พอจัดการทุกอย่างเสร็จ ว่านชิงอีก็กลับมาขึ้นรถม้าเตรียมตัวไปที่สำนักงานสืบสวน ระหว่างทางที่ไปค่อนข้างเปลี่ยว เพราะจวนหลังนี้อยู่ห่างจากในเมืองราวครึ่งก้านธูป ปิงปิงสังเกตเห็นว่ามีคนสะกดรอยตามอยู่ห่าง ๆ ก็รีบบอกว่านชิงอีทันที
“คุณหนูมีคนสะกดรอยตามเจ้าค่ะ เอาอย่างไรดีเจ้าคะ?” ว่านชิงอีรับรู้ก็หันไปบอกฮุ่ยเจียง “ฮุ่ยเจียงมีคนสะกดรอยตาม บอกให้องครักษ์ระวังตัว” ฮุ่ยเจียงร้องบอกองครักษ์ที่อยู่ด้านหน้า พวกเขาพอรู้เช่นนั้นก็รีบควบม้าให้เร็วขึ้น เพราะระยะทางห่างจากเมืองหลวงพอสมควร และค่อนข้างเปลี่ยวหากคนร้ายมากันหลายคน คาดว่าคงสู้ไม่ไหว แล้วก็เป็นจริงตามคาดด้านหน้ามีกองกำลังจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ พอหันไปด้านหลังก็มีกองกำลังชุดดำอีกหนึ่งชุด ประกบหน้าประกบหลังเช่นนี้เห็นทีว่าคงรอดยาก องครักษ์ที่ขับรถม้าจึงรีบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือขึ้นทันที “ท่านหญิงมีคนร้ายทั้งหน้าและหลังเลยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ด้านหน้ารีบตะโกนบอกด้วยความกังวล ว่านชิงอีเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย พวกคนชั่วคงคิดกำจัดนางแล้วสินะ “ปิงปิงพาวิญญาณไปจัดการ” “เจ้าค่ะ” ปิงปิงทะยานออกไปทันที แต่ไม่นานก็กลับมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล “คุณหนูพวกข้าไม่สามารถเข้าใกล้พวกเขาได้เจ้าค่ะ เหมือนพวกเขาจะมีเกราะคาถาป้องกัน วิญญาณอย่างพวกข้าถึงเข้าใกล้ไม่ได้ เอาอย่างไรดีเจ้าคะ?” “จะเอาอย่างไรได้ก็ต้องประจันหน้ากันสักตั้ง” ฮุ่ยเจียงหันมามองว่านชิงอี เมื่อได้ยินประโยคนั้น “ท่านหญิงหากประจันหน้า เรามีแต่เสียเปรียบเพราะเรามีคนน้อยกว่านะเพคะ” “องครักษ์ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปแล้ว สิ่งที่เราทำได้คือดึงเวลา ข้าส่งวิญญาณไปจัดการแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเหมือนคนพวกนั้นจะมีของไว้ป้องกัน ข้าคงต้องทำลายอาคมของพวกเขาเสียก่อน แล้วรอคนมาช่วยอีกทีโจมตีทีหลัง” “ท่านหญิงพวกเขาใกล้เขามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์ด้านหน้าตะโกนบอก ว่านชิงอีรีบประมวลความคิดว่าจะเอาอย่างไรดี สถานการณ์ขับขันเช่นนี้นางคิดอะไรไม่ออกจริง ๆ “ทุกคนลงจากรถม้า! ไปยืนรวมตัวด้วยกันกับข้า” ว่านชิงอีออกคำสั่งเสียงดัง ฮุ่ยเจียงมองท่านหญิงอย่างไม่เข้าใจ ออกไปจากรถม้า ไม่ใช่ว่าจะอันตรายมากกว่าเดิมหรอกหรือ ว่านชิงอีไม่สนใจสายตาของนาง