หวงตงหยาง..ตอนนี้เขาควรอยู่กับเหรินหลานเฟิงที่โรงน้ำชาสิ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน หวงตงหยางผู้นั้นเนี่ยนะ จะมาช่วยข้า เห็นทีปีนี้หิมะคงไม่ตกแล้วล่ะ เขาเกลียดจ้าวเยี่ยนฟางอย่างกับไส้เดือนกิ้งกือ เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะตามมาเพื่อปกป้องนาง
"ท่าน! ท่านมาทำอะไรที่นี่" แม้นางจะคิดว่าบุรุษผู้นี้มีส่วนคล้ายกับหวงตงหยาง แต่นางก็ไม่คิดว่าจะเป็นเขาจริง ๆ เพราะจากนิยายที่นางเคยอ่านมันไม่มีฉากนี้นี่นา
"นี่คือสิ่งแรกที่เจ้าพูดกับผู้มีพระคุณของเจ้าหรือ" หวงตงหยางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลังจากจบงานเลี้ยงที่วัง เขาก็แทบไม่ได้เห็นหน้าจ้าวเยี่ยนฟางอีกเลย ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอหน้าฮูหยินของตนข้างนอกจวน แถมยังเป็นสถานการณ์เช่นนี้
เพราะปกตินางจะต้องมาตามรังควานเขาเสียทุกที แต่คราวนี้นางกลับทำเหมือนไม่เห็นเขา และเดินออกไปทั้งอย่างนั้น อันที่จริงเขาเห็นนางตั้งแต่เดินเข้ามาที่โรงน้ำชาแล้วล่ะ เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็นนางก็เท่านั้น
และสิ่งที่แปลกขึ้นไปอีกคือ การที่จ้าวเยี่ยนฟางเห็นเขานั่งอยู่กับเหรินหลานเฟิง หากเป็นปกตินางคงเข้ามาโวยวาย ทำร้ายร่างกายเหรินหลานเฟิง ไม่ก็ทำลายขว้างปาข้าวของ แต่นางกลับไม่มีท่าทีอะไรเลย..
"เอ่อ..ขอบคุณที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ" จ้าวเยี่ยนฟางค้อมศีรษะขอบคุณเขาที่ช่วยชีวิต นางเพียงแค่ตกใจเกินเหตุจึงได้ลืมขอบคุณผู้ที่มาช่วยชีวิตนาง
หวงตงหยางพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยังรถม้าอย่างทุลักทุเล จ้าวเยี่ยนฟางเห็นเช่นนั้นจึงรีบเข้าไปประคองเขาอย่างไม่ทันรู้ตัว อย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นผู้มีพระคุณ อีกอย่างเขาก็เจ็บตัวเพราะช่วยนาง แค่ช่วยพยุงคนเจ็บไปที่รถม้า มันคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักหรอก..
ดวงตาสีนิลมองอีกฝ่ายอย่างค้นคว้า บนใบหน้าหล่อเหลาคล้ายมีคำถาม แต่เขาก็มิได้พูดอะไรออกมา
ระหว่างทาง ถิงถิงนั่งอยู่ข้างคนขับรถม้า ภายในรถม้าจึงมีเพียงหวงตงหยางและจ้าวเยี่ยนฟางนั่งอยู่สองคน บรรยากาศภายในนั้นเต็มไปด้วยความเงียบและความอึดอัด ทั้งสองนั่งเงียบมาตลอดทางโดยไม่มีบทสนทนาใด
"เอ่อ.. เกี่ยวกับแผลของท่าน.."
"อย่าใส่ใจเลย"
"ข้าจะบอกว่า ช่วงนี้พยายามอย่าให้แผลโดนน้ำ แล้วก็หมั่นทำความสะอาดแผลทุกวันห้ามขาดจนกว่าแผลจะหาย ส่วนยา..เอ่อ..ข้าไม่รู้จะจดกับอะไรให้ท่านดี แต่ท่านความจำดีใช่หรือไม่ กลับจวนไปแล้วบอกให้คนซื้อของพวกนี้มานะ" แล้วนางก็เอื้อนเอ่ยชื่อสมุนไพรที่ช่วยรักษาแผลให้เขาได้อย่างคล่องแคล่ว และถึงแม้นหวงตงหยางจะแปลกใจกับตัวนางเพียงใดเขายังคงนั่งนิ่ง ใบหน้าไม่บ่งบอกหรือสื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกใด ๆ ออกมา
"..." ชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉย แต่ภายในใจตอนนี้กู่ก้องร้องตะโกนว่า ฮูหยินของเขารู้เรื่องเหล่านี้ได้เยี่ยงไร นางไปร่ำเรียนมาตั้งแต่ตอนไหน เขาพลาดอะไรไปงั้นหรือ!
