“แต่เลือดของเจ้าออกมาก เห็นทีว่าเจ้าจะเดินไม่ไหว เอาอย่างนี้ข้าจะรัดปากแผลให้เจ้าก่อน ว่าแต่...เจ้ากำลังจะไปไหน”
“ข้าเดินทางมาหาญาติของข้าในหมู่บ้าน”
“เขาอยู่ที่ไหนรึ”
“ข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน คิดว่าจะมาหาที่พักนอนก่อนสักราตรีแล้ววันพรุ่งจึงจะออกไปถามคนในหมู่บ้าน ว่าแต่...ท่านล่ะ เอ้อ...ข้ายังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของท่านเลย”
“เรียกข้าว่าจิ้นเหอ”
“ท่านมาทำอะไรที่นี่”
“ข้ากำลังจะเดินทางไปยังวัดโค้วอิงยี่ ข้ามีธุระสำคัญที่นั่น...หากเจ้าเดินไม่ไหวจริง ๆ ข้าจะให้เจ้านั่งบนหลังม้าของข้าเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมกัน”
เฉิงจิ้นเหอไม่กล่าวอันใดมากไปกว่านั้น เขาให้หวังซื่อหยิบผ้าและยาจากถุงย่ามบนหลังม้าเพื่อทำแผลให้หญิงสาวอย่างว่องไวแต่ก็เรียบร้อยดีก่อนจะอุ้มนางขึ้นไปนั่งบนหลังอาชาสีเผือกโดยยอมเป็นผู้จูงม้าเดินเข้าไปยังหมู่บ้าน ท่าทีของเขาสงบเยือกเย็นดุจน้ำใต้ขุนเขา แววตากล้าแข็งของเขาบ่งบอกอะไรบางอย่างที่นางคาดการว่าบุรุษงามสง่าดุจเทพผู้นี้หาใช่ชาวบ้านธรรมดาสามัญทั่วไป และสิ่งที่จุดความสงสัยแก่นางอย่างยิ่งคือจุดประสงค์ของการเดินทางไปยังอารามบนยอดเขาหวงซาน
ทั้งสามเข้าไปในหมู่บ้านยามวิกาลกระทั่งถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งซึ่งยังจุดโคมไฟด้านหน้าและมีชายคนหนึ่งรูปร่างท้วมเตี้ยสวมชุดพนักงานของโรงเตี๊ยม เมื่อเห็นคนทั้งสามก็รีบวิ่งเข้ามาแสดงการต้อนรับ
“นายท่านทั้งสาม ไม่ทราบว่าดึกดื่นเช่นนี้พวกท่านจะไปไหนกัน”
เขาตั้งคำถามด้วยรอยยิ้มแย้มบนใบหน้าแป้น แต่สายตานั้นมองผู้มาเยือนซึ่งเป็นชายหนึ่งบนหลังม้า มีบุรุษร่างสูงในเสื้อคลุมสีดำจูงม้าสีเผือกซึ่งมีสตรีใบหน้างดงามนั่งบนหลังม้าตัวนั้นตัวนั้น ฟางซินมองเข้าไปด้านในของโรงเตี๊ยมที่ยังมีคนสองสามคนนั่งดื่มเหล้าภายในนั้น
“พวกเรามาจากหมู่บ้านห่างจากที่นี่มาก ต้องการหาที่พักก่อนจะเดินทางต่อวันพรุ่งนี้”
“อ้อ...นี่พวกท่านมาจากต่างหมู่บ้านเช่นนั้นรึ...เชิญๆๆๆ...เชิญเข้าไปนั่งพักดื่มน้ำชา กินอาหารข้างในก่อนเถิด ในหมู่บ้านนี้มีโรงเตี๊ยมที่นี่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น เรามีอาหารอร่อย เหล้ารสเยี่ยมและที่พักแสนสบายไว้คอยต้อนรับ ท่าทางพวกท่านจะเหน็ดเหนื่อยเพราะเดินทางมาไกล”