รีบลุกแล้วก้าวออกไปก่อนเป็นคนแรก “พวกเจ้าจับตัวข้าไว้ จับต่อ ๆ กันไป ปิงปิงช่วยข้าร่ายคาถาสร้างเกราะป้องกันภัย” ว่านชิงอีและปิงปิงตั้งสมาธิรวบรวมพลังจิต ร่ายมนต์เกราะป้องกันภัย ไม่นานก็กลายเป็นลูกแก้วโปร่งใสสีทอง เข้ามาครอบคลุมร่างของว่านชิงอีและกลุ่มคนของนาง “เกราะนี้ป้องกันได้เพียงไม่นาน คงได้แต่ภาวนาให้พวกเขามาโดยเร็ว” ว่านชิงอีหันมาบอกกับทุกคน จ้าวลัทธิซิ่วเป่ายืนแอบมองอยู่มุมหนึ่งอย่างประหลาดใจ กับสิ่งที่นางทำขึ้น ซึ่งเขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ความสามารถของนางดูเบาไม่ได้เลยจริง ๆ กลุ่มคนร้ายชายชุดดำ รีบพุ่งเข้ามาเพื่อจะทำร้ายท่านหญิงและองครักษ์ของนาง แต่พอเข้าไปใกล้ก็ต้องชนกับสิ่งที่มองไม่เห็นจนหงายหลัง พวกเขาพยายามกันอยู่หลายครั้ง ก็ไม่สามารถฝ่ากำแพงที่มองไม่เห็นเข้าไปได้ ต่างพากันยืนมองหน้ากัน ว่าจะเอาอย่างไรต่อดี ก่อนจ้าวลัทธิจิ่วเป่าจะร้องตะโกนบอกขึ้นมาว่า “เกราะป้องกันของนางอยู่ได้ไม่นานหรอก พวกเจ้ารออีกหน่อยพลังของนางก็จะหมดลงแล้ว” กลุ่มชายชุดดำราว ๆ ยี่สิบคน พอได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจ จึงรอฟังคำสั่งจากจ้าวลัทธิจิ่วเป่า ว่าเมื่อใดควรพร้อมลงมือ ว่านชิงอียามนี้เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า นางไม่เคยใช้พลังมากมายและยาวนานขนาดนี้มาก่อน ร่างกายของนางเริ่มอ่อนล้าลงไปทุกที ฮุ่ยเจียงเห็นท่าทางของนางก็เริ่มเป็นห่วง ท่านหญิงคงเริ่มจะไม่ไหวแล้วเป็นแน่ จะทำอย่างไรดี กองกำลังก็ยังไม่มา หากไม่มีเกราะนี้ทุกคนต้องตายกันหมดแน่ และแล้วร่างของว่านชิงอี ก็ทรุดและหมดสติลง พร้อมกับเกราะป้องกันที่เริ่มสลายลงไป ทุกคนตกใจหน้าซีดเผือด เมื่อท่านหญิงทรุดลงไปอยู่ในอ้อมแขนของฮุ่ยเจียง กลุ่มชายชุดดำที่เห็นเช่นนั้นก็แสยะยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะเริ่มย่างเท้าเข้ามาอย่างใจเย็น “ฟิ้ววว…ฉึก!” “อ๊ากก!!” เสียงลูกธนูพุ่งเข้าปักกับร่างของกลุ่มคนร้าย ดอกแล้วดอกเล่าสาดใส่คนร้ายราวกับสายฝน จ้าวลัทธิที่เห็นเช่นนั้นก็รีบหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานร่างของคนร้ายทั้งหมดเกือบยี่สิบชีวิต ก็นอนตายกลาดเกลื่อนเต็มพื้น เหว่ยอ๋องรีบพุ่งเข้ามาหาว่านชิงอี ที่นอนแน่นิ่งไม่ได้สติ เขารีบก้มลงอุ้มร่างของนางขึ้นมาแบบอก ก่อนจะรีบบอกให้องครักษ์รีบประจำตำแหน่งควบรถม้า เขารีบก้าวขึ้นขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็ว