"ตอบสิเจ้าคะ!" เมื่อเห็นคู่สนทนาเอาแต่นิ่งเงียบ นางจึงใช้น้ำเสียงที่พูดกับเขาเข้มขึ้น
"ได้! เดี๋ยวข้ากลับจวนไป จะบอกให้คนซื้อของตามที่เจ้าสั่ง มีอะไรบ้างล่ะ ไหนบอกกับข้าอีกครั้งซิ" เขาตอบกลับนางอย่างไม่เต็มใจนัก นางพูดเหมือนนางมีความรู้เรื่องยาอย่างนั้นแหละ สตรีที่วัน ๆ เอาแต่วิ่งตามเขาเนี่ยนะ..
"จำนะเจ้าคะ! เหล่งเอี๊ยง,ต่าเต็ก,แบะตง,เต็งซิม นำสี่สิ่งนี้มาต้มรวมกัน และดื่มเป็นยาก่อนอาหารเช้าและก่อนนอน ระหว่างนี้ท่านต้องงดการกิน ของเปรี้ยว,เผ็ด,ดอง เริ่มกินยานี้ได้ตั้งแต่พรุ่งนี้เช้าเลย เข้าใจใช่ไหมเจ้าคะ"
"เจ้าทำเหมือนรู้เรื่องหมอดีอย่างนั้นแหละ ยาที่เจ้าสั่งมามันกินได้จริง ๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้" เขาทำหน้าอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ตนเองได้ยิน จ้าวเยี่ยนฟางมีความรู้เรื่องการรักษาด้วยอย่างนั้นหรือ มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไรกัน
"หากท่านไม่เชื่อ ท่านก็ลองไปถามหมอดูแล้วกันเจ้าค่ะ ว่ายาที่ข้าแนะนำไปมันกินได้มั้ย และที่สำคัญมันไม่มีพิษแน่นอน!"
"ฮูหยิน ข้าถามเจ้าจริง ๆ เจ้ากำลังวางแผนจะทำอะไรกันแน่" เขายังคงมีท่าทีไม่ไว้วางใจนางอย่างเห็นได้ชัด
แต่เอาเถอะ นางก็ช่วยเท่าที่จะช่วยได้ไปแล้ว จากนี้ก็คงไม่มีเรื่องให้ข้องเกี่ยวกันอีก หากเขาฟังที่นางแนะนำแผลก็หายไว แต่หากไม่ฟังก็สุดแล้วแต่เขาละกัน เพราะนางก็พยายามเท่าที่จะทำได้ไปแล้ว
"ข้าไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น ถึงจวนแล้ว ข้าขอลาตรงนี้เลยแล้วกันนะเจ้าคะ ขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยข้า" จ้าวเยี่ยนฟางเอ่ยขึ้น ก่อนจะก้าวลงจากรถม้าทันทีที่ล้อมาหยุดอยู่หน้าจวนสกุลหวง
วันนี้มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น เขาตั้งใจสะกดรอยตามจ้าวเยี่ยนฟางมาตั้งแต่นางเดินออกมาจากโรงน้ำชา เพราะกำลังสงสัยว่านางกำลังวางแผนอะไรอยู่ แต่ก็ไม่คาดคิดว่านางจะถูกดักปล้นกลางทาง ทำให้เขาจำเป็นต้องเผยตัวต่อหน้านางอย่างเลี่ยงไม่ได้
ข้ารู้ว่าเจ้าเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้
หลายวันผ่านไป
แสงจากเชิงเทียนพลิ้วไหวในเรือนจงหยุน วันนี้จ้าวเยี่ยนฟางรีบตื่นตั้งแต่ยามเหม่า เพื่อลุกขึ้นมาทำข้าวต้มทรงเครื่องสูตรเด็ด ทำเอาถิงถิงแทบจะลมจับ เมื่อเห็นว่าคุณหนูของตนตื่นมาเข้าครัวตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่
