เสียงผลักประตูเข้ามา ทำให้หมอที่กำลังทำคลอด หันมามองว่านชิงอีด้วยความไม่พอใจ นางเป็นใครเหตุใดช่างไร้มารยาทเช่นนี้ อยู่ ๆ เปิดประตูเข้ามาไม่รู้หรืออย่างไรว่า ห้องสตรีทำคลอดห้ามผู้ใดเข้ามารบกวน
“ท่านเป็นใคร!เหตุใดช่างไร้มารยาท ท่านหมอกำลังทำคลอดอยู่ไม่เห็นรึ?” ผู้ช่วยหมอทำคลอดหันมาตวาดใส่ว่านชิงอีทันที แต่มีหรือว่านชิงอีจะใส่ใจ นางพุ่งสายตาไปที่ร่างของสตรีที่กำลังนอนร้องด้วยความทรมาน เหนือร่างของนางมีวิญญาณของสตรีนางหนึ่ง ที่ท้องแก่ใกล้คลอดกำลังจับขาของทารกเอาไว้ “คุณหนูนั่นมันผีตายทั้งกลมนี่เจ้าคะ” ปิงปิงรีบร้องบอกว่านชิงอีด้วยความตกใจ วิญญาณตนนั้นหันมามองว่านชิงอีด้วยสายตาแข็งกร้าว “ปล่อยขาของเด็กเถิด เจ้าเจ็บแค้นที่ตัวเจ้าไม่สามารถคลอดลูกจนตายทั้งกลม แล้วจะมาทำให้ชีวิตผู้อื่น เป็นเหมือนชีวิตของเจ้าอย่างนั้นหรือ? เห็นแก่ตัวไปหรือไม่?” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น เพราะนางคิดว่าวิญญาณตนนี้น่าจะเกลี้ยกล่อมได้ “เจ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามายุ่ง ข้าไม่มีทางปล่อยให้นางคลอดลูกได้แน่ ยังไงวันนี้นางต้องตายไปพร้อมกับลูกของนาง” ว่านชิงอีได้ยินเช่นนั้น ก็ก้าวเข้าไปจับมือของฮูหยินเซียวทันที เพราะไม่อยากเสียเวลาเกลี้ยกล่อมวิญญาณตนนี้อีกต่อไป นางต้องรีบช่วยเหลือชีวิตของแม่เด็กกับทารกเสียก่อนไม่เช่นนั้นอาจไม่ทันการณ์ แต่เพียงแค่นางสัมผัสมือของฮูหยินเซียว ภาพต่างๆ ก็ปรากฏให้ว่านชิงอีได้เห็น ที่แท้เรื่องเป็นเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรีบช่วยนางและลูกก่อนอยู่ดี ว่านชิงอีรีบดึงแขนของวิญญาณตนนั้นออกมา แม้วิญญาณตนนั้นจะพยายามขัดขืน แต่ก็ไม่อาจสู้พลังของว่านชิงอีได้ “ปิงปิงเจ้าดูนางเอาไว้” “เจ้าค่ะ” ว่านชิงอีกลับเข้าไปหาร่างของฮูหยินอีกครั้ง ก่อนจะจับมือนางมาบีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ “ฮูหยินเซียวคราวนี้ท่านคลอดได้แน่นอน รวบรวมแรงเบ่งเอาแบบเต็มที่ไปเลยเจ้าค่ะ” ฮูหยินเซียวยามนี้แทบไม่มีแรงเหลืออยู่แล้ว แต่พอได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ก็ฮึดสู้อีกครั้ง แต่คราวนี้ถึงแม้ นางจะไม่ได้เบ่งมากเหมือนคราวแรก ๆ แต่เด็กก็คลอดออกมาอย่างง่ายดาย เสียงเด็กร้องออกมาทันทีเมื่อโผล่พ้นครรภ์มารดา หมอทำคลอดมองหน้ากันไปมาด้วยความประหลาดใจ บทจะคลอดก็คลอดได้ง่ายแบบนี้เลยหรือ? ฮูหยินเซียวพอได้ยินเสียงเด็กก็ยกยิ้มด้วยความโล่งอก ก่อนจะหมดสติไปด้วยความอ่อนล้า ว่านชิงอีจึงเดินออกมาหาวิญญาณตนนั้นอีกครั้ง “เจ้าออกไปคุยกับข้า” “ข้าไม่ไป!