เช้าวันต่อมาว่านชิงอีก็ออกเดินทาง โดยมีเหว่ยอ๋องและองครักษ์จำนวนหนึ่งติดตามไปด้วย อีกทั้งหมอหลวงที่นางเอ่ยขอกับเหว่ยอ๋อง เพราะนางคิดว่าควรมีหมอที่เก่งและมีฝีมือไปด้วย ว่านชิงอีให้องครักษ์หารถม้าอีกคัน เพื่อไปรับสตรีสี่คนที่มาจากหมู่บ้านตงซาน นางและองบขครักษ์ฮุ่ยเจียงนั่งอยู่บนรถม้าด้วย ส่วนเหว่ยอ๋อง อู่ถงและองครักษ์อีกจำนวนหนึ่ง ควบม้าอยู่ด้านหน้าและด้านหลังเพื่อคอยคุ้มกันนาง
“ท่านหญิงคิดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในหมู่บ้านตงซาน จะเป็นภูตผีวิญญาณหรือไม่เพคะ?” “ก็ไม่แน่นะฮุ่ยเจียง โลกใบนี้มีสิ่งแปลกประหลาดมากมาย อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เจ้ามาช่วยข้าพับกระดาษอันนี้หน่อย” “นี่คือสิ่งใดหรือเพคะ?” “นี่คือยันต์ป้องกันภูตผีปีศาจ พับแบบนี้นะ ข้าจะได้แจกจ่ายให้ทุกคนพกติดตัว เจ้าก็เอาไปอันหนึ่งพกติดตัวป้องกันเอาไว้” ยันต์อันนี้ว่านชิงอีเขียนไว้นานแล้ว เพราะคิดว่าวันหนึ่งอาจได้ใช้ ซึ่งนางก็คิดว่าวันนี้ควรนำออกมาใช้เพื่อป้องกันเอาไว้ กลุ่มขบวนเดินทางไปยังหมู่บ้านตงซาน หยุดพักม้าระหว่างทางครึ่งชั่วยาม ชิงอีจึงให้ฮุ่ยเจียงนำอาหารที่เตรียมมาแจกจ่ายให้ทุกคน ก่อนนางจะเดินไปหาเหว่ยอ๋องกับอู่ถง ที่กำลังผูกม้าอยู่กับต้นไม้ต้นหนึ่ง นางยื่นหมั่นโถวและน้ำให้เหว่ยอ๋องและอู่ถง ก่อนนางจะนั่งลงบนขอนไม้ท่อนหนึ่ง เหว่ยอ๋องเห็นเช่นนั้นก็เดินมานั่งข้างกันกับนาง “ท่านอ๋องพกติดตัวไว้เพคะ อู่ถงเจ้าก็เอาไปพกติดตัวไว้” ว่านชิงอีหยิบยันต์ที่พับไว้เป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็กยื่นให้เขาทั้งสองคน “สิ่งนี้คืออะไร?” “เป็นยันต์ที่หม่อมฉันเขียนขึ้นมา เพื่อป้องกันภูตผีปีศาจเพคะ” เหว่ยอ๋องมองนางด้วยความประหลาดใจกับสามารถของนาง “เจ้าเก่งขนานนี้เลยหรือ?” “ท่านอ๋องพูดเช่นนี้แสดงว่าไม่เชื่อในความสามารถของหม่อมฉัน” “ไม่ใช่ไม่เชื่อแต่ข้าเพียงแค่แปลกใจ ที่เจ้ามีความสามารถที่คนอื่นแทบไม่มีได้อย่างน่าทึ่ง” “แล้วท่านอ๋องภูมิใจหรือไม่ที่ข้ามีความสามารถเช่นนี้?” เหว่ยอ๋องถอนใจกับความแสบซนของนาง ที่ขยันเกี้ยวพาเขาอยู่ตลอดเวลา ก่อนเขาจะยกนิ้วขึ้นไปดีดหน้าผากนางเบาๆ “โอ๊ย!ท่านอ๋องมาดีดหน้าผากหม่อมฉันทำไมเพคะ?” “เล่นรู้จักเวล่ำเวลาหน่อย” เขาเอ่ยแต่เบือนหน้าไปทางอื่นแอบยิ้มกับความน่ารักของนาง ว่านชิงอีมองค้อนเขาอย่างแง่งอน ก่อนจะพรวดพราดลุกขึ้นจะก้าวไปไปที่รถม้า แต่เขากลับคว้าข้อมือของนางเอาไว้ “จะรีบไปไหน” “ไปที่รถม้าเพคะเบื่อคนขี้แกล้งแถวนี้” “นั่งลงเถิดข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว” ว่านชิงอีจึงยอมนั่งลงแต่โดยดี