ในตอนแรกนางตั้งใจว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับหวงตงหยางอีกแล้ว แต่จิตสำนึกมันตะโกนบอกว่าให้นางต้องไปเยี่ยมเขาบ้าง
อย่างไรซะ เขาก็เป็นผู้มีพระคุณ อีกทั้งนางก็บอกเขาไปแล้วว่าจะทำตัวเป็นฮูหยินที่ดี
ช่วงนี้หวงตงหยางบาดเจ็บ นางจะทำของอร่อย ๆ ไปเยี่ยม หากเขาเห็นว่านางก็เป็นคนดีอยู่บ้าง ตอนจบเผื่อเขาอาจจะมีความปราณีกับนางบ้าง เปลี่ยนใจไม่ลงมือสังหารนางเหมือนในต้นฉบับ
"คุณหนู..แต่ไหนแต่ไรมาท่านมิเคยเข้าครัวเลยนะเจ้าคะ ให้บ่าวทำดีกว่านะเจ้าคะ.." อย่าว่าแต่ถิงถิงที่มาขอร้องฮูหยินเลย บ่าวไพร่คนอื่น ๆ ต่างก็เข้ามาพากัน กอดขาฮูหยินเพื่อขอร้องให้นางออกไปจากครัว
"ฮูหยิน บ่าวทำสำรับมิถูกปากท่านหรือเจ้าคะ ท่านจึงมาลงครัวเองเช่นนี้"
"ฮูหยินเจ้าขา ออกไปพักผ่อนเถิดนะเจ้าคะ เดี๋ยวมีดบาดมือสวย ๆ ของท่านขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ"
สารพัดคำขอร้องอ้อนวอนให้นางยอมวางมือและเดินออกจากครัว แต่มีหรือที่นางจะฟัง วันนี้นางตั้งใจตื่นมาทำข้าวต้มทรงเครื่องไปเยี่ยมคนไข้อย่างหวงตงหยาง
หวงตงหยางหลังจากที่ท่านได้ชิมอาหารที่ข้าทำให้ท่านแล้ว ท่านจะต้องรู้สึกขอบคุณข้าเป็นแน่! นางหมายหมาดในใจ
"ข้าเพียงแค่อยากทำอาหารไปเยี่ยมไข้สามีของข้าก็เท่านั้น ข้าจะระวังมิให้ไฟไหม้ครัวก็แล้วกัน" นางพูดขึ้นอยากติดตลก แต่ทว่าเหล่าบ่าวไพร่กลับมิได้ตลกกับนางเลยสักนิด เพราะจ้าวเยี่ยนฟางตัวจริง ตั้งแต่เล็กจนโตมิเคยถือมีดเข้าครัว ฉะนั้นเหตุการณ์ไฟไหม้ครัวอาจจะเกิดขึ้นจริงก็เป็นได้
"ข้าล้อเล่น ข้าจะตั้งใจทำอย่างระมัดระวัง มิให้บาดเจ็บและมิให้ไฟไหม้ครัว พวกเจ้าพอใจหรือยัง" หลังจากที่นางพูดอย่างชัดเจนเช่นนั้น บรรดาบ่าวไพร่ต่างก็แยกย้ายกันกลับไปทำงานของตน ในห้องครัวจึงเหลือเพียงบ่าวที่ทำหน้าที่หุงหาอาหาร และถิงถิงที่มาช่วยเป็นลูกมือให้นาง
"พวกเจ้าที่เหลือทำงานของตนเองไป มิต้องห่วงข้า ข้ามีถิงถิงช่วยแล้ว พวกเจ้าวางใจเถิด" เมื่อพูดจบ จ้าวเยี่ยนฟางก็ออกคำสั่งให้ถิงถิงช่วยเตรียมวัตถุดิบที่จำเป็นต่อการทำเมนูข้าวต้มทรงเครื่องสูตรพิเศษของนาง
บรรดาบ่าวไพร่ที่คอยดูแลห้องครัวต่างพากันกระซิบซิบกระซาบด้วยความประหลาดใจ ถึงท่านจะเปลี่ยนไปอย่างไร จู่ ๆ ท่านจะเข้าครัวเนี่ยนะ
อย่างฮูหยินเนี่ยนะ จะเข้าครัวเพื่อทำอาหาร..