ยังไงวันนี้ข้าต้องจัดการนางกับลูกให้ได้!” “ปิงปิงพานางไปคุยกับข้าข้างนอก” ว่านชิงอีไม่อยากคุยในห้องนี้ เพราะว่ามีคนอยู่ในห้องมากมาย นางไม่อยากทำให้พวกเขาตกใจ หมอทำคลอดรีบอุ้มเด็กออกไปด้านนอกเพื่อให้บิดาของเด็กได้ชื่นชม เมื่อวิญญาณตนนั้นยืนยันที่จะไม่ออกไป ว่านชิงอีจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าเสร็จแล้วก็ออกไปให้หมด” ว่านชิงอีออกคำสั่ง แต่หมอทำคลอดและผู้ช่วยหมอ กลับมองนางตาขวางอย่างไม่พอใจ “เจ้าเป็นใครกล้ามาออกคำสั่งที่จวนท่านเซียว” ฮุ่ยเจียงที่ได้ฟังก็เริ่มทนไม่ไหว “นางคือท่านหญิงจวินจู่ผู้บังคับบัญชาหน่วยสืบสวน ว่าอย่างไรพอจะออกคำสั่งให้พวกเจ้าออกไปได้หรือไม่?” พอทุกคนรับรู้ก็พากันคุกเข่าทันที ใครจะไปคาดคิดว่าท่านหญิงจะบุกมาจวนท่านเซียว แถมยังมายังห้องคลอดของฮูหยินเซียวอีกด้วย นางที่เป็นท่านหญิงที่แปลกประหลาดเสียจริง “ขอประทานอภัยเพคะหม่อมฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้” พอทุกคนออกไปจนหมด ว่านชิงอีจึงหันมามองวิญญาณที่ตายทั้งกลมอย่างจริงจัง “เจ้าตายเพราะถูกวางยาพิษ ก่อนเจ้าถึงกำหนดคลอด เจ้าก็เลยคิดว่าเป็นฝีมือของฮูหยินเซียวสินะ” วิญญาณตนนั้นตกใจอยู่ไม่น้อย ที่ท่านหญิงรู้เรื่องราวเหล่านี้ “ท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” “เรื่องนั้นไม่สำคัญ เรามาคุยเรื่องนี้กันดีกว่า เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่านางเป็นคนวางยาพิษเจ้า?” “ไม่ใช่นางแล้วจะเป็นใคร นางไม่เคยชอบข้าที่ถูกแต่งเข้ามาเป็นอนุ นางคงไม่พอใจที่ข้าตั้งครรภ์และได้บุตรชาย นางจึงคิดกำจัดข้ากับลูกไปให้พ้นทาง นางช่างเป็นสตรีที่มีจิตใจโหดเหี้ยมนัก” วิญญาณตนนั้นกล่าวอย่างโกรธแค้น “ข้าจะบอกอะไรให้ว่า เจ้านะไม่ได้ถูกพิษ แต่เพราะเจ้าแพ้เกสรของดอกไป่เหอ (ดอกลิลลี่) เจ้านึกดี ๆ วันนั้นเจ้าให้บ่าวไปยกกระถางไป่เหอ มาตั้งในห้องนอนของเจ้าตรงหน้าต่าง คืนนั้นลมพัดค่อนข้างแรง เกสรเลยปลิ่วไปทั่วห้อง เจ้าที่หายใจเข้าไปก็เลยแพ้อย่างรุนแรง เกิดอาการหายใจติดขัดจนถึงขั้นหายใจไม่ได้ เจ้าถึงได้สิ้นใจตาย และอีกอย่างเด็กที่อยู่ในท้องของเจ้า ไม่ใช่เด็กผู้ชายแต่เป็นเด็กผู้หญิง ที่สำคัญเด็กคนนี้อาจเป็นเด็กที่ไม่สมบูรณ์” “ท่านพูดเรื่องบ้าอะไรข้าไม่เชื่อ!” ปิงปิงที่ยืนฟังอยู่ก็รีบคว้ามือของนางและอีกมือก็ไปคว้ามือของว่านชิงอี จากนั้นภาพที่ทารกนอนอยู่ในท้อง ของวิญญาณตนนั้นก็ปรากฏขึ้น ทารกตนนั้นเป็นเด็กผู้หญิง ที่มีศีรษะใหญ่โตผิดปกติร่างกายก็ลีบเล็ก วิญญาณตนนั้นถึงกับตกตะลึง ร่างกายไม่อาจขยับได้ไปชั่วขณะ นางเกือบจะฆ่าคนบริสุทธิ์ไปแล้วด้วยความเข้าใจผิด โชคดีที่ท่านหญิงมาทันเวลา ไม่เช่นนั้นนางคงกลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายไปแล้วเป็นแน่ “ท่านหญิงขอบพระทัยที่มาทันเวลา โปรดรับการคารวะจากหม่อมฉันด้วยเพคะ” “เจ้าลุกขึ้นเถิด เอาละข้ามีเรื่องจะต้องจัดการอีก” กล่าวจบว่านชิงอีก็เปิดประตูออกไปทันที เพราะกลัวว่าหากชักช้า นักพรตจอมหลอกลวงจะหนีไป แต่พอออกมา ก็เห็นสี่วิญญาญกำลังช่วยกันจับร่างของนักพรต ก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เซียวหานเต๋อที่เห็นท่านหญิงเดินออกมา