รถม้ารีบเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว รัชทายาทและองค์ชายซีห่าว ตกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นเหว่ยอ๋องอุ้มว่านชิงอีขึ้นมาแบบนั้น นางจะเป็นอะไรมากหรือไม่ “ฮุ่ยเจียงเกิดอะไรขึ้น!” รัชทายาทเฟยหยางเอ่ยถามองครักษ์ฮุ่ยเจียงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ทูลรัชทายาท วันนี้ท่านหญิงได้มาช่วยฮูหยินเซียวที่เจ็บท้องคลอดเพคะ หลังจากเสร็จธุระท่านหญิงก็เตรียมตัวจะไปที่สำนักงานสืบสวน ในระหว่างทางก็มีคนร้ายมาดักรออยู่แล้วเพคะ แต่ว่าเมื่อคืนก็เหมือนจะมีคนส่งวิญญาณมาก่อกวน ที่เรือนท่านหญิงด้วยเพคะ” รัชทายาทเฟยหยางและองค์ชายซีห่าว พอรับรู้เช่นนั้นก็กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ เป็นดั่งเหว่ยอ๋องพูดไม่มีผิด พวกเขามีเจตนาจะทำร้ายว่านชิงอี ต่อไปคงต้องคุ้มกันนางอย่างเข้มงวด เหว่ยอ๋องให้องครักษ์ที่ขับรถม้าพามาที่จวนสกุลว่าน เพราะไม่อยากให้นางถูกคำครหา พอรถม้าจอดสนิทเขาก็บอกให้อู่ถงองครักษ์ข้างกายรีบไปตามหมอหลวง เขาอุ้มร่างของนางไปที่เรือนของนางทันที โดยมีเสี่ยวหมานที่มองเห็นท่านอ๋องอุ้มคุณหนูเข้ามา ก็ตกใจหน้าซีดเผือดแม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบเดินนำไปที่เรือนของว่านชิงอีทันที เหว่ยอ๋องวางร่างของนางลงบนเตียงอย่างอ่อนโยน ก่อนเขาจะบอกให้เสี่ยวหมานไปนำอ่างน้ำและผ้า เพื่อที่เขาจะทำการเช็ดหน้าเช็ดตาให้นาง เสี่ยวหมานรีบวิ่งออกไปทำตามคำสั่ง แต่ก็ได้แวะไปแจ้งฮูหยินว่านคร่าว ๆ เพราะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนรีบนำอ่างน้ำและผ้าไปให้ท่านอ๋อง เหว่ยอ๋องรับผ้ามาแล้วชุบน้ำบิดหมาด ๆ แล้วเริ่มเช็ดไปตามใบหน้าของนาง ไม่ช้าว่านชิงอีก็เริ่มรู้สึกตัว และลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันกลับมาที่นี่ได้อย่างไรเพคะ?” “เจ้าหมดสติไปโชคดีที่ข้ามาทันเวลา จึงรีบพาเจ้ากลับมาที่นี่” เขาเอ่ยตอบแต่ยังคงจับมือนางมาเช็ดให้อย่างอ่อนโยน ว่านชิงอีมองการกระทำของเขาอย่างอบอุ่นหัวใจ “แล้วคนอื่นๆ ปลอดภัยดีหรือไม่เพคะ?” พอนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่นางจะหมดสติไป เกราะป้องกันก็เริ่มหายไป พวกเขาคงไม่ถูกกลุ่มคนชุดดำทำร้ายแล้วหรอกนะ “พวกเขาปลอดภัยดี ข้าเห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ ก็รีบบอกองค์ชายและรัชทายาท เพราะพวกเขาอยู่กับข้าพอดี จึงได้รีบพาคนไปช่วย