ทางด้านจ้าวลัทธิซิ่วเป่าในระหว่างทำพิธีอยู่นั้น จู่ ๆ แท่นบูชาก็เกิดไฟก็ลุกไหม้ขึ้นมา เขาเองก็ตกใจไม่คาดคิดว่า ไฟจะลุกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือว่าวิญญาณที่ส่งไปจะทำไม่สำเร็จ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สองดวงวิญญาณยังไม่กลับมา ช่วงนี้วิญญาณที่เขาส่งไปไม่เคยได้กลับมา ครั้งนี้ก็เช่นกัน ท่านหญิงจวินจู่นอกจากนางจะพูดคุยกับวิญญาณได้แล้ว นางยังมีความสามารถอื่นอีกหรือไม่? เรื่องนี้เขาต้องหาทางสืบให้กระจ่าง หากวิธีดึงวิญญาณข้างกายนางมาไม่สำเร็จ ก็คงต้องคิดหาวิธีอื่น อย่างเช่นฆ่านางทิ้งเสีย อย่างที่นายหญิงโจวเหม่ยหลิงได้บอกเอาไว้ ซึ่งวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เขาทำงานรับใช้ตระกูลโจวมาอย่างยาวนาน มีเงินมีทองใช้และมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็เป็นเพราะได้ตระกูลโจวให้ความช่วยเหลือ แลกกับการที่เขาใช้วิชาอาคมกับวิญญาณ ให้ไปทำร้ายคนที่คิดขัดขวางผลประโยชน์ของตระกูลโจว การค้าของตระกูลโจวนั้นมีมากมาย ดังนั้นนายใหญ่อย่างโจวเหม่ยหลิง จึงดึงขุนนางหลายคนมาเป็นพรรคพวก แลกกับผลประโยชน์อันมหาศาลที่จะได้รับ และสามตระกูลใหญ่คือตัวเลือก ซึ่งก็ร่วมงานกันอย่างราบรื่นเป็นอย่างดี จวบจนมีท่านหญิงจวินจู่โผล่ขึ้นมา ฟังดูก็ไม่น่ามีปัญหาอันใด แต่นางดันมีความสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้ แล้ววิญญาณยังมีความสามารถปรากฏกายต่อหน้าทุกคน แล้วยังชี้เบาะแสคนร้ายได้อีกด้วย เขาคิดว่านางคือตัวปัญหาและตัวอันตราย หากคืนนี้สองดวงวิญญาณยังไม่กลับมา เขาคิดว่าวิธีของนายหญิงโจวเหม่ยหลิงก็น่าจะเป็นวิธีที่ดี วังหลวง ณ ห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ได้เรียกเหว่ยอ๋อง รัชทายาท องค์ชายซีห่าว มาเข้าพบ เพราะสายลับที่ได้ให้ไปคอยจับตาดูเหล่าเสนาบดี ได้มารายงานผลความคืบหน้า หลังจากคอยจับตาดูอยู่นาน “ถวายบังคมเสด็จพ่อ” “นั่งลงเถิด ที่เรียกมาวันนี้ข้ามีเรื่องจะบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องที่ข้าให้สายลับไปคอยจับตาดู กับกลุ่มเหล่าเสนา ช่วงนี้สามตระกูลใหญ่มีการเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ เมื่อวานเห็นว่าสามตระกูลใหญ่ ไปที่ร้านหนังสือของตระกูลโจว แต่สายลับบอกว่าไม่มีใครอื่น นอกจากพวกเขาสามคน พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาไปทำอะไรกันที่นั่น?” “เรื่องนี้ฟังดูแปลก ๆ พ่ะย่ะค่ะ หากพวกเขาแค่อยากซื้อหนังสือเหตุใดต้องไปพร้อมกันทั้งสามคน หรือว่าจะหาเพื่อนให้ไปช่วยเลือก