ก็รีบอุ้มบุตรสาวเข้ามาด้วยความปลาบปลื้มยินดี “ท่านหญิงตรวจพบสิ่งใดผิดปกติหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ท่านหญิงท่านดูบุตรสาวของกระหม่อม ที่คลอดออกมาอย่างปลอดภัย ต้องยกความดีความชอบให้กับท่านนักพรต ที่ช่วยทำพิธีปัดเป่าขับไล่ปีศาจและความโชคร้าย มิเช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่รู้เลยว่า ชีวิตฮูหยินกับบุตรสาวจะเป็นเช่นไร” พอได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น ว่านชิงอีก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน เซียวหานเต๋อมองท่านหญิง ที่ยืนหัวเราะอย่างไม่เข้าใจ ท่านหญิงขบขันเรื่องอันใดกัน “ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าเขามีความสามารถช่วยขับไล่ปีศาจได้จริง?” “หากไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครได้อีกละพ่ะย่ะค่ะ ฮูหยินของกระหม่อมเจ็บท้องคลอด มาหลายชั่วยาม แต่พอท่านนักพรตทำพิธีเสร็จ ฮูหยินก็คลอดบุตรได้อย่างปลอดภัย” “ท่านฟังนะ วิญญาณอนุของท่าน ที่ตายไปหลายเดือนก่อน เข้าใจผิดคิดว่าฮูหยินเซียว เป็นคนวางยาพิษนางให้ตาย นางจึงขัดขวางไม่ให้ฮูหยินคลอดลูกได้ง่าย ๆ วันนี้นางเข้าใจทุกอย่างดีแล้ว จึงอยากจะกล่าวขอโทษท่านด้วยตัวเอง แม่นางเชิญ” ว่านชิงอีกล่าวจบก็ใช้พลังให้นางปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน เซียวหานเต๋อตกตะลึง เป็นนางจริง ๆ วิญญาณตนนั้นคุกเข่าด้วยความสำนึกผิด “ท่านพี่ยกโทษให้ข้าด้วยเจ้าค่ะข้าผิดไปแล้ว” “เจ้าลุกขึ้นเถิด หากว่าเจ้าสำนึกผิดแล้ว ข้าก็ไม่ถือโทษโกรธเจ้า ขอให้เจ้าไปสู่ภพที่ดี” เซียวหานเต๋อกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยน ส่วนนักพรตจอมต้มตุ๋นเมื่อเห็นวิญญาณมาปรากฎตัวเป็นครั้งแรกในชีวิต ร่างกายก็เริ่มสั่นเทา เพราะหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ว่านชิงอีปรายตามองเขาอย่างเย้ยหยัน วันนี้ข้าจะเปิดเผยหน้ากากของเจ้า “ท่านนักพรตผู้มีความสามารถท่านนี้ ท่านเจอข้าเหตุใดไม่ทำความเคารพ?” “ถวายบังคมท่านหญิงพ่ะย่ะค่ะ” นักพรตได้แค่เพียงเอ่ยเป็นคำพูดเพราะขยับตัวไม่ได้ “บังอาจ!เจ้ากล้าลบหลู่ท่านหญิงรึ?” ฮุ่ยเจียงตวาดออกไปเสียงดัง นักพรตหน้าซีดเผือดเหงื่อแตกเต็มใบหน้า นี่เขาต้องทำอย่างไรดี ถึงจะหลุดพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ “ทูลท่านหญิง อยู่ ๆ ร่างกายของกระหม่อมก็ขยับไม่ได้ กระหม่อมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ต้องขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” ว่านชิงอียกยิ้มเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านเป็นนักพรตปราบภูตผีปีศาจ เหตุใดถึงไม่รู้ว่าทำไมร่างกายของท่านถึงขยับไม่ได้” ทุกคนที่อยู่รอบบริเวณพอได้ยินท่านหญิงเอ่ยเช่นนั้น ต่างก็พากันหันมามองเขาด้วยความสงสัย