เขาจึงดันศรีษะนางให้มาซบกับไหล่ของเขา ว่านชิงอีจึงหลับตาลงเพื่อพักสายตา ไม่นานนางก็เผลอหลับไปอย่างง่ายดาย เหว่ยอ๋องเห็นว่านางหลับจึงอุ้มนางไปนอนในรถม้า ก่อนจะให้ฮุ่ยเจียงนำผ้ามาปูให้นางได้นอนดีๆ ก่อนจะเขาจะสั่งให้เริ่มเดินทางอีกครั้ง พอเริ่มเดินทางว่านชิงอีก็เริ่มรู้สึกตัว เขาอุ้มนางมานอนบนรถหรือ? ชิงอียกยิ้มดูท่าแล้วเขาก็เป็นคนอ่อนโยนอยู่ไม่น้อยเลย แต่แล้วจู่ๆ ปิงปิงก็พุ่งเข้ามาในรถม้า “คุณหนูแย่แล้วเหมือนจะมีกองกำลังซุ่มอยู่ด้านหน้า ข้าไม่รู้ว่าซุ่มรอพวกเราหรือว่าใคร” ปิงปิงหน้าตาตื่นรีบมารายงาน ว่านชิงอีพอได้ยินก็ตกใจ หรือว่าสตรีสี่นางนั้นจะเป็นนกต่อ ก่อนนางจะเปิดม่านหน้าต่างและชะโงกหน้าออกไป “ท่านอ๋องด้านหน้ามีกองกำลังดักซุ่มอยู่ เอาอย่างไรดีเพคะ?” เหว่ยอ๋องรีบให้คนหยุดม้า หากมีกองกำลังดักรอเช่นนี้ดูท่าแล้ว คงมีคนคิดแผนล่อเขาออกมา หรือว่าสตรีที่มาจากหมู่บ้านตงซานจะเป็นนกต่อ “อู่ถงไปจับสตรีสี่นางมาตรงนี้!” เหว่ยอ๋องกล่าวเสียงเยียบเย็นแฝงรังสีอำมหิตออกมา อู่ถงและองครักษ์รีบจับสตรีสี่นางลงมาจากรถม้า ก่อนจะจับพวกนางคุกเข่า ก่อนองครักษ์จะวางดาบพาดไปใกล้ลำคอของพวกนาง สตรีทั้งสี่นางตกใจหน้าซีดเนื้อตัวสั่นด้วยความกลัว เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “พวกเจ้าสร้างเรื่องหลอกล่อ ให้ข้าและท่านหญิงออกมาจากเมืองหลวงใช่หรือไม่?” “ท่านอ๋องหม่อมฉันไม่รู้เรื่องเพคะ หม่อมฉันตั้งใจมาขอร้องท่านหญิง ให้ไปช่วยบุตรชายของหม่อมฉันจริงๆ เพคะ” “แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะช่วยลูกชายท่านได้หรือ อีกอย่างเจ้าบอกเองว่า ก่อนตายทุกคนพูดว่ามีวิญญาณร้ายจะมาเอาชีวิต?” ว่านชิงอีเอ่ยถามขึ้น “หม่อมฉันไม่รู้ว่าช่วยได้หรือไม่ แต่ว่าเป็นเพราะบุตรชายของหม่อมฉันบอกว่า พี่สาวของเขามาหาและบอกให้ไปหาท่านหญิง จึงอยากลองเสี่ยงดูเพราะไม่มีอะไรจะเสียดีกว่าปล่อยให้เขาตายโดยไม่ทำอะไรเลย แต่พวกหม่อมฉันไม่รู้เรื่องใดๆ จริงๆ เพคะ” “บุตรสาวของเจ้าชื่ออะไร?” “นางชื่อลู่หลิงทำงานอยู่หอนางโลมชมจันทร์เพคะ” ว่านชิงอีหันไปสบตากับเหว่ยอ๋อง หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกนางก็คงไม่เกี่ยวข้อง แต่ว่าตอนก็ยังสรุปอะไรไม่ได้ ก็คงต้องจับมัดพวกนางเอาไว้ก่อน “ข้างหน้ามีกองกำลังดักซุ่มรออยู่ หากพวกเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป” เหว่ยอ๋องเอ่ยขึ้น พอได้ยินว่ามีกองกำลังดักรอ สตรีสี่นางก็เริ่มเข้าใจ คราวนี้พวกนางตกใจหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม ท่านอ๋องกับท่านหญิงหวาดระแวงพวกนางก็ถูกต้องแล้ว ใครกันที่วางแผนซุ่มโจมตีเหว่ยอ๋องกับท่านหญิง “ท่านอ๋องปิงปิงบอกว่าพวกเขามีกันประมาณสิบคน ดูท่าแล้วน่าจะเป็นยอดฝีมือ” เหว่ยอ๋องเตรียมองครักษ์ยอดฝีมือมาสิบคนเช่นกัน แต่หากว่าต่อสู้กัน แล้วพวกเขายังมีกองกำลังแอบซ่อนเอาไว้ แล้วตลบหลังมาจัดการกับท่านหญิง อันนี้เขาคิดว่าไม่อาจประมาทได้ เขาต้องคิดให้รอบคอบ ว่านชิงอีเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเขาก็เอ่ยขึ้น “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เดี๋ยวหม่อมฉันจะส่งผู้ช่วยไปจัดการพวกเขาก่อน แล้วท่านอ๋องค่อยพาองครักษ์ไปจัดการเขาอีกที” ผู้ช่วยของนางก็คือปิงปิง ตงไห่ อีถง และลู่หลิง “ได้เอาตามนั้น” ทางกองกำลังที่มาดักรอท่านอ๋องและท่านหญิงตามคำสั่ง มองเวลาที่คาดการเอาไว้ว่า พวกเขาน่าจะเดินทางมาถึงในช่วงเวลานี้ แต่กลับเงียบสนิทหรือว่าท่านอ๋องจะเปลี่ยนใจ แต่สายข่าวก็บอกว่าเขาและท่านหญิงได้เดินทางวันนี้แน่นอน เหตุใดถึงล่าช้าหรือว่าจะหยุดพักกลางทาง “ลูกพี่พวกเขาคงไม่มาแล้วกระมัง” “รออีกสักหน่อย อย่าเพิ่งใจร้อน” แต่ว่าไม่นานพวกเขาก็มองเห็นกลุ่มคนเดินมาทางที่พวกเขาแอบซ่อนตัวอยู่ มาเข้ามาใกล้จึงเห็นว่าเป็นสตรีสองนาง บุรุษหนึ่งคนเด็กวัยห้าขวบอีกหนึ่งคน พวกเขาจึงออกมาจากที่ซ่อน ปิงปิง ตงไห่ อีถง และลู่หลิง เสแสร้งแกล้งทำว่าตกใจ ที่เห็นพวกเขาออกมาจากพุ่มไม้ในป่า “นายท่านอย่าทำอะไรพวกข้าเลยขอรับ ข้าเพียงเดินทางผ่านมาเงินทองก็ไม่มีติดตัว” ตงไห่เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางหวาดกลัว “ไม่มีติดตัวก็ไม่เป็นไร แค่ส่งสตรีของเจ้ามาให้ข้าก็ได้แล้ว” “ลูกพี่แต่ว่าพวกเรา..” หนึ่งในลูกน้องกลุ่มนักฆ่าเอ่ยขึ้นมา เพราะกลัวว่าจะเสียการใหญ่ “หุบปาก!พวกเจ้าดูต้นทางให้ข้า” อีถงและลู่หลิงเมื่อเห็นชายกักขระที่มองสตรีเป็นที่ระบายอารมณ์ ก็นึกรังเกียจและเริ่มโกรธขึ้นมา แต่ก็แสร้งยิ้มหวานให้พวกเขาอย่างหวานหยด “นายท่านพอดีเลยข้าก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศ เล่นสนุกในป่าเช่นนี้ ที่จริงข้าชอบหลายๆ คนมันดูเร้าใจดีเจ้าค่ะ พวกท่านมาพร้อมกันเลยข้ามากเลยเจ้าค่ะ” ลู่หลิงกล่าวจบก็ส่งสายตายั่วยวน ก่อนจะเดินเข้าไปยังมุมลับตาคน ส่วนอีถงก็ทำตามเช่นเดียวกัน กลุ่มชายนักฆ่าไม่อยากเชื่อทุกอย่างจะดูง่ายถึงเพียงนี้ “พวกเจ้าคอยดูลาดเลาอยู่ตรงนี้ ข้าสี่คนจะไปหาความสุขเสียหน่อย มีอะไรก็รีบตะโกนเรียกข้าดังๆ”ดึกสงัดในค่ำคืนเดือนมืด ว่านชิงอีและพี่สาวอีกสองคนของนางก็ยังไม่พากันเตรียมตัวเข้านอน