อันนี้ก็ไม่น่าเป็นไปได้” รัชทายาทเอ่ยวิเคราะห์เรื่องราวจากที่ฟังจากฮ่องเต้ ซึ่งเขาก็คิดว่าเรื่องนี้ดูแปลกและน่าสงสัยมาก “ลูกคิดว่าภายในร้านหนังสืออาจมีห้องลับ ก็อาจเป็นได้พ่ะย่ะค่ะ คนนัดเจออาจรออยู่ด้านในเรียบร้อยแล้ว หลังจากพวกเขากลับออกไป พวกเขาก็กลับออกไปอีกทาง โดยที่สายลับไม่อาจเห็นพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายซีห่าวเสริมขึ้น เพราะตามความคิดของเขา สามเสนาบดีไม่มีทางไปที่ร้านหนังสือด้วยกัน เพราะอยากซื้อหนังสือ สามคนนี้เป็นขุนนางเฒ่าที่มากด้วยเล่ห์ ที่พวกเขาไปที่นั่นต้องมีเหตุผลบางอย่างเป็นแน่ “ข้าว่าเรื่องนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลโจว หากมีห้องลับจริงคนที่รู้ดีที่สุดก็คือ เจ้าของกิจการ หากพวกเขานัดพบเจอกันจริงคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ เสด็จพ่อข้าเป็นห่วงเอ่อ…ท่านหญิง เกรงว่าพวกเขาอาจมีแผนการที่ไม่ดีเกี่ยวกับนาง” เหว่ยอ๋องกล่าวจบใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันที รัชทายาทเฟยหยางและองค์ชายซีห่าว มองหน้ากันแล้วยกยิ้ม อิจฉาคนมีความรัก ยามนี้พวกเขายอมรับว่าเป็นได้แค่พี่ชายที่ดีของนาง และจะเป็นพี่ชายที่คอยปกป้องนางอย่างดีที่สุด ฮ่องเต้ระบายยิ้มอย่างพอใจ ในที่สุดเหว่ยอ๋องก็พบเจอสตรีในดวงใจเสียที “ข้าก็กังวลอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่แต่งตั้งนางขึ้นเป็นท่านหญิง ดูเหมือนหลายฝ่ายจะไม่พอใจ และพยายามหาเรื่องโจมตีนางทุกวิถีทาง บางทีข้าก็รู้สึกผิดที่มอบตำแหน่งนี้ให้กับนาง แต่ดูท่าทางแล้วนางก็เก่งและเอาตัวรอดได้ดีทีเดียว ข้าก็ฝากพวกเจ้าดูแลนางด้วย ส่งองครักษ์ฝีมือดีไปคอยคุ้มกันนางเพิ่มอีก ข้าไม่ไว้ใจสามเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นเลยจริง ๆ” “พ่ะย่ะค่ะ” เช้าวันต่อมาว่านชิงอีก็ขึ้นรถม้าไปทำงานกับฮุ่ยเจียงตามปกติ แต่ก็ต้องแปลกใจที่เห็นเด็กน้อยหน้าตาน่ารัก นั่งรออยู่ในรถม้า ว่านชิงอีจึงส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยถามออกไป “เจ้ามารอข้าหรือ? มีอะไรหรือไม่?” ฮุ่ยเจียงเมื่อเห็นว่านชิงอีพูดคุยกับสิ่งที่ นางมองไม่เฺห็นก็รีบขยับเข้าไป นั่งชิดกับว่านชิงอีทันที “ถวายพระพรท่านหญิงพ่ะย่ะค่ะ” ร่างของเด็กน้อยทำความเคารพอย่างน่ารักน่าเอ็นดู “กระหม่อมอยากมาขอให้ท่านหญิง ช่วยน้องสาวของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” “น้องสาวของเจ้าเป็นอะไร? “ทูลท่านหญิงมารดาของกระหม่อมกำลังจะคลอดน้องสาวของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าก็ยังคลอดไม่ได้เพราะมีวิญญาณร้าย พยายามดึงร่างของน้องสาวกระหม่อมเอาไว้ ยามนี้มารดาของกระหม่อมปวดท้องจนจะทนไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยที่พูดจาอย่างรู้ความมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด “พาข้าไปที่บ้านเจ้าเดี๋ยวนี้เลย” ว่านชิงอีพอได้รับรู้ก็รู้สึกเป็นห่วงเด็กในท้องและมารดาที่กำลังจะคลอด รีบถามเด็กน้อยว่าบ้านอยู่ที่ใด ก่อนนางจะตะโกนบอกคนขับรถม้าให้พาไปทันที เด็กคนนี้จากที่ฟังเขาพูด คงมาจากครอบครัวคนชั้นสูง เพราะการใช้คำพูดดูเหมือนถูกสอนสั่งมาอย่างดี “ปิงปิงไปดูสถานการณ์ล่วงหน้าก่อน แล้วรีบมาบอกข้า” ปิงปิงเมื่อได้รับคำสั่ง ก็เหาะออกไปทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยคนนั้นมองตามปิงปิงอย่างประหลาดใจ เขาอยากทำได้เหมือนนางบ้าง ไม่นานปิงปิงก็พุ่งทะยานกลับเข้ามา “คุณหนูอาการของสตรีผู้นั้นแย่มากเลยเจ้าค่ะ อีกทั้งคนในครอบครัวนั้น ยังให้นักพรตจอมหลอกลวงมาทำพิธี ขับไล่ภูตผีปีศาจ เพื่อที่จะได้ทำคลอดได้ง่ายขึ้น แต่ว่าข้ามองเห็นวิญญาณร้าย ที่มีแรงอาฆาตอย่างรุนแรง ไม่ยอมให้นางคลอดเด็กออกมาเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีได้ยินเช่นนั้น ก็ร้องบอกให้คนขับรถม้าควบเร็วขึ้น เหมือนม้าจะรับรู้ถึงความร้อนใจของนาง จึงรีบควบให้ไวขึ้นทันที “มารดาและน้องสาวเจ้าจะต้องปลอดภัย” ว่านชิงอีกุมมือเด็กคนนั้นอย่างปลอบโยน พอรถม้าจอดสนิทอยู่หน้าจวนหลังใหญ่ ว่านชิงอีก็ไม่รอช้าก้าวลงจากรถมาอย่างเร่งรีบ สองทหารองครักษ์ที่นั่งมากับคนขับรถม้า รีบเดินมาประกบรักษาความปลอดภัยให้นางทันที พร้อมกับฮุ่ยเจียงที่เดินขนาบข้างเดินคู่กันกับนาง “ท่านหญิงจวินจู่ผู้บัญชาการหน่วยสืบสวน ต้องการมาตรวจสอบ ขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ” ว่านชิงอีแอบกลอกตา กับคำพูดร่ายยาวของฮุ่ยเจียง ต่อไปนางจะบอกให้พูดสั้นกว่านี้ บ่าวเฝ้าประตูพอรับรู้ว่าเป็นท่านหญิงก็รีบเชิญ ให้ว่านชิงอีเข้าไปอย่างนอบน้อม ว่านชิงอีเดินมาถึงลานหน้าจวนที่ยามนี้มีโต๊ะทำพิธีตั้งอยู่ โดยมีนักพรตที่นางจำได้ว่าเคยเห็นเขาทำพิธีอยู่ที่ตลาด น่าสงสารคนที่เชื่อว่าเขามีความสามารถปราบภูตผีได้ วันนี้แหละนางจะเปิดเผยหน้ากากชายจอมหลอกลวงคนนี้ให้ทุกคนได้รู้ พอทุกคนรู้ว่าเป็นท่านหญิงมาก็รีบทำความเคารพ ว่านชิงอีไม่อยากอ้อมค้อมเพราะเป็นห่วงเด็ก และแม่ที่กำลังจะคลอด “ข้าอยากไปดูการทำคลอดหน่อยจะได้หรือไม่?” “ทูลท่านหญิง กระหม่อมว่าคงไม่เหมาะ ยามนี้มีหมอทำคลอดอยู่ด้านในหลายคน หากว่าท่านเข้าไปอีก อาจจะเป็นการรบกวนท่านหมอเอาได้พ่ะย่ะค่ะ” เซียวหานเต๋อเอ่ยตอบอย่างลำบากใจ อีกอย่างเขาไม่เข้าใจว่าท่านหญิง จะเข้าไปตรวจสอบอะไรในห้องสตรีกำลังคลอด “ข้านี่แหละเป็นหมอทำคลอดที่ดีที่สุด” นางเอ่ยตอบขึ้นอย่างมั่นใจ จนเซียวหานเต๋อและทุกคนหันมามองสตรีเยาว์วัยอย่างพร้อมเพรียงกัน นี่พวกเขาฟังอะไรผิดไปหรือไม่ ท่านหญิงบอกว่านางเป็นหมอทำคลอดที่ดีที่สุด นางพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน ไม่ใช่ว่าเป็นท่านหญิงและเป็นผู้บัญชาการสืบสวน อยากจะพูดอะไรก็พูดได้หรอกนะ ก่อนที่เซียวห่านเต๋อจะเอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมา ว่านชิงอีก็ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาพูด “ข้าจะเข้าไปดูการทำคลอด เจ้าสองคนอยู่ตรงนี้ฮุ่ยเจียงไปกับข้า” ว่านชิงอีเอ่ยบอกทหารองครักษ์ ก่อนที่จะก้าวเข้าไปยังห้องที่ทำคลอดอย่างไม่สนสายตาผู้ใด ที่มองนางอย่างตกตะลึงตาค้าง ท่านหญิงนางเอาแต่ใจเกินไปแล้ว ส่วนนักพรตที่เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็เห็นเป็นโอกาสจึงรีบเอ่ยขอตัวกลับทันที เพราะเขาดูแล้วสตรีนางนั้นคงไม่สามารถคลอดลูกได้แน่ หากเขาไปเสียตอนนี้ ทุกคนจะได้ไม่กล่าวโทษเขา “นายท่านเซียวในเมื่อท่านหญิงมาแล้ว ข้าอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่างไรข้าขอตัวกลับก่อนนะขอรับ” “แล้วท่านไม่ต้องทำพิธีขับไล่ปีศาจแล้วหรือ?” เซียวหานเต๋อเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ข้าทำเสร็จไปเรียบร้อยแล้วขอรับ” “งั้นก็ตามสบายเถิด” เซียวหานเต๋อเอ่ยออกไปอย่างไม่ใส่ใจ เพราะยามนี้จิตใจกำลังใจจดใจจ่อ ด้วยความเป็นห่วงและกังวลกับฮูหยินที่เจ็บท้องคลอด มาหลายชั่วยาม แต่ก็ไม่ยอมคลอดเสียที เขาเคยมีบุตรชายวัยห้าหนาวแต่น่าเสียดาย เขามาป่วยและเสียชีวิตไป มายามนี้ทั้งฮูหยินและลูกในท้อง กำลังอยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง เขากลัวเหลือเกินว่าอาจจะสูญเสียนางและลูก นักพรตจอมหลอกลวงเก็บของสัมภาระเสร็จ ก็เตรียมตัวจะจากไปแต่จู่ ๆ ก็เหมือนมีอะไรมาจับตัวเขาเอาไว้ เขาพยายามขยับก็ขยับไม่ได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่ ตงไห่และลู่กังที่จับแขนนักพรตไว้คนละข้าง ส่วนอีถงกับลู่หลิงจับขาไว้คนละข้าง ต่างพากันหัวเราะชอบใจ ที่ยามนี้วิญญาณของพวกเขาเริ่มมีพลังขึ้นมา และสามารถจับต้องสิ่งของได้แล้ว เซียวหานเต๋อหันมาเห็นนักพรตยังคงยืนอยู่ที่เดิม ก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ท่านยังไม่ไปอีกหรือ?” “ข้ายังไม่อยากไปขอรับ อยากจะรออยู่ดูว่าฮูหยินคลอดเด็กปลอดภัยดีหรือไม่ขอรับ” เซียวหานเต๋อยกยิ้มด้วยความพอใจ ท่านนักพรตผู้นี้ช่างมีน้ำใจยิ่งนักหลังจากตั้งจิตอฐิษธาน