"หยางหยาง เธอคนนั้นสวยเนอะนายว่ามั้ย" ลู่ฉือเฉิงใช้ศอกสะกิดเพื่อนรักของตัวเองด้วยความตื่นเต้น พลางใช้นิ้วชี้ไปยังผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ยืนหันหลังอยู่ เธอสวมมินิเดรสสีครีม พร้อมกับรองเท้าส้นสูงแบรนด์ดัง ผมสีน้ำตาลอ่อนเหยียดตรงยาวจนถึงกลางหลัง ยิ่งมองดูยิ่งรู้สึกหลงใหล"อืม" เขาตอบกลับเพียงสั้น ๆ ทำเอาลูู่ฉือเฉิงถึงกับหน้ายู่ด้วยความผิดหวัง ทำไมเพื่อนของเขาถึงได้ทำตัวเหมือนกับก้อนหินแบบนี้ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ กันแล้ว แต่เขายังไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทคนนี้มีแฟนกับเขาเลยสักคน"นี่หยางหยาง ฉันถามนายจริง ๆ นาย..คงไม่ได้ชอบผู้ชายหรอกใช่มั้ย" ลู่ฉือเฉิงเอ่ยถามเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงที่ติดตลก"ฉันชอบผู้หญิงเหมือนกับนายนั่นแหละน่า" หวงตงหยางหรือที่เพื่อนสนิทเรียกว่าหยางหยางตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับศิลปะเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าที่ยอมมาหอศิลป์เป็นเพื่อนเจ้าลู่ฉือเฉิง เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับศิลปินท่านหนึ่งที่เขาจะต้องรู้ให้ได้..ชื่อของศิลปินคนนี้ เหมือนกับนางในฝันของเขา .."หยางหยางนายยังฝันแปลก ๆ อยู่ใช่มั้ย เพราะเธอคนนั้นหรือเปล่านายถึงไม่ยอมมีแฟนสักที" คำถาม
แสงไฟจากโคมระย้าคริสตัลส่องประกายระยิบระยับไปทั่วห้องโถงคอนโดหรู ผนังห้องสีครีมอ่อนประดับด้วยภาพวาดสีน้ำมันฝีมือประณีตที่บ่งบอกถึงรสนิยมอันเลิศหรูของเจ้าของห้อง เรือนร่างระหงยืนอยู่หน้าหน้าต่างบานใหญ่ เธอมองลงไปยังถนนด้านล่างที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนและยานพาหนะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีจดหมายที่รอให้เธอเปิดอ่านวางรออยู่บนโต๊ะแขนเรียวเอื้อมมือไปหยิบซองจดหมายสีครีมที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัวออกมาเปิดอ่าน เนื้อหาภายในจดหมายแจ้งว่าเธอได้รับเชิญให้ไปจัดแสดงภาพวาดที่หอศิลป์แห่งหนึ่ง ริมฝีปากบางเผยอเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นและเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องภาพวาดขนาดใหญ่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาวผืนหนึ่ง เรียวแขนเล็กค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นภาพวาดสีน้ำมันที่วิจิตรงดงาม สิ่งที่ปรากฏบนผืนผ้าใบก็คือรูปของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดจีนโบราณสีเปลือกไข่ เธอจ้องมองภาพนั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ทว่ามิอาจซ่อนความโศกเศร้าในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนได้ แพขนตางอนหลุบต่ำลงเล็กน้อย นิ้วมือเรียวลูบดวงหน้าคนในภาพอย่างทะนุถนอม ราวกับกำลังสัมผัสใบหน้าของผู้เป็นที่รัก..เสียงริงโทนเรียกเข้าดังขึ้น ทำให้เจ้าของดว
หวงตงหยางนอนกอดหมอนที่ฮูหยินเคยหนุนนอน ด้วยความโศกเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้ น้ำตาแห่งความคิดถึงไหลอาบแก้มของเขา หมอนใบนั้นยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของนาง กลิ่นที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปได้ตลอดชีวิตหวงตงหยางโอบกอดหมอนแน่นยิ่งขึ้น ราวกับว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ยังเชื่อมโยงเขากับนางได้ นัยน์ตาเศร้าสร้อยหลับตาลงและปล่อยให้ความทรงจำอันแสนหวานไหลเวียนอยู่ในหัวใจ ภาพของนางที่ยิ้มแย้ม หัวเราะ และร้องไห้ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา ภาพเหล่านั้นชัดเจนราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แต่ความจริงแล้ว นางได้จากเขาไปแล้ว..หลังจากที่จ้าวเยี่ยนฟางสิ้นลมหายใจ หวงตงหยางก็รู้สึกราวกับว่าส่วนหนึ่งของตัวเขาได้ตายไปพร้อมกับนาง ความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดทรมานหัวใจ ภาพที่นางโผเข้ามารับคมกระบี่แทนเขายังคงตามหลอกหลอนเป็นดั่งเงา ทำให้เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแต่กระนั้นเขาก็ยังตายไม่ได้ เพราะนางได้ยอมสละชีวิตเพื่อช่วยเขาเอาไว้ เขาจำต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปกับความรู้สึกผิดที่กดทับหัวใจตลอดเวลาคำพูดที่จ้าวเยี่ยนฟางพูดไว้วันนั้นก็เป็นดั่งคำสาป "โปรดมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขนะเจ้าคะ" นางพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มชี