ท่านหญิงหมายความว่าเช่นไรกัน “ที่ร่างกายท่านขยับไม่ได้เป็นเพราะมีสี่ดวงวิญญาณกำลังจับตัวท่านเอาไว้ ท่านมองไม่เห็นหรอกรึ?” นักพรตหน้าตาเลิกลักเมื่อได้ยินว่ามีวิญญาณจับตัวเขาเอาไว้ ว่านชิงอีใช้พลังให้วิญญาณปรากฏตัว นักพรตจอมหลอกลวงพอเห็นเช่นนั้น ก็ตกใจหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ ก่อนจะดิ้นสุดแรงเพื่อให้หลุดพ้นจากการจับกุม ก่อนจะวิ่งอย่างหัวซุกหัวซุนอย่างไม่คิดชีวิต พร้อมกับร้องตะโกนออกไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด “ช่วยด้วย!ผีหลอก!ช่วยด้วย!”หลังจากตั้งจิตอฐิษธาน ว่านชิงอีก็เปิดย่ามออกมาดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือไม่ ปรากฏว่ามีหนังสือจีนโบราณอยู่เล่มหนึ่ง ที่ค่อนข้างเก่ามากมองแทบไม่เห็นตัวหนังสือ ว่านชิงอีค่อย ๆ หยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา แล้วเริ่มเปิดดูด้านในมีกระดาษสอดเอาไว้ นางจึงหยิบมาเปิดอ่าน ก่อนจะตาเบิกกว้าง นี่มันลายมือของพ่อ “ลูกรักนี่เป็นหนังสือที่แม่ของเจ้าไปเจอมาจากร้านของเก่า เป็นตำราวิชาเดชคัมภีร์ปราณมรณะ แม่ของเจ้าชอบดูซีรี่ย์จีนโบราณมาก จึงได้ซื้อติดมา พ่อคิดว่าเจ้ามีความผูกพันกับวิญญาณ วิชานี้อาจเหมาะกับเจ้า รักษาตัวด้วย” พอว่านชิงอีอ่านจบก็บอกไม่ถูกว่า จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี วิชาเดชคัมภีร์ปราณมรณะ วิชานี้ฟังดูแปลกมาก ไม่ใช่ฝึกเสร็จนางจะมรณะตามชื่อหรอกนะ เฮ่อแต่ว่าก็ต้องลองดู พ่อกับแม่อุตส่าห์ส่งมาให้ทั้งที ว่านชิงอีเปิดหนังสืออ่านจนจบ ตัวหนังสือเป็นภาษาจีนแต่ไม่รู้ว่านางเข้าใจได้อย่างไร ทั้งหมดมีอยู่เจ็ดบท พอนางเริ่มอ่านบทแรกสร้อยประคำเจ็ดสีที่นางสวมอยู่ก็เริ่มเปล่งแสง นางมองด้วยความสนใจ เมื่อก่อนสร้อยประคำเส้นนี้ไม่เคยเปล่งแสงออกมาเลย หรือว่าสร้อยเส้นนี้จะเชื่อมโยงกับวิชาในหนังสือเล่มนี้กันนะ สีแรกที่เปล
ไม่นานทุกคนก็มารวมตัวกันที่เรือนของท่านหญิงว่านชิงอี รัชทายาทเฟยหยางและองค์ชายซีห่าว ตามมาเพราะเป็นห่วงว่านางจะเป็นอะไรมากหรือไม่ แต่พอมาถึงก็เห็นว่านชิงอี นั่งพิงหัวเตียงพูดคุยอยู่กับเหว่ยอ๋อง พวกเขาก็ถอนใจด้วยความโล่งอก คนสกุลว่านทุกคนก็มารวมกันที่เรือนว่านชิงอีกันหมด เพื่อมาดูอาการของนางด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นนางนั่งคุยได้อย่างปกติ ก็แยกย้ายกันออกไป เพราะดูเหมือนนางจะมีเรื่อง ที่ต้องพูดคุยกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ “ท่านอ๋อง องค์รัชทายาท องค์ชาย อยู่เสวยอาหารเย็นกันเสียที่นี่เถิดเพคะ เพราะว่าหม่อมฉันมีเรื่อง อยากจะปรึกษากับพวกท่านด้วยเพคะ” ว่านชิงอีกล่าวจบก็เตรียมตัวจะลงจากเตียง เพื่อมานั่งที่โต๊ะ เหว่ยอ๋องเห็นเช่นนั้นก็รีบอุ้มนางขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยถามนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าจะไปนั่งที่โต๊ะหรือ?” “เพคะ” เหว่ยอ๋องจึงพานางเดินมาวางลงบนเก้าอี้ ก่อนที่เขาจะนั่งลงข้าง ๆ นาง รัชทายาทและองค์ชายกลอกตามองบน กับความเอาอกเอาใจต่อว่านชิงอี อย่างออกหน้าออกตาของเหว่ยอ๋อง ที่ดูจะมากขึ้นทุกวันโดยไม่สนใจสายตาผู้ใด ว่านชิงอีกวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะเรียก ปิงปิง ตงไห่ อีถง ลูหลิ่ง และลู่กัง มาร่ว