จ้าวเยี่ยนฟางใช้เวลาอยู่ในห้องครัว เป็นเวลาประมาณหนึ่งก้านธูป กลิ่นอาหารตลบอบอวลลอยออกจากห้องครัว ทำเอาคนที่ได้กลิ่นถึงกับน้ำลายสอ ในที่สุดข้าวต้มทรงเครื่องสูตรพิเศษของนางก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อย จ้าวเยี่ยนฟางวานให้ถิงถิงช่วยจัดอาหารและอื่น ๆ ที่นางเตรียมไว้ใส่สำรับ และมุ่งหน้าไปยังเรือนใหญ่ ซึ่งเป็นที่พำนักของแม่ทัพหวง
ระหว่างทางที่เดินไปเรือนของหวงตงหยาง จ้าวเยี่ยนฟางก็ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจว่า นางทำเช่นนี้ดีแล้วหรือไม่ เพราะนางรู้ดีว่าหวงตงหยางเกลียดนางเพียงใดหากนางโผล่หน้าไปให้เขาเห็น เขาอาจจะกินข้าวไม่ลงก็ได้
แต่ว่าเมื่อหลายวันก่อนเขาต้องเจ็บตัวเพราะช่วยเหลือนาง หากนางมิไปเยี่ยมเขาเลยสักครั้ง เขาคงมองนางเป็นพวกข้ามแม่น้ำรื้อสะพานเป็นแน่
เมื่อนางเดินมาถึงบริเวณเรือนของหวงตงหยาง นางก็บังเอิญเจอเข้ากับองครักษ์ของเขา ที่กำลังเดินออกมาจากเรือนด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล เมื่อองครักษ์หนุ่มคนนั้นเห็นจ้าวเยี่ยนฟาง เขาก็ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินตรงเข้ามาหานาง
"ฮูหยิน.." เจียวมิ่งโค้งคำนับนายหญิงของจวนอย่างนอบน้อม
"ยินดีที่ได้พบท่าน ท่านองครักษ์" นางเอ่ยทักทายกลับไปอย่างเป็นมิตร ก่อนจะสังเกตเห็นได้ว่าเขามีสีหน้ากังวลอะไรบางอย่าง
"ท่านกำลังกังวลสิ่งใดอยู่หรือ"
"ฮูหยิน..ท่านช่วยไปดูท่านแม่ทัพหน่อยได้หรือไม่ขอรับ" องครักษ์หนุ่มต้องเอ่ยขอความช่วยเหลือสตรีที่เจ้านายของตนเคยบอกว่าเกลียดนักเกลียดหนาอย่างจนใจ
เพราะอย่างไรนางก็มีศักดิ์เป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพ อีกทั้งฮูหยินก็แสดงท่าทีชัดเจนมาโดยตลอดว่ารักเจ้านายของเขาเพียงใด เวลานี้จึงมีเพียงฮูหยินที่จะช่วยเขาได้
"ได้สิ ข้าตั้งใจจะมาเยี่ยมเขาอยู่แล้ว"
จ้าวเยี่ยนฟางถือสำรับ เดินเข้าไปในเรือนของหวงตงหยางเพียงลำพัง เมื่อนางเดินมาถึงห้องนอนของเขา ก็เห็นว่า หวงตงหยางกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง สีหน้าของเขาดูซีดเซียว อีกทั้งยังดูเหมือนคนหายใจหอบถี่
จ้าวเยี่ยนฟางวางสำรับลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะรีบเข้าไปดูอาการของเขา นางใช้หลังมือแตะหน้าผากเขาเบา ๆ ก็พบว่าเขามีไข้ขึ้นสูง คาดว่าน่าจะมาจากพิษของบาดแผล
ไม่ได้การล่ะ นางต้องรีบตามคนมาช่วยเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นอาการของแม่ทัพหวงอาจจะแย่ไปกว่านี้ หากเป็นเช่นนั้นมันก็อาจจะอันตรายถึงชีวิต ในขณะที่จ้าวเยี่ยนฟางกำลังจะลุกขึ้นไปตามคนมาช่วย ข้อมือนางก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยฝ่ามือหนาของคนที่คิดว่ากำลังหลับอยู่ นางหันกลับไปดูด้วยความตกใจก็พบว่า หวงตงหยางกำลังจับข้อมือของนางอยู่
"ท่าน..ท่านเป็นอย่างไรบ้าง"
"เจ้ากำลังจะไปไหน" หวงตงหยางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง เขารู้สึกปวดบาดแผลมากเสียจนแทบทนไม่ไหว
"ข้ากำลังจะไปตามคนมาช่วยท่าน ท่านไข้สูงมาก ไยท่านจึงไม่รีบบอกให้องครักษ์ของท่านไปตามหมอมาดูอาการ" นางเผลอบ่นออกไปด้วยความเป็นห่วง
ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้ว นางไม่สามารถปล่อยให้เขานอนซมเพราะพิษไข้อย่างนี้ได้
"ช่างเถิด..เมื่อหลายวันก่อนข้าได้สมุนไพรมาทาแผลแล้ว ไม่นานก็คงหาย" เขายังคงพยายามที่จะสื่อสารกับนาง แม้ว่าตัวเขาแทบจะไม่มีแรงเปล่งเสียงออกมาแล้วก็ตาม
"หากได้รับการรักษาแล้วอาการต้องดีขึ้นสิ ท่านมิรู้บ้างเลยหรือว่าตอนนี้อาการท่านย่ำแย่มาก" นางมองเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
"เขาเป็นหมอที่เก่งที่สุดที่ข้ารู้จักแล้ว.. หากเขารักษาไม่ได้ ข้าก็จนปัญญา" หวงตงหยางพยายามเค้นเสียงตอบ
นางไม่รู้ว่าการแพทย์สมัยนี้เป็นอย่างไร แต่การเอาใบไม้มาโปะลงบนแผล ใช่ว่าแผลจะหายดีไปเสียทุกราย
"หากหมอที่เก่งที่สุดรักษาได้เพียงเท่านี้ เช่นนั้นข้าจะเป็นคนรักษาให้ท่านเอง!"
"หยางหยาง เธอคนนั้นสวยเนอะนายว่ามั้ย" ลู่ฉือเฉิงใช้ศอกสะกิดเพื่อนรักของตัวเองด้วยความตื่นเต้น พลางใช้นิ้วชี้ไปยังผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ยืนหันหลังอยู่ เธอสวมมินิเดรสสีครีม พร้อมกับรองเท้าส้นสูงแบรนด์ดัง ผมสีน้ำตาลอ่อนเหยียดตรงยาวจนถึงกลางหลัง ยิ่งมองดูยิ่งรู้สึกหลงใหล"อืม" เขาตอบกลับเพียงสั้น ๆ ทำเอาลูู่ฉือเฉิงถึงกับหน้ายู่ด้วยความผิดหวัง ทำไมเพื่อนของเขาถึงได้ทำตัวเหมือนกับก้อนหินแบบนี้ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ กันแล้ว แต่เขายังไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทคนนี้มีแฟนกับเขาเลยสักคน"นี่หยางหยาง ฉันถามนายจริง ๆ นาย..คงไม่ได้ชอบผู้ชายหรอกใช่มั้ย" ลู่ฉือเฉิงเอ่ยถามเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงที่ติดตลก"ฉันชอบผู้หญิงเหมือนกับนายนั่นแหละน่า" หวงตงหยางหรือที่เพื่อนสนิทเรียกว่าหยางหยางตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับศิลปะเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าที่ยอมมาหอศิลป์เป็นเพื่อนเจ้าลู่ฉือเฉิง เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับศิลปินท่านหนึ่งที่เขาจะต้องรู้ให้ได้..ชื่อของศิลปินคนนี้ เหมือนกับนางในฝันของเขา .."หยางหยางนายยังฝันแปลก ๆ อยู่ใช่มั้ย เพราะเธอคนนั้นหรือเปล่านายถึงไม่ยอมมีแฟนสักที" คำถาม
แสงไฟจากโคมระย้าคริสตัลส่องประกายระยิบระยับไปทั่วห้องโถงคอนโดหรู ผนังห้องสีครีมอ่อนประดับด้วยภาพวาดสีน้ำมันฝีมือประณีตที่บ่งบอกถึงรสนิยมอันเลิศหรูของเจ้าของห้อง เรือนร่างระหงยืนอยู่หน้าหน้าต่างบานใหญ่ เธอมองลงไปยังถนนด้านล่างที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนและยานพาหนะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีจดหมายที่รอให้เธอเปิดอ่านวางรออยู่บนโต๊ะแขนเรียวเอื้อมมือไปหยิบซองจดหมายสีครีมที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัวออกมาเปิดอ่าน เนื้อหาภายในจดหมายแจ้งว่าเธอได้รับเชิญให้ไปจัดแสดงภาพวาดที่หอศิลป์แห่งหนึ่ง ริมฝีปากบางเผยอเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นและเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องภาพวาดขนาดใหญ่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาวผืนหนึ่ง