ว่านชิงอีก็เปิดย่ามออกมาดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหรือไม่ ปรากฏว่ามีหนังสือจีนโบราณอยู่เล่มหนึ่ง ที่ค่อนข้างเก่ามากมองแทบไม่เห็นตัวหนังสือ ว่านชิงอีค่อย ๆ หยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา แล้วเริ่มเปิดดูด้านในมีกระดาษสอดเอาไว้ นางจึงหยิบมาเปิดอ่าน ก่อนจะตาเบิกกว้าง นี่มันลายมือของพ่อ “ลูกรักนี่เป็นหนังสือที่แม่ของเจ้าไปเจอมาจากร้านของเก่า เป็นตำราวิชาเดชคัมภีร์ปราณมรณะ แม่ของเจ้าชอบดูซีรี่ย์จีนโบราณมาก จึงได้ซื้อติดมา พ่อคิดว่าเจ้ามีความผูกพันกับวิญญาณ วิชานี้อาจเหมาะกับเจ้า รักษาตัวด้วย” พอว่านชิงอีอ่านจบก็บอกไม่ถูกว่า จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี วิชาเดชคัมภีร์ปราณมรณะ วิชานี้ฟังดูแปลกมาก ไม่ใช่ฝึกเสร็จนางจะมรณะตามชื่อหรอกนะ เฮ่อแต่ว่าก็ต้องลองดู พ่อกับแม่อุตส่าห์ส่งมาให้ทั้งที ว่านชิงอีเปิดหนังสืออ่านจนจบ ตัวหนังสือเป็นภาษาจีนแต่ไม่รู้ว่านางเข้าใจได้อย่างไร ทั้งหมดมีอยู่เจ็ดบท พอนางเริ่มอ่านบทแรกสร้อยประคำเจ็ดสีที่นางสวมอยู่ก็เริ่มเปล่งแสง นางมองด้วยความสนใจ เมื่อก่อนสร้อยประคำเส้นนี้ไม่เคยเปล่งแสงออกมาเลย หรือว่าสร้อยเส้นนี้จะเชื่อมโยงกับวิชาในหนังสือเล่มนี้กันนะ สีแรกที่เปล
ไม่นานทุกคนก็มารวมตัวกันที่เรือนของท่านหญิงว่านชิงอี รัชทายาทเฟยหยางและองค์ชายซีห่าว ตามมาเพราะเป็นห่วงว่านางจะเป็นอะไรมากหรือไม่ แต่พอมาถึงก็เห็นว่านชิงอี นั่งพิงหัวเตียงพูดคุยอยู่กับเหว่ยอ๋อง พวกเขาก็ถอนใจด้วยความโล่งอก คนสกุลว่านทุกคนก็มารวมกันที่เรือนว่านชิงอีกันหมด เพื่อมาดูอาการของนางด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นนางนั่งคุยได้อย่างปกติ ก็แยกย้ายกันออกไป เพราะดูเหมือนนางจะมีเรื่อง ที่ต้องพูดคุยกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ “ท่านอ๋อง องค์รัชทายาท องค์ชาย อยู่เสวยอาหารเย็นกันเสียที่นี่เถิดเพคะ เพราะว่าหม่อมฉันมีเรื่อง อยากจะปรึกษากับพวกท่านด้วยเพคะ” ว่านชิงอีกล่าวจบก็เตรียมตัวจะลงจากเตียง เพื่อมานั่งที่โต๊ะ เหว่ยอ๋องเห็นเช่นนั้นก็รีบอุ้มนางขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยถามนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าจะไปนั่งที่โต๊ะหรือ?” “เพคะ” เหว่ยอ๋องจึงพานางเดินมาวางลงบนเก้าอี้ ก่อนที่เขาจะนั่งลงข้าง ๆ นาง รัชทายาทและองค์ชายกลอกตามองบน กับความเอาอกเอาใจต่อว่านชิงอี อย่างออกหน้าออกตาของเหว่ยอ๋อง ที่ดูจะมากขึ้นทุกวันโดยไม่สนใจสายตาผู้ใด ว่านชิงอีกวาดสายตามองทุกคน ก่อนจะเรียก ปิงปิง ตงไห่ อีถง ลูหลิ่ง และลู่กัง มาร่ว