เพราะว่านชิงอีไหว้วานให้พี่สาวทั้งสอง ช่วยพับยันต์ที่นางเขียนขึ้นมามากมาย เพราะอีกไม่นานจะเป็นเทศกาลปีใหม่ ว่านชิงอีจึงอยากจะทำไว้แจกผู้คน แต่ในความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ นางมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น นางจึงคิดว่าหากมียันต์ป้องกันภูตผีพกติดตัวกันเอาไว้ ก็อาจจะพอช่วยอยู่ได้บ้างแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ว่านชิงอีปรายตามองปิงปิงที่นอนเล่นอยู่บนเตียงของนาง ส่วนดวงวิญญาณอีกสามดวงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเยอะขนานนี้กัน? ว่านชิงหลานเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนั่งทำมาหลายชั่วโมงแล้ว เสี่ยวหมานพยักหน้าเห็นด้วยที่ เพราะนางก็เริ่มเมื่อยมือเช่นเดียวกัน “งั้นพี่ใหญ่พี่รองก็ไปนอนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังคอยมาพับใหม่” ว่านชิงอีมองเห็นความเหนื่อยล้าของพี่สาวทั้งสอง จึงรีบบอกให้ไปพักผ่อนเสียง “ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานรีบเอ่ยลา เพราะร่างกายเริ่มล้าและง่วงนอนเต็มที หลังจากพี่สาวของนางจากไปไม่นาน จู่ ๆ ลมก็พัดอย่างรุนแรงคล้ายจะมีลมฝน แต่กลิ่นที่มาพร้อมกับล
ทางด้านสามตระกูลใหญ่ ที่ยามนี้มารวมตัวกันอยู่ที่จวนของตระกูลกู้ เพื่อรอฟังข่าวว่าวันนี้ท่านหญิงจะเป็นเช่นไร เมื่อมีข่าวออกมาว่าผู้คนได้ไปรวมตัวกัน ที่หน้าสำนักงานหน่วยสืบสวนเพื่อเรียกร้องให้จับท่านหญิง มาเผาไฟต่อหน้าทุกคน ฝ่ายกรมยุติธรรมเมื่อถูกกดดันจากราษฎร จึงต้องเข้าไปตรวจสอบ เพื่อความสบายใจให้แก่ทุกคน แม้ว่าเรื่องนี้ฟังดูแล้วข้อกล่าวหาอาจดูเกินจริง และดูเหมือนใส่ร้ายท่านหญิงจนเกินไป แต่เนี่ยนเจินกรมยุติธรรมก็ต้องทำตามหน้าให้ดีที่สุด สร้างความพอใจให้กับสามตระกูลใหญ่เป็นอย่างมาก พวกเขาจึงนัดกันมานั่งจิบชา รอฟังข่าวอยู่ที่จวนเสนากู้ สามฮูหยินและคุณหนูทั้งสามต่างพากัน พูดคุยอย่างอารมณ์ดี พวกนางคิดว่าอย่างไรวันนี้ท่านหญิงก็คงไม่รอด เพราะเหตุการณ์วันนั้นหลายคนเห็นกับตาตนเอง ว่านางสามารถสร้างภาพลวงตาทำให้ผู้คนหวาดกลัว ข้อกล่าวหาว่านางเป็นปีศาจไม่ดูเกินจริงเลยสักนิด “รายงานขอรับ” บ่าวจวนเสนาบดีกู้รีบเข้ามารายงาน หลังออกไปเกาะติดสถานการณ์ เกี่ยวกับท่านหญิงมาทั้งวัน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนบอกของบ่าวที่มารายงาน ทุกคนก็ตั้งอกตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ “เรียนท่านเสนาตอนนี้ผู้คนที่รวมตัวกัน ไป