เสี่ยวเอ้อร่างท้วมพยายามโน้มน้าวคนทั้งสาม จิ้นเหอเงยหน้าขึ้นไปบนหลังม้าและเห็นว่าหญิงแปลกหน้าที่เขาพึ่งพบนางเมื่อครู่มีสีหน้าไม่ใคร่ดีนัก ส่วนนางเองก็มองชายแปลกหน้าผู้มีน้ำใจช่วยเหลือและเห้นว่าเขามีสีหน้าครุ่นคิด
“จิ้นเหอ...ข้าว่าเราพักที่นี่กันก่อนเถิด เสี่ยวเอ้อก็บอกแล้วว่าโรงเตี๊ยมมีที่นี่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น”
หวังซื่อรีบแสดงความเห็นเพราะเขาก็รู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลเต็มที จิ้นเหอจึงหันไปพยักหน้ากับเสี่ยวเอ้อด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“ตกลง...ข้ากับเพื่อนของข้าจะพักที่นี่”
“ได้ครับ...ได้ๆๆ”
เสี่ยวเอ้อรับคำด้วยความดีใจเพราะไม่บ่อยนักที่จะมีผู้เดินทางไกลมาพักในโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ของหมู่บ้านเล็ก ๆ เช่นนี้ จิ้นเหอเงยหน้าไปยังฟางซินอีกครั้ง
“ฟางซิน...ลงจากหลังม้าก่อนเถิด คืนนี้พวกเราจะพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ เจ้าก็กำลังหาที่พักนี่มิใช่หรือ”
“ค่ะ”
ฟางซินขยับลงจากอานม้าแม้ไม่รู้สึกเจ็บแผลที่ข้อเท้าแต่จะเคลื่อนไหวอย่างว่องไวเยี่ยงธรรมดาก็อาจเป็นที่ผิดสังเกต นางค่อย ๆ ขยับลงจากหลังม้าอย่างเชื่องช้าแต่แล้วก็สะดุดชายกระโปรงเกือบหล่นลงไปนอนบนพื้นดีที่มีอ้อมแขนของจิ้นเหอรับร่างอ้อนแอ้นนั้นไว้ได้เสียก่อน นางจึงอยู่ในอ้อมแขนของชายแปลกหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจหากก็จำต้องแสดงต่อไปว่านางก็เพียงสตรีอ่อนแอผู้หนึ่งเท่านั้น จิ้นเหอประคองร่างนุ่มนวลหากก็รู้สึกถึงความแปลกประหลาดบางอย่างนั่นคือกลิ่นหอมที่อบอวลออกมา แม้ทำให้ฉุกใจคิดว่าหญิงชาวบ้านธรรมดาเนื้อตัวใยจึงกรุ่นดั่งอาบด้วยน้ำมันหอมมีราคาแต่เขาก็ตัดข้อสงสัยนั่นออกไปและคิดว่าเสื้อผ้าของนางอาจได้รับการทำความสะอาดมาอย่างดี
“ฟางซิน...นี่เจ้ายังเจ็บข้อเท้าอยู่ใช่หรือไม่ ”
“ค่ะ...ข้ายังเจ็บอยู่แต่ก็เพียงเล็กน้อย”
“นี่ฮูหยินของท่านบาดเจ็บหรือขอรับ...ถ้าอย่างนั้นรีบเข้าไปนั่งพักข้างในก่อน เดี๋ยวข้าจะนำม้าไปเก็บไว้ที่ด้านข้างโรงเตี๊ยมนี่...เดี๋ยวข้าจะจัดเตรียมห้องไว้ให้สองห้องให้ท่านกับฮูหยินของท่านและเพื่อนของท่านนะขอรับ”
“อ้า...เอ้อ...”