เรียวแขนเล็กค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นภาพวาดสีน้ำมันที่วิจิตรงดงาม สิ่งที่ปรากฏบนผืนผ้าใบก็คือรูปของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดจีนโบราณสีเปลือกไข่ เธอจ้องมองภาพนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ทว่ามิอาจซ่อนความโศกเศร้าในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนได้ แพขนตางอนหลุบต่ำลงเล็กน้อย นิ้วมือเรียวลูบดวงหน้าคนในภาพอย่างทะนุถนอม ราวกับกำลังสัมผัสใบหน้าของผู้เป็นที่รัก..เสียงริงโทนเรียกเข้าดังขึ้น ทำให้เจ้าของดว
หวงตงหยางนอนกอดหมอนที่ฮูหยินเคยหนุนนอน ด้วยความโศกเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้ น้ำตาแห่งความคิดถึงไหลอาบแก้มของเขา หมอนใบนั้นยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของนาง กลิ่นที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปได้ตลอดชีวิตหวงตงหยางโอบกอดหมอนแน่นยิ่งขึ้น ราวกับว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ยังเชื่อมโยงเขากับนางได้ นัยน์ตาเศร้าสร้อยหลับตาลงและปล่อยให้ความทรงจำอันแสนหวานไหลเวียนอยู่ในหัวใจ ภาพของนางที่ยิ้มแย้ม หัวเราะ และร้องไห้ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา ภาพเหล่านั้นชัดเจนราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แต่ความจริงแล้ว นางได้จากเขาไปแล้ว..หลังจากที่จ้าวเยี่ยนฟางสิ้นลมหายใจ หวงตงหยางก็รู้สึกราวกับว่าส่วนหนึ่งของตัวเขาได้ตายไปพร้อมกับนาง ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดทรมานหัวใจ ภาพที่นางโผเข้ามารับคมกระบี่แทนเขายังคงตามหลอกหลอนเป็นดั่งเงา ทำให้เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแต่กระนั้นเขาก็ยังตายไม่ได้ เพราะนางได้ยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเขาเอาไว้ เขาจำต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปกับความรู้สึกผิดที่กดทับหัวใจตลอดเวลาคำพูดที่จ้าวเยี่ยนฟางพูดไว้วันนั้นก็เป็นดั่งคำสาป "โปรดมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขนะเจ้าคะ" นางพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มชี
"หลานเฟิง เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร" หวงตงหยางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนัก"ข้าเคยบอกท่านแล้วว่า ข้าจะมิยอมตกนรกอยู่คนเดียว ในเมื่อข้ามิสามารถครอบครองท่านได้ จะใครหน้าไหนก็มิคู่ควรทั้งนั้น!!" บัดนี้ดวงหน้าที่เคยงดงามอ่อนหวาน ถูกไฟริษยาแผดเผาจนไม่เหลือชิ้นดี ความรักทำให้นางตาบอดงมงาย ชายที่นางหลงรักกลับเห็นนางเป็นเพียงแค่ของเล่น สตรีที่นางชิงชังที่สุดกลับมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของนาง!!"ปล่อยเยี่ยนฟางไป นางมิได้เกี่ยวอะไรด้วย หากเจ้าโกรธแค้นนักก็มาลงที่ข้า ข้าขอรับความโกรธแค้นของเจ้าไว้แต่เพียงผู้เดียว""ฮ่าๆๆๆ จนป่านนี้ท่านก็ยังปกป้องมัน ในวันที่ข้าจมน้ำ ข้ารู้ว่าท่านแสร้งทำเป็นลงโทษนาง เพื่อที่จะได้มิต้องส่งตัวนางให้ทางการใช่หรือไม่ ท่านมิเคยคิดเข้าข้างข้าอยู่แล้ว แล้วที่ผ่านมาท่านจะมาให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับข้าทำไม""..." หวงตงหยางนิ่งเงียบมิยอมตอบกลับอะไร จริงอย่างที่เหรินหลานเฟิงพูด เขารู้ดีว่าจ้าวเยี่ยนฟางร้ายกาจเพียงใด แต่อย่างไรนางก็เป็นภรรยาที่รักและซื่อสัตย์ต่อเขาเพียงคนเดียว เหรินหลานเฟิงเองก็มิใช่สามัญชนคนธรรมดา หากบิดานางล่วงรู้ว่า ฮูหยินจงใจผลักลูกสาวของเข