พอจัดการทุกอย่างเสร็จ ว่านชิงอีก็กลับมาขึ้นรถม้าเตรียมตัวไปที่สำนักงานสืบสวน ระหว่างทางที่ไปค่อนข้างเปลี่ยว เพราะจวนหลังนี้อยู่ห่างจากในเมืองราวครึ่งก้านธูป ปิงปิงสังเกตเห็นว่ามีคนสะกดรอยตามอยู่ห่าง ๆ ก็รีบบอกว่านชิงอีทันที “คุณหนูมีคนสะกดรอยตามเจ้าค่ะ เอาอย่างไรดีเจ้าคะ?” ว่านชิงอีรับรู้ก็หันไปบอกฮุ่ยเจียง “ฮุ่ยเจียงมีคนสะกดรอยตาม บอกให้องครักษ์ระวังตัว” ฮุ่ยเจียงร้องบอกองครักษ์ที่อยู่ด้านหน้า พวกเขาพอรู้เช่นนั้นก็รีบควบม้าให้เร็วขึ้น เพราะระยะทางห่างจากเมืองหลวงพอสมควร และค่อนข้างเปลี่ยวหากคนร้ายมากันหลายคน คาดว่าคงสู้ไม่ไหว แล้วก็เป็นจริงตามคาดด้านหน้ามีกองกำลังจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ พอหันไปด้านหลังก็มีกองกำลังชุดดำอีกหนึ่งชุด ประกบหน้าประกบหลังเช่นนี้เห็นทีว่าคงรอดยาก องครักษ์ที่ขับรถม้าจึงรีบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือขึ้นทันที “ท่านหญิงมีคนร้ายทั้งหน้าและหลังเลยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ด้านหน้ารีบตะโกนบอกด้วยความกังวล ว่านชิงอีเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย พวกคนชั่วคงคิดกำจัดนางแล้วสินะ “ปิงปิงพาวิญญาณไปจัดการ” “เจ้าค่ะ” ปิงปิงทะยานออกไปทันที แต่ไม่นานก็กลับมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล “คุณหนูพวกข
เสียงผลักประตูเข้ามา ทำให้หมอที่กำลังทำคลอด หันมามองว่านชิงอีด้วยความไม่พอใจ นางเป็นใครเหตุใดช่างไร้มารยาทเช่นนี้ อยู่ ๆ เปิดประตูเข้ามาไม่รู้หรืออย่างไรว่า ห้องสตรีทำคลอดห้ามผู้ใดเข้ามารบกวน “ท่านเป็นใคร!เหตุใดช่างไร้มารยาท ท่านหมอกำลังทำคลอดอยู่ไม่เห็นรึ?” ผู้ช่วยหมอทำคลอดหันมาตวาดใส่ว่านชิงอีทันที แต่มีหรือว่านชิงอีจะใส่ใจ นางพุ่งสายตาไปที่ร่างของสตรีที่กำลังนอนร้องด้วยความทรมาน เหนือร่างของนางมีวิญญาณของสตรีนางหนึ่ง ที่ท้องแก่ใกล้คลอดกำลังจับขาของทารกเอาไว้ “คุณหนูนั่นมันผีตายทั้งกลมนี่เจ้าคะ” ปิงปิงรีบร้องบอกว่านชิงอีด้วยความตกใจ วิญญาณตนนั้นหันมามองว่านชิงอีด้วยสายตาแข็งกร้าว “ปล่อยขาของเด็กเถิด เจ้าเจ็บแค้นที่ตัวเจ้าไม่สามารถคลอดลูกจนตายทั้งกลม แล้วจะมาทำให้ชีวิตผู้อื่น เป็นเหมือนชีวิตของเจ้าอย่างนั้นหรือ? เห็นแก่ตัวไปหรือไม่?” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น เพราะนางคิดว่าวิญญาณตนนี้น่าจะเกลี้ยกล่อมได้ “เจ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามายุ่ง ข้าไม่มีทางปล่อยให้นางคลอดลูกได้แน่ ยังไงวันนี้นางต้องตายไปพร้อมกับลูกของนาง” ว่านชิงอีได้ยินเช่นนั้น ก็ก้าวเข้าไปจับมือของฮูหยินเซียวทันที เพราะไ
