Share

บทที่ 4

last update Last Updated: 2024-11-07 22:36:18

เฉิงจิ้นเหอตะโกนถามกลับอย่างไม่กลัวเกรงยังความไม่พอใจแก่หนุ่มวัยฉกรรจ์ทั้งสาม

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้าอย่ามายุ่งย่ามจะดีกว่า ถ้าไม่อยากถูกฆ่ายามวิกาลโดยมิมีผู้รู้เห็นก็จงไปซะ!

“แสดงว่าพวกเจ้ากำลังทำเรื่องไม่ดีจริง ๆ ด้วย แต่ขอโทษที ข้าล่ะชอบนักกับไอ้การเข้าไปยุ่งย่ามเรื่องชาวบ้าน”

“จิ้นเหอ!”

หวังซื่อร้องปรามตัวสั่นเพราะตนเองนั้นไร้วรยุทธ หากไม่ทันเสียแล้วเมื่อแม่ทัพหนุ่มกระโดดลงจากหลังม้า เฉิงจิ้นเหอตวัดผ้าคลุมออกทำให้เห็นรูปร่างสูงใหญ่กำยำในชุดสีดำน่าเกรงขาม ดวงตายาวรีบนใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักของเทพจ้องคนทั้งสามที่ย่างสามขุมเข้ามาพร้อมกัน

หญิงสาวซึ่งถูกรายล้อมเมื่อครู่ขยับก้าวถอยหลังแต่กลับสะดุดตอไม้ล้มลง นางเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นประกายเงาวับสะท้อนจากปลายดาบของชายหนุ่มที่ตวัดไปมาปะทะคมดาบของชายทั้งสามเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก่อนคนเลวทั้งหมดจะถูกปลายดาบคมกริบตวัดลงกลางหลังและกลางลำตัวล้มลุกคลุกคลานวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงทั้งที่ตามร่างกายเปื้อนเปรอะด้วยโลหิตแดงฉานหายไปคนละทิศคนละทางในความมืด

“แม่นาง...เป็นอย่างไรบ้าง”

เฉิงจิ้นเหอปราดเข้าไปประคองร่างของสตรีที่นั่งตกตะลึงบนพื้น นางเงยหน้าขึ้นและจ้องบุรุษหนุ่มผู้ซึ่งเข้ามาช่วยได้ทันเวลา

“ข้าไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณท่านผู้กล้าที่มาช่วยข้าไว้”

“ดึกดื่นเช่นนี้ใยจึงเข้ามาในป่าเพียงผู้เดียว รู้หรือไม่ว่ามันอันตรายมาก”

“ข้าเดินทางมาจากอีกหมู่บ้าน กำลังจะเข้าไปในเมืองเพื่อหาที่พักก็มาพบคนพวกนี้เสียก่อน ช่างโชคดีเหลือเกินที่ท่านผ่านมาพอดี”

“เจ้าชื่ออะไร?”

“ข้าชื่อ...ฟางซิน”

2

นางมารเร้นกาย

                เสียงใสทว่ากังวานกว้างของนางมิได้ทำให้คนฟังฉุกนึกว่ามันคือทำนองเสียงอันทรงพลังแม้ฟางซินพยายามเก็บเร้นสิ่งที่ต้องการแอบซ่อนหากสิ่งที่นางทำได้คือการเปิดเผยความอ่อนช้อยของความเป็นอิสตรีซึ่งดูภายนอกเสมือนอ่อนแอและเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งที่มิว่าชายใดก็ต้องแพ้พ่าย หากแต่ชายแปลกหน้ากลับมิยอมฉวยโอกาสตอนที่นางล้มจับต้องเรือนกายอ่อนช้อยงดงามราวนางหงส์มากไปกว่าผละจากและลุกขึ้นยืนขณะเก็บคมดาบกลับลงฝักข้างลำตัว