แล้วเจ้าเหตุใดถึงไปอยู่ตรงนั้นได้?” “วันนี้มีวิญญาณเด็กมาขอความช่วยเหลือจากหม่อมฉัน เขาบอกว่ามารดากำลังใกล้คลอดแต่คลอดไม่ได้ เพราะมีวิญญาณร้ายขัดขวางอยู่ หม่อมฉันก็เลยไปช่วยเพคะ แต่ว่าช่วงเดินทางจะไปที่สำนักงานสืบสวน กลับมีกลุ่มชายชุดดำมาดักรออยู่ หม่อมฉันส่งปิงปิงและผู้ช่วยของนางออกไปจัดการ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเตรียมตัวมาอย่างดีเพคะ เหล่าชายชุดดำมีเครื่องรางป้องกันวิญญาณกันทุกคน ปิงปิงกับเหล่าสมุนจึงทำอะไรไม่ได้ หม่อมฉันเทียบประเมินสถานการณ์ ว่าจะทำอย่างไรดีคือว่าเวลานั้น หม่อมฉันคิดอะไรไม่ออกจริง ๆ เป็นห่วงว่าทุกคนจะมาจบชีวิตกันตรงนั้น ก็เลยรีบร่ายมนต์สร้างเกราะป้องกัน เพื่อรอให้คนมาช่วย แต่ว่าการสร้างเกราะป้องกันจะใช้พลังมาก หม่อมฉันจึงหมดสติไปเพคะ” เหว่ยอ๋องรินชาแล้วส่งให้นาง เพราะนางเล่าเรื่องราวมาอย่างยืดยาว เขากลัวว่านางจะคอแห้ง “ขอบพระทัยเพคะ” นางขยับไปนั่งพิงหัวเตียง ก่อนจะรับชา มายกขึ้นจิบช้า ๆ “คืนก่อนก็มีคนส่งวิญญาณมาที่นี่เพคะ หม่อมฉันคิดว่าพวกเขาคงคิดจะกำจัดหม่อมฉันแน่ ๆ” เหว่ยอ๋องใบหน้าเครียดขึงขึ้นมาทันที ด้วยความโกรธที่เริ่มปะทุอยู่ด้านใน เขาเดาอะไรไม่มีผิดเลย “ข้าเพิ่งคุยกับเสด็จพ่อไปถึงเรื่องนี้ ข้ากลัวว่าจะมีคนคิดจะทำร้ายเจ้า แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ ข้าจะส่งองครักษ์มาเพิ่มอีก ต่อไปเจ้าก็ระมัดระวังตัวห้ามไปไหนคนเดียวหรือไม่? หากไปก็มีคนคุ้มกันมากหน่อย” ว่านชิงอีพยักหน้า “แต่ว่าเรื่องนี้หม่อมฉันคิดว่า เราควรปรึกษาหารือและตรวจสอบกันอย่างจริงจัง เท่าที่หม่อมฉันสังเกตดู แค่เพียงหม่อมฉันโผล่มา พวกเขาก็ดิ้นกันขนาดนี้แล้ว พวกเขาต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง ที่ต้องปิดบังเอาไว้อยู่แน่นอน เพคะ เพราะหม่อมฉันสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้ นั้นคือสิ่งที่พวกเขาหวาดกลัว ว่าความลับจะถูกเปิดเผยหลังจากตั้งจิตอฐิษธาน ว่านชิงอีก็เปิดย่ามออกมาดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือไม่ ปรากฏว่ามีหนังสือจีนโบราณอยู่เล่มหนึ่ง ที่ค่อนข้างเก่ามากมองแทบไม่เห็นตัวหนังสือ ว่านชิงอีค่อย ๆ หยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา แล้วเริ่มเปิดดูด้านในมีกระดาษสอดเอาไว้ นางจึงหยิบมาเปิดอ่าน ก่อนจะตาเบิกกว้าง นี่มันลายมือของพ่อ “ลูกรักนี่เป็นหนังสือที่แม่ของเจ้าไปเจอมาจากร้านของเก่า เป็นตำราวิชาเดชคัมภีร์ปราณมรณะ แม่ของเจ้าชอบดูซีรี่ย์จีนโบราณมาก