"หลานเฟิง เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร" หวงตงหยางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนัก"ข้าเคยบอกท่านแล้วว่า ข้าจะมิยอมตกนรกอยู่คนเดียว ในเมื่อข้ามิสามารถครอบครองท่านได้ จะใครหน้าไหนก็มิคู่ควรทั้งนั้น!!" บัดนี้ดวงหน้าที่เคยงดงามอ่อนหวาน ถูกไฟริษยาแผดเผาจนไม่เหลือชิ้นดี ความรักทำให้นางตาบอดงมงาย ชายที่นางหลงรักกลับเห็นนางเป็นเพียงแค่ของเล่น สตรีที่นางชิงชังที่สุดกลับมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของนาง!!"ปล่อยเยี่ยนฟางไป นางมิได้เกี่ยวอะไรด้วย หากเจ้าโกรธแค้นนักก็มาลงที่ข้า ข้าขอรับความโกรธแค้นของเจ้าไว้แต่เพียงผู้เดียว""ฮ่าๆๆๆ จนป่านนี้ท่านก็ยังปกป้องมัน ในวันที่ข้าจมน้ำ ข้ารู้ว่าท่านแสร้งทำเป็นลงโทษนาง เพื่อที่จะได้มิต้องส่งตัวนางให้ทางการใช่หรือไม่ ท่านมิเคยคิดเข้าข้างข้าอยู่แล้ว แล้วที่ผ่านมาท่านจะมาให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับข้าทำไม""..." หวงตงหยางนิ่งเงียบมิยอมตอบกลับอะไร จริงอย่างที่เหรินหลานเฟิงพูด เขารู้ดีว่าจ้าวเยี่ยนฟางร้ายกาจเพียงใด แต่อย่างไรนางก็เป็นภรรยาที่รักและซื่อสัตย์ต่อเขาเพียงคนเดียว เหรินหลานเฟิงเองก็มิใช่สามัญชนคนธรรมดา หากบิดานางล่วงรู้ว่า ฮูหยินจงใจผลักลูกสาวของเข
แสงแดดสาดส่องผ่านหน้าต่างไม้สลัก มากระทบลงบนใบหน้าเนียนผ่องที่กำลังหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของผู้เป็นสามี เซี่ยซินหยานลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ ด้วยความงัวเงีย ดวงตาคู่งามจับจ้องไปยังใบหน้าคมคายที่บัดนี้กำลังหลับไหลอยู่ด้วยความรู้สึกรักใคร่ ฝ่ามือเล็กสัมผัสกับใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา เรียวนิ้วลูบไล้สันจมูกโด่งด้วยความหลงใหล"ฮูหยินเจ้าหลอกกินเต้าหู้ข้าหรือ" เสียงนุ่มทุ้มของเขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะจับข้อมือของภรรยาตัวน้อยเอาไว้มิยอมปล่อย อันที่จริงเขาตื่นมาสักพักแล้ว เพียงแต่ว่าแสร้งทำเป็นนอนต่อก็เท่านั้น ผู้ใดจะรู้เล่าว่าฮูหยินจะมีมุมเช่นนี้อยู่ด้วย "ข้ามิได้คิดเช่นนั้นเสียหน่อย" เซี่ยซินหยานขมวดคิ้ว ประท้วงคำพูดของเขาด้วยเสียงแผ่ว นางมิได้มีความคิดเช่นนั้นเสียหน่อย นางเพียงแค่คิดว่าหวงตงหยางเป็นบุรุษที่รูปงามมากก็เท่านั้น มิได้มีอารมณ์ความรู้สึกใดแอบแฝงอย่างที่เขากล่าวหาเลยแม้แต่น้อย"หากมิได้คิดเช่นนั้น..แล้วเจ้าคิดเช่นไรกันล่ะ" สายตาวิบวับเจ้าเล่ห์จับจ้องไปยังริมฝีปากของนางพร้อมซักถาม "ข้าคิดว่าท่านรูปงามมากก็เท่านั้นเอง..พอใจหรือยังเจ้าคะ" เซี่ยซินหยานตัดสินใจตอบกลับไปตามตรง หวงต
อาทิตย์อัสดงสาดส่อง ย้อมให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนเป็นสีแสด กระทั่งเงาของต้นหลิวที่สะท้อนอยู่ในน้ำก็ยังมองเห็นเป็นสีแสดด้วยเช่นกัน จ้าวเยี่ยนฟางนั่งยังคงชะเง้อมองหาร่างของผู้เป็นสามี ด้วยความกระวนกระวายใจ"อากาศเย็นลงแล้วนะเจ้าคะฮูหยิน เข้าไปพักผ่อนด้านในเรือนเถิดเจ้าค่ะ" สาวใช้คนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง วันนี้ฮูหยินของนางนั่งรอท่านแม่ทัพอยู่ที่ศาลาริมน้ำมาทั้งวันแล้ว ไม่ว่านางจะพูดเช่นไรก็ดูเหมือนว่าฮูหยินท่านจะไม่ยอมฟังเลยแม้แต่น้อย"ข้าขอรอเขาอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อยนะ.." เสียงผู้เป็นนายตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน ถิงถิงจึงทำได้เพียงปล่อยให้ท่านนั่งรออยู่เช่นนี้ต่อไป สิ่งที่นางพอจะทำให้ฮูหยินได้ในเวลานี้ก็คือนำเสื้อคลุมหนา ๆ มาให้ท่านสินะ.."เช่นนั้นบ่าวจะไปนำเสื้อคลุมอุ่น ๆ มาให้นะเจ้าคะ" "อื้อ" จ้าวเยี่ยนฟางพยักหน้าตอบกลับเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังซุ้มประตูทางเข้าของเรือนจงหยุนไม่นานนักถิงถิงก็เดินกลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมสีฟ้า มืออีกข้างหนึ่งของนางถือตะเกียงไม้มาด้วย นางช่วยใส่เสื้อคลุมให้กับฮูหยินและจัดแจงวางตะเกียงไว้ด้านข้าง เพราะนางรู้ดีว่าฮูหยินคงจะนั่งอยู่ต่อไปเช่นนี้ต่อไป หาก