ทางด้านจ้าวลัทธิซิ่วเป่าในระหว่างทำพิธีอยู่นั้น จู่ ๆ แท่นบูชาก็เกิดไฟก็ลุกไหม้ขึ้นมา เขาเองก็ตกใจไม่คาดคิดว่า ไฟจะลุกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือว่าวิญญาณที่ส่งไปจะทำไม่สำเร็จ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สองดวงวิญญาณยังไม่กลับมา ช่วงนี้วิญญาณที่เขาส่งไปไม่เคยได้กลับมา ครั้งนี้ก็เช่นกัน ท่านหญิงจวินจู่นอกจากนางจะพูดคุยกับวิญญาณได้แล้ว นางยังมีความสามารถอื่นอีกหรือไม่? เรื่องนี้เขาต้องหาทางสืบให้กระจ่าง หากวิธีดึงวิญญาณข้างกายนางมาไม่สำเร็จ ก็คงต้องคิดหาวิธีอื่น อย่างเช่นฆ่านางทิ้งเสีย อย่างที่นายหญิงโจวเหม่ยหลิงได้บอกเอาไว้ ซึ่งวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เขาทำงานรับใช้ตระกูลโจวมาอย่างยาวนาน มีเงินมีทองใช้และมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็เป็นเพราะได้ตระกูลโจวให้ความช่วยเหลือ แลกกับการที่เขาใช้วิชาอาคมกับวิญญาณ ให้ไปทำร้ายคนที่คิดขัดขวางผลประโยชน์ของตระกูลโจว การค้าของตระกูลโจวนั้นมีมากมาย ดังนั้นนายใหญ่อย่างโจวเหม่ยหลิง จึงดึงขุนนางหลายคนมาเป็นพรรคพวก แลกกับผลประโยชน์อันมหาศาลที่จะได้รับ และสามตระกูลใหญ่คือตัวเลือก ซึ่งก็ร่วมงานกันอย่างราบรื่นเป็นอย่างดี จวบจนมีท่านหญิงจวินจู่โผล่ขึ้นมา ฟังดู
ดึกสงัดในค่ำคืนเดือนมืด ว่านชิงอีและพี่สาวอีกสองคนของนางก็ยังไม่พากันเตรียมตัวเข้านอน เพราะว่านชิงอีไหว้วานให้พี่สาวทั้งสอง ช่วยพับยันต์ที่นางเขียนขึ้นมามากมาย เพราะอีกไม่นานจะเป็นเทศกาลปีใหม่ ว่านชิงอีจึงอยากจะทำไว้แจกผู้คน แต่ในความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ นางมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น นางจึงคิดว่าหากมียันต์ป้องกันภูตผีพกติดตัวกันเอาไว้ ก็อาจจะพอช่วยอยู่ได้บ้างแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ว่านชิงอีปรายตามองปิงปิงที่นอนเล่นอยู่บนเตียงของนาง ส่วนดวงวิญญาณอีกสามดวงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเยอะขนานนี้กัน? ว่านชิงหลานเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนั่งทำมาหลายชั่วโมงแล้ว เสี่ยวหมานพยักหน้าเห็นด้วยที่ เพราะนางก็เริ่มเมื่อยมือเช่นเดียวกัน “งั้นพี่ใหญ่พี่รองก็ไปนอนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังคอยมาพับใหม่” ว่านชิงอีมองเห็นความเหนื่อยล้าของพี่สาวทั้งสอง จึงรีบบอกให้ไปพักผ่อนเสียง “ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานรีบเอ่ยลา เพราะร่างกายเริ่มล้าและง่วงนอนเต็มที หลังจากพี่สาวของนางจากไปไม่นาน จู่ ๆ ลมก็พัดอย่างรุนแรงคล้ายจะมีลมฝน แต่กลิ่นที่มาพร้อมกับล