จึงได้ซื้อติดมา พ่อคิดว่าเจ้ามีความผูกพันกับวิญญาณ วิชานี้อาจเหมาะกับเจ้า รักษาตัวด้วย” พอว่านชิงอีอ่านจบก็บอกไม่ถูกว่า จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี วิชาเดชคัมภีร์ปราณมรณะ วิชานี้ฟังดูแปลกมาก ไม่ใช่ฝึกเสร็จนางจะมรณะตามชื่อหรอกนะ เฮ่อแต่ว่าก็ต้องลองดู พ่อกับแม่อุตส่าห์ส่งมาให้ทั้งที ว่านชิงอีเปิดหนังสืออ่านจนจบ ตัวหนังสือเป็นภาษาจีนแต่ไม่รู้ว่านางเข้าใจได้อย่างไร ทั้งหมดมีอยู่เจ็ดบท พอนางเริ่มอ่านบทแรกสร้อยประคำเจ็ดสีที่นางสวมอยู่ก็เริ่มเปล่งแสง นางมองด้วยความสนใจ เมื่อก่อนสร้อยประคำเส้นนี้ไม่เคยเปล่งแสงออกมาเลย หรือว่าสร้อยเส้นนี้จะเชื่อมโยงกับวิชาในหนังสือเล่มนี้กันนะ สีแรกที่เปล
ไม่นานทุกคนก็มารวมตัวกันที่เรือนของท่านหญิงว่านชิงอี รัชทายาทเฟยหยางและองค์ชายซีห่าว ตามมาเพราะเป็นห่วงว่านางจะเป็นอะไรมากหรือไม่ แต่พอมาถึงก็เห็นว่านชิงอี นั่งพิงหัวเตียงพูดคุยอยู่กับเหว่ยอ๋อง พวกเขาก็ถอนใจด้วยความโล่งอก คนสกุลว่านทุกคนก็มารวมกันที่เรือนว่านชิงอีกันหมด เพื่อมาดูอาการของนางด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นนางนั่งคุยได้อย่างปกติ ก็แยกย้ายกันออกไป เพราะดูเหมือนนางจะมีเรื่อง ที่ต้องพูดคุยกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ “ท่านอ๋อง องค์รัชทายาท องค์ชาย อยู่เสวยอาหารเย็นกันเสียที่นี่เถิดเพคะ เพราะว่าหม่อมฉันมีเรื่อง อยากจะปรึกษากับพวกท่านด้วยเพคะ” ว่านชิงอีกล่าวจบก็เตรียมตัวจะลงจากเตียง เพื่อมานั่งที่โต๊ะ เหว่ยอ๋องเห็นเช่นนั้นก็รีบอุ้มนางขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยถามนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าจะไปนั่งที่โต๊ะหรือ?” “เพคะ” เหว่ยอ๋องจึงพานางเดินมาวางลงบนเก้าอี้ ก่อนที่เขาจะนั่งลงข้าง ๆ นาง รัชทายาทและองค์ชายกลอกตามองบน กับความเอาอกเอาใจต่อว่านชิงอี อย่างออกหน้าออกตาของเหว่ยอ๋อง ที่ดูจะมากขึ้นทุกวันโดยไม่สนใจสายตาผู้ใด ว่านชิงอีกวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะเรียก ปิงปิง ตงไห่ อีถง ลูหลิ่ง และลู่กัง มาร่ว