ฟางซินจะอ้าปากบอกแต่ไม่ทันเสี่ยวเอ้อผู้รู้มากที่รีบจัดการนำม้าทั้งสองตัวไปล่ามไว้ข้าง ๆ โรงเตี๊ยม หวังซื่อเดินเข้ามาหยุดยังหนุ่มสาวทั้งสอง
“เข้าไปด้านในกันเถิด...ท่าทางแม่นางฟางซินก็เหน็ดเหนื่อยมากเช่นกัน ให้นางได้พักผ่อนเพราะพรุ่งนี้นางต้องออกไปตามหาญาติของนางในหมู่บ้าน”
“ฟางซิน...เจ้าเดินเองได้หรือไม่”
“ต่อชีวิตเช่นนั้นหรือ?”“มันเป็นคัมภีร์ที่มีทั้งความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดหากซุกซ่อนไว้ด้วยความแหลมคมอย่างที่สุด ครั้งหนึ่งฟางซินช่วยชีวิตท่านไว้ด้วยการถ่ายพลังลมปราณให้และพลังที่ไหลวนในตัวของท่านคือลมหายใจสุดท้ายของนาง”“แต่ตอนนี้ฟางซินอ่อนแอเหลือเกิน”“คนที่ต้องสังเวยชีวิตให้การฝึกวรยุทธ์จากคัมภีร์เฟิงเหลยคือผู้ตัดขาดตัวเองจากคนอื่นโดยปราศจากการเรียนรู้อย่างถ่องแท้ พวกเขาคิดเพียงว่าเมื่อสูญเสียสิ่งหนึ่งไปคือสูญสิ้นทั้งหมดหากทว่ามิใช่ แม้ฟางซินยอมสละทุกอย่างต่อท่านหากนางก็ยังมิสิ้นลมหายใจ นั่นเป็นเพราะนาง...ยังมีท่าน...แม่ทัพเฉิง จงพาฟางซินเดินทางไปยังบูรพทิศในยามตะวันทอแสง ท่านต้องอยู่เคียงข้างนางเสมอ อย่าได้ทอดทิ้งฟางซินเพราะท่านคือผู้นำพาหัวใจของนางและนางก็เปรียบเสมอโคมทองส่องสว่างในหัวใจของท่านไปยังสุดเขตแดนเพื่อตามหาปัญญาชนในสายลมหนาว พวกเขาจะรับรู้เรื่องราวของพวกท่านโดยมิต้องเอ่ยปากบอกเล่าใดๆ”“ปัญญาชนในสายลมหนาว...หนทางนั้นยาวไกลหรือไม่กว่าที่ข้าและฟางซินจะได้พบ”“หากท่านพร้อมยอมเสียสละเพราะมันอาจหมายถึงตลอดชีวิตของท่าน...และนาง”“เสียสละเช่นนั้นหรือ”“จิ้นเหอ...ท่านจะทำอะไร”ฟางซ
“เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว ฟางซิน”เสียงที่เปล่งออกมายังความประหลาดใจแก่จิ้นเหอด้วยเป็นสรรพเสียงที่ดังกังวานไปถึงเบื้องนอกเมื่อครู่ นางอยู่ในนี้แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามีคนเข้ามาในหอตะวันตก“นั่งก่อนเถิด...เจ้าทั้งสอง”นางเชื้อเชิญพลางผายมือเรียวบางไปเบื้องหน้า แม่ทัพหนุ่มก้าวไปหยุดอยู่ห่างออกมาสามสี่ก้าวก่อนค่อย ๆ วางร่างของฟางซินลงก่อนเขาจะหย่อนตัวนั่งเคียงข้างหญิงสาว จิ้นเหอพินิจร่างบอบบางของผู้อยู่เบื้องหลังเตาเหล็ก เจ้าของใบหน้างดงามราวเด็กสาวและแววตาน้ำตาลแวววาวเจิดจรัสราวกับมีรัศมีบางอย่างเปล่งออกมา“ฟางซินบอกข้าว่าท่านคือเทพพยากรณ์”“เรียกข้าว่าจิว”นางกล่าวขณะหยิบกลีบดอกไม้โรยลงในเตาบังเกิดควันพวยพุ่งก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว“ฟ้าดินเท่านั้นลิขิตชีวิต ข้ารู้เท่าที่ข้ารู้แต่มิอาจล่วงรู้ความลับสวรรค์”“เช่นนั้นท่านก็คงรู้แล้วว่าที่เรามาที่นี่ก็เพื่อสิ่งใด...ข้าคือ เฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพแห่งองค์ซ่งไท่จู่”“แม่ทัพเฉิง ข้าเคยบอกฟางซินแล้วว่าวันหนึ่งนางต้องกลับมาหาข้า”“และเป็นดังเช่นท่านกล่าวไว้จริงๆ”ฟางซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา ทว่าน่าประหลาดที่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงฟื้นคืนกลับมากกว่าเก่าเมื่อเข้