                แว่บหนึ่งที่เห็นก็ทำให้ฟางซินฉุกนึกว่าบุรุษแปลกหน้าผู้นี้คงมิใช่ชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่ คนเดินทางธรรมดาสามัญทั่วไปคงไม่พกพาดาบนอกจากจะเป็นผู้ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ อาจมาจากสำนักใดสำนักหนึ่งในแคว้นนี้ เพราะดูจากการแต่งกายอันรัดกุม จะว่าเขาเป็นจอมยุทธ์พเนจรก็ไม่เหมือนเสียทีเดียวเพราะดูเหมือนเขามาอย่างมีจุดหมาย ในเวลานั้นเองหวังซื่อก็รีบลงจากหลังม้าวิ่งเข้ามาสมทบ

                “เป็นอย่างไรบ้างจิ้นเหอ ท่านบาดเจ็บตรงไหนบ้าง”

“ข้าไม่เป็นไร”

เขาตอบเสียงเบาลงและหันกลับไปยังหญิงสาวที่ยังนั่งบนพื้นหญ้า ในห้วงขณะนั้นเองที่แสงไฟจากคบเพลิงในมือหวังซื่อสาดลงบนใบหน้าสวยงามหมดจดของนาง เฉิงจิ้นเหอชะงักงันไปชั่วลมหายใจ ขุนศึกผู้เกรียงไกรมิใช่ว่าไม่เคยเห็นนางสนมในราชวัง หญิงเหล่านั้นแต่งกายด้วยแพรพรรณและเครื่องถนิมพิมภางดงาม หากก็ไม่เคยเห็นหญิงชาวบ้านใบหน้าสวยซึ้งผุดผาดและมีผิวขาวผ่องราวดั่งหยกเปล่งประกายเช่นนี้ และนอกจากเว่ยซูฉี คู่หมายของเขาแล้วเฉิงจิ้นเหอแทบไม่เคยละสายตาไปมองหญิงใด ขุนพลหนุ่มสงบความคิดของตัวเองลงชั่วขณะก่อนจะกล่าวเสียงเย็น

“ลุกขึ้นเถิดแม่นาง”

“ข้า...ข้า...อะ...”

ฟางซินนิ่วหน้าเมื่อพยายามจะลุกขึ้นแต่ก็ลุกขึ้นไม่ได้ นางจับข้อเท้าตัวเองและทำให้เฉิงจิ้นเหอประหลาดใจ

“มีอะไรหรือ...โอ...ที่ข้อเท้าของเจ้ามีเลือดออก”

เขาก้มลงดูที่เท้าขาวผ่องของนางและเห็นว่าข้างที่มีลูกกระพรวนเงินเล็ก ๆ ห้อยอยู่เป็นรอยช้ำมีเลือดซึมออกมา ฟางซินก้มลงมองข้อเท้าตัวเอง แท้จริงบาดแผลเพียงเท่านี้มิได้สร้างความเจ็บปวดให้นางแต่อย่างใดหากเพื่อมิให้เป็นที่สงสัยนางจึงแสร้งทำสีหน้าตกใจเมื่อเห็นหยาดโลหิตอาบแผล

“นี่เจ้าเดินได้หรือไม่?”

ขุนศึกหนุ่มเอ่ยถาม ยามเขาก้มหน้าลงไปใกล้กลับทำให้นางมารบังเกิดความหวั่นไหวในฉับพลัน ซึ่งไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ในกายของนางร้อนรุ่มด้วยพลังปราณแปรปรวนซึ่งโดยปกติมันจะเกิดขึ้นเมื่อนางบังเกิดความตื่นเต้นหากก็สงบความปรวนแปรนั้นลงได้ในชั่วไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ ฟางซินสกัดพลังฟุ้งซ่านนั้นไว้ด้วยการกดปลายนิ้วเพียงเบา ๆ ร่างกายของนางผ่อนคลายลงแต่จะสำแดงความเข้มแข็งว่ามิได้เป็นเช่นไรเลยตอนนี้ไม่ได้ นางพยักหน้า

“ได้...ข้าคิดว่าได้”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • นางมารหมื่นบุปผา   83