ทางด้านเหว่ยอ๋องพอกลับมาถึงเมืองหลวง เขาและว่านชิงอี ก็ได้แวะที่สำนักงานสืบสวนคดีก่อนเป็นที่แรก เพราะอยากรู้เรื่องที่ให้จับคนร้ายมาขังเพื่อรอไต่สวน แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อ องค์ชายซีห่าวบอกว่า นักฆ่าทั้งสิบคนถูกลอบสังหารฆ่าปิดปากจนหมด “เจ้าว่าอย่างไรนะ!” เหว่ยอ๋องแผดเสียงออกมาอย่างผิดหวัง “ข้าก็ไม่คิดว่าคนบงการ จะคิดจัดการกับกลุ่มคนร้ายเช่นนี้ คงไม่อยากให้เรื่องราวถูกสาวถึงตัว แล้วทางหมู่บ้านตงซานเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?” “ก็เรียบร้อยดี เหมือนมีคนจงใจสร้างสถานการณ์ขึ้น ให้ข้าและนางออกไปจากเมืองหลวง ข้าคิดว่าชาวบ้านคงไม่รู้เรื่องอันใด แต่ชิงอีได้ทิ้งคนให้คอยสอดส่องและคอยรายงานแล้ว” องค์ชายซีห่าว สะดุดคำเรียกที่เหว่ยอ๋องเรียกท่านหญิงว่าชิงอี สงสัยความสัมพันธ์ของพวกเขาคงรุดหน้าไปเป็นอย่างดีสินะ “เหตุใดท่านหญิงถึงได้กลายเป็นชิงอีเฉยๆ แล้วเล่า ความสัมพันธ์ของพวกท่านทั้งสอง คงพัฒนาไปเป็นอย่างดีสินะ?” “เจ้าพูดอะไรข้าก็แค่สนิทกับนางมากขึ้น” เหว่ยอ๋องพอถูกผู้เป็นน้องกล่าวล้อขึ้นมาก็ถึงกับวางตัวไม่ถูก “ท่านพี่…คุยเสร็จหรือยังเพคะ” ว่านชิงอียิ่งเห็นเขาทำตัวไม่ถูกก็ยิ่งอยากแกล้ง เหว่ยอ๋องพอ
ณ หมู่บ้านตงซานหลังจากจากเกิดเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครกลับไปนอนอีกต่างพากันนั่งรอให้ถึงเช้า อู่ถงพอเปิดประตูออกมาในตอนเช้าตรู่ ก็ต้องชะงักกับสตรีราวเจ็ดแปดคน มายืนรออยู่หน้าเรือนพัก ในมือมีอ่างใส่น้ำ เพื่อให้ทุกคนได้ล้างหน้าล้างตา ฮุ่ยเจียงเดินมารับอ่างจากสตรีนางหนึ่ง แล้วยกเข้าไปด่านในให้กับท่านหญิง ส่วนอู่ถงเดินมารับอ่างน้ำอีกอันเพื่อนำไปให้เหว่ยอ๋อง หลังจากทุกคนล้างหน้าล้างตากันเสร็จ สตรีที่มาคอยช่วยดูแลก็นำน้ำชาและโจ๊กมาให้ทุกคน ว่านชิงอีมองเห็นวิญญาณห้าดวงที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ก็สะกิดปิงปิงให้ไปเรียกเข้ามา “พวกท่านมีอะไรหรือไม่?” “ทูลท่านหญิง พวกกระหม่อมไม่มีที่ไป ขอติดตามเป็นทาสรับใช้ท่านได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ว่านชิงอีได้ฟังก็พยักหน้า “ได้ต่อไปก็คอยฟังคำสั่งของปิงปิงก็แล้วกัน” ห้าดวงวิญญาณปรายตามองเด็กน้อยวัยห้าขวบ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านหญิงจะให้พวกข้าฟังคำสั่งจากเด็กคนนี้หรือ?” ว่านชิงอียกยิ้ม “อย่าดูถูกความสามารถนางเชียวนะ” ปิงปิงพอได้ยินนางเอ่ยชม ก็ยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างเย่อหยิ่ง “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครที่เป็นคนทำวิชาอาคมพวกนี้ ในนิมิตข้าเห็นชายผู้หนึ่งแต่ว่าไม่