พอจัดการทุกอย่างเสร็จ ว่านชิงอีก็กลับมาขึ้นรถม้าเตรียมตัวไปที่สำนักงานสืบสวน ระหว่างทางที่ไปค่อนข้างเปลี่ยว เพราะจวนหลังนี้อยู่ห่างจากในเมืองราวครึ่งก้านธูป ปิงปิงสังเกตเห็นว่ามีคนสะกดรอยตามอยู่ห่าง ๆ ก็รีบบอกว่านชิงอีทันที “คุณหนูมีคนสะกดรอยตามเจ้าค่ะ เอาอย่างไรดีเจ้าคะ?” ว่านชิงอีรับรู้ก็หันไปบอกฮุ่ยเจียง “ฮุ่ยเจียงมีคนสะกดรอยตาม บอกให้องครักษ์ระวังตัว” ฮุ่ยเจียงร้องบอกองครักษ์ที่อยู่ด้านหน้า พวกเขาพอรู้เช่นนั้นก็รีบควบม้าให้เร็วขึ้น เพราะระยะทางห่างจากเมืองหลวงพอสมควร และค่อนข้างเปลี่ยวหากคนร้ายมากันหลายคน คาดว่าคงสู้ไม่ไหว แล้วก็เป็นจริงตามคาดด้านหน้ามีกองกำลังจำนวนหนึ่งยืนรออยู่ พอหันไปด้านหลังก็มีกองกำลังชุดดำอีกหนึ่งชุด ประกบหน้าประกบหลังเช่นนี้เห็นทีว่าคงรอดยาก องครักษ์ที่ขับรถม้าจึงรีบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือขึ้นทันที “ท่านหญิงมีคนร้ายทั้งหน้าและหลังเลยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ด้านหน้ารีบตะโกนบอกด้วยความกังวล ว่านชิงอีเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย พวกคนชั่วคงคิดกำจัดนางแล้วสินะ “ปิงปิงพาวิญญาณไปจัดการ” “เจ้าค่ะ” ปิงปิงทะยานออกไปทันที แต่ไม่นานก็กลับมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล “คุณหนูพวกข
เสียงผลักประตูเข้ามา ทำให้หมอที่กำลังทำคลอด หันมามองว่านชิงอีด้วยความไม่พอใจ นางเป็นใครเหตุใดช่างไร้มารยาทเช่นนี้ อยู่ ๆ เปิดประตูเข้ามาไม่รู้หรืออย่างไรว่า ห้องสตรีทำคลอดห้ามผู้ใดเข้ามารบกวน “ท่านเป็นใคร!เหตุใดช่างไร้มารยาท ท่านหมอกำลังทำคลอดอยู่ไม่เห็นรึ?” ผู้ช่วยหมอทำคลอดหันมาตวาดใส่ว่านชิงอีทันที แต่มีหรือว่านชิงอีจะใส่ใจ นางพุ่งสายตาไปที่ร่างของสตรีที่กำลังนอนร้องด้วยความทรมาน เหนือร่างของนางมีวิญญาณของสตรีนางหนึ่ง ที่ท้องแก่ใกล้คลอดกำลังจับขาของทารกเอาไว้ “คุณหนูนั่นมันผีตายทั้งกลมนี่เจ้าคะ” ปิงปิงรีบร้องบอกว่านชิงอีด้วยความตกใจ วิญญาณตนนั้นหันมามองว่านชิงอีด้วยสายตาแข็งกร้าว “ปล่อยขาของเด็กเถิด เจ้าเจ็บแค้นที่ตัวเจ้าไม่สามารถคลอดลูกจนตายทั้งกลม แล้วจะมาทำให้ชีวิตผู้อื่น เป็นเหมือนชีวิตของเจ้าอย่างนั้นหรือ? เห็นแก่ตัวไปหรือไม่?” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น เพราะนางคิดว่าวิญญาณตนนี้น่าจะเกลี้ยกล่อมได้ “เจ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามายุ่ง ข้าไม่มีทางปล่อยให้นางคลอดลูกได้แน่ ยังไงวันนี้นางต้องตายไปพร้อมกับลูกของนาง” ว่านชิงอีได้ยินเช่นนั้น ก็ก้าวเข้าไปจับมือของฮูหยินเซียวทันที เพราะไ