หวังซื่อถาม หลวนคุนลุกขึ้นยืนและยืดไหล่หลังตรงอย่างสง่า เขาเชิดหน้าขึ้น“ข้าจะบอกทุกคนว่า....ลุงของข้าประมือกับนางมารหมื่นบุปผา ต่างคนต่างพลาดพลั้งเสียทีต่อกันทำให้ลุงของข้าและประมุขพรรคมารต่างสิ้นลมด้วยกันทั้งคู่”คำตอบนั้นทำให้ทุกคนเงียบกริบด้วยยอมจำนนต่อสติปัญญาของหลวนคุน ทุกคนรู้ว่าเขามิได้ปกป้องตัวเองด้วยเกรงถูกมองว่าเณรคุนเพราะหากมิทำเช่นนี้ก็จะเกิดข้อสงสัยแก่ผู้ที่มีใจภักดิ์ดีต่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่สิ้นลมไปแล้วอย่างไป่เจี้ยนได้ ขณะนั้นจิ้นเหอกลับกอดฟางซินแนบแน่นยิ่งขึ้น เขากระซิบกับนางด้วยเสียงแม้ห้าวหนักทว่าอ่อนหวานยิ่งนัก“ฟางซิน...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวงซานนี้จะถล่มฤาแผ่นฟ้าจะแหลกสลายลง หากข้าก็จะขออยู่เคียงข้างเจ้า...มิหนีไปไหน”หลังจากนั้นมินานที่หลวนคุนเป็นผู้นำทุกคนกลับไปยังพรรคเฟิงอี้ ทั้งแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ หวังซื่อผู้ติดตาม หยางเซิงไต้ซือ รวมทั้งเหมยเหม่ยที่คอยดูแลฟางซินซึ่งนางอ่อนแรงลงทั้งจากลมปราณปรวนแปรและจากการใช้กำลังที่เหลือเพียงน้อยนิดต่อสู้กับทั้งไป๋เจี้ยนและมี่อิง นางทิ้งพรรคบุปผาสวรรค์ที่บัดนี้ยังมิมีผู้ใดขึ้นเป็นประมุขไว้เบื้องหลังเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอตะวันตก
แม่ทัพหนุ่มร้องด้วยความตกใจก่อนคว้าร่างของหญิงสาวที่ทรุดฮวบไว้ในอ้อมแขน นางลืมตาขึ้นมอง สติของนางยังคงอยู่หากแต่จิ้นเหอนั้นกอดร่างเล็กบอบบางไว้แนบแน่น“ฟางซิน...เจ้าเป็นอะไร”“ลมปราณในกายของนางกำลังปรวนแปร มันค่อย ๆ ทำลายตัวเองทีละน้อย”หยางเซิงไต้ซือตอบขณะก้าวเข้ามา จิ้นเหอแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่“นี่เป็นเพราะนางฝึกพลังลมปราณจากคัมภีร์เล่มนั้น และเป็นเพราะข้าที่ทำให้นางต้องเป็นเช่นนี้ มิมีวิธีใดเลยหรือที่จะช่วยรักษาชีวิตของนางไว้ให้ยืนยาวกว่านี้”ไต้ซือเฒ่าระบายลมหายใจขณะทำสีหน้าครุ่นคิด“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินมี่อิงเอ่ยถึงเทพพยากรณ์ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวบุคคลผู้นี้ ผู้ซึ่งอาจช่วยฟางซินได้”“แต่ท่านไต้ซือบอกกับข้านี่มิใช่หรือว่าผู้ฝึกวิชาจากคัมภีร์ฟ้าคำรามหากสูญเสียพรหมจรรย์แล้วจะมิมีทางช่วยให้พ้นจากความตายได้”เหมยเหม่ยรีบเข้ามาดูอาการของฟางซินที่นอนหายใจรวยรินในอ้อมกอดของจิ้นเหอ หยางเซิงไต้ซือส่ายหน้า“ที่ข้าบอกจ้าเช่นนั้นเพราะมันเป็นเรื่องเล่ามาช้านาน ข้าเองมิเคยแน่ใจว่าเทพพยากรณ์มีอยู่จริง คนทั้งยุทธภพร่ำลือถึงบุคคลผู้มีญาณวิเศษ มองเห็นอนาคต บางคนว่าเป็นหนุ่มรูปงามราวเทพบ