แสงแดดสาดส่องผ่านหน้าต่างไม้สลัก มากระทบลงบนใบหน้าเนียนผ่องที่กำลังหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของผู้เป็นสามี เซี่ยซินหยานลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ ด้วยความงัวเงีย ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังใบหน้าคมคายที่บัดนี้กำลังหลับไหลอยู่ด้วยความรู้สึกรักใคร่ ฝ่ามือเล็กสัมผัสกับใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา เรียวนิ้วลูบไล้สันจมูกโด่งด้วยความหลงใหล"ฮูหยินเจ้าหลอกกินเต้าหู้ข้าหรือ" เสียงนุ่มทุ้มของเขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะจับข้อมือของภรรยาตัวน้อยเอาไว้มิยอมปล่อย อันที่จริงเขาตื่นมาสักพักแล้ว เพียงแต่ว่าแสร้งทำเป็นนอนต่อก็เท่านั้น ผู้ใดจะรู้เล่าว่าฮูหยินจะมีมุมเช่นนี้อยู่ด้วย "ข้ามิได้คิดเช่นนั้นเสียหน่อย" เซี่ยซินหยานขมวดคิ้ว ประท้วงคำพูดของเขาด้วยเสียงแผ่ว นางมิได้มีความคิดเช่นนั้นเสียหน่อย นางเพียงแค่คิดว่าหวงตงหยางเป็นบุรุษที่รูปงามมากก็เท่านั้น มิได้มีอารมณ์ความรู้สึกใดแอบแฝงอย่างที่เขากล่าวหาเลยแม้แต่น้อย"หากมิได้คิดเช่นนั้น..แล้วเจ้าคิดเช่นไรกันล่ะ" สายตาวิบวับเจ้าเล่ห์จับจ้องไปยังริมฝีปากของนางพร้อมซักถาม "ข้าคิดว่าท่านรูปงามมากก็เท่านั้นเอง..พอใจหรือยังเจ้าคะ" เซี่ยซินหยานตัดสินใจตอบกลับไปตามตรง หวงต
อาทิตย์อัสดงสาดส่อง ย้อมให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนเป็นสีแสด กระทั่งเงาของต้นหลิวที่สะท้อนอยู่ในน้ำก็ยังมองเห็นเป็นสีแสดด้วยเช่นกัน จ้าวเยี่ยนฟางนั่งยังคงชะเง้อมองหาร่างของผู้เป็นสามี ด้วยความกระวนกระวายใจ"อากาศเย็นลงแล้วนะเจ้าคะฮูหยิน เข้าไปพักผ่อนด้านในเรือนเถิดเจ้าค่ะ" สาวใช้คนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง วันนี้ฮูหยินของนางนั่งรอท่านแม่ทัพอยู่ที่ศาลาริมน้ำมาทั้งวันแล้ว ไม่ว่านางจะพูดเช่นไรก็ดูเหมือนว่าฮูหยินท่านจะไม่ยอมฟังเลยแม้แต่น้อย"ข้าขอรอเขาอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อยนะ.." เสียงผู้เป็นนายตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน ถิงถิงจึงทำได้เพียงปล่อยให้ท่านนั่งรออยู่เช่นนี้ต่อไป สิ่งที่นางพอจะทำให้ฮูหยินได้ในเวลานี้ก็คือนำเสื้อคลุมหนา ๆ มาให้ท่านสินะ.."เช่นนั้นบ่าวจะไปนำเสื้อคลุมอุ่น ๆ มาให้นะเจ้าคะ" "อื้อ" จ้าวเยี่ยนฟางพยักหน้าตอบกลับเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังซุ้มประตูทางเข้าของเรือนจงหยุนไม่นานนักถิงถิงก็เดินกลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมสีฟ้า มืออีกข้างหนึ่งของนางถือตะเกียงไม้มาด้วย นางช่วยใส่เสื้อคลุมให้กับฮูหยินและจัดแจงวางตะเกียงไว้ด้านข้าง เพราะนางรู้ดีว่าฮูหยินคงจะนั่งอยู่ต่อไปเช่นนี้ต่อไป หาก