ทางด้านจ้าวลัทธิซิ่วเป่าในระหว่างทำพิธีอยู่นั้น จู่ ๆ แท่นบูชาก็เกิดไฟก็ลุกไหม้ขึ้นมา เขาเองก็ตกใจไม่คาดคิดว่า ไฟจะลุกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือว่าวิญญาณที่ส่งไปจะทำไม่สำเร็จ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สองดวงวิญญาณยังไม่กลับมา ช่วงนี้วิญญาณที่เขาส่งไปไม่เคยได้กลับมา ครั้งนี้ก็เช่นกัน ท่านหญิงจวินจู่นอกจากนางจะพูดคุยกับวิญญาณได้แล้ว นางยังมีความสามารถอื่นอีกหรือไม่? เรื่องนี้เขาต้องหาทางสืบให้กระจ่าง หากวิธีดึงวิญญาณข้างกายนางมาไม่สำเร็จ ก็คงต้องคิดหาวิธีอื่น อย่างเช่นฆ่านางทิ้งเสีย อย่างที่นายหญิงโจวเหม่ยหลิงได้บอกเอาไว้ ซึ่งวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เขาทำงานรับใช้ตระกูลโจวมาอย่างยาวนาน มีเงินมีทองใช้และมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็เป็นเพราะได้ตระกูลโจวให้ความช่วยเหลือ แลกกับการที่เขาใช้วิชาอาคมกับวิญญาณ ให้ไปทำร้ายคนที่คิดขัดขวางผลประโยชน์ของตระกูลโจว การค้าของตระกูลโจวนั้นมีมากมาย ดังนั้นนายใหญ่อย่างโจวเหม่ยหลิง จึงดึงขุนนางหลายคนมาเป็นพรรคพวก แลกกับผลประโยชน์อันมหาศาลที่จะได้รับ และสามตระกูลใหญ่คือตัวเลือก ซึ่งก็ร่วมงานกันอย่างราบรื่นเป็นอย่างดี จวบจนมีท่านหญิงจวินจู่โผล่ขึ้นมา ฟังดู
ดึกสงัดในค่ำคืนเดือนมืด ว่านชิงอีและพี่สาวอีกสองคนของนางก็ยังไม่พากันเตรียมตัวเข้านอน เพราะว่านชิงอีไหว้วานให้พี่สาวทั้งสอง ช่วยพับยันต์ที่นางเขียนขึ้นมามากมาย เพราะอีกไม่นานจะเป็นเทศกาลปีใหม่ ว่านชิงอีจึงอยากจะทำไว้แจกผู้คน แต่ในความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ นางมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น นางจึงคิดว่าหากมียันต์ป้องกันภูตผีพกติดตัวกันเอาไว้ ก็อาจจะพอช่วยอยู่ได้บ้างแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ว่านชิงอีปรายตามองปิงปิงที่นอนเล่นอยู่บนเตียงของนาง ส่วนดวงวิญญาณอีกสามดวงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเยอะขนานนี้กัน? ว่านชิงหลานเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนั่งทำมาหลายชั่วโมงแล้ว เสี่ยวหมานพยักหน้าเห็นด้วยที่ เพราะนางก็เริ่มเมื่อยมือเช่นเดียวกัน “งั้นพี่ใหญ่พี่รองก็ไปนอนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังคอยมาพับใหม่” ว่านชิงอีมองเห็นความเหนื่อยล้าของพี่สาวทั้งสอง จึงรีบบอกให้ไปพักผ่อนเสียง “ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานรีบเอ่ยลา เพราะร่างกายเริ่มล้าและง่วงนอนเต็มที หลังจากพี่สาวของนางจากไปไม่นาน จู่ ๆ ลมก็พัดอย่างรุนแรงคล้ายจะมีลมฝน แต่กลิ่นที่มาพร้อมกับล