พอจัดการทุกอย่างเสร็จ ว่านชิงอีก็กลับมาขึ้นรถม้าเตรียมตัวไปที่สำนักงานสืบสวน ระหว่างทางที่ไปค่อนข้างเปลี่ยว เพราะจวนหลังนี้อยู่ห่างจากในเมืองราวครึ่งก้านธูป ปิงปิงสังเกตเห็นว่ามีคนสะกดรอยตามอยู่ห่าง ๆ ก็รีบบอกว่านชิงอีทันที “คุณหนูมีคนสะกดรอยตามเจ้าค่ะ เอาอย่างไรดีเจ้าคะ?” ว่านชิงอีรับรู้ก็หันไปบอกฮุ่ยเจียง “ฮุ่ยเจียงมีคนสะกดรอยตาม บอกให้องครักษ์ระวังตัว” ฮุ่ยเจียงร้องบอกองครักษ์ที่อยู่ด้านหน้า พวกเขาพอรู้เช่นนั้นก็รีบควบม้าให้เร็วขึ้น เพราะระยะทางห่างจากเมืองหลวงพอสมควร และค่อนข้างเปลี่ยวหากคนร้ายมากันหลายคน คาดว่าคงสู้ไม่ไหว แล้วก็เป็นจริงตามคาดด้านหน้ามีกองกำลังจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ พอหันไปด้านหลังก็มีกองกำลังชุดดำอีกหนึ่งชุด ประกบหน้าประกบหลังเช่นนี้เห็นทีว่าคงรอดยาก องครักษ์ที่ขับรถม้าจึงรีบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือขึ้นทันที “ท่านหญิงมีคนร้ายทั้งหน้าและหลังเลยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ด้านหน้ารีบตะโกนบอกด้วยความกังวล ว่านชิงอีเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย พวกคนชั่วคงคิดกำจัดนางแล้วสินะ “ปิงปิงพาวิญญาณไปจัดการ” “เจ้าค่ะ” ปิงปิงทะยานออกไปทันที แต่ไม่นานก็กลับมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล “คุณหนูพวกข
เสียงผลักประตูเข้ามา ทำให้หมอที่กำลังทำคลอด หันมามองว่านชิงอีด้วยความไม่พอใจ นางเป็นใครเหตุใดช่างไร้มารยาทเช่นนี้ อยู่ ๆ เปิดประตูเข้ามาไม่รู้หรืออย่างไรว่า ห้องสตรีทำคลอดห้ามผู้ใดเข้ามารบกวน “ท่านเป็นใคร!เหตุใดช่างไร้มารยาท ท่านหมอกำลังทำคลอดอยู่ไม่เห็นรึ?” ผู้ช่วยหมอทำคลอดหันมาตวาดใส่ว่านชิงอีทันที แต่มีหรือว่านชิงอีจะใส่ใจ นางพุ่งสายตาไปที่ร่างของสตรีที่กำลังนอนร้องด้วยความทรมาน เหนือร่างของนางมีวิญญาณของสตรีนางหนึ่ง ที่ท้องแก่ใกล้คลอดกำลังจับขาของทารกเอาไว้ “คุณหนูนั่นมันผีตายทั้งกลมนี่เจ้าคะ” ปิงปิงรีบร้องบอกว่านชิงอีด้วยความตกใจ วิญญาณตนนั้นหันมามองว่านชิงอีด้วยสายตาแข็งกร้าว “ปล่อยขาของเด็กเถิด เจ้าเจ็บแค้นที่ตัวเจ้าไม่สามารถคลอดลูกจนตายทั้งกลม แล้วจะมาทำให้ชีวิตผู้อื่น เป็นเหมือนชีวิตของเจ้าอย่างนั้นหรือ? เห็นแก่ตัวไปหรือไม่?” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น เพราะนางคิดว่าวิญญาณตนนี้น่าจะเกลี้ยกล่อมได้ “เจ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามายุ่ง ข้าไม่มีทางปล่อยให้นางคลอดลูกได้แน่ ยังไงวันนี้นางต้องตายไปพร้อมกับลูกของนาง” ว่านชิงอีได้ยินเช่นนั้น ก็ก้าวเข้าไปจับมือของฮูหยินเซียวทันที เพราะไ