พอพานางมาถึงเรือนที่พัก ว่านชิงอีก็หลุดหัวเราะออกมากับกิริยาท่าทางของเขา ที่ดูถือตัวขึ้นมาเมื่อสตรีนางนั้นอยากเช็ดคราบสุราที่นางทำหกใส่แขนเสื้อของเขา “เป็นบุรุษรูปงามก็แบบนี้แหละเพคะไปที่ไหนมีแต่สตรีหมายปอง” “เจ้าไม่โกรธเคืองสตรีเหล่านั้นหรือ?” “โกรธแล้วจะทำอย่างไรได้เล่าเพคะ ห้ามสายตาสตรีเหล่านั้นได้ที่ไหนกัน แต่ว่ามันก็ทำให้หม่อมฉันภูมิใจ ที่ท่านอ๋องหล่อเหล่ามากขนานนี้ มากจนจนหม่อมฉันใจละลาย มอบหัวใจให้ท่านไปจนหมดแล้ว” เหว่ยอ๋องยกนิ้วขึ้นมาเคาะจมูกนาง สตรีนางนี้พูดจาเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีท่าทีกระดากอายเลยสักนิด เขาละจนใจกับความมึนของนาง ก่อนองครักษ์จะตามเข้ามา เหว่ยอ๋องจึงเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียง “พวกเจ้าก็หามุมที่จะนอนเอาเองละกัน” “แต่ว่าหากตกดึกอากาศจะหนาวหรือไม่ ฮุ่ยเจียงไปเอาผ้าห่มบนรถม้ามาเพิ่มอีกมีหลายผืน” ว่านชิงอีนึกกังวล เพราะตกดึกอากาศมักจะหนาวเย็น ฮุ่ยเจียงกลับมาพร้อมกับผ้าห่มในอ้อมแขน เหว่ยอ๋องคิ้วกระตุกเมื่อคิดว่า สิ่งที่นางเคยใช้ องครักษ์ของเขาจะได้ใช้ด้วย ไม่ได้เขาไม่มีทางยอม “เอามานี่ ส่วนผ้าห่มที่ทางนี้จัดหาให้พวกเจ้าเอาไป” “ท่านอ๋องแต่ว่าผ้าห่มจะครบคนหร
ชายสี่คนเดินตามอีถงและลู่หลิงที่พาเดินเข้ามาลึกพอสมควร ก่อนที่นางทั้งสองจะหยุดเดิน แล้วหันกลับมาแสยะยิ้มให้พวกเขา จากใบหน้าที่ปกติยามนี้เนาะเฟะมีหนอนชอนไช ดวงตาหลุดออกมานอกเบ้า ชายทั้งสี่ตาเหลือกถลนกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ก่อนจะพากันร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะพากันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พอหยุดพักหายใจ ก็เห็นร่างวิญญาณที่น่าเกลียดน่ากลัวมาอยู่ตรงหน้า พวกเขาหวาดกลัวจนหมดสติ อีถงและลู่หลิงจึงเดินออกไปหากลุ่มที่ยืนรออยู่ “นายท่าน” พวกเขาอีกหกคนหันมาตามเสียง ก็ถึงกับผงะกับใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวของนางทั้งสอง พอหันมามองชายที่ยืนอยู่กับเด็ก ยามนี้เขาก็ดึงคอออกจากหัวอย่างช้า แล้วโยนเล่นไปมา ส่วนเด็กน้อยก็ยืดมืออันแสนยาวเหยียดขึ้นไปโหนต้นไม้ แกว่งไกวตนเองไปมา ชายทั้งหกคนหมดสติไปทันทีด้วยความกลัว ก่อนปิงปิงจะรีบไปส่งข่าวกับว่านชิงอี ไม่นานกลุ่มของท่านอ๋องก็มาถึง “พวกเจ้าทำได้ดีมาก” ว่านชิงอีเอ่ยชม มีผู้ช่วยเป็นวิญญาณก็ดีแบบนี้ไม่ต้องเปลืองแรง “อู่ถงจับมัดพวกเขาเอาไว้ ส่งคนไปแจ้งทางการให้มาเอาตัวพวกเขาไป บอกองค์ชายซีห่าวให้ส่งคนมาช่วยข้ามากหน่อย อีกอย่างบอกองค์ชายซีห่าวชายสิบคนนี้ ข้ากลับ