มี่อิงตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกปวดปลาบตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงท้ายทอย ความเจ็บปวดนั้นราวกับมีเข็มเล็ก ๆ ทิ่มแทงอยู่บนหัวของนาง“อะ...อะไรกันนี่...อะไรกัน!!”ครานี้นางเป็นฝ่ายอุทานขึ้นบ้างเมื่อโลหิตมิใช่หยาดเดียวหยดลงมาอาบเต็มใบหน้าสวยที่บิดเบี้ยวด้วยความหวั่นกลัวและเจ็บปวด มี่อิงพยายามจะถอดมาลาประดับผมออกแต่สายเกินไปเมื่อนางรู้ตัวแล้วว่ากำลังต้องพิษร้ายจากมาลาของประมุข นางกรีดร้องเสียงดัง“กรี๊ด!...ทำไมเป็นเช่นนี้...ฟางซิน...เจ้าใช่ไหม...เจ้าวางยาพิษในมาลานี่ใช่ไหม!”“มิใช่ข้าดอกมี่อิง” ฟางซินตอบด้วยน้ำเสียงอันแน่วนิ่ง “หากแต่นี่คือสิ่งที่ผู้มิใช่ประมุขมิมีวันรู้เกี่ยวกับการได้ครอบครองเสื้อคลุมและมาลาของประมุขพรรคบุปผาสวรรค์”“มะ...มิรู้เช่นนั้นรึ...มิรู้อันใด...โอย...ข้ามิรู้สิ่งใด”มี่อิงร่ำร้องและพยายามถอดมาลาออกจากหัวของนางเพราะความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ใบหน้าบิดเบี้ยวของนางอาบด้วยโลหิตแดงฉานที่ไหลหลั่งลงอาบเสื้อคลุมขนาดที่คนติดตามคอยรับใช้ยังถอยหนีด้วยความสะพรึงกลัว ฟางซินก้าวไปหยุดตรงหน้าบันไดซึ่งทอดตัวขึ้นไปสู่บัลลังค์ทองงาช้าง นางส่ายหน้าไปมาขณะมี่อิงซวนเซจนล้มนั่ง โลหิตมากม
“ท่านมีบุญคุณต่อข้าใยจะมิสำนึก แต่หากมิทำเช่นนี้แล้วก็มิมีวันที่จะหยุดความทะเยอทะยานของท่านได้ อภัยให้ข้าด้วย...ท่านลุง”หลวนคุนนั่งคุกเข่าและวางคันธนูลงข้างลำตัว ไป๋เจี้ยนเหยียดปากทั้งน้ำกบดวงตา“ข้ามินึก...ทั้งที่มีคนเตือนข้าแล้วว่าให้ระวังคนใกล้ตัว...ข้านึกไปมิถึง...นึกมิถึงเลยจริง ๆ ว่าที่แท้...คนใกล้ตัวก็คือ...เจ้า...”เจ้าสำนักเฟิงอี้ตาเหลือกถลนเมื่อผ่อนลมหายใจสุดท้ายด้วยมิทานทนต่อความเจ็บปวดจากดอกศรที่ปักเข้าบนอกด้านซ้ายพอดิบพอดีก่อนจะล้มตึงลงนอนคว่ำหน้าดวงตาเบิกค้างและผู้ที่ตกใจมากที่สุดเห็นจะไม่พ้นมี่อิงที่ผงะงันและถอยไปเบื้องหลัง“ไป๋เจี้ยน...”จิ้นเหอครางชื่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่ขาดใจตายลงต่อหน้าอย่างมิน่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ขณะฟางซินปรี่เข้าไปหา ทั้งสองกอดกันแนบแน่นราวกับได้เกิดใหม่“หลวนคุน...ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”หวังซื่อเอ่ยกับหลวนคุนแต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงมี่อิงกังวานขึ้น“ถึงมิมีไป๋เจี้ยนแล้วแต่พวกเจ้าหยุดข้ามิได้ดอก!”นางมารดอกไม้เงินเหยียดยิ้มเยาะก่อนหันไปยังคนสนิทอีกสองคนที่ยังไม่ยอมออกไปจากห้องโถงใหญ่ดังคนอื่น ๆ ที่แตกตื่นวิ่งหนีออกไปเกือบสิ้น หญิงสา