ทางด้านจ้าวลัทธิซิ่วเป่าในระหว่างทำพิธีอยู่นั้น จู่ ๆ แท่นบูชาก็เกิดไฟก็ลุกไหม้ขึ้นมา เขาเองก็ตกใจไม่คาดคิดว่า ไฟจะลุกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือว่าวิญญาณที่ส่งไปจะทำไม่สำเร็จ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สองดวงวิญญาณยังไม่กลับมา ช่วงนี้วิญญาณที่เขาส่งไปไม่เคยได้กลับมา ครั้งนี้ก็เช่นกัน ท่านหญิงจวินจู่นอกจากนางจะพูดคุยกับวิญญาณได้แล้ว นางยังมีความสามารถอื่นอีกหรือไม่? เรื่องนี้เขาต้องหาทางสืบให้กระจ่าง หากวิธีดึงวิญญาณข้างกายนางมาไม่สำเร็จ ก็คงต้องคิดหาวิธีอื่น อย่างเช่นฆ่านางทิ้งเสีย อย่างที่นายหญิงโจวเหม่ยหลิงได้บอกเอาไว้ ซึ่งวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เขาทำงานรับใช้ตระกูลโจวมาอย่างยาวนาน มีเงินมีทองใช้และมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็เป็นเพราะได้ตระกูลโจวให้ความช่วยเหลือ แลกกับการที่เขาใช้วิชาอาคมกับวิญญาณ ให้ไปทำร้ายคนที่คิดขัดขวางผลประโยชน์ของตระกูลโจว การค้าของตระกูลโจวนั้นมีมากมาย ดังนั้นนายใหญ่อย่างโจวเหม่ยหลิง จึงดึงขุนนางหลายคนมาเป็นพรรคพวก แลกกับผลประโยชน์อันมหาศาลที่จะได้รับ และสามตระกูลใหญ่คือตัวเลือก ซึ่งก็ร่วมงานกันอย่างราบรื่นเป็นอย่างดี จวบจนมีท่านหญิงจวินจู่โผล่ขึ้นมา ฟังดู
ดึกสงัดในค่ำคืนเดือนมืด ว่านชิงอีและพี่สาวอีกสองคนของนางก็ยังไม่พากันเตรียมตัวเข้านอน เพราะว่านชิงอีไหว้วานให้พี่สาวทั้งสอง ช่วยพับยันต์ที่นางเขียนขึ้นมามากมาย เพราะอีกไม่นานจะเป็นเทศกาลปีใหม่ ว่านชิงอีจึงอยากจะทำไว้แจกผู้คน แต่ในความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ นางมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น นางจึงคิดว่าหากมียันต์ป้องกันภูตผีพกติดตัวกันเอาไว้ ก็อาจจะพอช่วยอยู่ได้บ้างแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ว่านชิงอีปรายตามองปิงปิงที่นอนเล่นอยู่บนเตียงของนาง ส่วนดวงวิญญาณอีกสามดวงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเยอะขนานนี้กัน? ว่านชิงหลานเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนั่งทำมาหลายชั่วโมงแล้ว เสี่ยวหมานพยักหน้าเห็นด้วยที่ เพราะนางก็เริ่มเมื่อยมือเช่นเดียวกัน “งั้นพี่ใหญ่พี่รองก็ไปนอนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังคอยมาพับใหม่” ว่านชิงอีมองเห็นความเหนื่อยล้าของพี่สาวทั้งสอง จึงรีบบอกให้ไปพักผ่อนเสียง “ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานรีบเอ่ยลา เพราะร่างกายเริ่มล้าและง่วงนอนเต็มที หลังจากพี่สาวของนางจากไปไม่นาน จู่ ๆ ลมก็พัดอย่างรุนแรงคล้ายจะมีลมฝน แต่กลิ่นที่มาพร้อมกับล