    “ต่อชีวิตเช่นนั้นหรือ?”“มันเป็นคัมภีร์ที่มีทั้งความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดหากซุกซ่อนไว้ด้วยความแหลมคมอย่างที่สุด ครั้งหนึ่งฟางซินช่วยชีวิตท่านไว้ด้วยการถ่ายพลังลมปราณให้และพลังที่ไหลวนในตัวของท่านคือลมหายใจสุดท้ายของนาง”“แต่ตอนนี้ฟางซินอ่อนแอเหลือเกิน”“คนที่ต้องสังเวยชีวิตให้การฝึกวรยุทธ์จากคัมภีร์เฟิงเหลยคือผู้ตัดขาดตัวเองจากคนอื่นโดยปราศจากการเรียนรู้อย่างถ่องแท้ พวกเขาคิดเพียงว่าเมื่อสูญเสียสิ่งหนึ่งไปคือสูญสิ้นทั้งหมดหากทว่ามิใช่ แม้ฟางซินยอมสละทุกอย่างต่อท่านหากนางก็ยังมิสิ้นลมหายใจ นั่นเป็นเพราะนาง...ยังมีท่าน...แม่ทัพเฉิง จงพาฟางซินเดินทางไปยังบูรพทิศในยามตะวันทอแสง ท่านต้องอยู่เคียงข้างนางเสมอ อย่าได้ทอดทิ้งฟางซินเพราะท่านคือผู้นำพาหัวใจของนางและนางก็เปรียบเสมอโคมทองส่องสว่างในหัวใจของท่านไปยังสุดเขตแดนเพื่อตามหาปัญญาชนในสายลมหนาว พวกเขาจะรับรู้เรื่องราวของพวกท่านโดยมิต้องเอ่ยปากบอกเล่าใดๆ”“ปัญญาชนในสายลมหนาว...หนทางนั้นยาวไกลหรือไม่กว่าที่ข้าและฟางซินจะได้พบ”“หากท่านพร้อมยอมเสียสละเพราะมันอาจหมายถึงตลอดชีวิตของท่าน...และนาง”“เสียสละเช่นนั้นหรือ”“จิ้นเหอ...ท่านจะทำอะไร”ฟางซ

  • นางมารหมื่นบุปผา   82

    “เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว ฟางซิน”เสียงที่เปล่งออกมายังความประหลาดใจแก่จิ้นเหอด้วยเป็นสรรพเสียงที่ดังกังวานไปถึงเบื้องนอกเมื่อครู่ นางอยู่ในนี้แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามีคนเข้ามาในหอตะวันตก“นั่งก่อนเถิด...เจ้าทั้งสอง”นางเชื้อเชิญพลางผายมือเรียวบางไปเบื้องหน้า แม่ทัพหนุ่มก้าวไปหยุดอยู่ห่างออกมาสามสี่ก้าวก่อนค่อย ๆ วางร่างของฟางซินลงก่อนเขาจะหย่อนตัวนั่งเคียงข้างหญิงสาว จิ้นเหอพินิจร่างบอบบางของผู้อยู่เบื้องหลังเตาเหล็ก เจ้าของใบหน้างดงามราวเด็กสาวและแววตาน้ำตาลแวววาวเจิดจรัสราวกับมีรัศมีบางอย่างเปล่งออกมา“ฟางซินบอกข้าว่าท่านคือเทพพยากรณ์”“เรียกข้าว่าจิว”นางกล่าวขณะหยิบกลีบดอกไม้โรยลงในเตาบังเกิดควันพวยพุ่งก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว“ฟ้าดินเท่านั้นลิขิตชีวิต ข้ารู้เท่าที่ข้ารู้แต่มิอาจล่วงรู้ความลับสวรรค์”“เช่นนั้นท่านก็คงรู้แล้วว่าที่เรามาที่นี่ก็เพื่อสิ่งใด...ข้าคือ เฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพแห่งองค์ซ่งไท่จู่”“แม่ทัพเฉิง ข้าเคยบอกฟางซินแล้วว่าวันหนึ่งนางต้องกลับมาหาข้า”“และเป็นดังเช่นท่านกล่าวไว้จริงๆ”ฟางซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา ทว่าน่าประหลาดที่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงฟื้นคืนกลับมากกว่าเก่าเมื่อเข้

