันไปยังคนสนิทอีกสองคนที่ยังไม่ยอมออกไปจากห้องโถงใหญ่ดังคนอื่น ๆ ที่แตกตื่นวิ่งหนีออกไปเกือบสิ้น หญิงสา