  • นางมารหมื่นบุปผา   81

    หวังซื่อถาม หลวนคุนลุกขึ้นยืนและยืดไหล่หลังตรงอย่างสง่า เขาเชิดหน้าขึ้น“ข้าจะบอกทุกคนว่า....ลุงของข้าประมือกับนางมารหมื่นบุปผา ต่างคนต่างพลาดพลั้งเสียทีต่อกันทำให้ลุงของข้าและประมุขพรรคมารต่างสิ้นลมด้วยกันทั้งคู่”คำตอบนั้นทำให้ทุกคนเงียบกริบด้วยยอมจำนนต่อสติปัญญาของหลวนคุน ทุกคนรู้ว่าเขามิได้ปกป้องตัวเองด้วยเกรงถูกมองว่าเณรคุนเพราะหากมิทำเช่นนี้ก็จะเกิดข้อสงสัยแก่ผู้ที่มีใจภักดิ์ดีต่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่สิ้นลมไปแล้วอย่างไป่เจี้ยนได้ ขณะนั้นจิ้นเหอกลับกอดฟางซินแนบแน่นยิ่งขึ้น เขากระซิบกับนางด้วยเสียงแม้ห้าวหนักทว่าอ่อนหวานยิ่งนัก“ฟางซิน...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวงซานนี้จะถล่มฤาแผ่นฟ้าจะแหลกสลายลง หากข้าก็จะขออยู่เคียงข้างเจ้า...มิหนีไปไหน”หลังจากนั้นมินานที่หลวนคุนเป็นผู้นำทุกคนกลับไปยังพรรคเฟิงอี้ ทั้งแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ หวังซื่อผู้ติดตาม หยางเซิงไต้ซือ รวมทั้งเหมยเหม่ยที่คอยดูแลฟางซินซึ่งนางอ่อนแรงลงทั้งจากลมปราณปรวนแปรและจากการใช้กำลังที่เหลือเพียงน้อยนิดต่อสู้กับทั้งไป๋เจี้ยนและมี่อิง นางทิ้งพรรคบุปผาสวรรค์ที่บัดนี้ยังมิมีผู้ใดขึ้นเป็นประมุขไว้เบื้องหลังเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอตะวันตก

  • นางมารหมื่นบุปผา   80

    แม่ทัพหนุ่มร้องด้วยความตกใจก่อนคว้าร่างของหญิงสาวที่ทรุดฮวบไว้ในอ้อมแขน นางลืมตาขึ้นมอง สติของนางยังคงอยู่หากแต่จิ้นเหอนั้นกอดร่างเล็กบอบบางไว้แนบแน่น“ฟางซิน...เจ้าเป็นอะไร”“ลมปราณในกายของนางกำลังปรวนแปร มันค่อย ๆ ทำลายตัวเองทีละน้อย”หยางเซิงไต้ซือตอบขณะก้าวเข้ามา จิ้นเหอแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่“นี่เป็นเพราะนางฝึกพลังลมปราณจากคัมภีร์เล่มนั้น และเป็นเพราะข้าที่ทำให้นางต้องเป็นเช่นนี้ มิมีวิธีใดเลยหรือที่จะช่วยรักษาชีวิตของนางไว้ให้ยืนยาวกว่านี้”ไต้ซือเฒ่าระบายลมหายใจขณะทำสีหน้าครุ่นคิด“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินมี่อิงเอ่ยถึงเทพพยากรณ์ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวบุคคลผู้นี้ ผู้ซึ่งอาจช่วยฟางซินได้”“แต่ท่านไต้ซือบอกกับข้านี่มิใช่หรือว่าผู้ฝึกวิชาจากคัมภีร์ฟ้าคำรามหากสูญเสียพรหมจรรย์แล้วจะมิมีทางช่วยให้พ้นจากความตายได้”เหมยเหม่ยรีบเข้ามาดูอาการของฟางซินที่นอนหายใจรวยรินในอ้อมกอดของจิ้นเหอ หยางเซิงไต้ซือส่ายหน้า“ที่ข้าบอกจ้าเช่นนั้นเพราะมันเป็นเรื่องเล่ามาช้านาน ข้าเองมิเคยแน่ใจว่าเทพพยากรณ์มีอยู่จริง คนทั้งยุทธภพร่ำลือถึงบุคคลผู้มีญาณวิเศษ มองเห็นอนาคต บางคนว่าเป็นหนุ่มรูปงามราวเทพบ

  • นางมารหมื่นบุปผา   79

    มี่อิงตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกปวดปลาบตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงท้ายทอย ความเจ็บปวดนั้นราวกับมีเข็มเล็ก ๆ ทิ่มแทงอยู่บนหัวของนาง“อะ...อะไรกันนี่...อะไรกัน!!”ครานี้นางเป็นฝ่ายอุทานขึ้นบ้างเมื่อโลหิตมิใช่หยาดเดียวหยดลงมาอาบเต็มใบหน้าสวยที่บิดเบี้ยวด้วยความหวั่นกลัวและเจ็บปวด มี่อิงพยายามจะถอดมาลาประดับผมออกแต่สายเกินไปเมื่อนางรู้ตัวแล้วว่ากำลังต้องพิษร้ายจากมาลาของประมุข นางกรีดร้องเสียงดัง“กรี๊ด!...ทำไมเป็นเช่นนี้...ฟางซิน...เจ้าใช่ไหม...เจ้าวางยาพิษในมาลานี่ใช่ไหม!”“มิใช่ข้าดอกมี่อิง” ฟางซินตอบด้วยน้ำเสียงอันแน่วนิ่ง “หากแต่นี่คือสิ่งที่ผู้มิใช่ประมุขมิมีวันรู้เกี่ยวกับการได้ครอบครองเสื้อคลุมและมาลาของประมุขพรรคบุปผาสวรรค์”“มะ...มิรู้เช่นนั้นรึ...มิรู้อันใด...โอย...ข้ามิรู้สิ่งใด”มี่อิงร่ำร้องและพยายามถอดมาลาออกจากหัวของนางเพราะความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ใบหน้าบิดเบี้ยวของนางอาบด้วยโลหิตแดงฉานที่ไหลหลั่งลงอาบเสื้อคลุมขนาดที่คนติดตามคอยรับใช้ยังถอยหนีด้วยความสะพรึงกลัว ฟางซินก้าวไปหยุดตรงหน้าบันไดซึ่งทอดตัวขึ้นไปสู่บัลลังค์ทองงาช้าง นางส่ายหน้าไปมาขณะมี่อิงซวนเซจนล้มนั่ง โลหิตมากม

  • นางมารหมื่นบุปผา   78

    “ท่านมีบุญคุณต่อข้าใยจะมิสำนึก แต่หากมิทำเช่นนี้แล้วก็มิมีวันที่จะหยุดความทะเยอทะยานของท่านได้ อภัยให้ข้าด้วย...ท่านลุง”หลวนคุนนั่งคุกเข่าและวางคันธนูลงข้างลำตัว ไป๋เจี้ยนเหยียดปากทั้งน้ำกบดวงตา“ข้ามินึก...ทั้งที่มีคนเตือนข้าแล้วว่าให้ระวังคนใกล้ตัว...ข้านึกไปมิถึง...นึกมิถึงเลยจริง ๆ ว่าที่แท้...คนใกล้ตัวก็คือ...เจ้า...”เจ้าสำนักเฟิงอี้ตาเหลือกถลนเมื่อผ่อนลมหายใจสุดท้ายด้วยมิทานทนต่อความเจ็บปวดจากดอกศรที่ปักเข้าบนอกด้านซ้ายพอดิบพอดีก่อนจะล้มตึงลงนอนคว่ำหน้าดวงตาเบิกค้างและผู้ที่ตกใจมากที่สุดเห็นจะไม่พ้นมี่อิงที่ผงะงันและถอยไปเบื้องหลัง“ไป๋เจี้ยน...”จิ้นเหอครางชื่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่ขาดใจตายลงต่อหน้าอย่างมิน่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ขณะฟางซินปรี่เข้าไปหา ทั้งสองกอดกันแนบแน่นราวกับได้เกิดใหม่“หลวนคุน...ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”หวังซื่อเอ่ยกับหลวนคุนแต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงมี่อิงกังวานขึ้น“ถึงมิมีไป๋เจี้ยนแล้วแต่พวกเจ้าหยุดข้ามิได้ดอก!”นางมารดอกไม้เงินเหยียดยิ้มเยาะก่อนหันไปยังคนสนิทอีกสองคนที่ยังไม่ยอมออกไปจากห้องโถงใหญ่ดังคนอื่น ๆ ที่แตกตื่นวิ่งหนีออกไปเกือบสิ้น หญิงสา

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status